เมื่อเราบอกรักพระเจ้า ในหนังสือวิวรณ์บทที่ 2:1-7 คือพระเยซูตรัสว่าคริสตจักรแห่งนี้ขาดความรักดั้งเดิมให้พระเจ้า คือตอนเชื่อใหม่ๆ คริสเตียนเราทุกคนก็เป็นก็รักพระเจ้ามากๆ แต่ต่อมาพอยิ่งนานเข้าความรักก็จืดจางจางหาย แล้วจิตใจของเราก็ไม่อยู่กับพระเจ้าแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเรานอกใจพระเจ้า และโดยเฉพาะแล้วคำว่ารักดั้งเดิมของเราระหว่างรักแรกพบ รักดั้งเดิมที่เราเคยมีกับพระเจ้าในตอนแรกๆ มันหายไป
เพราะฉะนั้นแล้วการเต็มล้นด้วยน้ำมันหรือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณเป็นสิ่งที่เราต้องการมากๆ และคริสเตียนทุกวันนี้ไม่ค่อยจะเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ซึ่งพี่น้องคริสเตียนบางกลุ่มเขาเน้นเฉพาะการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณด้านนอกหรือภายนอก ที่ภาษากรีกเรียกว่า (Pletho เพล-โธ) คือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณหรือด้วยน้ำมันภายนอก ก็คือการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะใช้เรา และให้ของประทานแก่เรา ใช้ของประทานนั้น เพื่อการประกาศ เพื่อการเทศนา เพื่อการรักษาโรค ไล่ผี เพื่อการอัศจรรย์ อิทธิฤทธิ์ต่างๆ
และสันติสุขที่เราได้รับหรือจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็งมั่นคงในการเชื่อฟังพระเจ้านี้ไม่มี อาจจะมีเล็กๆ น้อยๆ ตอนเฉพาะที่นมัสการ หรือได้รับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้านนอก
แต่สิ่งที่สำคัญสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต การเต็มล้นด้านนอกเต็มล้นด้วยน้ำมันด้านนอกภายนอก ก็คือเพื่อการรับใช้
แต่การเต็มล้นด้วยน้ำมันภายในเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายใน ก็คือ (Pleroo เพล-เราะ-โอ) เป็นสิ่งที่เราต้องการ และคริสตจักรทุกวันนี้ไม่รู้ และไม่เข้าใจ และไม่ได้รับการเต็มล้นด้วยน้ำมัน หรือเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในหรือด้านในนี้ ซึ่งเรียกว่า (Pleroo เพล-เราะ-โอ)
การเต็มล้นด้านนอกภายนอกเพื่อคริสตจักรเพื่อการรับใช้ การเต็มล้นด้านในภายในเพื่อเราชีวิตของเราเติบโต
การเต็มล้นด้านนอกภายนอกเพื่อคริสตจักรเติบโต เพื่อคริสตจักรของพระเจ้าขยายตัว
แต่การเต็มล้นด้านในภายในคือชีวิตเพื่อชีวิตเราเองเติบโต พระคริสต์ก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้น ขยายตัวใหญ่ขึ้น เราเล็กลง ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ชีวิตของเราก็จะส่องสว่างไม่ได้ ส่องสว่างก็คือการสำแดงความดีเกิดผลของพระวิญญาณในกาลาเทีย 5:22-23 และเราไม่อาจที่จะให้พระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณดำเนินชีวิตแทนเราได้ ดังที่กาลาเทีย 2:20 กล่าวไว้
ในมัทธิวบทที่ 25 วันนี้เราจะแบ่งกับพี่น้องซึ่งพี่น้องคริสเตียนมากมายหลายท่าน มีความเข้าใจผิด และแปลความหมายพระคัมภีร์ข้อนี้ผิด คือเรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ ใช่ไหมว่าหญิงพรหมจารี 10 คน 5 คนที่เป็นคนโง่ไม่มีน้ำมัน เอาตะเกียงเปล่าๆ มา และอีก 5 คนมีน้ำมันมีตะเกียงด้วย มีน้ำมันด้วย มีน้ำมันในตะเกียงด้วย อันนี้คือความเข้าใจของพี่น้องคริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้
แต่วันนี้เราจะพาพี่น้องมาดูน่ะว่าเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ และความหมายที่ลึกลับ ล้ำลึก มีอะไรบ้าง และเรื่องราวของหญิงพรหมจารี 10 คนนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้าง ซึ่งมีประโยชน์มากเหลือเกิน
ในมัทธิวบทที่ 25 ข้อที่ 1 "เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว"
- สำหรับอาณาจักร คือยุคนี้ เป็นคริสตจักร คือคริสตจักร พระเยซูเป็นพระวิญญาณที่ครอบครองชีวิตของเราฝ่ายวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าครอบครองเราในฝ่ายวิญญาณ และคริสตจักร คือราชอาณาจักรสวรรค์ในยุคนี้ ในพระคัมภีร์มัทธิวบทที่ 13 กล่าวถึง อาณาจักรสวรรค์เป็นคริสตจักร
ส่วนในพระคัมภีร์มัทธิวบทที่ 25 นี้ที่เราจะพาพี่น้องมาศึกษาดู ก็คือพระเยซูตรัสถึงเรื่องอาณาจักรที่พระเยซูจะนำมาตั้งอยู่บนโลกนี้ เปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคน หญิงพรหมจารีก็คือคนงานในบ้านคนใช้ที่อยู่ในบ้าน และความหมายของหญิงพรหมจารีในที่นี้ ก็คือคริสเตียน ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้เชื่อที่สะอาดแล้ว บริสุทธิ์ ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้ว เป็นหญิงพรหมจารีเป็นคนที่ชอบธรรมบริสุทธิ์สะอาดต่อพระพักตร์พระเจ้า
ถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าวคืออะไร ตะเกียง ในพระคัมภีร์สุภาษิตบทที่ 20:27 "จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นประทีปของพระเยโฮวาห์ ส่องดูส่วนลึกที่สุดของเขาทั้งสิ้น" กล่าวว่า "ตะเกียง" ก็คือ "วิญญาณของมนุษย์" แสดงว่าหญิงพรหมจารีคือคริสเตียนมีวิญญาณทุกคนที่ออกไปรับเจ้าบ่าว และเจ้าบ่าว ในที่นี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่จะเสด็จมา คือบุตรมนุษย์ บุตรมนุษย์ที่กำลังจะเสด็จลงมาพร้อมกับอาณาจักรของพระองค์ และจะก่อตั้งอาณาจักรในโลกนี้
...
ข้อที่ 2 "ในพวกเธอเป็นคนมีปัญญาห้าคนและเป็นคนโง่ห้าคน"
- คนที่มีปัญญา ในที่นี้ ก็คือคนที่ฉลาด คนที่แสวงหา คนที่ได้รับการเปิดตา ได้เข้าใจ ดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย
...
ข้อที่ 3 "พวกคนที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่"
- ถ้าเราอ่านในข้อนี้..พวกคนโง่ห้าคนเอาตะเกียงของตนไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย ถ้าเราจะดูแต่เฉพาะข้อนี้เราจะเห็นว่าหญิงพรหมจารีคนโง่ห้าคน คือดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่เฉพาะตะเกียงไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย คือไม่มีน้ำมัน
...
และข้อที่ 4 "แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย"
- ในข้อที่ 4 มีอะไรที่แปลกและมีอะไรที่ไม่เหมือนในข้อที่ 3 ข้อที่ 3 บอกว่าหญิงพรหมจารีคนโง่ห้าคน คือเอาตะเกียงไปด้วยแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไป และข้อที่ 4 บอกว่าหญิงพรหมจารีห้าคนที่ฉลาดเอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงด้วย ในข้อที่ 4 บอกว่ามีภาชนะ ซึ่งคนโง่ห้าคนนั้นไม่มี มีแต่เฉพาะคนที่ฉลาด และเขาเอาน้ำมันใส่ภาชนะนี้ไปด้วย และก็มีตะเกียงอีก
...
ข้อที่ 5 "เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป"
- คือเจ้าบ่าวมาช้า.. เนื่องจากว่าเจ้าสาวยังไม่พร้อม แท้ที่จริงแล้วน่ะ คือเจ้าสาวยังไม่พร้อม ผู้เชื่อ.. ผู้ชนะยังไม่ครบ คือคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ดำเนินชีวิตอยู่ไม่เหมือนเจ้าสาว ถูกไหม? คือชีวิตของเขายังไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู ในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 ที่เราพูดถึงบ่อยๆ
เพราะฉะนั้นชีวิตของเจ้าสาวยังไม่พร้อม เราเชื่อ เราพูด เราสอน เราแบ่ง เราเป็นพยาน เราไปโบสถ์ เราอ่านพระคัมภีร์ เราอธิษฐาน แต่ชีวิตของเรามันรู้สึกว่าจะไม่สอดคล้องกับชีวิตคริสเตียน หรือคำสอนคำสั่งของพระเยซูในพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูใช่ไหม และนี่แหละน่ะคือเหตุผลที่เจ้าบ่าวมาช้า เพราะว่าเจ้าบ่าวรอเจ้าสาวอยู่
"และพวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป"
"ง่วงเหงาและหลับไป" ในที่นี้ ก็คือ "ตาย" (เสียชีวิต) เมื่อพระเยซูไม่มาสักที ผู้รับใช้ สาวกทั้งหลาย คริสเตียนที่รอพระเยซูเสด็จมา เนื่องจากว่าพระเยซูไม่มา เพราะว่าเลื่อน เพราะว่าพระองค์เลื่อนเวลาไป ยุคนี้พระเยซูจะยังไม่มา จนกว่ายุคนี้จะจบและเมื่อยุคนี้จบผ่านไปแล้ว พระเยซูก็จะมา และยุคหน้าเป็นเวลาที่พระเยซูจะกลับมา ก็คือยุคอาณาจักร และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี พระเยซู เจ้าบ่าวต้องรอเจ้าสาวให้พร้อม แต่เนื่องจากว่าเจ้าสาวไม่พร้อม และผู้เชื่อเหล่านี้ก็ตาย ง่วงเหงาและหลับไป ก็คือตาย (เสียชีวิต)
...
ข้อที่ 6 "ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ดูเถิดเจ้าบ่าวมาแล้วจงออกมารับท่านเถิด"
- ครั้นเวลาเที่ยงคืน (เที่ยงคืน ในที่นี้ ก็คือ เวลาที่มืดที่สุด) สำหรับคนอิสราเอลเขาถือว่าเวลาเที่ยงคืน Midnight เที่ยงคืน เป็นเวลาที่มืดที่สุด เงียบสงัดที่สุด ทุกคนนอนหมด เป็นเวลาที่ถ้าจะพูดถึงความหมาย ความหมายฝ่ายวิญญาณก็คือขณะที่เวลาที่โลกนี้เข้าสู่สภาพที่ย่ำแย่ เลว ทราม เสื่อม ทรามมากที่สุด เป็นช่วงแห่งความมืดครอบงำมนุษย์โลก จิตใจมืดดำ โหดเหี้ยมโหดร้าย ชีวิตของมนุษย์ไม่มีความรัก ความรักเยือกเย็น ผู้คนเข่นฆ่า ฆ่าฟัน สงคราม อะไรต่อมิอะไรมากมาย เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่แล้ว คืนช่วงที่คือเวลาที่เรียกว่า เที่ยงคืน
"มีเสียงร้องออกมาว่า ดูเถิดเจ้าบ่าวมาแล้วจงออกมารับท่านเถิด"
อันนี้คือเสียงของทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์ที่มากับพระเยซู เขาจะเป่าแตรและประกาศทั่วทั้งโลกว่าพระเยซูจะกลับมาแล้ว และผู้เชื่อทุกคนที่ตายแล้วก็จะฟื้นขึ้นมา
...
ข้อที่ 7 "บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้น ก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน"
- ผู้เชื่อทุกคนที่ตายไปแล้วก็ลุกตกแต่งตะเกียง ก็คือมองดูชีวิตของตน สำรวจดูชีวิตของตน
...
ข้อที่ 8 "พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราดับแล้ว"
- ในที่นี้ ตะเกียงของคนโง่ห้าคน พระคัมภีร์กล่าวว่า ดับแล้ว มันดับแล้ว ดับแล้ว ก็คือมันเคยลุกไหม้ ไม่ใช่ไม่มีน่ะ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์ข้อนี้จะบอกว่า ตะเกียงของพวกเราไม่มีน้ำมัน ไม่เคยจุด แต่ตอนนี้ข้อที่ 8 บอกว่าตะเกียงของพวกเรามันดับแล้ว หมายความว่ายังไง แสดงว่าตะเกียงเคยจุดอยู่ เคยมีน้ำมัน
สำหรับประเพณีของชาวยิว ก่อนที่หญิงพรหมจารีสิบคน คนใช้ในบ้านจะถูกส่งออกมา เจ้าของบ้านจะใส่น้ำมันให้เต็มในตะเกียงของทุกคน ตะเกียงของทุกคนจะมีน้ำมันเต็ม ออกมารอเจ้าบ่าว
และถ้าหากว่าเจ้าบ่าวไม่มาช้า เจ้าบ่าวมาตรงเวลา ทุกคนจะได้เข้าไปในงานเลี้ยงงานแต่งงาน ซึ่งเล็งถึงราชอาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูจะนำลงมา นอกจากยุคราชอาณาจักรสวรรค์ที่เรียกว่ายุคพันปี ซึ่งเป็นอาณาจักรที่พระเยซูจะมาครอบครองโลกนี้
พระคัมภีร์ยังกล่าวถึงยุคนี้ว่าเป็นงานเลี้ยงงานแต่งงานของพระบุตร ของพระเมษโปดก ซึ่งเป็นงานแต่งงานระหว่างพระเยซูคริสต์กับเจ้าสาว คือคริสเตียนผู้ชนะทั้งหลาย (ไม่ได้รับคริสเตียนที่ไม่ชนะ) คือเฉพาะแต่คนที่มีน้ำมัน ที่เขามีน้ำมันใส่ภาชนะมาด้วย
...
สิ่งที่พี่น้องควรจะสังเกต..
เราไปดูข้อที่ 4 ข้อที่ 4 คือหญิงพรหมจารีห้าคนที่ฉลาดเขาเอาภาชนะมาด้วย และใส่น้ำมันมาเผื่อด้วย ความหมายก็คือ สิบคนมีน้ำมันในตะเกียงทั้งสิบทั้งหมดเลย..
- แต่ห้าคนที่โง่ไม่ได้เอาภาชนะมาเผื่อ เพราะเขาคิดว่าเจ้าบ่าวจะมาตรงเวลา
- แต่อีกห้าคนคือเขาเอามาเผื่อด้วยและเขาคิดว่า เอ๋..ถ้าหากเจ้าบ่าวมาไม่ตรงเวลาล่ะ
- เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าบ่าวมาช้าตะเกียงของทุกคนก็ดับ มันดับ น้ำมันหมด และเมื่อเจ้าบ่าวมาถึง ทุกคนก็ลุกขึ้น และแต่งตกแต่งตะเกียงของตน
- ปรากฏว่าน้ำมันของทุกคนหมดและดับอยู่
- แต่หญิงพรหมจารีอีกห้าคนที่ฉลาดเอาภาชนะใส่น้ำมันมาเผื่อให้เต็ม
...
ตะเกียงเรารู้ดีว่าตะเกียงคืออะไรพี่น้องจำได้ใช่ไหม "ตะเกียง" ก็คือ "วิญญาณของเรา" ผู้เชื่อทุกคนที่เชื่อพระเจ้า ตะเกียงของเราจะมีน้ำมัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาอยู่กับเรา และอยู่กับเราตลอดไปไม่เคยจากเราไปไหน (ยอห์น 14:16) พระเยซูตรัสว่า "เราจะประทานผู้หนึ่งมาให้ท่าน มาอยู่กับท่าน และจะอยู่กับท่านตลอดไป" (แสดงว่า ตะเกียงของเรา คือ วิญญาณ) และ (น้ำมัน ก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์)
...
สำหรับคริสเตียนเราทุกคน วิญญาณของเราเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่แล้วแน่นอน 100% ภาษาอังกฤษเรียกว่า Fully Transform
- Fully ก็คือเต็มครบ บริบูรณ์ 100%
- Transform ก็คือเปลี่ยนแล้ว เกิดใหม่แล้ว ใหม่หมดแล้ว หมดจดเลย ไม่มีตรงไหนจุดไหนที่ยังไม่ได้ใหม่ คือได้รับการบังเกิดใหม่ 100%
และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เล็งถึงน้ำมัน ก็เข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในวิญญาณของเรา ครอบครองวิญญาณของเราทุกคนไม่ออกไปไหนแล้ว
และภาชนะล่ะคืออะไร พระคัมภีร์บอกว่า "ภาชนะ" คือ "จิตใจของเรา" (ภาชนะ คือ จิตใจ 2 คร 4:7 / 2 ทธ 2:20-22) จิตใจของมนุษย์เป็นภาชนะ และทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์ที่อยู่ในเราอยู่ในวิญญาณของเรา ยืนเคาะประตูจิตใจ ก็คือยืนเคาะภาชนะ
ในวิวรณ์ 3:20 กล่าวว่า ดูเถิดเรายืนเคาะอยู่ที่ประตูของท่าน ก็คือพระคริสต์ยืนอยู่ที่วิญญาณ และเคาะประตูจิตใจ เพื่อที่จะขยายอาณาเขต เมื่อพระองค์สร้างบ้านในวิญญาณของเราแล้ว พระองค์ก็จะต้องพระองค์ก็ต้องการที่จะสร้างบ้านในจิตใจขยายบ้านด้วย จากวิญญาณไปสู่จิตใจด้วย
เนื่องจากว่าทุกวันนี้คริสเตียนไม่มีพระวิญญาณครอบครองจิตใจ ชีวิตของเราจึง "ขึ้นลง" "ขึ้นลงดีบาปสุขทุกข์" เพราะว่าไม่มีพระวิญญาณครอบครองจิตใจ มีแต่พระวิญญาณครอบครองในตะเกียง คือในวิญญาณ
...
และหญิงพรหมจารีห้าคนที่ฉลาด ห้าคนที่ฉลาดเขาถือตะเกียงเอาตะเกียงเขาเอาภาชนะมาด้วย
- ภาชนะ ก็คือ เขามีจิตใจ และเขาเอาน้ำมันใส่ในภาชนะให้เต็ม
- น้ำมัน ก็คือ พระวิญญาณ หญิงพรหมจารีห้าคนที่ฉลาดมีพระวิญญาณอยู่ในวิญญาณของเขา (แต่ยังไม่พอในจิตใจของเขาภาชนะนี้ก็มีพระวิญญาณด้วย คือเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ)
นี่คือชีวิตของคริสเตียนที่ฉลาด คริสเตียนที่เป็นผู้ชนะ หญิงห้าคนที่ฉลาด ถือภาชนะและเอาน้ำมันใส่และเอามาเผื่อด้วย
...
แต่หญิงโง่ คือคริสเตียนที่ไม่ชนะ เขามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในวิญญาณของเขา แต่เขาไม่มีภาชนะ คือจิตใจของเขานี้ไม่ได้ถูกครอบครองโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้ถูกครอบครองโดยพระคริสต์
และนี่คือสาเหตุที่เมื่อพระเยซูเสด็จมา และทุกคนที่ตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อทุกคนฟื้นขึ้นมาก็ดูที่จิตใจที่ชีวิตตน แต่ปรากฏว่าจิตใจของเราไม่พร้อม ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ครอบครอง ไม่เคยมีชีวิตใหม่ ไม่เคยดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู เป็นคนที่ละเมิดกฎหมาย ไม่นับถือกฎหมายของพระเยซูเลย ดำเนินชีวิตแบบอยู่ยังไงก็ได้เป็นสมาชิกโบสถ์เท่านั้น
และนี่คือสาเหตุที่หญิงห้าคนนั้นที่เป็นคริสเตียนผู้ไม่ชนะ ก็ต้องอยู่ข้างนอก ซึ่งตรงกับในมัทธิวบทที่ 7:21-23 ที่พระเยซูตรัสว่า คนเหล่านั้นมาหาเรา เขารักษาโรคได้ เขาประกาศได้ นำคนมาเชื่อได้ เขาทำอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่างได้ แต่จิตใจของเขาไม่ใหม่ เขาไม่มีพระคริสต์ครอบครองจิตใจของเขา เขายังมีหยิ่งผยองพองตัว เขายังมีโกรธ เขายังมีตัณหาของเนื้อหนัง คือความต้องการของโลกนี้ทุกอย่าง
และเขายังมีตัณหาของร่างกาย ซึ่ง 4 จุดนี้เขายังไม่ถูกครอบครองควบคุมพระคริสต์สร้างบ้านอยู่ในเขา และทำให้จิตใจของเขาได้รับการ Fully Transform เหมือนกันก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวิญญาณด้วยพระคำพระเจ้า ถูกเปิดตา และดำเนินชีวิตอยู่ในลักษณะของผู้ชนะ ทำบาปน้อยลง ทำดีมากขึ้น ทำบาปนิดหน่อย ทำดีมากมายถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ซึ่งคริสเตียนผู้ไม่ชนะสามารถนำคนมาเชื่อได้ นำคนมาหาพระเจ้าได้ แต่ผู้ชนะนำพระเจ้าเข้าไปอยู่ในเขา นี่คือความแตกต่าง
หมายความว่ายังไง คือเปิดตาเขา บอกเขาให้รู้ว่า.. พระคริสต์อยู่ในเธอ พระคริสต์เป็นผู้ที่อยู่ในคุณ พระคริสต์เป็นสง่าราศี เป็นคำตอบของการดำเนินชีวิตทุกวันนี้ ไม่ใช่เราที่พยายามทำดี พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเก่าของเราซึ่งเป็นตัวอาดัม..
ความดีของเราก็มี แต่มันมีขีดจำกัด
ความรักของเราก็มี แต่มันเป็นฟิเลโอ
ทุกสิ่ง...
เราไม่สามารถที่จะหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบได้
เราไม่สามารถเดินไปอีกกิโลให้เขาได้
เราไม่สามารถถอดเสื้อคลุมให้เขาได้
เพราะว่าคุณสมบัติเหล่านี้ ความดีเหล่านี้ ต้องเป็นพระคริสต์จึงทำได้
และนี่คือเหตุผลที่เราต้องการพระคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา และผู้ชนะเท่านั้นที่ถูกเปิดตา และดำเนินชีวิตที่มีน้ำมันอยู่ในตะเกียงยังไม่พอ และมีน้ำมันอยู่ในภาชนะที่เอามาเผื่อด้วย
...
เราจะเห็นว่าในข้อที่ 3 มัทธิวบทที่ 25 ข้อที่ 3 จะบอกว่า เขาเอาตะเกียงมา แต่ไม่ได้เอาน้ำมันมาเผื่อ ก็คือเขาเอาตะเกียงมาที่มีน้ำมันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เอาน้ำมันมาเผื่อ ก็คือไม่ได้เอาใส่ภาชนะมาเผื่อด้วย เราดูข้อที่ 4 คือคำตอบ แต่หญิงที่ฉลาดห้าคนเอาภาชนะมาด้วยและเอาน้ำมันมาเผื่อด้วย
ถ้าหากเราไม่อ่านช้าๆ และขอพระเจ้าเปิดตาด้วย และอ่านให้ครบตั้งแต่ข้อที่ 1 จนถึงข้อสุดท้ายของเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคนนี้ เราจะไม่เข้าใจเรื่องราว
สรุป...
ทำยังไงเราจึงจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา ขยายบ้านจากวิญญาณเข้าไปอยู่ในจิตใจ คือขยายจากตะเกียงที่เป็นวิญญาณ เข้ามาอยู่ในภาชนะซึ่งเป็นจิตใจ และครอบครองจิตใจทั้ง 4 ส่วนของเรา ผี 4 ตัว โกรธ ยิ่งผยองพองตัว ตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของร่างกาย มันจะอ่อนกำลัง และหมดแรงไป นานๆ เราทำทีอันนั้นไม่เป็นไร
แต่เราพูดถึงเรื่องการที่พระคริสต์ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ชนะ และดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ อยู่ในการเชื่อฟังพระเจ้า ในความรัก ในการที่พระคริสต์ทำแทน ภาระไม่หนัก เบามากๆ เพราะว่าเราไม่ใช่คนทำ พระเจ้าเป็นคนทำในเรา
ฟีลิปปี 2:13 "พระเจ้าเป็นผู้ทำกิจในท่านทั้งความปรารถนาและการกระทำ" ทำยังไงพระคริสต์พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเข้ามาอยู่ในจิตใจของเราซึ่งเป็นภาชนะนี้ ก็คือ เชื่อ.
เอเฟซัส 3:17 ไม่ต้องเชิญพระองค์มา ไม่ต้องขอพระองค์มา ไม่ต้องทำดีเชื่อฟังเพื่อที่จะได้จิตใจได้พระคริสต์ได้น้ำมันเข้ามาอยู่ในจิตใจ ไม่.
เอเฟซัส 3:17 "เพื่อพระคริสต์จัดสร้างบ้านอยู่ในจิตใจของท่านโดยทางความเชื่อ" คือ เชื่อเอา.
ขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์เข้ามาครอบครองจิตใจแล้ว
ขอบพระคุณที่เมื่อก่อนพระองค์ครอบครองวิญญาณของข้าพระองค์ได้
ขอบพระคุณพระองค์อีกที่ตอนนี้ข้าพระองค์ได้ถูกเปิดตาได้รู้แล้ว ว่าพระองค์ครอบครองเป็นเจ้าของสร้างบ้านอยู่ในจิตใจของข้า คือภาชนะนี้แล้ว
ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ
ขอบพระคุณทุกวัน เชื่อทุกวันว่าพระคริสต์อยู่ในเรา อยู่ในจิตใจของเรา
อย่าเผลอ ถ้าเผลอกลับมาใหม่ แล้วเชื่ออีกเหมือนเดิม
ชีวิตของคริสเตียนอยู่ในการสนิท เมื่อสนิทมากเท่าไหร่ การเชื่อฟังก็มีมากเท่านั้น เราไม่ใส่ใจที่การเชื่อฟัง ถ้าเราใส่ใจในการเชื่อฟังเราจะล้มเหลว แต่ถ้าหากเราใส่ใจในการสนิท สนิท พูดคุย หลงรัก รักพระเจ้า บอกรัก พูดคุยสนทนา ทำความคุ้นเคยรู้จักสนิทสนมกับพระเยซูมากเท่าไหร่ พระองค์จะประทานน้ำมันให้เรามากขึ้น และเพิ่มเติมให้เต็มล้นอยู่ภายในวิญญาณด้วยและจิตใจด้วย
เปลวเทียน เปลวไฟของเรามันจะไม่ริบหรี่ มันจะไม่แบบว่าจวนจะดับ หรือว่าดับไปแล้ว หรือว่าริบหรี่อยู่ ไม่น่ะ แต่มันจะลุกไหม้อย่างแรงเพราะว่าเราได้รับการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา
เราบอกรัก พระเจ้าส่งน้ำมันมาให้เรา เราส่องแสงสว่างได้
ถ้าเราไม่บอกรัก เราไม่สนิท เราไม่ใกล้ชิด เราไม่อยู่ในพระคริสต์อยู่ในฝ่ายวิญญาณ เราใส่ใจปักใจแต่ฝ่ายเนื้อหนังเราก็ไม่อาจที่จะได้รับการเต็มล้นเติมเต็มพระวิญญาณอยู่ในจิตใจของเรา และในวิญญาณของเรามากขึ้น และเราก็ไม่อาจที่จะสามารถส่องสว่างได้
ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะเข้าใจความหมายในพระคัมภีร์มัทธิวบทที่ 25 นี้ และพี่น้องจะเห็นว่าหลายๆ ตอนที่พระเยซูตรัสกล่าวถึงเป็นเรื่องคำอุปมา ถ้าหากตอนไหนมีคำว่า "น้ำมันๆๆ" ก็คือ "พระวิญญาณ"