1) การรับสันติสุขภายใน และการรับการเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง
2) พระคัมภีร์/พระคัมภีร์และพระคริสต์
3) อธิบายหนังสือมัทธิวบทที่ 1-3 และสรุปหนังสือปฐมกาล
4) เก้าเรื่องในพระคัมภีร์ที่เราควรรู้
5) คริสตจักรและการสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ (See paper (5))
6) การประกาศมานาที่ซ่อนไว้ (พระคำล้ำลึก)
7) กลุ่มผู้เชื่อที่คล้ายๆ เรา แต่เป็นศาสนา
บทเรียนเพื่อรับสันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลย
การได้รับจิตใจใหม่
a. ไบเบิ้ลไม่เหมือนหนังสือทั่วไป แต่มีลมหายใจของพระเจ้า
b. ไบเบิ้ลมีชีวิต มีความจริง และมีฤทธิ์เดชของพระเจ้า แต่เราต้องค้นหาจึงจะพบ
a. จักรวาล โลกนี้ และมนุษย์
b. ผู้สร้างทุกสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ และมีอำนาจมากมาย
(Intelligent and Almighty)
...
a. ไบเบิ้ลบันทึกสิ่งที่เป็นอยู่ในอดีต และยังบันทึกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย
b. ไบเบิ้ลพูดถึงมนุษย์สองคนที่มีความสำคัญ
c. ไบเบิ้ลพูดถึงต้นไม้สองต้นที่สำคัญ
a. “พระคริสต์” เป็นคนที่สำคัญที่สุดในพระคัมภีร์ (มธ 28:18)
b. เป้าหมายของพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม เพื่อเปิดเผย “พระคริสต์”
c. “พระคริสต์” เป็นอดีตกาลและนิรันดร์กาล
d. “พระคริสต์” คือพระบิดา
e. “พระคริสต์” คือพระผู้ช่วยให้รอด
f. “พระคริสต์” เป็นวิญญาณ และเป็นพี่ชายของพวกเรา
g. “พระคริสต์” เป็นวิญญาณที่เป็นชีวิตของเรา
h. “พระคริสต์” เป็นประตู เป็นผู้เลี้ยง และเป็นทุ่งหญ้าเขียวสดสำหรับพวกเรา
i. “พระคริสต์” ที่เป็นวิญญาณ เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการ ทั้งในและนอกสถานที่ประชุม
1. พระคริสต์เป็นผู้เดียว ที่ทำให้พระเจ้าเข้ามาสถิตในมนุษย์ชั่วนิรันดร์ได้
2. a. มัทธิว, มาระโก, ลูกา และยอห์นสิบสามบทแรก ไม่เปิดเผยเรื่องพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
3. b. แต่ยอห์นบทที่ 14 เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
การตีความหมายผิดใน 1 John 3:9 ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า ทันทีที่เราเชื่อและบังเกิดใหม่ เราจะไม่ทำบาป หรือทำบาปไม่ได้อีกเลย เขาไม่เข้าใจว่า กว่าจะเลิกทำบาปได้ เพราะเหตุชีวิตพระคริสต์ก่อร่างขึ้นในเรานั้น คริสเตียนต้องเข้าสู่กระบวนการที่นานพอสมควร เราต้องผ่านการหล่นจากพระคุณ รับการเปิดตา ถูกชำระด้วยพระคำ และด้วยพระวิญญาณ เปาโลเป็นหนึ่งในผู้เชื่อหลายคนที่ผ่านการทำบาปมามากมาย กว่าจะสุกงอมได้
1 John 3:6-11
3:6 คนใดที่อาศัย (Abideth) อยู่ในพระองค์ คนนั้นไม่กระทำบาป ผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์
3:7 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม
3:8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากพญามาร เพราะว่าพญามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของพญามารเสีย
3:9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า
3:10 ดังนี้แหละ จึงเห็นได้ว่า ผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของพญามาร คือว่า ผู้ใดที่มิได้ประพฤติตามความชอบธรรม และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า
3:11 นี่เป็นคำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน
คำว่า “รัก” ในที่นี้ คือ “อะกะเป” คือรักที่พบในมนุษย์ได้น้อยมาก การที่จะรักพี่น้อง ศัตรู และเพื่อนบ้าน เราต้องพึ่งรักของพระคริสต์ที่อยู่ในเรารักแทน
a. พระเยซูในฐานะบุตรของอับราฮัม และบุตรดาวิด
b. ผู้หญิงสี่คนในลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ (ธามาร์, ราหับ, รูธ และบัทเชบา)
c. ทำไมมัทธิวเริ่มนับจากอับราฮัมไปถึง Joseph แต่ลูกานับจากอาดัมจนถึง Mary
d. การแต่งงานของชาวยิวในสมัยสองพันปีก่อน
...
a. โหราจารย์เดินทางมาจากทิศตะวันออก
b. กษัตริย์ของชาวยิว
c. อยู่ในเรือน, Young Child (เด็กชาย) ในข้อที่ 11-21, ทองคำ กำยาน และมดยอบ
d. ทำไมต้องเดินทางไปอียิปต์
e. กลับคืนสู่เมืองนาซาเร็ธ
...
a. ยอห์นเป็นใคร
b. ความหมายของคำว่า “จงกลับใจเสียใหม่” ใน มธ 3:2
c. อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว
d. เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่
e. บัพติศมาในน้ำ ความหมายคือจุ่มลงไปในน้ำ ไม่ใช่ด้วยน้ำ
f. ฟาริสีและสะดูสี พวกชาติงูร้าย
g. บัพติศมาในพระวิญญาณและในไฟ ( มัทธิว, มาระโก, ลูกา และยอห์น)
h. ทำไมพระเยซูรับบัพติศมา
i. “เรา (พระเยซูและยอห์น) จะกระทำให้ความชอบธรรมสำเร็จ” คืออะไร
j. พระวิญญาณเสด็จมา และเสียงของพระบิดา
k. “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา (คือบุตรมนุษย์)” เราทุกคนที่รับบัพติศมาจะกลายเป็นบุตรที่รักของพระบิดา
...
เมื่อเรารู้จักพระคัมภีร์ในด้านที่ถูกต้อง เราจะเห็นภาพทั้งหมดของพระคัมภีร์
หนังสือปฐมกาล เป็นเรื่องระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เราจึงไม่เห็นการบันทึกเรื่องราวรายละเอียดของสัตว์ ทูตสวรรค์ หรือสิ่งอื่นมากนัก
คำว่า “พระเจ้า” หรือ “Elohim” แปลว่า “สัตย์ซื่อและทรงฤทธิ์อำนาจ” (Faithful and Mighty) คำว่า “พระเจ้าพระเยโฮวาห์” “Jehovah” แปลว่า “เป็นอยู่” หรือ “เป็น” (Exist)
การวางแผนก่อนการทรงเนรมิตรสร้างของพระเจ้าเอโลฮีม
พระเจ้าสามพระภาค
a. “เอโลฮีม” เป็นพหูพจน์ (มีมากกว่าหนึ่ง)
b. ชาวยิวใช้คำว่า “พระองค์เป็นพระเจ้าทั้งหลาย” ( He are God)
c. คำว่า “ให้พวกเรา” สร้างมนุษย์ตามแบบอย่างฉายาของเรา
d. อสย 6:8 “เรา (I) จะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา (Us)”
แผน A กลายเป็นแผน B และ B กลายเป็น A
แผน A คือทุกอย่างราบรื่นดีหมด และแผน B ซาตานคือตัวช่วยที่ไม่รู้ตัว และมนุษย์ต้องล้มเหลว พระเจ้าไม่ได้วางแผน B นี้ไว้ แต่เพราะ “สิทธิเสรีภาพ” คำเดียว
ต้นไม้สองต้น คือเส้นทางชีวิตสองเส้นทาง
a. ทางแห่งต้นไม้แห่งชีวิต: ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ และพึ่งการนำพาของพระเจ้า (Depend on God)
b. ทางแห่งต้นไม้รู้ดีรู้ชั่ว: ดำเนินชีวิตตามความรู้ดีรู้ชั่วของตน (Independence)
วิญญาณมนุษย์ตกต่ำ
a. อาดัมไม่มีโอกาสได้รับชีวิตพระเจ้า เขาทำบาป จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้า หรือเรียกว่า “ตาย”
จิตของมนุษย์ตกต่ำ
a. ตัวบาปเข้ามาสถิตอยู่ในจิตที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังแล้ว
b. พระเจ้าทรงสัญญาจะช่วยไถ่มนุษย์ให้รอดจากปัญหานี้
c. การสำแดงชีวิตของซาตาน ดูจากชีวิตของคาอิน
ร่างกายของมนุษย์ตกต่ำ
a. การแต่งงานที่ผิดปกติของบุตรชายพระเจ้า และบุตรสาวของมนุษย์
b. ลูกชายของโนอาห์มานอนกับท่าน
• ซาตานพยายามทำทุกวิธีเพื่อให้มนุษย์เสื่อม และตกต่ำทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เพื่อพระเจ้ามาลงมาบังเกิดจากเชื้อสายอาดัมไม่ได้
พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัม และความเชื่อทำให้มนุษย์กลายเป็นคนชอบธรรมได้
อับราฮัมไม่เดินไปในทางที่พระเจ้าวางไว้ให้ท่านเดิน
a. พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งและมนุษย์เพื่ออะไร พระเจ้าต้องการอะไร
b. ยุคต่างๆ และหลักการแห่งความรอด และรับพระพรในแต่ละยุค
c. เรื่องสี่ยุค/กลียุค/อาณาจักรสวรรค์ และอาณาจักรของพระเจ้า
...
a. คำว่า “สิทธิเสรีภาพ” นี่เองทำให้พระเจ้าต้องสูญเสียมนุษย์ และทูตสวรรค์มากมาย แต่พระเจ้าก็ต้องสร้าง และดำเนินไปตามแผนการงานของพระองค์
b. การตกต่ำของวิญญาณ จิต และร่างกายของมนุษย์
1. วิญญาณถูกตัดขาดจากพระเจ้าทันที เรียกว่า “ตาย”
2. “จิต” กลายเป็นเนื้อหนัง และที่อยู่ของตัวบาป (โรม 5:12)
3. ร่างกายตกต่ำ (ปฐก 6:1-7)
– ซาตานพยายามทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจนถึงที่สุด และพระเจ้าจะมาบังเกิดผ่านทางมนุษย์ไม่ได้
...
a. พระเยซูคริสต์ และการงานของพระองค์
b. พระคริสต์เยซู และการงานของพระองค์
...
a. พระคัมภีรเดิมเรียกพระองค์ว่า พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์
b. เมื่อมาถึงสมัยพระคัมภีร์ใหม่ เรียกพระองค์ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์
...
a. ต้นไม้แห่งชีวิตที่อยู่ในสวนเอเดน
b. ต้นไม้แห่งชีวิตในผู้เชื่อทุกคน
...
a. ผู้เชื่อที่ไม่ชนะ
b. ผู้เชื่อที่ชนะ
...
a. พระกายของพระเยซู
...
a. นับจากปฐมกาลจนถึงนิรันดร์กาล: สวรรค์, เอเดน, อิสราเอล, พระเยซู, คริสตจักร, อาณาจักรสวรรค์ และฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
...
a. เป็นความสำเร็จของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด ทุกสิ่งดำเนินไปตามการกำหนดและคาดหวังของพระองค์
b. มีผลได้และมีผลเสีย
– การสามัคคีธรรมที่แท้จริง คือการทำงานของร่างกายทุกส่วน และต้องเชื่อมต่อกับพระคริสต์ที่เป็นศีรษะ
– “คริสตจักร” ที่แท้จริง คือผู้เชื่อทั้งหลาย คือพระกาย ไม่ใช่องค์กร ไม่ใช่การประชุมตามแบบอย่างที่เราเห็นกันในคริสตจักรมากมายทุกวันนี้
– “คริสตจักร” ควรมีชีวิต และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า Flow ท่ามกลางพวกเรา
– Ex. หลอดไฟ สายไฟ และสวิตช์ไฟจะไม่ทำงาน ถ้าหากไม่มีพลังงานไฟฟ้า
– Ex. หลอดไฟบางอันอาจจะอยู่ในตึกนั้นๆ แต่ไม่ทำงาน เพราะไม่ได้เชื่อมต่อกับสายไฟ ผู้เชื่อมากมายอยู่ในที่ประชุม แต่ไม่ได้รับการเชื่อมต่อกับพี่น้องและพระคริสต์ จึงไม่ได้มีส่วนรับอะไร และไม่ได้เป็นตัวส่งชีวิตของพระเจ้าไปสู่พี่น้อง จึงเป็นการเสียเวลา และบำเหน็จที่จะได้รับจากพระบิดา
– คุณอยู่ในการ Flow ของชีวิตพระคริสค์ ถ้าหากเราสนิทในพระองค์ และปักใจในพระวิญญาณในฝ่ายวิญญาณ ขณะที่อยู่ในที่ประชุม
– อย่าลืมว่า การปักใจไปที่เนื้อหนัง ก็คือความบาปและความตาย และอยู่ในฐานะศัตรูของพระเจ้า (โรม 8:5-7)
– เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรัก ถ้าหากชีวิตพระคริสต์ไม่ Flow ในเรา และในพี่น้อง การสนิทบอกรัก และปักใจในฝ่ายวิญญาณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ขณะที่เราสามัคคีธรรมอยู่
– คริสตจักรมากมายทุกวันนี้ไม่มีการ Flow ของชีวิตพระคริสต์
– เราอาจจะอยู่ในคริสตจักร แต่เราไม่ได้รับการ Flow ของชีวิตพระเจ้า
– “คริสตจักร” หรือ “พระกาย” ควรมีชีวิต และอยู่ในความเที่ยงแท้ (The church should be living and be real)
– การสามัคคีธรรมที่แท้จริง เรามาหาพระเจ้า และอยู่ในพระเจ้า (Come to God and be in Him together)
– การสามัคคีธรรมนำเรามาสู่การแพร่ขยายความรัก ความสว่าง ชีวิต พระคุณ และความจริง
– การสามัคคีธรรมอาจจะไม่ตื่นเต้น ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย การแบ่งปันอาจไม่ดีพอ การร้องเพลงอาจไม่ช่วยให้เข้าถึงความซาบซ่านในหัวใจ บรรยากาศอาจดูไม่เป็นดังที่เราคาดหวังเอาไว้ และบางครั้งพี่น้องอาจไม่ร่วมไม่มาก อย่าใส่ใจเรื่องเหล่านั้น ขอเพียงแต่เราทำดีที่สุด และเรารู้ดีว่า พระวิญญาณกำลังทำงาน เพื่อซาบซ่านกระจายชีวิตของพระองค์ในเรา ชำระเราด้วยพระวิญญาณผ่านพระคำที่เรารับ มีคนมาร่วมน้อยเราก็รับ มีคนมาร่วมมากเราก็รับชีวิตพระเจ้า
– คริสตจักรผู้ชนะจะมีคนมาร่วมไม่มาก เพราะว่าผู้ที่ถูกเลือกให้มีส่วนครอบครองก็มีน้อย
– ผู้ที่ถูกเลือก วันหนึ่งจะมาถึงความเข้าใจในคำว่า ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบจริงๆ และการเป็นหนึ่งในพระคริสต์จริงๆ ผู้เชื่อที่พบมานาฯ ที่เพิ่งฝึกเดิน จะต้องใช้เวลานานพอสมควร
a. การประชุมในวันแรกของสัปดาห์
– การเลือกพระคำ
– เน้นการเรียนรู้ให้พอประมาณ แต่ไม่มากจนเกินไป แต่การยกย่องสรรเสริญเป็นสิ่งที่ควรเน้นมากกว่า
– การทำหน้าที่ของปุโรหิตหลวง: การแบ่งงานเพื่อช่วยกันดูแล และการช่วยกันเสริมสร้างพี่น้องโดยการมีส่วนในการเผยพระวจนะ
b. การประชุมช่วงกลางของสัปดาห์
– เน้นการอธิษฐานและอ่านร่วมกัน ไม่เน้นการเรียน
– เน้นการยกย่องสรรเสริญ และการอธิษฐานเผื่อพี่น้อง และการงานของคริสตจักร
– ทุกคนมาร่วม และกลับตามเวลาที่ตนสะดวก
– ไม่มีใครมองใครเรื่องการมาร่วม แต่จดจ่อใส่ใจที่พระเยซูที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา
– เรามีความเชื่อ และความหวังในการทรงตอบของพระเจ้า (ตอบใช่หรือไม่ใช่ ช่วยหรือไม่ช่วย) การกระทำทุกสิ่งอยู่ที่พระเจ้า เราแค่ถวายคำอธิษฐานเท่านั้น
– ผู้เชื่อมากมายล้มเหลวในการประกาศ ผู้รับมานาฯ ก็ล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากความไม่เข้าใจ และไม่เรียนรู้วิธีการประกาศที่ถูกต้อง
– พระวิณญาณนำเรา ถูกครับ แต่มีคนจำนวณมากที่พระวิญญาณไม่นำ หรือนำไม่ได้ เพราะการเตรียมตัว และการสะสมมานาฯ ไม่พอ
– คริสเตียนมากมายประกาศตามแบบเดิม หรือแบบศาสนาที่ไม่ถูกต้อง และไม่ประกาศตามแบบที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระบิดา
– การประกาศนำคนมาเชื่อ และนำผู้เชื่อมาถึงการเปิดตา คือการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของปุโรหิตหลวงทั้งหลาย เราไม่เพียงแต่ถวายตัวใหม่และชีวิตใหม่เท่านั้น (โรม 15:16)
– การเลี้ยงดูเสริมสร้างผู้เชื่อยากกว่าการนำคนมาเชื่อ การช่วยพี่น้องให้เข้าใจเรื่องมานาอย่างครบถ้วนต้องลำบากมาก เราต้องยอมเสียเวลาและทุนทรัพย์ เพื่อนำเขามาถวายแด่พระเจ้าในฐานะผู้ชนะ เป็นเครื่องถวายบูชาอันหอมหวล
– ผู้เชื่อใหม่ต้องการการดูแลเพื่อเขาจะไม่ตายฉันใด พี่น้องมานาฯ ก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด เพื่อเขาจะโต และไม่ถูกนำกลับไปคอกฉันนั้น
– The preaching gospel and feeding today is not enough; we’re not doing regularly
– การนำคนมาเชื่อไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเรา เราต้องนำเขามาถึง “ชีวิตผู้ชนะ” เพื่อถวายแด่พระบิดา และเพื่อเป็นพระกายเที่ยงแท้ที่เป็นหนึ่งเดียว และเป็นพระกายที่มีชีวิตพระคริสต์สำแดงต่อโลก
– ถ้าไม่ประกาศจะวิบัติ ฟื้นฟูก็เชื่อเหมือนกันกับคริสตจักรศาสนา
– ทันทีที่เขารับเชื่อ เราควรติดตามและติดต่อเขา และนำเขามาร่วมประชุม เพื่อช่วยให้เขารับการเลี้ยงดูด้วยพระคำพระเจ้า อย่าลืมเขา
– คริสตจักรมีทั้งผู้เชื่อใหม่และเก่า เราควรตระหนักถึงคำพูด และสิ่งที่จะพูด ทั้งการกระทำต่อกันด้วยรักต่อทุกคน ผู้เชื่อใหม่มักจะไม่สนใจ และใส่ใจในการแบ่งปันของเรา เมื่อคริสตจักรล้มเหลวในการแบ่งปันในสิ่งที่เขาต้องการ
– คริสเตียนไม่ต่างไปจากแกะที่ต้องอยู่รวมกันเป็นฝูง เราต้องการคริสตจักร เราต้องการพี่น้องเพื่อช่วยเสริมสร้าง และล้างใจกันและกัน นี่คือความสำคัญของคริสตจักรของพระเยซู
– การดูแลฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ เป็นหน้าที่ของเราทุกคน เราควรอธิษฐานเผื่อ และช่วยกันอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเราได้รับการเปิดตา เราตื่นเต้น และอยากบอกพี่น้องผู้เชื่อทุกคนให้มารับมานาเหมือนเรา แต่เราล้มเหลว เราเสียใจ และไม่พอใจที่เขาไม่รับ ซ้ำยังหาว่าเราผิดเพี้ยน
a. การประกาศมานาฯ เราแบ่งปันด้วยความรัก ไม่ถกเถียงเพื่อเอาชนะ หรือเพื่อให้เขารับให้ได้ เราไม่พูดประชดประชัน หรือตัดสินเพราะโกรธแค้นเมื่อเขาไม่รับ
b. เราต้องเข้าใจ และทำใจว่า พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่จะรับมานาฯ แล้ว หน้าที่ของเรา คือส่งจดหมาย และทำอย่างถูกวิธี
c. ส่วนประกอบเราใช้อะไรก็ได้ ที่จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละคร หรือคำอุปมา
d. ป้อนเขาด้วยอาหารน้ำนมก่อน เราเลือกไม่พูดเรื่องที่เขาอาจรับไม่ได้ทันที อย่างเช่น คริสต์มาส และสิบลด
e. เราควรคิดคำนึงถึงพี่น้องที่ฟังว่า รับได้มากน้อยเท่าไหร่
f. ผู้ดูแลหรือผู้แบ่งปันมานาฯ เมื่อเรารับผิดชอบดูแลพี่น้องใหม่ เราดูแลคนที่เลือกฟังเรา
– การอธิษฐาน สะสมมานาฯ เป็นเรื่องๆ และท่องข้อพระคัมภีร์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ฟังได้อย่างเหมาะสม