ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำเรามาถึงพระคำของพระองค์ที่เป็นทั้งอาหารและเป็นทั้งความรู้ความเข้าใจ เพื่อเปิดตาฝ่ายวิญญาณพวกเราให้ได้เห็นสิ่งที่คริสเตียนควรจะเป็นและควรจะทำ
ขอบคุณพระเยซูสำหรับชีวิตใหม่เอเมน ขอบคุณพระเยซูสำหรับพระบัญญัติใหม่ ขอบคุณพระเยซูสำหรับการเข้าอยู่ในพระคริสต์ที่พระเจ้าเป็นคนทำ เราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์แล้วเราทั้งหลายเป็นคนใหม่แล้ว เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นบุตรที่รักของพระเจ้าแล้ว
ขอบพระคุณที่พระองค์ตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลายแล้ว โดยทางความเชื่อเราจึงได้รับความรอด ขอบคุณพระเยซูสำหรับการนำพาชีวิตพวกเราทั้งหลายเข้ามาสู่ชีวิตคริสเตียนที่ปกติ ชีวิตคริสเตียนที่อยู่ในระดับมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งเอาไว้ ซึ่งเราหลงทางเมื่อก่อนเราตาบอดเราตกขอบเราอยู่ใต้พระบัญญัติเราใช้ชีวิตเนื้อหนังเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้ารับใช้พระเจ้าเดินในความเชื่อในฝ่ายวิญญาณ
แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมาถึงความจริงของพระเจ้าเราไม่เคยมาถึงพระเจ้าไม่เคยอยู่ในพระเจ้า แล้วพระเจ้าแสวงหาเรานำเราเลือกเราจนได้มาพบมานาที่ซ่อนไว้ และจากแอกหนักภาระหนักการงานหนักกางเขนหนัก ทุกสิ่งที่หนักกลับกลายมาสู่ภาระเบาการงานเบากางเขนเบาและได้เข้าอยู่ในการพักผ่อนในพระคริสต์ 24 ชั่วโมง 7 วัน พระเยซูพวกเรารักและสรรเสริญพระองค์เอเมน
ขอบคุณพระเยซูที่ผมเองก็เป็นคริสเตียนศาสนา เป็นคริสเตียนมา 18 ปี ประมาณ 18 ปี ก่อนที่จะได้พบพระคำล้ำลึกนี้ ซึ่งช่วงระยะ 18 ปีผมมีประสบการณ์ทั้งหมดที่คริสเตียนทั้งหลายมีทุกวันนี้ ก็คือเป็นคนหน้าซื่อใจคด ไม่ใช่น่าเชื่อใจซื่อ แล้วก็เป็นคนที่มีกิเลสตัณหาโลภโกรธหลงครบนะครับ แล้วก็ใช้ชีวิตเป็นคน 2 หน้าเป็น 2 คนในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ในเวลาเดียวกันนะก็คืออยู่ในคริสตจักรก็เป็นคนดีแสดงเป็นนักแสดง แต่อยู่ที่บ้านอยู่ข้างนอกอยู่ที่ทำงานก็เป็นตัวจริงก็คือเป็นคนที่เหมือนคนที่ไม่เชื่อใช้ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในพระคำพระเจ้า
ขอบคุณพระเยซูที่เมื่อประมาณปี 2,000 นะครับก็ได้มาพบพระคำล้ำลึก แล้วขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกสิ่งมันเปลี่ยนไป ผมเริ่มเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง กระบวนการการก่อขึ้น เข้าสู่แผนการงานของพระเจ้าอย่างแท้จริง เหมือนพวกเราทุกคนที่ได้รับมานาฯ และมีประสบการณ์นี้เหมือนกัน ขอบคุณและสรรเสริญพระเยซูที่เป็นการกระทำของพระองค์ เอเมน
สิ่งหนึ่งที่ผมขาดไม่ได้สมัยที่ผมเป็นคริสเตียนศาสนา ถึงแม้ว่าจะเป็นอาจารย์ศิษยาภิบาลในคริสตจักรนะครับ ผมก็ยังดูหนังทุกวัน ติดหนัง อยากจะพาพวกเรามารู้หนังเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียนพวกเรา ประมาณปี 1,999 มีหนังฝรั่งที่ทำรายได้มหาศาลทั่วโลกนะครับทำได้ 672 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 672 ล้านดอลลาร์
คือมันเป็นหนังที่ไม่ตื่นเต้นไม่สนุกอะไร แต่เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก ก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่ตายตั้งแต่หนังเริ่มฉาย แล้วเขาไม่รู้ตัว แล้วคนดูก็ไม่รู้ คือมันเป็นหนัง Mystery หนังปริศนา แล้วผู้ชายคนนี้ก็ใช้เวลาอยู่กับเด็กชายคนหนึ่ง เขาไม่อยู่กับใครไม่พูดกับใครไม่ค่อยทำอะไรกับใครมาก ใช้เวลาอยู่กับเด็กชายคนหนึ่งนะครับ แล้วเด็กชายคนนี้สุดท้ายตอนหนังจะจบเด็กชายคนนี้บอกว่า "ผมเห็นคนตาย" คำนี้เป็นคำที่ฮิตมากในอเมริกา I See dead people ผมเห็นคนตายแต่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาตาย ปรากฏว่าสุดท้ายนะครับเขาก็เล่าเรื่องแล้วก็เรื่องมันก็มาชี้ตรงที่ผู้ชายคนนี้ เขาเริ่มรู้ตัวว่าเขาตายแล้ว แต่ก็ใช้เวลานาน นานมากนะครับอาจจะเป็นเดือนเป็นปีที่เขาใช้เวลาอยู่กับเด็กชายคนนี้
ขอบคุณพระเจ้านะครับที่เมื่อเราเป็นคริสเตียนมานานหลายปี เราตายโดยที่ไม่รู้ตัว ขอบคุณพระเยซู ซึ่งตอนที่พระเยซูถูกตรึงบนกางเขน เราเคยอ่านพระคัมภีร์แล้วเราก็ดูหนังแล้วคริสตจักรก็สอนเราใช่ไหมว่าคือมีแค่ 3 คนที่ถูกตรึง พระเยซูถูกตรึงอยู่ตรงกลาง แล้วก็ข้างซ้ายข้างขวาก็จะมีโจร 2 คน นักโทษ 2 คนที่ถูกประหารก็ถูกนำมาตรึงกับพระเยซู เมื่อเราถูกมีคนมาถามว่ากี่คนที่ตายวันนั้นก็คือมี 3 คนใช่ไหมเราทุกคนก็ตอบแบบนี้
แต่พอมาดูพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดเราจะพบว่าพระเจ้าเปิดเผยความลับผ่านเปาโล ก็คือเมื่อพระเยซูตายบนกางเขนในวันนั้น พระองค์นับเราทุกคนที่เป็นมนุษย์ที่เกิดมาเนี่ยเข้าไปตายกับพระองค์ในพระองค์ด้วย คือเมื่อพระเยซูตายนะครับเราก็ตาย ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เกิด แต่เมื่อพระองค์ตายวันนั้นพระองค์นับเราทุกคน ที่ตายเมื่อก่อน แล้วกำลังจะตาย หรือตายแล้ว หรือยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็คือพระองค์นับเราทุกคนให้ไปตายร่วมกับพระองค์มีส่วนในการตายกับพระองค์ ในโรมบทที่ 6 บอกชัดเจน แล้วก็กาลาเทียบทที่ 2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า หลักฐานมีมากมายนะครับเรื่องการตายร่วมกับพระคริสต์
และชีวิตของเรา ในโคโลสีบทที่ 3:3 กล่าวว่า เราตายแล้ว ชีวิตของเราทุกวันนี้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ฮาเลลูยาสรรเสริญพระเจ้า ชีวิตของเราทุกวันนี้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ปกปิดเรา พระคริสต์ครอบคลุมชีวิตของเรา เราซ่อนอยู่ในพระองค์ การซ่อนอยู่ในพระคริสต์นะครับมีผลมากสำหรับชีวิตของเรา ก็คือปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ดูแล ช่วยเหลือ นำพา ทุกสิ่ง เป็นชีวิตที่ปลอดภัยเป็นชีวิตที่มีความสุขเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ถ้าหากเราเดินในพระองค์และอยู่ในความเชื่อที่ว่าเราถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ และเราตายแล้ว
สำหรับเรื่องการมาเป็นคริสเตียน เราขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับความรอดทันทีที่เราเชื่อนะครับ ทันทีที่เราเชื่อเราได้รับความรอด คือรอดจากบึงไฟ ไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องไปอยู่ในบึงไฟอีกต่อไป ความรอดนี้พระเจ้าให้เป็นของขวัญเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะแลกเอาความรอดนี้ ไม่ต้องทำดีไม่ต้องเลิกทำบาป แต่เชื่อในพระเยซูรับพระเยซูเป็นพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รอดจากนรกบึงไฟแล้ว อันนี้เป็นพระคุณพระเจ้าโดยทางความเชื่อของเรา เราเชื่อ พระเจ้าประทานพระคุณก็คือพระเยซูตายไถ่บาปเราทั้งหลาย
ขอบคุณพระเจ้าความรอดดังกล่าวอีกครั้งนะครับ ก็คือเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เราฟรีๆ โดยไม่คิดค่าอะไร เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ เอเฟซัสบทที่ 2:8-9 เนื่องจากว่าเป็นผลที่มาจากการกระทำของพระคริสต์เพื่อไถ่หนี้บาปเรา จากนั้นของแถมก็ยังตามมาอีกก็คือ สันติสุข เมื่อคุณและพี่น้องพวกเราทุกคนใครก็ตามที่มาเชื่อในพระเยซู พระเจ้าจะประทานของขวัญสิ่งหนึ่งตามมาเอามาให้เราก็คือ “สันติสุข”
“สันติสุข” นี้โลกต้องการโลกแสวงหาและเหตุผลที่มีศาสนามากมายทั่วโลกทุกวันนี้ก็คือเขาต้องการความสุข แต่พระเจ้าให้เราฟรีๆ เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เชื่อพระเยซู วางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า เป็นผู้ที่มาตายเพื่อไถ่บาปเรา ของขวัญนี้ก็คือ สันติสุข ความสุข มันเกิดขึ้นอยู่ภายในเกิดขึ้นในใจในจิตใจของเรา เรามีความปล่อยวาง เรามีอาการสบายใจ เรามีอาการโล่งอก เรามีความสุขที่บอกไม่ถูก ก็คือไม่คิดไม่กังวลไม่เครียดไม่มีความกระวนกระวายในเรื่องการใช้ชีวิต เมื่อสันติสุขนี้มาครอบคลุมจิตใจเราอยู่
เพราะฉะนั้นต่อไปนะครับเราจะเรียนรู้เรื่องการรับความสุขนี้ 24 ชั่วโมง 7 วัน รับยังไง ขณะที่โลกนี้ไปเที่ยวใช้จ่ายเงินซื้อของที่ต้องการเล่นให้สนุกไปเที่ยวสนุก แต่มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่พระเยซูอยู่ที่พระเจ้า พระเยซูให้เราได้พระองค์ตรัสว่าเราเป็นน้ำแห่งชีวิต (ยน 4:14) ขอบคุณพระเยซูที่เรามีโอกาสได้รับสันติสุขนี้ แล้วพี่น้องหลายคนก็ได้รับมาแล้วใช่ไหม เอเมน
ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด อันแรกก็คือ รอดจากนรกบึงไฟ เรารอดโดยทางความเชื่อพระเจ้าก็ประทานพระคุณให้เรา
แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้เราทั้งหลาย นั่นคือมงกุฎ มงกุฎก็คือตำแหน่ง พระเจ้าจะเลือกบางคนบางกลุ่มเพื่อรับตำแหน่งเพื่อครอบครองร่วมกับพระเจ้าในอนาคต ใช่มีทูตสวรรค์มากมายเป็นผู้ปฏิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ผู้ที่จะร่วมครอบครองกับพระเยซูในยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่ ก็คือตำแหน่งที่พระเจ้าจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายที่ค้นพบความจริงความลับของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็คือการค้นหาอาณาจักรและได้พบอาณาจักร สิ่งนี้นะครับพระเจ้าประทานให้เราก็คือมงกุฎ หรือตำแหน่งในยุคหน้าและแผ่นดินโลกใหม่
“มงกุฎ” คือตำแหน่งของเรา ขึ้นอยู่กับการทำงานของเราอย่างสัตย์ซื่อในโลกนี้ ขึ้นอยู่กับความขยันของเราในโลกนี้ ขึ้นอยู่กับความอดทนนานของเรา เคร่งครัด รู้จักบังคับตน รักพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน รักศัตรู กระทำคุณให้ เป็นคนที่ทำนิสัยเหมือนเด็กๆ ไม่ถือสาใคร ไม่โกรธใคร ไม่จดจำความผิดของใคร อภัยให้ผู้อื่นได้ 70×7 ครั้ง
ฟังแล้วดูเหมือนจะยากใช่ไหม ขอย้ำอีกครั้งนะครับ คนที่จะได้รับ “มงกุฎ” ก็คือคนที่เป็นคนงานของพระเยซูอย่างสัตย์ซื่อ ขยัน อดทน เคร่งครัด รู้จักบังคับตน รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ รักเพื่อนบ้าน และรักศัตรู อีกครั้งนะครับรักศัตรู กระทำคุณให้ เป็นคนที่มีนิสัยเหมือนเด็กๆ เด็กเล็กๆ นะครับที่ไม่ช่างจดจำความผิด อภัยให้ผู้อื่น 70×7
มาถึงตอนนี้เราคิดว่า ..อืม.. มันจะมีโอกาสหรือที่เราจะเป็นคนที่มีโอกาสได้รับมงกุฎหรือตำแหน่ง หรือจะได้เข้าไปในอาณาจักรร่วมกับพระเยซูนั่งรับประทานอาหารร่วมกับพระเยซู ขอบคุณพระเจ้านะครับที่มัทธิวบทที่ 19:21-26 กล่าวว่า..
19:21 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นคนดีพร้อม จงไป และขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ และแจกจ่ายให้คนยากจน และท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงมาและตามเราไป”
** อีกครั้งพระเยซูตรัสว่า “จงไปขายทุกสิ่งที่ท่านมี แล้วจงมาและตามเราไป” ขายทุกสิ่ง สมบัตินี้นะครับก็คือ มนุษย์คนเก่า ชีวิตเก่า นิสัยเก่า ทุกสิ่งที่เป็นของเก่าที่เรามีอยู่ ขายไปหมดก็คือทิ้งมันไป แล้วตามพระเยซูมา ตามพระเยซูมาก็คือต้องเอาคนใหม่ตามพระเยซูเพราะว่าคนเก่ามันถูกตรึงที่ไหน? คนเก่ากิเลสตัณหาโลภโกรธหลงมันถูกตรึงที่ไหน?
19:22 แต่เมื่อคนหนุ่มนั้นได้ยินถ้อยคำนั้น เขาก็จากไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
19:23 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ด้วยความยากลำบาก”
19:24 และอีกครั้ง เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
19:25 เมื่อพวกสาวกของพระองค์ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ประหลาดใจยิ่งนัก โดยทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้”
19:26 แต่พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า “สำหรับมนุษย์สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าสิ่งสารพัดก็เป็นไปได้”
** เราพึ่งพระเจ้าเพื่อเข้าอาณาจักร เอเมน
สำหรับมัทธิวบทที่ 19 มีคนมาถามเรื่องรอด ทำยังไงถึงจะได้รอด แต่พระเยซูตรัสว่า “คนที่จะได้เข้าอาณาจักร” เห็นไหมครับพระเยซูพูดถึงการเข้าอาณาจักร เรื่องรอดเนี่ยสบายมากเชื่อในพระเยซูวางใจในพระองค์รับพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ตายไถ่บาปแทนเราก็ได้รอดแล้วรอดจากนรกบึงไฟ แต่สิ่งหนึ่งที่พระเยซูตรัส “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าไปในอาณาจักร” เห็นไหมครับ การเข้าอาณาจักร ก็คือการรับตำแหน่ง การรับมงกุฎ ที่จะมีส่วนร่วมครอบครองร่วมกับพระเยซูในอาณาจักร ซึ่งเป็นอาณาจักรพันปี และอาณาจักรฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
เพราะฉะนั้นอีกครั้ง ความรอดที่เราได้รับอันแรก ขอบคุณพระเยซูที่พระเยซูตายไถ่บาปเรา เราได้รอดจากนรกบึงไฟแล้ว
แต่ความรอดที่สอง ก็คือการเข้าอาณาจักร การมีมงกุฎ การได้รับตำแหน่ง นั่งรับประทานอาหารร่วมกับพระเยซู แล้วก็มีส่วนในการครอบครองบ้านเมืองร่วมกับพระเยซู ก็คือการที่เราจะต้องพึ่งพระเจ้าเพราะว่า “สำหรับมนุษย์ทุกสิ่งเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าสิ่งสารพัดก็เป็นไปได้ เอเมน”
เราพึ่งพระเจ้า เราก็จะมีนิสัยแบบนี้นะครับ เป็นคนงานอย่างสัตย์ซื่อ ขยัน อดทน เคร่งครัด รู้จักบังคับตน รักพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน รักศัตรู กระทำคุณให้ เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่มีนิสัยที่ไม่ช่างจดจำความผิด อภัยให้ผู้อื่นได้ 70×7
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าเปิดเผยผ่านมานาฯ หนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติ แต่หนังสือยอห์นเราอ่านเราพบว่าพระเยซูประทานพระวิญญาณของพระองค์ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า 3 พระภาค เป็นผู้ที่จะมาอยู่ในเรา ดำเนินชีวิตแทนเรา เราไม่ต้องใช้ชีวิตอีกต่อไป แต่พระเยซูจะกิน จะพูด จะดื่ม จะฟัง จะทำดีแทนเราทุกสิ่งเมื่อเราพึ่งพระเจ้า เมื่อเราบอกว่า..
“พระเยซูทำเถิด พระเยซูข้าพระองค์ไม่ไหว ข้าพระองค์รักไม่ได้ พระองค์รักเถิด พระเยซูอดทนเถิด ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ พระเยซูบังคับตนเถิด ข้าพระองค์บังคับตนไม่ได้มันยาก”
แล้วพระองค์จะค่อยๆ ทำแทนเราทีละชิ้น ทีละชิ้น ทีละอย่าง ทีละอย่าง สุดท้ายเราก็เห็นชีวิตของพระเยซูเต็มในเรา เราไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยให้หนักให้ยาก
ในหนังสือมัทธิว 11:28 พระเยซูตรัสว่า..
1. ผู้ที่ทำการงานหนัก
2. และผู้ที่แบกภาระหนักจงมาหาเรา
- ผู้ที่ทำการงานหนัก ก็คือทำงานทำมาค้าขายทำธุรกิจทำงานในบริษัทในโรงงานที่เราเห็นกันทุกวันนี้เรียกว่าการทำงาน ทำงานหนักจงมาหาเรา
- และผู้ที่แบกภาระหนัก ก็คือแบกพระบัญญัติ พยายามเลิกทำบาป ทำตัวให้เป็นคนดีเชื่อฟังพระเจ้า อะไรที่เป็นความบาปกิเลสตัณหาโลภโกรธหลงต้องเลิกให้ได้
2 สิ่งนี้เป็นปัญหาสำหรับชาวยิว และเป็นปัญหาสำหรับคริสเตียนทุกวันนี้ “ใครที่ทำการงานหนักและแบกภาระหนักจงมาหาเรา” มาหาพระเยซูไม่ใช่มาเชื่อนะครับ มาหาก็คือเดินเข้ามาใกล้ๆ อยู่ใกล้ๆ อยู่กับพระเยซู ติดสนิทกับพระเยซู อยู่ใกล้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อันนี้เรียกว่าจงมาหาเรา ไม่ใช่มาเชื่อเรานะ จงมาหาเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนี้พระเจ้าอนุญาตให้เราที่เป็นคนบาปได้เข้ามาใกล้พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผู้เป็นพระเจ้าองค์สูงสุด ฮาเลลูยาเป็นพระพรที่ประเสริฐมาก เอเมน
และสิ่งที่สำคัญทุกวันนี้พระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่และพระเยซูให้เราอยู่ใต้พระคุณพระเจ้า พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูไม่อนุญาตให้ตัวเก่ามารักษามาเชื่อฟังพระเจ้า พระบัญญัติใหม่คือพระบิดาให้พระคริสต์ต้องทำแทน เรียกว่าอยู่ใต้พระคุณ
คริสเตียนมากมายนะครับ อยู่ใต้พระบัญญัติเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเดินด้วยตัวใหม่แบบไหนอย่างไร พอเชื่อก็ดีใจตื่นเต้นอยากรับใช้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องคนใหม่คนเก่า อยู่ใต้พระคุณอยู่ใต้พระบัญญัติคืออะไร ทำยังไง
เมื่อเขาอยู่ใต้พระบัญญัตินะครับเสื้อเก่าก็ขาดกว้างกว่าเดิม ถุงหนังก็ขาด (มธ 9:16-17) คืออะไร ถ้าคุณเป็นคริสเตียนถ้าคุณไม่เรียนรู้เรื่องตัวเก่าตัวใหม่ เรื่องตายกับพระเยซูและทุกวันนี้เราบังเกิดใหม่และเป็นคนใหม่อยู่ ใช้ชีวิตใหม่นี้ไปกับความเชื่อการเดินในพระเจ้า
ถ้าหากเราไม่รู้นะครับ เราจะพยายามทำดีพยายามเลิกทำบาปพยายามทำทุกสิ่งที่ให้พระเจ้าดีใจให้พระเจ้าพอใจ แต่เรายิ่งทำมันก็ยิ่งระเบิดใช่ไหม เมื่อคุณควบคุมความโกรธควบคุมมากเท่าไหร่มันก็ระเบิดใช่ไหม เมื่อเราควบคุมกิเลสตัณหาเราควบคุมมันมากเท่าไหร่มันก็ระเบิดถูกไหมครับ เมื่อเราควบคุมความโลภมันก็จะโลภมากยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรที่เราจะควบคุมได้ เพราะว่าตัวเก่าของเราเป็นตัวเก่าที่เป็นบาป ถูกสาปแช่ง อยู่ในความเสื่อมโทรมเสื่อมทรามแล้ว ตกต่ำไปแล้ว มันจึงทำดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เป็นความหวังของเราก็คือพระคริสต์ เราต้องพึ่งพระคริสต์ที่จะมาอยู่ในเราและทำดีแทนเราทำทุกสิ่งแทนเรา เราจึงกระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ เอเมน
พี่น้องทราบไหมครับว่าสังคมคริสเตียน มีการหย่าร้างมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ แล้วพี่น้องทราบไหมครับว่าอยู่ในสังคมคริสเตียนมีคนหน้าซื่อใจคดมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ คนที่ใส่หน้ากากก็คือคริสเตียนมีมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อเขาไม่ใส่หน้ากากนะ นานๆ เขาอาจจะใส่ทีนึง ไปพบหัวหน้า หรือไปพบคนที่เขาเริ่มคบใหม่ๆ ชายหญิงนะครับก็จะทำตัวดูดีบ้างเล็กน้อยแต่ต่อมาก็จะเปิดเผย
แต่สำหรับคริสเตียนเป็นคนที่ใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาไปโบสถ์ 10 ปีผ่านไปก็ยังใส่หน้ากากเหมือนเดิม แต่กลับมาบ้านก็จะเป็นอีกคนคนหนึ่ง เรียกว่าสังคมคริสเตียนมีการหย่าร้างมากกว่าชาวโลก สังคมคริสเตียนเป็นคนที่ใส่หน้ากากหน้าซื่อใจคดมากกว่าชาวโลก สังคมคริสเตียนมีความเกลียดชังอิจฉาชอบนินทากันมากกว่าคนที่ไม่เชื่อซะอีก อันนี้ผมพูดถูกไหมครับหรือว่าผมใส่ร้ายคริสเตียนพวกเรา ผมอยู่ในสังคมคริสเตียนศาสนา 18 ปี ผมรู้มาหมดนะครับ แล้วผมเองก็เป็นคนที่สอนแล้วก็พาพี่น้องทำในสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเจ้า ทันทีที่เราได้เข้าสู่พระคำแห่งความจริง เราจึงมีพระคริสต์ก่อร่างขึ้นภายในเรา และเปลี่ยนเราได้ จากชีวิตที่แบกภาระหนักทำการงานหนัก เข้าสู่กางเขนเบาการงานเบาแอกเบาภาระเบาทุกสิ่งเบาหมด แล้วไม่หนำซ้ำเราได้อยู่ในการพักผ่อน โอ้ขอบคุณพระเยซู ดิ้นรนแสวงหากระตือรือร้นกังวลเครียดสำหรับชีวิตต้องการอะไรมากมายก็ไปแสวงหาไปค้นหาสุดท้ายมาพบการพักผ่อนในพระเยซู นั่งลงแล้วก็พักผ่อนสงบจิตสงบใจปล่อยปลงวางได้ทุกสิ่ง โลกนี้มันมีแต่การแข่งขันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เราได้มาพักผ่อนแล้วเมื่อเราพบพระคำแห่งความจริงของพระเจ้าผ่านมานาที่ซ่อนไว้ สรรเสริญพระเยซูพระเยซูพวกเรารักพระองค์ เอเมน
พี่น้องได้พูดคำหนึ่งนะครับบอกว่า “การบังคับตน” คือการที่พระคริสต์เป็นคนบังคับตนแทนเรา ถูกครับเอเมน การเคร่งครัด การร้อนรน การวิ่งแข่งเข้าอาณาจักร คือการกระทำของพระเจ้าในเรา กาลาเทีย 5:22-23 ผลของพระวิญญาณ
แล้วก็ฟีลิปปี 2:13 “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” เห็นไหมครับมี 2 สิ่งที่คริสเตียนต้องทำต้องเป็นก็คือ มีใจปรารถนา แล้วก็มีการกระทำที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
ทุกวันนี้บางครั้งเราก็อยากไปโบสถ์ อยากอธิษฐาน อยากอ่านพระคัมภีร์ บางครั้งก็ไม่อยาก ไม่มีใจปรารถนา บางครั้งก็อยากรับใช้อยากไปประกาศ อยากออกไปอยากช่วยคน อยากทำนู่นนี่นั่น อันนี้เรียกว่าใจปรารถนา ซึ่งเราเองบางครั้งก็มีบางครั้งก็ไม่มี ดีใจก็ทำไม่ดีใจก็ไม่ทำ พอใจก็ทำไม่พอใจก็ไม่ปรารถนาไม่อยากทำ
แล้วก็การทำดีการเลิกทำบาปการรับใช้ตามน้ำพระทัยพระเจ้า บางครั้งก็อยากไปบางครั้งก็ไม่อยากไป ถ้ามีคนยกย่องยกยอถ้ามีคนให้ผลประโยชน์ก็ไปก็ทำ แต่ถ้าไม่ได้รับอะไรไม่มีเกียรติอะไรไม่มีใครมองว่าดีก็ไม่อยากทำ ซึ่งมันเป็นการกระทำดีที่เบื้องหลังก็คือ ต้องการผลตอบแทน
แต่สำหรับเมื่อเรามาอยู่ในมานาที่ซ่อนไว้ เราพบพระคริสต์ทำแทน พระเจ้าจึงเป็นคนกระทำในเรา ทั้งเรื่องความปรารถนาและการกระทำ วันนี้เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เราอยากมาร่วมกับพี่น้อง เราอยากไปโบสถ์ อยากรับใช้ อยากเรียนรู้เรื่องพระเจ้าอะไรทั้งหลาย อยากๆๆๆ เนี่ย ก็คือพระเยซูเป็นคนทำในเรา เอเมน
แล้วเรื่องการเลิกทำบาปได้ การใช้ชีวิตที่ให้พระคริสต์ก่อขึ้นได้ การยอมต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบได้ การมีความอดทนนานได้ การที่เราจะบังคับตนได้ การรักผู้อื่นได้ รักศัตรูได้ การเดินในพระเจ้าในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ สนิทในพระเยซูได้ อันนี้ก็คือเป็นผลที่มาจากพระเจ้าเป็นคนทำในเรา อย่าเพิ่งดีใจนะครับอย่าคิดว่าเราทำเอง แต่พระเจ้าเป็นคนทำอย่างเงียบๆ อยู่ภายในเรา สรรเสริญพระเยซูเอเมน
สำหรับในวันนี้สรุปก็คือ เป็นเรื่องของความรอดหนึ่ง ที่เราได้รับทันทีเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราจะไม่ต้องตกนรกบึงไฟ ความรอดนี้เราได้รับแล้ว รอดแล้วก็รอดเลย ซึ่งเราจะไม่สูญเสียความรอดอีก เพราะว่าเป็นความรอดที่ได้มาจากการเชื่อในพระเยซู
แต่สิ่งที่สอง ที่พระเจ้าประทานให้เราอยากให้เราได้รับ ก็คือ มงกุฎ แต่เราต้องแลกด้วยการทำงานที่เคร่งครัด ร้อนรน วิ่งแข่งเข้าอาณาจักร แข่งกันด้วยการใช้ชีวิตที่สนิทในพระเยซูให้มาก
คนที่จะเป็นใหญ่ในอาณาจักรไม่ใช่คนที่สร้างโบสถ์ได้หลายหลังนำคนมาเชื่อเป็นร้อยเป็นพัน คนที่จะได้เข้าอาณาจักรและมีตำแหน่งสูง ก็คือ คนที่ใกล้พระเยซูมากที่สุด และบอกรักพระเยซูมากที่สุด วันนี้เมื่อวานนี้เราบอกรักพระเยซูกี่ครั้ง เราสนิทในพระเยซูกี่ครั้ง นี่คือสิ่งที่พระเจ้านับแล้วพระเจ้าจะนำมารวบรวม และใครบอกรักพระเยซูได้มากกว่าใคร และใครอยู่ใกล้พระเยซูได้มากที่สุดกว่าใคร คนนั้นก็เป็นใหญ่
ง่ายไหมครับ ผมว่าง่ายกว่านะ ซึ่งแต่ก่อนผมได้ยินคำสอนที่อยู่ในโบสถ์บอกว่าต้องสร้างโบสถ์หลายหลังจึงจะเป็นใหญ่ ต้องนำคนมาเชื่อได้เป็นร้อยเป็นพันเหมือนเปาโลจึงจะเป็นใหญ่ ต้องมีผลงานมากมายในคริสตจักรจึงจะเป็นใหญ่ โอ๊ยตายแล้วอันนี้คือมันไม่ใช่ผมละ คือเราอาจจะร้อนรนเป็นบางครั้งใช่ไหม ผมรักพระเจ้าเป็นบางครั้ง อดอาหารเป็นบางครั้ง อธิษฐานเป็นบางครั้ง รับใช้ก็เพื่อผลประโยชน์เป็นบางครั้งในสมัยที่เป็นคริสเตียนศาสนา แต่จะให้นำคนมาเชื่อเป็นร้อยเป็นพัน โอ้มันไม่น่าจะใช่ไม่น่าจะได้ เป็นใหญ่เป็นโตในอาณาจักรคงไม่ใช่เราละ
แต่ขอบคุณพระเจ้าวันนี้พระเจ้าให้โอกาสเราทุกคน คือพูดไม่เก่งไม่สำคัญ นำคนมาเชื่อได้ไม่เยอะไม่สำคัญ สร้างคริสตจักรได้ไม่เยอะไม่สำคัญ มีผลงานเล็กๆ น้อยๆ ในคริสตจักรไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือทุกคนทำได้ ก็คือบอกรักพระเยซูให้มากที่สุด แล้วอยู่ใกล้สนิทในพระเยซูให้มากที่สุด อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ สร้างความผูกพันที่ดีกับพระเยซู พระเยซูต้องการคนรัก ไม่ใช่ต้องการคนงาน คนรักมาก่อน คนงานมาทีหลัง เอเมน
ท่านยอห์นพูดเองว่าผู้เผยพระวจนะในสมัยก่อนยังเล็กกว่ายอห์น และผู้ที่เป็นใหญ่กว่ายอห์นอีกก็คือพวกเราทั้งหลายที่อยู่ใกล้พระเยซู ขอบคุณพระเจ้า (มธ 11:11)
ตำแหน่งใหญ่โตไม่ได้วัดกันที่ผลงาน แต่วัดกันที่ผลของการอยู่ใกล้พระเยซู เป็นคนรักไม่ใช่เป็นคนงาน รัก รัก รัก ไม่ใช่ทำ ทำ ทำ แล้วคนที่รักพระเยซูมากก็มีเกียรติสูงส่ง พระองค์ให้อยู่ใกล้มีตำแหน่งสูง ร่วมครอบครองกับพระองค์ในอาณาจักรและฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
ถามเราทุกวันนะครับว่า วันนี้เราได้บอกรักพระเยซูหรือยัง แล้วบอกไปกี่ครั้ง แล้วรู้สึกว่ามีความผูกพันอยู่กับพระเยซูหรือไม่ หรือว่าห่างออกจากพระเยซูไป ถ้าเป็นนะครับก็คือกลับใจรีบกลับมาสนิทในพระเยซูและบอกรักพระเยซู เป็นสิ่งที่ง่ายมากเรามาหาพระเจ้าทางพระโลหิตพระเจ้าต้อนรับเราเสมอ และเราเริ่มนับใหม่กับความผูกพันการบอกรักพระเยซู
ถาม.
อยากจะพิจารณาแล้วก็ตั้งคำถาม ชายหนุ่มที่มาหาพระเยซู แล้วพระเยซูบอกว่า ไปขายทรัพย์สินทุกอย่างแล้วก็ตามเรามา คือสมมุติว่ามีใครสักคนทุกวันนี้สามารถทำแบบนั้นได้ คือใครมีบ้านก็ขายบ้าน มีรถขายรถ มีทรัพย์สินก็ไปบริจาคทั้งหมด แล้วเราลองตั้งคำถามว่า เขาจะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์ไหมครับ
คือเมื่อเราถูกเปิดตาเราเห็นว่ากิเลสตัณหาโลภโกรธหลงเราไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ การที่จะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงใช่ไหมครับ เป็นเรื่องของการเป็นผู้ชนะ เป็นเรื่องของความชอบธรรม ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถที่จะชอบธรรมเองได้ ถ้าเกิดว่าใครสักคนที่จะทำตามที่พระเยซูบอก ก็คือเราลองพิจารณาดูว่าสามารถเข้าได้ไหม แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำอธิบายในวันนี้ที่บอกว่า จงขายทรัพย์สินของท่าน ก็คือให้เราไปตายในชีวิตเก่า แล้วก็เดินใช้ชีวิตใหม่ตามพระเยซูไป ก็ขอบคุณครับสำหรับคำอธิบายสำหรับความเข้าใจนี้
เราก็เคยได้ยินในคริสตจักรศาสนาเมื่อก่อนที่เขาอธิบายว่า ชายหนุ่มคนนี้เขาสามารถรักษาพระบัญญัติได้ตั้งหลายข้อ แต่ทำไมแค่ข้อเดียวไม่รักษา ซึ่งขายทรัพย์สิน ทำไมเขายังรักทรัพย์สินทรัพย์สมบัติ คือแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ที่เคยได้ยินที่เขาสอนครับ แต่แท้ที่จริงก็คือให้เราขายชีวิตเก่าของเราแล้วก็ตายต่อชีวิตเก่าแล้วก็รับชีวิตใหม่แล้วก็เดินตามพระเยซูไป
ตอบ.
สำหรับคริสเตียนทั่วไปนะครับ ถูกสอนว่าในพระคัมภีร์ข้อนี้จะพูดถึงเรื่องการขายทรัพย์สินสิ่งของที่เรามี แต่จริงๆ แล้วถ้าเรามาดูดีๆ สำหรับมนุษย์ แล้วก็สิ่งของทรัพย์สินสิ่งของที่เขามี อันไหนมีค่ามากกว่า บุคคลหรือว่าทรัพย์สินสิ่งของ (บุคคล) แน่นอนครับ
สำหรับพระเจ้าทรัพย์สินสิ่งของไม่ได้มีค่าอะไรไม่ได้มีความหมายอะไร สำหรับพระเจ้ามีดาวบางดวงใน Galaxy ในจักรวาล เป็นทองคำล้วนๆ มีดาวบางดวงมีเป็นเพชรล้วนๆ คือพระเจ้ามองมันไม่มีค่าอะไรเลย เงินทองทุกสิ่งที่มนุษย์ใช้ทุกวันนี้สำหรับพระเจ้าไม่ได้มีค่าอะไร
แต่สิ่งที่มีค่าเป็นทรัพย์สินสิ่งของที่พระเจ้าเห็นค่า ก็คือตัวตนของมนุษย์ตัวตนของเรานี่แหละ ชีวิตของเรามีค่ามากกว่าสิ่งไหน เมื่อพระเยซูตรัสว่าจงไปขายทรัพย์สินสิ่งของทั้งหลายที่ท่านมีให้คนยากจนแล้วก็ติดตามเรามา ก็คือการที่ให้เราไปตายต่อตัวเก่า ทิ้งชีวิตเก่า ทิ้งนิสัยเก่า ทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของเก่าคนเก่า เพราะว่ามันถูกสาปแช่งแล้ว
เพราะฉะนั้น เรา ทั้งทรัพย์สินสิ่งของอะไรทั้งหลาย เราก็ยกให้เป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของเราอีกต่อไป การที่ยกให้เป็นของพระเจ้า พระเจ้าจะเอาไปทำอะไรรู้ไหมครับ พระเจ้าจะใช้เงินของเราเพื่อไปแจกจ่ายคนยากจน ไปช่วยเหลือหญิงหม้ายและเด็กกำพร้า ไปช่วยเหลือในการงานของพระเจ้าเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องการรับใช้ เรื่องภายในคริสตจักรที่มีค่าใช้จ่าย
แต่สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ 1. การขายชีวิตเก่าทั้งหมดทรัพย์สินสิ่งของคือตัวเราเอง 2. แล้วก็ทรัพย์สินที่เรามีก็คือขายทั้งหมด แล้วตามพระเยซูไป ตามไปก็คือเอาตัวใหม่ตามไป
เราขอบคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้เราได้เข้าใจ ซึ่งคริสเตียนมากมายไม่เข้าใจ ตอนแรกๆ เห็นไหมครับสาวกทั้งหลายของพระเยซูก็ขายทรัพย์สินสิ่งของทั้งหมดแล้วก็นำเอาเงินเอาทองเอาอะไรทั้งหลาย แล้วก็บางคนก็มีข้าวก็นำข้าวมา มีแกะมีวัวมีอะไรก็นำมา เป็นกองกลาง อยู่ร่วมกัน อยู่ใกล้ๆ กัน แต่สุดท้ายเมื่อพระเยซูไม่มา เขาทำอะไรครับ เขาก็แยกกันไปแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ใครอยู่มันเหมือนเดิมก็ทำมาค้าขายเหมือนเดิม
สำหรับเราที่มาเชื่อพระเจ้า เราไม่ควรที่จะขายทุกสิ่งแล้วเอาไปให้โบสถ์ ซึ่งมีหลายคนทำกันอยู่นะ หลายคนทำกันอยู่ อันนั้นไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า อันนั้นผิดพระคัมภีร์นะครับ แต่เราคือเรามีธุรกิจการงานอะไรเรายกให้พระเจ้าขายให้พระเจ้า แล้วเรามีทรัพย์สินสิ่งของอะไรเรายกให้พระเจ้าขายให้พระเจ้า ตัวตนของเราเป็นของพระเจ้า ชีวิตของเราทุกสิ่งที่เรามีเป็นของพระเจ้าทั้งหมด ชื่ออาจจะเป็นชื่อของเราแต่เจ้าของที่แท้จริงก็คือพระเจ้า เมื่อเราเชื่อแบบนี้ทุกวัน ขอบคุณพระเจ้าพระองค์จะใช้ตัวเราและใช้ทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะนับเป็นบำเหน็จรางวัลเป็นการก่อขึ้นโดยทองคำเงินและเพชรพลอย เมื่อพระเยซูเสด็จมาพระองค์จะนำมงกุฎมาให้เรา เอเมน
ถาม.
การบอกรักพระเยซู ให้เรามีท่าทีจิตใจของเราเป็นยังไงครับ ก็คือเราพูดไปเรื่อยๆ แบบบางทีใจเราไม่ได้คิดถึงว่าเรารักพระเยซูเลยแต่เราพูดไปเรื่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ หรือว่าให้เราเวลาพูดบอกรักพระเยซูเนี่ยให้เรา เหมือนมีจิตใจที่แบบรักพระเยซูจริงๆ ในแต่ละครั้งที่พูดครับ
ตอบ.
ถ้าสมมุติว่าเอาเป็นว่าสมมุติว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง นึกภาพไปกับผมนะครับเราทุกคนที่เป็นผู้ชาย เราปรากฏว่าได้พบผู้หญิงบางคน ตอนนี้ก็คือเราเป็นโสดเราโสดอยู่ยังไม่ได้แต่งงาน ย้อนเวลากลับไปตอนที่เป็นโสดนะครับ ทีนี้เราพบผู้หญิงคนนึง เรารู้จักเขาเราเห็นเขาเราชอบเขา เราจะมีท่าทียังไงจะแสดงอาการยังไงแล้วจะพูดยังไง เราก็ทำแบบนี้เหมือนที่ทำกับพระเยซู เอเมน
ตอนนี้พระเจ้าไม่มีตัวตน คือเป็นพระวิญญาณที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นสิ่งที่ยากเราจะรักคนที่มองไม่เห็นได้ยังไง แล้วก็คนที่ไม่ค่อยพูดกับเราได้ยังไง ดูเหมือนจะเงียบๆ อยู่ใช่ไหม ก็คือความเชื่อ เราเชื่อว่าพระองค์อยู่กับเรา เราเชื่อว่าพระองค์ฟังเราอยู่ เราเชื่อว่าพระองค์เห็นเราอยู่ และอยู่กับเราตลอดเวลา เราใช้โอกาสนี้บอกพระเยซูไปว่า “พระองค์ข้าพระองค์รักพระองค์” แล้วการบอกของเราบอกเท่าที่จะบอกได้ เข้าใจนะครับ
ก็คือบอกเท่าที่จะบอกได้ บอกรักเท่าที่เรามีอาการเท่าที่เรามีความรู้สึกกับพระองค์ตอนนั้น แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเราให้เกิดมีอารมณ์รัก เคมีแห่งความรัก อาการแห่งความรักก็จะเริ่มมีมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น อันนี้เป็นการทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลาต่อมาเมื่อเราเริ่มบอกรักพระองค์มากขึ้นมากขึ้น
ในวิวรณ์บทที่ 2 คือพระเจ้าต้องการให้เราบอกรักพระเจ้า สนิทในพระเจ้า มีความรักเหมือนเป็นความรักดั้งเดิม เป็นการรักแรกพบ ซึ่งเราเองตอนนี้ไม่มีอากาเป ไม่มีความรักที่มันดั้งเดิม ไม่มีความรักที่สดใสสดชื่น ความรักที่แบบเป็นโรแมนติกมากๆ เราก็บอกไปตามที่เรามี เราส่งฟิเลโอไปให้พระเจ้า
ฟิเลโอคือความรักแบบเยือกเย็น ความรักแบบหวังผล ความรักแบบธรรมดาทั่วไป เรียกว่า “I love you” ผมรักคุณ “I love you” นะครับเป็นฟิเลโอ แต่เมื่อเราบอกฟิเลโอ บอกรักกับพระเจ้าบอกไปเลย บอกไปพูดไปพูดไปโดยที่เราก็ต้องมีอารมณ์บ้างความรู้สึกบ้างผสมผสานกันไปไม่ใช่พูดเฉยๆ
เมื่อเราพูดแบบนี้ พระเจ้าจะส่งอากาเปเข้ามาทีละน้อยทีละน้อยทีละน้อย เราเอาความรักที่ไม่มีค่า เอาความรักที่มันไม่ดี ไปแลกกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะส่งอากาเปเข้ามาให้เรา สุดท้ายจะมีมาถึงจุดที่เราอาจจะเริ่มร้องไห้ ซาบซึ้ง นั่งน้ำตาไหล พูดกับพระเจ้าแบบคือมันซาบซึ้ง อาการนี้จะเกิดขึ้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานแล้ว
ขอให้ทำนะครับขอให้เริ่มด้วยการบอกรักพระเจ้าโดยที่ไม่มีความรู้สึกมากมายอะไร ไม่มีความโรแมนติกมากมายอะไร แต่มีความรู้สึกอยู่บ้าง แล้วจากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราเริ่มซาบซึ้ง เริ่มร้องไห้ เริ่มมีอาการอารมณ์โรแมนติกกับพระเจ้าแล้ว เอเมน
หรือถ้าเราจะพูดก็ได้ว่า “พระเยซูตอนนี้ข้าพระองค์บอกตามตรงเลยข้าพระองค์ไม่รู้สึกรักพระองค์ บอกตามตรงไม่มีอารมณ์โรแมนติกกับพระองค์ ขอพระองค์ชำระข้าพระองค์ ขอพระองค์ทำให้ข้าพระองค์เกิดอารมณ์นี้เกิดอาการนี้ขึ้นมา เพื่อข้าพระองค์จะรักพระองค์ได้มาก และบอกรักพระองค์ได้มาก สนิทในพระองค์ได้มาก เพราะว่าผลของการกระทำ ผลของความปรารถนา ก็คือพระองค์เป็นคนทำในข้าพระองค์ เห็นไหมพระองค์ตรัสเองนะ ฟีลิปปีบทที่ 2:13 พระองค์ตรัสเอง ขอให้พระองค์ทำกิจในข้าพระองค์เถิด แล้วข้าพระองค์จะบอกรักได้มากกว่านี้ เอเมน”
อันนี้คืองานที่เบานะครับงานที่เบางานที่สบายๆ ฝึกบอกรักพระเจ้า ฝึกสนิทในพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการในโลกนี้ไม่ใช่มีผลงานมากมาย แต่สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ก็คือ “ความรัก” ที่มีให้พระเจ้า คนไหนที่รักพระเจ้าได้มากที่สุดก่อนกว่าใคร คนนั้นได้นั่งตำแหน่งที่สูงกว่าใคร
เราดีนะครับที่ได้มาพบพระเจ้าแห่งความรัก เราขอบคุณพระเยซูที่ได้มาพบศาสนาแห่งความรัก ไม่เชื่อก็ดูพระบัญญัติสิ ในพระบัญญัติเดิมของพระเจ้าและพระบัญญัติใหม่ของพระเจ้า ข้อไหนที่สำคัญที่สุด ข้อแรกคืออะไร สร้างโบสถ์หลายหลังหรือว่าทำดีให้มากๆ เลิกกิเลสตัณหาโลภโกรธหลงนำคนมาเชื่อมากๆ เยอะๆ พระคัมภีร์พระบัญญัติข้อไหนครับที่สำคัญที่สุดสำหรับพระเจ้าข้อแรก “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” อ้าว ไม่ใช่สร้างโบสถ์หลายหลังเหรอ ไม่ใช่นำคนมาเชื่อเยอะๆ เหรอ หรือเลิกกิเลสตัณหาโลภโกรธหลง
ขอบคุณพระเยซูที่เราพบว่าพระบัญญัติเดิม ก็เป็นความรัก ที่เป็นข้อแรกข้อสำคัญที่สุด “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” แล้วมาถึงพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ก็คือ รักพระเจ้าจนสิ้นสุดหัวใจของท่านสุดกำลังของท่าน ความรักเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการไม่ใช่ผลงานไม่ใช่การสร้างโบสถ์ไม่ใช่การนำคนมาเชื่อไม่ใช่การเลิกกิเลสตัณหาโลภโกรธหลง อันนั้นเป็นสิ่งรองเป็นสิ่งที่รองลงมา แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกสำหรับพระเจ้า หัวใจของพระเจ้า พระเจ้าตามหาอะไร พระเจ้าตามหาความรัก พระเจ้าอยากได้ความรักจากพวกเรา เอเมน
ถาม.
ขอถามนิดนึงเกี่ยวกับมงกุฎ ที่บอกว่ามงกุฎไม่มีวันร่วงโรย คือตำแหน่งของคนที่รักและอยู่ใกล้พระเยซูมากที่สุด คือถามว่ามงกุฎนี้ก็คือเป็นมงกุฎที่พระเจ้าจะให้กับเราจริงๆ หรือเปล่าหรือว่าเล็งถึงสิทธิอำนาจตำแหน่งคนที่จะได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมากน้อย
แล้วก็คำถามต่อมา คือที่พระคัมภีร์บอกว่ามีมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย มงกุฎแห่งความชอบธรรม มงกุฎแห่งชีวิต แต่ละมงกุฎ คือมันใช่มงกุฎอันเดียวกันไหมครับ หรือว่าแต่ละมงกุฎนี้มันมีความหมายอะไรครับ
ตอบ.
เป็นมงกุฎอันเดียวกันนะครับ แต่จะมีความหมายมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป บางคนดำเนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรมที่มากกว่าใคร ก็ถูกเรียกว่าเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรม แต่ก็เป็นมงกุฎอันเดียวกัน แล้วมงกุฎแห่งผู้ที่มีชัยชนะ ก็คือไม่แตะต้องความผิดบาปทั้งหลายตั้งแต่เขาเชื่อจนถึงวันสุดท้าย โดยพระคริสต์เป็นคนทำแทนเขาทั้งหมด เขาถวายตัวเป็นทาสของพระเจ้า หนึ่งในนั้นก็เปาโลนะครับ ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรมเป็นมงกุฎแห่งผู้ที่มีชัยชนะ คือผู้คนเมื่อมองเห็นมงกุฎของเราจะเห็นหลายคุณสมบัติที่อยู่ในมงกุฎนั้น เอเมน
ใช่ครับ มงกุฎเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่ง ก็คือมงกุฎที่มีรูปร่างมีคุณค่ามีค่ามากสำหรับพระเจ้าที่ประทานให้เรา เล็งถึงตำแหน่งใหญ่โตตำแหน่งเล็กน้อยในอาณาจักร เมื่อพระเยซูเสด็จมาพระองค์จะนำมา แล้วก็ให้เราประทานให้เราเพื่อที่เราจะได้รับเกียรติจากพระองค์ แล้วมีส่วนร่วมครอบครองกับพระองค์
มงกุฎที่ไม่รู้ร่วงโรย คืออะไร ไม่รู้ร่วงโรยก็คือไม่มีร่วงโรยไม่มีจบสิ้นก็คือ การได้ร่วมครอบครองกับพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สำหรับผู้ปกครองบ้านเมืองสำหรับตำแหน่งอะไรทั้งหลายในโลกนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม ที่อเมริกานะครับก็คือทุกๆ 4 ปีจะมีการเลือกตั้งครั้งหนึ่ง ถ้า 4 ปีผ่านไปนายกประธานาธิบดีอะไรทั้งหลาย เจ้าบ้านเจ้าเมืองอะไรทั้งหลายก็คือถูกเปลี่ยนทั้งหมด แล้วถ้าหากเขาทำดี แล้วประชาชนชื่นชอบเขาก็จะโหวตใหม่แล้วก็อาจจะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง เป็น 4 ปีครั้งที่ 2 ก็คือ 8 ปี แล้ว 8 ปีนะครับก็คือหน้าที่การครองตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาก็คือจบไม่มีปีที่ 9 ไม่มีปีที่ 10 นะครับ 8 ปีเท่านั้น
แต่ขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราได้รับมงกุฎที่ไม่รู้ร่วงโรยจากพระเยซู เราจะได้ร่วมครอบครองกับพระองค์ ตำแหน่งนี้เราจะมีอยู่สืบๆ ไปเป็นนิจ ตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล อันนี้พระคำพระเจ้าพูดเองนะครับพระเจ้าเป็นคนตรัสเอง เอเมน
1 โครินธ์ 9:25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบทุกอย่าง แล้วเขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้ “มงกุฎ” ที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
1 เธสโลนิกา 2:19 เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือ “มงกุฎ” แห่งความชื่นชมยินดีของเรา จำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพระองค์จะเสด็จมา ก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ
2 ทิโมธี 4:8 ตั้งแต่นี้ไป “มงกุฎ” แห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์
1 เปโตร 5:4 และเมื่อพระผู้เลี้ยงใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับ “มงกุฎ” แห่งสง่าราศีที่ร่วงโรยไม่ได้เลย
วิวรณ์ 2:10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานต่างๆซึ่งเจ้าจะได้รับนั้น ดูเถิด พญามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อจะลองใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับความทุกข์ทรมานถึงสิบวัน แต่เจ้าจงสัตย์ซื่อจนถึงความตาย และเราจะมอบ “มงกุฎ” แห่งชีวิตให้แก่เจ้า
ผมเห็นมีผู้เชื่อบางกลุ่มนะครับที่คล้ายๆ กับพวกเรา เขาบอกว่าจะเป็นผู้ครอบครองร่วมกับพระเยซูเฉพาะยุคพันปี เมื่อยุคพันปีผ่านพ้นไป คริสเตียนทุกคนทั้งคริสเตียนสุขงอมและคริสเตียนไม่สุกงอมอยู่ในเกเฮนาก็จะมารวมกันแล้วก็ไปอยู่ในฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่ในฐานะบุตรพระเจ้าไม่มีตำแหน่งอะไร อันนี้ผิดนะครับ เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนตรัสเองในหนังสือวิวรณ์เราจะได้ร่วมครอบครองกับพระองค์ไปจนชั่วนิรันดร์ตลอดไปเป็นนิจ แล้วก็คำนี้นะครับตรงกับมงกุฎที่ไม่รู้ร่วงโรย เอเมน (วว 3:12 ,วว 20:4-6)
ถาม.
ขอถามคำถามเกี่ยวกับการทูลขอความเชื่อของสาวกในลูกาบทที่ 17:5-6 ฝ่ายอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านก็จะสั่งต้นสุกะมินนี้ได้ว่า ‘จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล’ และมันจะเชื่อฟังท่าน
คืออยากจะถามที่สาวกขอโปรดให้ความเชื่อของข้าพระองค์มากยิ่งขึ้น คือในมานาที่ซ่อนไว้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้เชื่อแทนเรา แต่ในตรงนี้บอกว่า คือสาวกขอองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าขอความเชื่อมากยิ่งขึ้น อธิบายข้อนี้หน่อยครับเอเมน
ตอบ.
สำหรับตอนนั้นนะครับไม่เหมือนในกาลาเทียบทที่ 2:20 ที่บอกว่าทุกวันนี้เราอาศัยความเชื่อของพระเยซู เมื่อเรามีความเชื่อของพระเยซูมากยิ่งขึ้น เราก็จะอธิษฐานและทำทุกสิ่งได้มากมายเกี่ยวกับการอัศจรรย์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโลกนี้
ส่วนในตอนนั้น ในตอนนั้นที่สาวกบอกว่าขอความเชื่อให้มีมากกว่านี้เพราะว่าไล่ผีไม่ได้รักษาโรคไม่ได้ ก็คือการขอความไว้วางใจในพระเจ้า ขอความเชื่อจากพระเจ้าที่ประทานให้เป็นความเชื่อที่ยกภูเขาได้ เข้าใจนะครับก็คือขอฤทธิ์อำนาจที่ผ่านความเชื่อ ซึ่งตอนนั้นเนี่ยมีหลายวงหลายคนที่สงสัยที่ไม่แน่ใจไม่มั่นใจ ใช่ครับเขาเห็นการทำกิจของพระเยซู เขาเห็นการอัศจรรย์มากมายที่เดินไปกับพระเยซูหลายปี
แต่เมื่อเขาจะทำเองปรากฏว่าเขาไม่กล้าเขากลัวเขาไม่มั่นใจเขาไม่มีความเชื่อ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาจึงขอต่อพระเยซู ให้เขาเกิดมีความมั่นใจมีความกล้ามีความเชื่อให้มากขึ้นเพื่อที่จะทำได้ แต่.. ขอย้ำนะครับไม่ใช่ความเชื่อที่พระเจ้าจะประทานให้ในกาลาเทียบทที่ 2:20 ก็คือความเชื่อที่พระเยซูจะมาเชื่อแทนเรา เอเมน
การรักษาโรค การไล่ผี การทำการอัศจรรย์หลายอย่าง ทุกวันนี้ก็ต้องอาศัยความเชื่อที่มากกว่าความเชื่อที่เรามี ซึ่งความเชื่อของมนุษย์เป็นความเชื่อที่ยังสงสัย ไม่มั่นใจ ระแวง กลัวว่าจะไม่เกิดผล ซึ่งพวกเราเคยมีประสบการณ์กันไหมที่เคยไปอธิษฐานวางมือให้ใคร แล้วในใจนึกว่าเอ๊ะเขาจะหายมั้ย น่าจะไม่หายมั้ง หรือโอ้พระเจ้าช่วยเถิดข้าพระองค์ไม่อยากขายหน้าไม่อยากหน้าแตก ขอพระองค์ให้เขาหายดีเถิด แล้วก็ในใจเราก็มีคิดอยู่บ้างเล็กๆ นิดๆ นึงว่าใช่มั้ยว่าอาจจะหายหรืออาจจะไม่หาย กลัวๆ อยู่ อันนี้เป็นความเชื่อที่ยังไม่ถึงนะครับ
ความเชื่อที่ถึง คืออะไร ความเชื่อที่เราต้องการอธิษฐานขอ คืออะไร
สำหรับผมขอบคุณพระเยซู ใครจะหายหรือไม่หายผมไม่ได้คิด ใครผีจะออกหรือไม่ออกผมไม่ได้คิด ไม่คิดห้ามคิดเลยไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็คือเราไปอธิษฐานเผื่อ มีคนบอกว่าอาจารย์อธิษฐานเผื่อด้วย มีปัญหาเรื่องไม่สบายเรื่องมะเร็งเรื่องอะไร ผมไป บอกเลยนะครับว่าขอบคุณพระเยซูที่พระองค์แตะ ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์รักษา ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์มีฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ที่ทำทุกสิ่งได้ จากอาการมะเร็งโรคร้ายทั้งหลายหายได้โดยพระนามของพระเยซูเพราะว่าเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่เป็นพระนามที่ชนะโลกนี้ชนะทุกสิ่งเอเมน ภายในใจผมนะครับจะหายก็หายไม่หายก็แล้วแต่พระเจ้า แต่สำหรับผมมีความเชื่อ เมื่อพระเจ้าเห็นความเชื่อที่เรามีอยู่แบบนี้ ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำงาน เอเมน
คุณหายแล้วคุณจะหาย ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกลัวพระเจ้าจะทำ “ถ้าเชื่อ” การอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น เราพูดกับเขาแบบนี้ไปเลย เพราะว่าเรามีความเชื่อ แต่ในอนาคตหรือบางคนอาจจะไม่หาย พระเจ้าก็มีเหตุผลที่จะไม่รักษาเขา แต่หน้าที่ของเราที่ไปทำที่ไป ก็คือเราต้องพูดต้องมั่นใจต้องมีความเชื่อที่สูง แล้วก็บอกว่าคุณจะหายพระเจ้าจะรักษาคุณเอเมน ขอให้คุณเชื่อ บอกเขาไปเลยสัญญากับเขาเลย เราทำ
แล้วต่อมาเมื่อไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นการอัศจรรย์ไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เป็นการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยังไม่ถึงเวลา หรือไม่อยากรักษาเขา หรือยังไม่ถึงเวลาที่จะรักษาเขา รอไปก่อนอีกนิดนึง แต่เรานะครับทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ก็คือต้องสำแดงความเชื่อที่มีมากที่สุดในเรา มั่นใจในฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะช่วยเขา เอเมน
ถาม.
ขอถามต่อครับ สมมุติว่าเราเจอเหตุการณ์ที่ใครบางคนที่มีผีเข้าที่เขาเดือดร้อน หรือว่าใครบางคนที่ไม่สบายเจ็บป่วยที่เราเห็นแล้วก็อยู่ใกล้ตรงนั้นแล้วก็อธิษฐานขอ แต่ยังไม่หาย เราสามารถที่จะขอเหมือนสาวกได้มั้ยครับว่าขอประทานความเชื่อให้มากขึ้น
ตอบ.
อันแรกต้องตรวจดูก่อนนะครับ ว่าอยู่ภายในเรามีการเร้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ มีการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ มีเครื่องหมายอะไรบางอย่างที่พระเจ้าต้องการสำแดงว่าเนี่ยรักษาเขาทำเถิด แต่อยู่ดีๆ เราเห็นเขาป่วยเขาไม่สบายแล้วก็ไปบอกว่าจะรักษาให้นะถ้าเชื่อพระเยซู พระเยซูรักษาได้ อันนี้ผิดนะครับพระเจ้าจะไม่รักษาไม่ทำกิจ
แต่ถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์เร้าใจเรา นำพาเรา กระตุ้นเรา ทำอะไรบางอย่างสะกิดเราให้รักษาให้ช่วยเขา เราก็ไปช่วย และปรากฏว่าเมื่อทำแล้วเขาไม่หาย เราขอความเชื่อได้ครับผม เราขอความเชื่อ แต่ถ้าหากเรารักเขามากสงสารเขามากเห็นเขาเจ็บปวดมากมาย เรากลับไปอดอาหารสัก 3 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง แล้วกลับมาอธิษฐานเผื่อเขา ได้ครับ
ถาม.
สิ่งสำคัญก็คือการทำงานควบคู่กับการทรงนำของพระวิญญาณ
ตอบ.
แน่นอนครับ การทำงานของคริสเตียนทุกวันนี้การใช้ชีวิตของเราอยู่ที่การสะกิดการเร้าใจการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เอเมน นี่คือการก่อขึ้นด้วยทองคำเงินและเพชรพลอย อย่าทำตามใจลำพัง อย่าทำตามความสงสารของมนุษย์ของเรา เห็นว่าอยากจะช่วยคนนี้ อยากจะรักษาคนนี้ เห็นคนบ้านนี้ผีเข้าวิ่งไปไล่ผี เดี๋ยวผีมันถีบออกมานะ ก็คือเราต้องอาศัยพระวิญญาณ พึ่งพระวิญญาณ และรอการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยุคนี้เป็นยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์นะครับ เอเมน
จำได้ไหมกฎของเรา “ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำ เราไม่ทำ” เอเมนพระเยซู
ถาม.
อยากให้ อ. อธิบายเรื่องการขับผีนะคะ เพราะว่ารู้สึกว่าพี่น้องหลายคนยังไม่เข้าใจเรื่องการขับผี เพราะว่าเหมือน อ. บอกค่ะไม่ใช่อยู่ๆ ว่าเห็นคนเขาผีเข้าแล้วเราสงสารเขาเมตตาเขา แล้วเราจะไปขับอย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่มั้ยค่ะ เพราะว่าถ้าสมมุติขับไปแล้ว เขายังไม่เชื่อพระเยซูเขาไม่ต้อนรับพระเยซู ตัวเขาเองนั่นแหละจะเดือดร้อนใช่มั้ยค่ะ เพราะก็มีพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่บอกว่าผีมันออกจากบ้านนั้นไปแล้วมันวนเวียนกลับมาเห็นบ้านนั้นสะอาดอยู่ คือยังไม่เชื่อพระเยซูมันก็จะนำผีที่ร้ายกว่าอีก 7 ตัวมา ก็อยากให้ อ. อธิบายด้วยค่ะ
ตอบ.
แทนที่คริสเตียนจะช่วยคนนะครับ บางครั้งเราอาจจะนำโทษมาให้เขามากมายจนหาทางออกไม่ได้ก็มีนะ เหมือนตัวอย่างสำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้นี่แหละ (มธ 12:43-45) ก็คือเราไปช่วยคนบางคน แล้วไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้นำเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เร้าใจเรา แล้วอยู่ๆ เราสงสารเขาเราไปอธิษฐานไล่ผีออกจากเขา แต่สุดท้ายนะครับสุดท้ายก็คือ ผีกลับเข้ามาใหม่เพราะว่าเขาไม่เชื่อพระเยซู ถูกครับความเดือดร้อนปัญหาก็จะมีมากมายมากกว่าเก่าเสียอีก แทนที่เราจะไปทำดีกับเขา แต่เรานำความไม่ดีความเดือดร้อนไปสู่เขา อันนี้ขอให้เราหลีกเลี่ยง
การที่จะไปไล่ผี 1. พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือจะให้เรามีงานเข้า เข้าใจนะครับ ก็คือพระเจ้าจะเป็นคนนำมา
- มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้รับใช้ ก็ทำงานอยู่ดีๆ ปรากฏว่ามีข่าว มีข่าวว่าบ้านหลังนี้มีผีเข้า แล้วเป็นคนที่รู้จักกัน แล้วก็บ้านนี้ก็คือมีญาติคนนึงที่รู้จักผู้ชายคนนี้ที่เป็นคริสเตียน ก็ติดต่อมาคุยกับเขาบอกว่า เนี่ยช่วยได้ไหม คุณเป็นคริสเตียน ได้ยินว่าคริสเตียนไล่ผีได้ แล้วก็พอได้ยินมาบ้างว่าคุณเคยไล่ผี ไปช่วยเขาหน่อยได้ไหม แล้วผู้ชายคนนี้ก็อธิษฐานบอกว่ารอก่อน รอนิดนึงนะ ขอดูนิดนึงเดี๋ยวจะตอบ แล้วเขาก็อธิษฐาน เมื่อมีการเร้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือคอนเฟิร์มบอกว่าไป
1. พระเจ้าให้งานเข้า ก็คือให้คนมาบอก
2. ก็คือเราเองต้องถามว่าพระเยซูใช่หรือไม่ เป็นงานเข้าที่พระองค์จะให้ข้าพระองค์มีงานเข้าหรือไม่
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสหรือให้สัญญาณหรือสะกิดหรือเร้าใจให้ไป เราก็เตรียมตัวให้พร้อมแล้วก็ไป อันนี้คือการงานของพระเจ้าที่ใช้เรา เป็นหนึ่งเดียวกับเราร่วมกับเราแล้วพระองค์ทำผ่านเรา
ถ้าเห็นคนเจ็บป่วยไข้นะครับ อย่าใช้ของประทานที่เรามีทันที แต่รอการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เสียก่อน การเร้าใจการสะกิดการอะไรทั้งหลาย คือผมเห็นมีบางคนที่เชื่อใหม่ๆ แล้วก็มีของประทานในการรักษาโรค เขาทำอะไร เขาวิ่งไปที่โรงพยาบาลแล้วก็ไปขอวางมือให้ทุกคน อันนี้เป็นสิ่งที่ผิดนะครับ พระเจ้าไม่ได้ใช้พระเจ้าไม่ได้ทำ ซึ่งบางคนอาจจะได้รับการรักษา ใช่นะครับ แต่ปัญหาจะตามมาเนี่ยเขาต้องรับผิดชอบครับ
สำหรับในพระคัมภีร์เราพบว่า บางครั้งพระเยซูตรัสว่า เราเป็นชาวนา เอเมนเราเป็นชาวนานะครับ
แล้วก็สิ่งต่อมาก็คือเราเป็นสาวก ขอบคุณพระเจ้าเราทุกคนที่มาเชื่อเป็นสาวกของพระเยซู เป็นศิษย์พระเยซู
แล้วก็ต่อมาเราเป็นคนงานในสวนองุ่น ทุกวันนี้เรายังทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้าอยู่ไหม ก็คือประกาศ รับใช้ ทำหน้าที่
แล้วก็ยังไม่พอเราเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า เอเมน ก็คือเราเป็นคนที่ปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ปรนนิบัติพี่น้องด้วยกัน ทำหน้าที่แบ่งปันเผยพระวจนะ ให้แต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นบวก ก่อพี่น้องขึ้น เสริมสร้างกันขึ้นในพระกาย
และในพระคัมภีร์ข้อนี้ 1 คร 9:25 ที่ได้มาสู่พวกเรา ก็คือเราเป็นนักกีฬา 1. เราเป็นนักมวย แล้วก็อันที่ 2. ก็คือเป็นนักวิ่งแข่ง
นักมวยไม่ใช่ไปต่อยคนนี้ไปต่อยคนนั้นไปชกหน้าคนนี้ไปชกหน้าคนนั้น ชกต่อยกันเอง ไม่ใช่นะครับ ก็คือเราชก ก็คือการสนิทในพระเจ้า การใช้ชีวิตที่ผูกพันอยู่กับพระเจ้า การที่สร้างความผูกพันที่ดีกับพระเจ้า เป้าหมายของเราไม่ใช่ชกลมๆ แล้งๆ ชกลม ชกสิ่งที่ไม่มีเป้าหมาย ทุกวันนี้คริสเตียนศาสนาเขาชกลม เขาเป็นนักมวยแต่เขาชกลมไม่ได้ชกหน้า แต่ขอบคุณพระเจ้าเราชกถูกเป้า ชกเป๊ะเข้าไปหน้าเลย คู่ต่อสู้สลบนะครับ
เป้าหมายของเราเป้าของเรา คืออะไร คืออาณาจักร ทุกวันนี้เราพบอาณาจักรแล้ว การชกมวยของเราการชกของเราแต่ละหมัด ก็คือเข้าอาณาจักรเป๊ะๆ ขณะที่คริสเตียนศาสนาทุกวันนี้เขาแสวงหาสวรรค์เขาแสวงหาความรอด เขาแสวงหาเกียรติชื่อเสียงค่าจ้างรางวัลอะไรทั้งหลาย พอใจก็ทำไม่พอใจก็หนี แล้วก็ผู้นำมากมายก็ไปหาโบสถ์ไหนก็ได้ที่ให้เงินเดือนสูงกว่า โบสถ์ไหนที่ให้เงินเดือนน้อยไม่ไป ไม่แย่งกันไป แต่แย่งกันไปที่โบสถ์ใหญ่ๆ อันนี้เกิดขึ้นที่อเมริกาไม่รู้ว่าเมืองไทยจะเกิดขึ้นไหม
แต่ขอบคุณพระเจ้าเราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ เราชกเป๊ะเข้าไปที่อาณาจักร เราวิ่งตามอาณาจักร แล้วก็เราเป็นนักวิ่งแข่งก็คือวิ่งแข่งเข้าอาณาจักร ใครล้มเราไม่กระโดดข้ามไม่เหยียบซ้ำแต่ใครล้มเราหยุดแล้วเราฉุดเขาขึ้นมา แล้ววิ่งไปด้วยกันช่วยกันไปชนะด้วยกัน เอเมน นี่คือการชกของเรา แล้วนี่คือการวิ่งแข่งของเรา
ซึ่งเราเห็นว่านักวิ่งแข่งของคริสเตียนศาสนาทุกวันนี้ถ้าใครล้มก็เหยียบซ้ำ ถ้าใครทำบาปก็เปิดโปงความบาปของเขาทุกคนรู้หมด แต่เราตรงข้าม เราชกด้วยความรัก เราวิ่งแข่งด้วยความรัก เอาความรักเป็นใหญ่เอาความรักเป็นที่หนึ่ง
ขอบคุณพระเยซูวันนี้เราเป็นชาวนา ขอบคุณพระเยซูวันนี้เราเป็นชาวสวนสวนองุ่น เราขอบคุณพระเยซูที่เราเป็นปุโรหิต ขอบคุณพระเยซูที่เราเป็นสาวก ขอบคุณพระเยซูที่วันนี้เราได้พบอีกสิ่งนึงอาชีพของเราก็คือเราเป็นนักกีฬา นักวิ่งแข่ง และนักมวย วันนี้เราจะชกให้ดีที่สุดก็คือตามหาอาณาจักร ชกให้ตรงเป้าอาณาจักร อาณาจักร อาณาจักร จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วการวิ่งแข่ง ก็คือวิ่งเข้าอาณาจักรอย่างเคร่งครัด ก็คือให้พระคริสต์เป็นคนชกแทนเรา ให้พระคริสต์เป็นคนวิ่งแข่งแทนเรา สุดท้ายมีผู้ชนะคนเดียวก็คือพระคริสต์นั่นแหละคนเดียวที่ชนะ เราทั้งหลายก็คือให้อาศัยผู้ชนะผู้นี้อยู่ภายในเราทุกๆ คน แล้วคนที่ได้รับรางวัลคนเดียวก็คือพระคริสต์ พระองค์สมควรได้รับเกียรติสง่าราศี คำยกย่องสรรเสริญ เราก็ได้รับบำเหน็จ เอเมน