หนังสือยอห์นบทที่ 10 พระเยซูทรงตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ไม่ใช่เป็นแต่ผู้เลี้ยง แต่พระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่ดี คำๆ นี้ถ้าหากว่าผู้เชื่อเข้าใจ เราก็คงจะไม่ต้องกระวนกระวาย กระเสือกกระสน เป็นทุกข์ อยู่ไม่เป็นสุข ร้อนอกร้อนใจ บ่นระบายกับคนนู้นคนนี้
พระเยซูเองก็เคยตรัสว่าอย่ากระวนกระวาย อย่ากระวนกระวายๆ (ในมัทธิวบทที่ 6) เนื่องจากว่าในหนังสือยอห์นบทที่ 10 พระองค์ตรัสอีกว่า พระองค์นี่แหละพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
ถ้าหากเราเข้าใจ เราถูกเปิดตา ตาฝ่ายวิญญาณของเราถูกเปิด เราก็จะเห็นและเราไม่ต้องกระวนกระวาย เราไม่ต้องกระเสือกกระสนเป็นทุกข์ คือปล่อยวางทุกสิ่งได้ พระเจ้าให้มีก็มี พระเจ้าให้รวยก็รวย พระเจ้าให้จนก็จน พระเจ้าให้ขัดสนบางครั้งก็เอเมน
เนื่องจากว่าชีวิตของเราอยู่ในแผนการงานของพระเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเชื่อ จนถึงวันที่เราจบชีวิต คือเราอยู่ในแผนการงานของพระเจ้า แต่เราไม่รู้ เราไม่คิด เราคิดไม่ถึง เราคิดแต่ว่าถ้าเชื่อพระเจ้าก็จะได้ดี ก็หวังแต่สิ่งดีๆ เข้ามา อันนี้คือการคาดหวังที่ผิด
เพราะฉะนั้นทั้งนี้ทั้งนั้น เรามีพระเจ้าที่เป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเรา พระเจ้าให้อะไรเรา สิ่งที่ดีหรือไม่ดีที่เข้ามา ก็จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราในวันสุดท้าย
พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นกับเรา เพราะว่าพระองค์ทรงเลี้ยงเราด้วยสิ่งที่เราควรจะกิน และเมื่อเราโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซู สิ่งที่เราจะได้รับในอนาคต คือมงกุฎ
ขอบคุณพระเยซู มงกุฎรออยู่นะครับ ถ้าใครอดทนจนถึงที่สุดและถ้าหากใครเข้าใจในการปล่อยวางในชีวิตนี้ คือรับการเลี้ยงดูจากพระองค์ พระองค์ให้อะไรมาเรากิน เรารับ ดีไม่ดีเรารับ เราขอบพระคุณ เราเอเมน และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
...
คำหนึ่งที่พระเยซูตรัส ก็คือเราเป็นประตู พระเยซูทรงเป็นประตู ประตูคอกแกะ อย่าลืมนะว่าสมัยก่อนพระเจ้าประทานพระบัญญัติให้ชาวยิว ชาวยิวไม่มีทางเลือกและออกไม่ได้หนีไม่ได้ ก็คือคอก พระบัญญัติก็คือคอก ที่ไม่มีประตูไม่มีทางออกมันเป็นรั้วล้อมรอบชาวยิวที่กักขังชาวยิวอยู่
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระเยซูเป็นประตูและเป็นนายประตูที่จะนำแกะออกมาจากคอก ก็คือออกจากพระบัญญัติ เราพบว่าในโรมบทที่ 10 ข้อที่ 4 เปาโลกล่าวโดยพระวิญญาณว่าพระเยซูพระคริสต์เป็นจุดจบของพระบัญญัติ
และวันนี้พระเยซูเสด็จมาแล้ว 2,000 ปีผ่านไปแล้ว และขอบพระคุณพระเจ้าที่เราคริสเตียนและชาวยิวไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป แต่อยู่ใต้พระคุณแล้ว สรรเสริญพระเยซู
เราขอบคุณพระเจ้าคอกตอนนี้มีประตูแล้วนะครับ เราจะเข้าจะออกได้ เมื่อออกไปก็เห็นอะไร? ทุ่งหญ้าเขียวสดใช่มั้ย
และการที่จะไปกินหญ้าในทุ่งหญ้า ก็คือไม่ต้องขอ ไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ ไม่ต้องเชื่อฟัง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเพื่อแลกกับหญ้าที่เขียวสด ก็คือชีวิตใหม่ ก็คือสันติสุขทุกวันเวลา และพลังของชีวิตของพระเจ้าที่อยู่ในเรา คือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก
"เราจำกันได้ไหมตอนที่เราเป็นเด็ก เราชอบดูการ์ตูนป๊อปอายใช่ไหม มันกินอะไรแล้วมันมีพลัง? ผักขม"
เราขอบคุณพระเยซูเราออกมาจากคอกเราไม่ได้อยู่ในคอก และเราเจอทุ่งหญ้าที่เขียวสด แล้วหญ้าที่เรากินทำให้เราเกิดสันติสุขเต็มล้นในเรา และทำให้เรามีพลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสันติสุขและพลังนี้ได้มาโดยชีวิตของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ขอบคุณพระเยซู
ขอบคุณสำหรับพระเยซูที่เป็นนายประตูและเป็นประตูเพื่อนำเราออกมาและนำยิวออกมาเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันเป็นพระกายเดียวกันได้
มีคำๆ หนึ่งที่พระเยซูตรัสอีก ก็คือพระองค์ทรงนำเราออกมาสู่ทุ่งหญ้า คือเมื่อมาเชื่อวางใจในพระเยซู พระองค์ก็ประทานชีวิตของพระองค์เองและเข้ามาอยู่ในเรา และไม่มีวันจากเราไปไหน พระคริสต์สถิตอยู่ในเราเป็นความหวังแห่งสง่าราศี ขอบคุณพระเยซู (คส 1:27)
และชีวิตซึ่งมีทุ่งหญ้านี้ ก็คือสันติสุขและพลัง
พระเจ้าประทานให้เราเพื่ออะไร สำหรับสองสิ่งนี้ สันติสุขและพลัง?
เพื่อรับกับปัญหาที่จะเข้ามา การข่มเหง ความทุกข์ยากทั้งหลายนานาประการที่เข้ามา พระเจ้าให้เราเชื่อ แต่ไม่ได้ให้เรามีความหวังว่าจะมีความสุขชีวิตราบรื่นตลอดไป ไม่ใช่
จะมีเป็นครั้งคราวจะมีเป็นระยะๆ ที่จะให้เรามีปัญหาชีวิตเกิดขึ้น รับสิ่งที่เลวร้ายบางครั้งเกิดขึ้น มรสุมชีวิตเข้ามาบางครั้งเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เรามีอยู่ประจำไม่เคยขาดไม่เคยหายไปไหน ก็คือทุ่งหญ้า ก็คือหญ้าที่เขียวสด ก็คือชีวิตพระเจ้าที่อยู่ในเรา สรรเสริญพระเยซู
...
คำอุปมาบางคนอาจจะข้องใจหรือสงสัยหรือสับสนอยู่..
"คอก" ก็คือเล็งถึงพระบัญญัติ
"แกะ" ก็คือผู้เชื่อทุกคนทั้งคริสเตียนศาสนาและคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ
ส่วนคำว่า "ออกมา" "พระเยซูนำออกมา" ก็คือแกะ ผู้เชื่อที่ถูกเปิดตาและไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติใดอยู่ใต้พระคุณแล้ว ก็คือได้ออกมาแล้ว เอเมน
...
สำหรับคำว่า "ผู้เลี้ยง" ที่พระเยซูตรัส ก็คือมีผู้เลี้ยง 2 ประเภท 2 ผู้เลี้ยง
ก็คือผู้นำยิวและคริสเตียนที่เป็นผู้นำที่ไม่ได้รักแกะ และทิ้งแกะเมื่อถึงเวลา อันนี้เราเห็นเยอะมาก คือเห็นแก่เงินเดือน เห็นแก่ค่าจ้างรางวัล เห็นแก่ตำแหน่ง เห็นแก่ผลประโยชน์ เมื่อถึงเวลาทิ้งแกะก็ทิ้งไปไม่ได้สนใจ ก็คือทำเป็นธุรกิจ อันนี้เราเห็นมาเยอะ
แต่ขอบคุณพระเยซู แกะอีกด้านหนึ่ง ก็คือผู้เลี้ยงที่ดี ที่เป็นเหมือนพระเยซูที่ดูแลแกะ รักแกะมากยอมตายเพื่อแกะ ยอมทุกข์ยากเพื่อแกะได้
...
คำว่า "ขโมยและโจรย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย" ก็คือชาวยิวที่รักษาพระบัญญัติ และบังคับให้ผู้เชื่อให้ชาวยิวรักษาด้วย
...
สำหรับคำว่า "ปีนเข้าไป" ปีนเข้าไปก็คือชาวยิวที่มาก่อนพระเยซูและไม่ได้รักษาพระบัญญัติใหม่ผ่านทางพระเยซู
...
คำสุดท้ายที่พระเยซูตรัส ก็คือมีสุนัขป่า สุนัขป่าไม่ใช่มารซาตาน แต่คือผู้นำศาสนาหรือครูสอนปลอม ซึ่งเราเห็นกันเยอะมากทุกวันนี้ ซึ่งบางคนเป็นครูสอนปลอมเป็นสุนัขป่าโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจหลอกให้คนเชื่อผิดหรือหลงทาง บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาเชื่อถูกใช่ไหม แล้วเขาก็ชวนเราเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ สอนเราให้เชื่อในสิ่งที่เขารู้เข้าใจ แต่มันกลับกลายเป็นคำสอนที่ผิด สุดท้ายเขาก็กลายเป็นสุนัขป่าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
แต่บางคนก็เป็นสุนัขป่าแบบตั้งใจ ก็คือมาหลอกลวง มาล่อลวงเพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น ก็คือมีหลายคนอ้างตนว่าเป็นอาจารย์เป็นผู้นำ และเดินทางไปประกาศไปสั่งสอนไปทำการฟื้นฟูตามบ้านเมืองต่างๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ สุดท้ายก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่ทำให้ผู้เชื่อมากมายหลงทางเชื่อผิด และผลที่เขาจะได้รับ ก็คือการตีสอน การลงโทษหนักมาก
...
สำหรับข้อที่ 20 จนถึงข้อที่ 29 คือพระคำของพระเจ้าในวันนี้เราจะพบว่ามีชาวยิวเกิดการแตกแยกแบ่งแยกขัดแย้งออกเป็นสองกลุ่ม เราเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ก็คือในข้อที่ 20 และข้อที่ 21 บางคนพูดว่า เนี่ย..คนนี้เป็นคนที่มีผีเข้าสิง
แต่อีกฝ่ายก็ขัดแย้งบอกว่าจะเป็นคนที่มีสิ่งได้ยังไง เนื่องจากว่าเขาทำการอัศจรรย์ เขาต้องมาจากพระเจ้าแน่นอน
ซึ่งขณะนั้นมีชาวยิวมากมายแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และบางกลุ่มก็สนับสนุนและเชื่อและติดตามพระเยซูไป
และบางกลุ่มก็ขัดแย้งและเป็นใจร่วมใจกับผู้นำศาสนา ก็คือฟาริสีและธรรมอาจารย์ เพื่อหวังที่จะฆ่าพระเยซู
...
และในที่สุดเมื่อมาถึงข้อที่ 30 ก็คือเป็นคำพูดที่พระเยซูตรัสเป็นคำที่หนักมาก ซึ่งพระเยซูตรัสว่า เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คำนี้นะครับเป็นคำที่ดูหมิ่นดูถูกพระเจ้ามาก แล้วก็พระเยซูพูดในลักษณะที่ทำตัวเหมือนกับเป็นเสมือนเหมือนพระเจ้าเท่าเทียมกับพระเจ้า เป็นคำพูดที่หนักมากและเขาก็จะเอาก้อนหินขว้างใส่พระเยซูให้ตาย
สำหรับพระเยซูเมื่อพระองค์เสด็จมามีพระบิดาเป็นพยาน มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทำกิจ เพราะฉะนั้นพระเจ้าสามพระภาคทำงานด้วยกัน ถ้าหากว่ายิวไม่เชื่อพระเยซู ยิวก็ปฏิเสธพระบิดาและการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณพระเจ้า ที่ยังมียิวอีกจำนวนหนึ่งที่ต้อนรับพระเยซู เชื่อพระเยซูและยอมรับการอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำ
ปัญหาที่หนักมากสำหรับชาวยิวที่ต้อนรับหรือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำไม่ได้ เนื่องจากว่าพระเยซูรักษาชายตาบอดในวันสบาโตในบทที่ 9 และคำพูดที่พระเยซูพูด ก็คือเรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และคำที่พระเยซูใช้บ่อยมากก็คือ I Am I Am ก็คือ เราเป็น
ซึ่งเป็นคำที่สงวนลิขสิทธิ์ในท่ามกลางชนชาติอิสราเอลห้ามไม่ให้ใครพูด ถ้าหากผู้ใดผู้หนึ่งกล้าพูดและพูดโดยตั้งใจเนี่ย เขาจะถูกขว้างด้วยหินให้ตาย และในที่สุดพระเยซูก็พูดออกมาและพระเยซูก็กำลังจะถูกปองร้าย
...
สำหรับข้อที่ 20 จนถึงข้อที่ 29 เราพบว่ามีการแบ่งแยก มีชาวยิวสองฝ่าย คือฝ่ายที่เชื่อต้อนรับพระเยซู และฝ่ายที่ไม่เชื่อ
และสิ่งที่สอง ก็คือยิวที่ไม่เชื่อ เนื่องจากว่าพวกเขาเห็นว่าไม่ควรรักษาโรคในวันสะบาโต เป็นการทำผิดที่ร้ายแรงมากสำหรับชาวยิวนะครับ และคำพูดที่พระเยซูตรัส ก็คือเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคำที่อ้างตนเท่าเทียมกับพระบิดา ทำให้ยิวไม่สงสัยอีกแล้วว่าพระเยซูมาจากใคร ก็คือเขากล่าวหาเลยนะครับว่าผู้ชายคนนี้มีผีสิง ก็เลยปองทำร้ายพระเยซู
...
และสุดท้ายประเด็นที่สาม ก็คือคำว่า "ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้" ก็คือไปจากมือของพระเยซูนะครับ
และคำหนึ่งที่พระเยซูตรัสอีก ก็คือ "ไม่มีผู้ใดสามารถแย่งชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้" แสดงว่าเราเป็นแกะที่อยู่ภายใต้การดูแล ปกปักรักษา ปกป้องโดยพระเยซูและพระบิดา ขอบคุณพระเจ้าสองคนที่จะจับมือเราไว้ไม่ปล่อยไม่ทิ้งไม่วาง เราพบว่า 1 โครินธ์ 6:19-20 เปาโลพูดโดยพระวิญญาณว่าพระเจ้าทรงซื้อเราแล้วและจะไม่ขายเราให้ใครอีก ขอบคุณพระเจ้า
...
และชีวิตของเรา ชีวิตเก่าเราไม่มีอีกแล้ว มันถูกประหารที่กางเขน และถูกฝังร่วมกับพระเยซูในพระเยซู ตอนนี้เรากลายเป็นคนใหม่ เป็นชีวิตใหม่แล้ว คนเก่าไม่มีอีกแล้ว เราจะหนีไปไหน หนีไม่ได้แล้ว
สำหรับพระเจ้า พระเจ้าจอง พระเจ้าซื้อแล้ว เป็นลิขสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว เป็นมรดกเป็นสมบัติของพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเราเชื่อจริงๆ เรารับพระเจ้าจริงๆ เราบังเกิดใหม่ได้แล้วจริงๆ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเราแล้วจริงๆ แล้วเรามีพระคริสต์อยู่ในเราเป็นความหวังแห่งสง่าราศีแล้ว พระเจ้าจองแล้ว พระเจ้าซื้อแล้ว สุดท้ายเราจะหนีไปไหนก็ไม่ได้
เราจะไม่เชื่ออีกก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะดื้อ เราจะหนีไป เราจะหลงทาง แต่สุดท้ายพระเจ้าก็จะตามเรา จะนำเรา ให้กลับมาอยู่ในความรอด ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีบำเหน็จ และชีวิตนี้ เราหนีพระเจ้า เราไม่อยู่ในความเชื่อ เราไม่สนิท เราไม่ฝึกเดิน ชีวิตก็อาจจะต้องเจอกับมรสุมมากกว่าควรที่จะเป็น อันนี้เราต้องยอมรับความจริง
เพราะฉะนั้นถ้าหากอยากให้ชีวิตเราอยู่ในแผนการงานของพระเจ้า มีดีบ้าง ทุกข์บ้าง มีปัญหาบ้าง มีได้ดีบ้าง คือจะมีในลักษณะที่พอสมควร พอสมควรพอควร พระเจ้ารู้นะว่าจะให้เราไม่หนักเกินไป ไม่มากเกินไป ไม่เยอะเกินไป ไม่ทุกข์เกินไป
แต่ถ้าหากว่าเรา เราไม่สนิทในพระเยซู เราไม่สนิทในการเดิน ฝึกเดินในพระเจ้า ไม่อยู่ในฝ่ายวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ ชีวิตของเราก็จะอยู่ในอาดัม และตกอยู่ในความยากลำบากที่ผีมาซาตานจะเล่นงานเราได้บ่อยมาก
...
ผมอยากหนุนใจพวกเรานะครับ สนิทในพระเยซู ร่วมใจกันเข้ามาอ่านในกลุ่มไลน์ เข้ามาร่วมสามัคคีธรรม เพื่อชีวิตของเราจะอยู่ในแผนการงานของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และเติบโตตามกำหนดเวลาของพระเจ้า
...
เพราะว่าทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายโตช้ามาก และผู้เชื่อมากมายยังไม่มาถึงชีวิตผู้ชนะ และผู้เชื่ออีกมากมายยังไม่ได้ถูกเปิดตาเลยยังเป็นคริสเตียนศาสนาอยู่เหมือนเดิม ชีวิตสุขทุกข์ดีบาป ขึ้นลงๆ เป็นประจำจนตาย
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าเราได้พบมานาที่ซ่อนไว้แล้ว เราพบพระคำล้ำลึกแล้ว เราอาจจะมีผิดพลาด เราอาจจะทำบาป ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกลัว คุณทำบาปคุณทำต่อไป แต่คุณสารภาพและขอพระเจ้าให้ชำระ
แต่สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ แล้วมันเป็นงานที่ง่ายมากสำหรับคริสเตียน ก็คืออยู่ในการสนิทในพระเยซู บอกรักพระเยซูอย่างสม่ำเสมอทุกวัน