พระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณเรา ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าดลบันดาลวิญญาณของเรา ให้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าดลบันดาลวิญญาณของเราให้บังเกิดใหม่ พระเจ้าชุบชีวิตของวิญญาณเราให้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา สร้างบ้านอยู่ในวิญญาณเรา พระเจ้าครอบครองวิญญาณเราแล้ว
และพระเจ้าต้องการยึดครองจิตของเรา เมื่อพระเจ้ายึดครองจิตของเรา พระเจ้าจะต้องทำยังไง คือพระเจ้ายึดแล้วในความเป็นจริง พระเจ้ายึดแล้วเราต้องเชื่อว่าพระเจ้ายึดแล้ว อยู่ในเอเฟซัส 3:17 พระเจ้าครอบครองสร้างบ้านอยู่ในจิตของเราแล้วโดยทางความเชื่อ เราไม่ต้องขอ เราไม่ต้องพยายาม เราบอกว่าขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์สร้างบ้าน สร้างที่อยู่ อยู่ในจิตของข้าพระองค์แล้ว พระองค์ครอบครองแล้ว เมื่อเราอธิษฐานแบบนี้ทุกวัน
แล้วก็ 2 ครับ เราถวายจิตของเราและเราถวายอวัยวะของเรา บอกว่าพระองค์เป็นนายจิตของข้าพระองค์ พระองค์ครอบคลุม พระองค์ควบคุม พระองค์ครอบครอง พระองค์สั่งเป็นเจ้านาย ข้าพระองค์ไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่สั่งจะไม่ตัดสินใจ จะไม่คิด จะไม่พูด จะไม่ทำ ให้พระองค์เป็นคนทำแทน
เมื่อก่อนเรามีสติปัญญาเล็กน้อย เราไม่ฉลาดมาก เราอาจจะไม่มีการศึกษาสูง ไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่อย่าลืมนะ 1 โครินธ์ 1:30 พระคริสต์เป็นสติปัญญาของเรา หมายความว่ายังไง คือ พระเยซูจะตัดสินใจแทนเรา พระเยซูจะคิดแทนเรา พระเยซูจะหาทางออกให้เรา พระเยซูจะพูดแทนเรา เมื่อเราไม่รู้จะพูดอะไร พระเยซูจะทำงานอยู่ที่ทำงานของเรา เมื่อเราไม่รู้จะทำงานยังไงดี แล้วพระเยซูจะประกาศข่าวประเสริฐแทนเรา พระเยซูจะเป็นพยาน พระเยซูจะทำทุกสิ่งแทนเรา พระเยซูจะรักแทนเราด้วย และนี่คือเป้าหมายของพระเจ้าที่เข้ามายึดจิตของเรา หลังจากนั้นเมื่อพระเจ้าครอบครองจิตของเราได้แล้ว ร่างกายไม่มีปัญหา เพราะว่าคนที่สั่งงานคือจิต ถ้าพระเจ้ายึดครองจิตเราได้ ร่างกายจะเชื่อฟังจิต แล้วพระเจ้าสั่งจิตร่างกายก็จะไปทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ สุดท้ายชีวิตของเราก็เป็นผู้ชนะ ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าครอบครองอย่างสมบูรณ์แบบ นานๆ เราอาจจะทำบาปทีหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาไม่ใช่ประเด็น แต่ปัญหาก็คือ ทุกวันเราดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อที่ทำดีทุกวัน นานๆเผลอ ไม่เป็นไร
ถ้าเราจะใช้คำว่าจิตและใจ จิตใจมันอันเดียวกัน แต่คนที่ถกเถียงกันอยู่ในใจเรา ก็คือสองจิตสองใจ หรือว่าพระวิญญาณสั่งในวิญญาณของเราว่าจะไปหรือไม่ไป อย่าลืมนะ การทำงานของพระเจ้ากับจิตของเรามันต่างกัน มันไม่เหมือนกัน คือหลายครั้ง คริสเตียนหลายคนหลง คิดว่าจิตของเรา ความคิดของเรา อาจจะเป็นพระเจ้ากำลังดลใจอยู่ให้ไป ให้ทำ ที่จริงแล้ว มีหลายคนที่พลาด คือมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาต้องเรียนรู้ ว่าพระเจ้านำเรามันเป็นลักษณะแบบไหน มันมีอาการยังไง พระเจ้านำหรือเรานำกันแน่
หลายครั้ง ที่คริสเตียนเราทำอะไรลงไป เราคิดว่า พระเจ้านำ คิดว่าพระเจ้าบอก คิดว่าพระเจ้าสั่ง พระเจ้าสั่งให้เรามาบอกเจ้า กลับใจซะ เลิกทำบาป หรือพระเจ้าสั่งให้ข้าพระองค์ เดินทางไปนู่นนี่นั่นใช่ไหม ไปตรงโน้น เมืองนี้ เมืองนั้น ที่จริงแล้วพระเจ้า ไม่สั่งก็มี เราเองหลง เราเองคิดไปเองว่าพระเจ้าสั่ง
ถ้าพระเจ้าสั่ง เราจะมีอาการร้อน เร่าร้อน ร้อนรน กระตือรือร้น หรือมีอาการเมตตาสูง มีอาการความรักที่สูงมาก คือมีความปรารถนาที่มันยิ่งใหญ่ มันรุนแรง มากๆ อยู่ในเรา คือบางครั้งหลายครั้ง คริสเตียนเราคิดไปว่า เราคิดไปเอง ว่าพระเจ้านำเรา ที่จริงแล้วไม่ใช่ เราโกหกตัวเองหลายครั้งเราไป แล้วเกิดผลไหม
นี่คือคำถามที่ 3
1. เรามีอาการร้อนรน กระตือรือร้น ร้องไห้ สงสาร มีความรักยิ่งใหญ่ มีอะไรที่มันเกิดขึ้นผิดปกติที่ร่างกายเรา แสดงว่าพระเจ้านำให้เราไป
2. พอเราไปแล้วมันเกิดผล เราไปแล้วจะเกิดผลไม่มากก็น้อย
3. เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่บอกเราให้ไป 1. ได้ยินเสียง 2. มีอาการผิดปกติที่ร่างกาย ภายในจิตใจของเรา 3. คือไปแล้วเกิดผล
แต่ทุกวันนี้ คริสเตียนส่วนมากโกหกเขาเองคิดว่าพระเจ้านำเขา แต่ที่จริงแล้วพระเจ้าไม่ได้นำ ขอให้ระมัดระวัง
อย่าลืมนะ ส่วนมากคริสเตียนนำพระเจ้า ไม่ใช่ให้พระเจ้านำเรา เรานำพระเจ้า เราหลง เราเข้าใจผิดเราคิดว่าพระเจ้านำเรา เราคิดว่าพระเจ้าพูดกับเรา เราคิดว่าพระเจ้าจะสั่งเราไป แท้ที่จริงเราไปเอง
การเรียนรู้ ที่จะให้พระเจ้าทรงนำ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากอะไร
1. เราต้องยอม ต้องยอมเรียนรู้วิธีการรอคอย การนำของพระเจ้า การทำงานของพระเจ้าเราต้องรอคอย เราต้องรอเพื่ออะไร พระเจ้าต้องการท้าทายเรา เรามนุษย์ และคริสเตียนใจร้อน เราใจร้อน เราอยากทำอะไร อยากไปไหน เรารีบทำ รีบไป แล้วเราอธิษฐานขอพระเจ้า ขอให้พระเจ้าตอบด่วนๆ ใช่ไหม แล้วเราก็รีบๆ รีบทำไปเลย พระเจ้าต้องการให้เรารอ อยากให้พระเจ้านำไหม
1. รอ รอ มีคนบอกว่า รีบไปเถิดมันถึงเวลาแล้ว ไม่ทันรถแล้ว... ไปก่อน ฉันจะรอ
ถ้าทำได้พระเจ้านำจริงๆ กล้าไหมล่ะ แล้วถ้าพระเจ้านำนะครับ รถไปแล้วนะครับ แล้วพระเจ้านำจริงๆ มันจะมีรถที่ดีกว่า นั่งแอร์เย็นกว่าด้วย ไปสะดวกสบายกว่าด้วย พระเจ้าคุ้มครอง ปกปักรักษา กล้าไหมล่ะ คือมันเป็นการท้าทาย การเรียนรู้ให้พระเจ้าทรงนำ
มันเป็นการที่ท้าทายคือเราต้องหยุดเราต้องรอ เราต้องคอย ถ้าอยากให้พระเจ้านำ อยากเห็นพระเจ้าทำงานต้องรอ ใครจะเป็นจะตายไม่เป็นไรข้าจะรอ
อย่าลืมนะว่าการเป็นคริสเตียนการเป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ว่ามารับเอาแต่สิ่งที่ดีๆ จากพระเจ้า ไม่มันเป็นการเข้าใจผิด คริสเตียนทุกวันนี้ หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้า ต้องการสิ่งดีๆจากพระเจ้าเท่านั้น ไม่รับสิ่งที่ไม่ดี อันนี้ผิด ผิดใหญ่เลย ถ้าเราไม่รับสิ่งที่ไม่ดีจากพระเจ้าเลย เราไม่รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเลย เราจะไม่โตๆ และเราชีวิตเราจะไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า บางครั้งพระเจ้าให้ปัญหาเข้ามาเพื่อให้เราโต บางครั้งพระเจ้าให้ปัญหา เข้ามา เพื่อให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า พอเราเจอปัญหาปุ๊บ แล้วเราโวยวาย เราด่า เราด่าคนโน้นเราด่าคนนี้ แล้วเราทำผิดทำบาป เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม ใช่ตอนที่เราอยู่ดีๆ เราไม่มีปัญหาอะไร เราก็ทำตัวเป็นคนดีน่ารักใช่ไหม แต่พอเจอปัญหา เราระเบิด เราโวยวาย เราทำบาปทำชั่ว คนที่อยู่รอบข้างเราเห็นเรา อ้าวนี่หรอคริสเตียนใช่ไหม
อย่าลืมนะ พระเจ้าให้เราเจอปัญหา เจอมรสุมชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า คนรอบข้างเขามองเรายังไง ถ้าคุณนะครับ คุณ คุณเจอปัญหาแล้วทำบาป แล้วมนุษย์มอง คนที่อยู่รอบข้างเรามอง พระเจ้าเสียเกียรติ พระเจ้าไม่ได้รับเกียรติ นี่คือเป้าหมายที่พระเจ้าให้เราเจอปัญหา
2. พระเจ้าให้เราเจอมรสุม เจอปัญหาชีวิตก็คือเพื่อให้เราได้รับวิตามิน ให้เราได้รับโปรตีน ปัญหานะครับ ก็เหมือนแสงแดดที่ต้นไม้ต้องการ ต้นไม้ต้องการแสงแดดฉันใด คริสเตียน ก็ต้องการปัญหาฉันนั้น ถามว่ารู้ได้ยังไง มัทธิวบทที่ 13 ข้อที่ 6 บอกว่า เมื่อต้นไม้มันงอก มันเกิดขึ้น มันโตขึ้นมานิดหน่อย มีแสงแดด แผดเผา ร้อน ต้นไม้ต้องการแสงแดด มนุษย์ก็ยังต้องการแสงแดดเลยใช่ไหม แต่ความหมายของพระเจ้า พระเยซูต้องการสอนเราในมัทธิวบทที่ 13 ข้อที่ 6 คือเราต้องการปัญหา
คริสเตียน ถ้ามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เจอปัญหาเลยเป็นไปไม่ได้ คริสเตียนเมื่อเชื่อพระเจ้า พระเจ้าต้องเอาปัญหามาให้ เอาแสงแดดมาให้เพื่อเป็นวิตามิน เป็นโปรตีนสำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา พูดง่ายๆ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราต้องการปัญหาเพื่อให้เติบโต เพื่อเกิดการอดทน เพื่อเกิดการเติบโต เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อให้เราเป็นผู้ใหญ่
ผมนะครับ ถ้าไม่หนีออกจากบ้านตั้งแต่ตอนอายุ 16 จนถึงทุกวันนี้ คือผมไม่เข้าใจชีวิต ผมจะเป็นคนที่แบบ ใช้ชีวิตแบบเอาแต่ใจตัวเอง แบบไม่รู้ความเป็นผู้ใหญ่ ไม่รู้การเก็บเงิน เก็บออม คือมีอะไรก็ใช้ๆ ขโมยเงินพ่อแม่เอาไปซื้ออะไรมากิน ไปสนุกสนานกับเพื่อน ไปเล่น ไปเที่ยว ไม่รู้คุณค่าของเงิน แต่พอผมยากจนผมออกจากบ้านไป ไปยากจน ไปเผชิญกับชีวิตอยู่ข้างนอก คือเจอมรสุมอะไรมากมาย เยอะแยะ เลยสุดท้าย เข้าใจแล้วถ้าเราไม่ได้มาถึงจุดนี้ เราก็ไม่รู้จักชีวิต คุณค่าของชีวิต คุณค่าของเงินทอง คุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณค่าของพระคุณของพ่อแม่
พระเจ้าต้องการให้เราเจอ จำได้ไหม พระเยซูตรัสใน มัทธิวบทที่ 7 ข้อที่ 24 -27
บอกว่าชีวิตของเรา ของผู้เชื่อเปรียบเสมือนบ้าน คุณจะสร้างบ้านอยู่บนศิลา หรือคุณจะสร้างบ้านอยู่บนทราย กองทราย อยู่บนหินศิลา หรือกองทราย ถ้าคุณอยากสร้างบ้านอยู่บนหินศิลาคุณจะต้องอยู่ในพระเยซู ตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อ แล้วคุณจะเจอพายุ เจอมรสุม เจอปัญหา เจอ ฝนตก หนัก บ้านที่ตั้งอยู่บนศิลาคือบ้านที่ยึดมั่นอยู่ในพระเยซู ตั้งมั่นอยู่ในพระเยซู สนิทในพระเยซู ยึดมั่น บอกรัก ติดสนิทในพระเยซู คือบ้านที่สร้างอยู่บนหิน มรสุมจะมา พระเยซูบอกว่า จะมีมรสุมมา ลมพายุพัดมา แม่น้ำไหลเชี่ยวตี ฝนตกลงมา ฝนตกหนัก บ้านทนได้เพราะว่าอยู่ในพระเยซู
ถ้าเราเจอ ปัญหา มรสุมอะไร ถ้าไม่โวยวายอะไร แต่ขอบคุณพระเยซู สนิทในพระเยซูบอกรักพระเยซู ชีวิตปัญหามรสุมเข้ามาก็จะไม่หวั่นไหว ผมขอพูดความจริงเลยนะ ทุกวันนี้ผมขอบคุณพระเจ้าที่มาถึงจุดนี้ คือไม่แคร์ ไม่สนใจ ไม่หวั่นไหว ผมจะเจอยังไงผมจะเป็นยังไง จะยากจน จะมั่งมี จะเจอปัญหาอะไรในแต่ละวัน จะเจออะไรผมไม่สนใจ คือมีปัญหามาก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ปล่อย ไม่เป็นไร เจอแล้วก็ต้องจ่าย ก็เสียเงินไป ก็ไม่เป็นไร ก็แล้วไปไม่บ่น ไม่โวยวาย เฉยๆ ก็ขอบคุณพระเยซู พระเจ้าให้เกิดมันเกิดได้ พระเจ้าไม่ให้เกิดมันก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจอมรสุมชีวิต เมื่อเราเจอปัญหา เราขอบคุณพระเยซู โอเคมาเลย ยังไงก็ได้ ไม่ตายก็พอแต่สุดท้าย เป็นยังไงเราผ่านได้
สรุป ปัญหาทุกปัญหา พระเจ้าจะปลอบประโลมเรา ปัญหาทุกปัญหาพระเจ้าก็อยู่ด้วยอยู่กับเรา ปัญหาทุกปัญหามีกำหนด ผมเอามาจากพระคัมภีร์
1. ปัญหาทุกปัญหาพระเจ้าอยู่กับเรา ปลอบประโลมเรา
2. ปัญหาทุกปัญหา พระเจ้าจะให้มันมีกำหนดมันจะไม่นานเกินไป มันจะไม่ตลอดชีวิตของเรา มันจะมีกำหนด
3. คือปัญหาจะไม่หนักเกินความอดทนของเรา (1.) พระเจ้าอยู่กับเราปลอบประโลมเรา (2.) ไม่นานเกินไป (3.) ไม่หนัก
นี่นะครับ คือปัญหาที่พระเจ้าให้เกิดกับเรา พระเจ้าอนุญาตมันถึงจะเกิดได้ และ 3 สิ่งนี้คือสิ่งที่หนุนใจเรา
1. พระเจ้าจะอยู่กับเราและปลอบประโลมเรา
2. ไม่นานเกินรอ
3. ไม่หนักเกินไป ไม่หนักเกินความอดทนของเรา ถ้าเราเจอปัญหา ขอให้เราจำสิ่งนี้ ไว้และให้เรานิ่งกับพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าขอบคุณพระเยซูที่มีอะไรเกิดขึ้นมีอะไรเข้ามาไม่เป็นไร
ข้าพระองค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วรู้ไหมถ้ามันผ่านไปแล้ว เราจะได้บำเหน็จรางวัล พระเจ้าจะอวยพรเราให้เรามีในสิ่งที่เราต้องการ ให้เราเจอในสิ่งที่เราปรารถนา
พระเจ้าอนุญาต ทุกปัญหาที่มาถึงเรา ทุกวันนี้ พระเจ้าอนุญาตถึงจะเข้ามาถึงเราได้ เราขี่รถไป มอเตอร์ไซค์มาปาดหน้าเรา มาชนเรา รถเราเสียหายและเขาฟ้องเราด้วย เราต้องจ่ายให้เขา เราควักกระเป๋าจ่าย คือทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้น พระเจ้าอนุญาต มันจึงเกิดได้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้เกิดคือพระเจ้าก็ผลัก มอเตอร์ไซค์ไม่ให้มาชนเรา ถ้าพระเจ้าให้เกิด มันเกิด ถ้าพระเจ้าไม่ให้เกิดเราปลอดภัย ขอให้จำสิ่งนี้ไว้
แล้วทำไมพระเจ้าให้เกิด ทำไมพระเจ้าให้เราเจอปัญหาชีวิต ในแต่ละวัน จำได้ไหมเพื่อโต เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า มีคนมาทำไม่ดีกับเรามาชนเรา เราบอกไม่เป็นไรขอโทษขอยอมรับผิด อะ 200,000 เอาไปเลย เราทำดีกับเขา เราสำแดงชีวิตของพระเยซูให้เขา ใช่เขาอาจจะได้เงินเรา แต่ใครที่จ่ายให้เราทีหลัง คือพระเจ้า อย่าลืมนะ คุณทำอะไรอยู่ในโลกนี้ใครมองดูอยู่ พระเจ้าให้ทูตสวรรค์ถือแท็บเล็ต iPad ติดตามคุณอยู่ ว่าคุณทำอะไร คุณไม่ต้องไปหวังอะไรจากมนุษย์ แต่ให้คุณหวังจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นคนมอบรางวัลให้คุณ ถ้าคุณทำดีถ้าคุณถวายเกียรติแด่พระองค์ ถ้าคุณอดทนคุณไม่โวยวายไม่บ่นไม่เบื่อ เอเมนไหม
ถาม.
เราอธิษฐานเผื่อคนที่ตายไปแล้วได้ไหม
ตอบ.
เราสามารถอธิษฐานเผื่อคนที่ตายไปแล้วได้ ญาติพี่น้องเรา ญาติเรา พ่อแม่พี่น้อง ใครก็ตามที่อยู่ในแดนมรณะ แดนคนตาย เราขอพระเจ้าเมตตาเขาได้ ขอได้ ขอให้พระเจ้าสงสาร ขอพระเจ้าเมตตา ขอพระเจ้าไถ่เขา ขอได้ แล้วพระเจ้าก็จะไปประกาศกับเขา ก็จะไปบอกข่าวดีเรื่องพระเยซูให้กับเขารับ ขอได้
คือสำหรับคนเรา มนุษย์เราสามารถรับข่าวประเสริฐได้ 2 ครั้ง
1. ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แล้วมีคนมาพูดเรื่องพระเยซู อาจจะไม่ได้ตั้งใจฟัง อาจจะแบบปฏิเสธแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะคนเราทุกวันนี้ไม่ได้ตั้งใจหรอก เราไม่รู้ว่าอะไรของดี อะไรของไม่ดีไม่มีใครหรอกที่รู้ว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูตายเพื่อไถ่บาปจริงๆ แล้วบอกว่าข้าพระองค์รู้ ข้าพระองค์แน่ใจ แต่ว่าข้าพระองค์จะไม่รับ อันนี้ไม่มี
คนทุกวันนี้ ไม่รับพระเยซูเพราะว่าเขาไม่เข้าใจ คนทุกวันนี้เขาไม่รับพระเยซูก็เพราะเขาตาบอด หูหนวก เขาถูกปิดหูบังตา จากความจริงของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าก็รัก พระเจ้าก็เมตตา ถ้าคนไม่รอดในโลกนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสครั้งสุดท้ายครั้งเดียว อยู่ในแดนคนตาย ใครพ่อแม่ ใครญาติพี่น้อง ใครที่ตายไป เราเห็นว่าเขายังไม่เชื่อพระเยซู เราอธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาเขา ความเมตตาของพระเจ้าเนี่ย ไม่ใช่เมตตา พระเจ้าไม่ได้มีพระเมตตาแต่มนุษย์เฉพาะอยู่ในโลกนี้ แต่พระเจ้ามีพระเมตตาต่อจักรวาล
อย่าลืมว่าพระเจ้าเมตตา พระเจ้ารัก ความรักของพระเจ้ามันไม่ได้มีขีดจำกัด ไม่ใช่ว่ามันจำกัดเฉพาะโลกนี้ พระเจ้ารักมนุษย์คนตายแล้วพระเจ้าไม่รัก ไม่!!
พระเจ้ารักทั้งคนเป็นทั้งคนที่อยู่ในแดนคนตาย
อย่าลืมว่าถ้าใครมีปัญหามาก พระเจ้ารักมาก อย่าคิดเหมือนคริสเตียนชาวโลก คริสเตียนศาสนา เขาคิดว่าพระเจ้าคงไม่รักเรา เราเจอแต่ปัญหา พระเจ้าปล่อยทิ้งเราพระเจ้าไม่แคร์ ผิดนะ ใครมีปัญหามาก พระเจ้ารักคนนั้นมาก พระเจ้ารักมากก็ให้มีปัญหามาก เพื่อให้เติบโตเร็ว เพื่อให้เติบโตมาก