ภาระก็หนัก กางเขนก็หนัก 3 วันดี 4 วันบาป 3 วันสุข 4 วันทุกข์ ชีวิตขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปไปจนตาย ไม่เคยได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ที่ครบถ้วนสักที ไม่มีรักแท้ ใส่หน้ากากเข้าหากัน แสดงละครตอนมาอยู่รวมกันกับพี่น้องคริสเตียนเหล่านั้น ยังมีความหยิ่ง อวดตัว อวดดี อวดรู้ อวดฉลาด กิเลสตัณหาโลภโกรธหลง
ปัญหามาจาก
คริสเตียนกินพระคำที่เป็นน้ำนมตลอดชีวิต ไม่เคยได้พบอาหารผู้ใหญ่สักครั้ง และปัญหาที่สอง
คือตีความหมายพระคัมภีร์ผิด เรียกกันว่ากินเชื้อยีสต์ ทำให้คริสเตียนไม่ได้รับพระคำที่เป็นความจริง เป็นชีวิตและฤทธิ์เดช สันติสุขทุกเวลาจึงไม่มี จิตใจใหม่จึงไม่มา พระคำภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าก็จริงอยู่ แต่ถ้าหากเราแปลผิด พระคำก็ไม่ใช่ความจริง ไม่มีชีวิตและไม่มีฤทธิ์เดช
-บทเรียนต่อไปนี้จะช่วยให้ท่านพบสันติสุขทุกวันเวลา และเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ในแต่ละวันได้
การยกโทษบาป
การยกโทษบาปเพราะพระโลหิต ฮบ 7:27, 9:12,10:12 พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้เราเพราะพระโลหิต ไม่ใช่เพราะความดีความชั่วของเรา ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นผู้รับใช้หรือไม่ได้เป็น เมื่อมีการสารภาพบาป พระเจ้าก็จดจำว่าพระโลหิตได้จ่ายหนี้บาปเราแล้ว จึงยกโทษให้เรา ฮบ. 9:12 พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปหาพระบิดาในสวรรค์เพื่อถวายพระโลหิตเป็นเครื่องไถ่บาปและพระเจ้าได้ตั้งพระโลหิตนี้ไว้เพื่อการยกโทษบาปนิรันดร์แก่มนุษย์
ทุกครั้งที่มีการสารภาพบาปก็ต้องมีการยกโทษอย่างแน่นอน ถ้าสมมุติว่าพระเจ้าไม่อยากยกโทษบาปให้เรา พระเจ้าก็ไม่อาจสามารถทำได้ พระองค์ต้องได้ให้อภัยให้เราเมื่อเราสารภาพบาปและความจริงแล้ว การยกโทษนี้พระเจ้าก็ต้องการกระทำกับเราอยู่แล้ว พระโลหิตไม่ใช่เพื่อมาล้างชำระบาปเรา แต่มีไว้ให้พระเจ้าเห็นและจดจำว่าเป็นค่าจ่ายหนี้บาปของเรา
- พระเจ้ายกโทษให้เรากี่ครั้ง
ผู้นำหลายท่านสอนว่าถ้าทำบาปบ่อยๆ พระเจ้าจะไม่ยกโทษบาปให้เรา แต่ในมัทธิว 18:21-22 บอกว่า วันหนึ่งเปโตรถามพระเยซูว่า ถ้ามีคนทำผิดกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรยกโทษให้กี่ครั้ง 7 ครั้งพอไหม พระเยซูตอบว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ 70 ×7 ครั้ง ความหมายก็คือเมื่อพระเยซูสอนให้เปโตรยกโทษให้ผู้อื่น 70×7 ครั้ง และแน่นอนที่สุดพระองค์ก็จะทรงยกโทษแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะทำบาปกี่ครั้งก็ตาม แต่หากสารภาพด้วยความเสียใจ จริงใจ และพระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา
- บาปทุกชนิด
ผู้นำบางท่านสอนว่าบาปบางชนิดที่ใหญ่และตั้งใจทำ พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ แต่ถ้าเราดูใน 1 ยน. 1:9 เราจะเห็นว่าพระเจ้าจะยกโทษบาปทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบาปใหญ่ บาปเล็ก บาปมาก บาปหนัก บาปเบา บาปตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ บาปในที่ลับที่ทำแล้วคนไม่เห็นหรือทำต่อหน้าคน บาปที่คนอื่นไม่ยกโทษให้ บาปในอดีต บาปในปัจจุบันและบาปในอนาคต
- ยกโทษและลบล้างทุกครั้งที่พระเจ้ายกโทษให้เรา พระองค์จะลบล้างด้วยคือจะไม่จดจำความผิดของเรา
ถ้าหากเราจะถามพระบิดาว่า พระบิดาพระองค์ทรงจดจำได้ไหมว่าข้าพระองค์ทำผิดอันใด พระเจ้าจะตอบว่าเราจำไม่ได้ 1 ยน. 1:9 เมื่อสารภาพบาปแล้ว คริสเตียนไม่ควรจดจำความผิดของตัวเองอีกต่อไป แต่ขอบคุณพระเจ้าเพราะพระโลหิตที่มีคุณค่ามากมายทำให้พระเจ้าชำระความผิดบาปของเรา
- พระเจ้าเมตตาเราเพราะว่าจิตใจของเราป่วย
พระเจ้าทรงเข้าใจดีว่าเราป่วยทางจิตใจ เป็นทาสของตัวบาป แต่เราไม่รู้ ยรม. 17:9 บอกว่า จิตใจของมนุษย์นั้นก็ป่วยแต่เขาไม่รู้ตัว โรม. 7:14-24 พูดถึงปัญหาของเนื้อหนังที่เปาโลมีประสบการณ์ที่ต่อสู้กับตัวบาปที่อยู่ในเขาและปัญหานี้ก็เป็นปัญหาของคริสเตียนทุกๆคนด้วย
การยกโทษบาปของพระเจ้าเพื่อทำลายกำแพงบาปเพื่อพระเจ้าจะทำงานในเราอย่างต่อเนื่องได้ และเพื่อป้องกันมารซาตานไม่ให้กีดกันเราจากพระเจ้าและปิดหูบังตาเราจากความจริงในพระคำพระองค์
- สารภาพแล้วขอบคุณทันที 1 ยน. 1:9
การยกโทษบาปนั้นเป็นระบบ คำว่าระบบคือทันทีที่เราสารภาพบาป พระเจ้าก็จะยกโทษให้เราเหมือนกัน ไม่ต้องรอห้าหรือสิบนาทีหรือได้สัมผัสพระเจ้าก่อน หลังจากเราสารภาพแล้วเรารอนิดหนึ่งแล้วยิ้มขอบคุณพระเจ้าที่ยกโทษให้เรา
ยกตัวอย่างผู้ชายคนหนึ่งได้สารภาพบาปและเขาได้กล่าวว่า พระบิดา ข้าพระองค์เสียใจที่ได้ทำผิดทำบาปต่อน้ำพระทัยพระองค์ ขอพระองค์ทรงเมตตายกโทษความผิดบาปให้ข้าพระองค์ด้วย หลังจากนั้นเขาก็รอ 2-3 วินาที แล้วยิ้ม แล้วพูดต่อไปว่า พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระโลหิตของพระองค์ได้ตั้งไว้เพื่อการชำระบาปและเพื่อการยกโทษความบาปของข้าพระองค์ เอเมน แล้วก็สบายใจ แล้วเราก็ลืมว่าเราได้ทำอะไรผิดไป เพราะว่าพระเจ้านั้นได้ยกโทษและลบล้างความผิดความบาปของเราแล้ว
- สารภาพแล้วขอการเปลี่ยนแปลงด้วย การสารภาพบาปที่ครบถ้วนควรขอการเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อเราจะไม่ต้องมาสารภาพอีกเมื่อเรามีจิตใจใหม่ แล้วเราก็จะไม่ต้องสารภาพหลายครั้งเพราะเราไม่ทำบาปหลายครั้งในแต่ละวัน คำว่าขอการเปลี่ยนแปลงคือพระเจ้าจะให้เห็นผลของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ในเรามากขึ้น
---
2.เข้ามาหาพระเจ้าทางพระโลหิต
คริสเตียนเข้าใจผิดคิดว่าถ้าเราจะอ่านพระคำ อธิษฐาน นมัสการพระเจ้า ต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ทำบาป พระเจ้าจึงจะต้อนรับเรา นี่เป็นความเข้าใจผิด ถึงเราจะเชื่อฟังพระเจ้า หรือไม่ทำบาป หรือทำบาปก็ไม่สำคัญ ถ้าเรามาทางพระโลหิต พระเจ้าก็จะต้อนรับเราแน่นอน เพราะว่าเรามาทางพระโลหิตพระเยซู ฮบ. 10:19 กล่าวว่าเมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้ามาในสถานศักดิ์สิทธิ์โดยทางพระโลหิต
---
3.พระโลหิตแก้ไขปัญหา 4 อย่างของเราแล้ว
พระโลหิตทำให้พระเจ้ายกโทษให้เราทุกครั้งที่เราสารภาพบาป ฮบ. 9:12/ 1 ยน. 1:9 พระเจ้ายกโทษบาปให้เราเพราะพระโลหิต 70×7 ครั้งคือไม่มีกำหนด บาปทุกชนิดพระเจ้าลบล้างหมดเมื่อยกโทษบาปแล้ว เพราะเราป่วย พระเจ้าจึงเมตตาสงสารและอภัยให้เราอยู่เสมอ ขอบพระคุณทันทีและขอการเปลี่ยนแปลงด้วยนี่คือการยกโทษบาปที่ครบบริบูรณ์
เราเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยทางพระโลหิต โดยการอธิษฐาน การอ่าน การนมัสการ ฮบ. 10:19 เราไม่ต้องฟ้องผิดอีกในจิตใจ พระเจ้าลบล้างหมดแล้ว 1 ยน. 1:9 คริสเตียนมากมายทุกวันนี้กลัวฟ้องผิดในใจ คิดว่าพระเจ้าอาจจะไม่ยกโทษให้เราเพราะความผิดบาปเรามีมากและทำทุกวัน เพราะเราไม่เข้าใจและไม่รู้คุณค่าอันยิ่งใหญ่ของพระโลหิตของพระเยซู ในขณะที่เราฝึกเดินในฝ่ายวิญญาณนั้น เรายังทำบาปอยู่ เราจึงไม่กล้าที่จะบอกรักพระเยซู ไม่กล้าที่จะสนิทในพระเยซู แต่อย่าลืมว่าพระโลหิตได้จัดการกับปัญหานี้แล้ว ให้เราแยกเรื่องการทำบาปและการสนิทออกเป็นคนละเรื่อง เราจะสนิทขณะที่ทำบาป พระวิญญาณจะทำงาน เราจึงเห็นความบาปลดน้อยถอยลงในแต่ละวัน พระโลหิตแก้ไขปัญหาที่ 4 คือซาตานไม่สามารถฟ้องเราต่อพระเจ้าเหมือนตอนที่มันฟ้องท่านโยบได้อีกแล้ว เพราะว่าเรามีพระคริสต์เป็นทนายความเพื่อต่อสู้การฟ้องของมารซาตานเพื่อเราทุกๆวัน
---
4.รอดแล้วรอดเลย
ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์คือเชื่อเท่านั้นก็ได้รอดแล้ว
ยน. 3:16/ อฟ.2:8-9 ความรอดที่เราได้รับนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการปฎิบัติเพราะว่าความรอดเป็นพระคุณเเละเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราได้มาโดยทางความเชื่อเท่านั้น อฟ. 2:8-9/ โรม. 11:6 ทุกวันนี้คริสเตียนมากมายกลัวว่าเชื่อเท่านั้นจะไม่รอดจึงพยายามเชื่อฟังพระเจ้ารักษาพระบัญญัติ ถวายสิบลดและไปโบสถ์เป็นประจำ เปาโลเรียกคำสอนนี้ว่าข่าวประเสริฐอื่นที่พวกคริสเตียนชาวยิวพากันประกาศและมีมาจนทุกวันนี้เพราะเขาไม่เข้าใจ กท. 1:6-9 เพราะฉะนั้นถ้าใครสอนว่าเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องปฏิบัติจึงจะได้รอดจากนรกบึงไฟ ก็คือเขาได้ประกาศข่าวประเสริฐอื่นและจะต้องถูกสาปแช่งแน่นอน กท 1:8-9/ อฟ. 2:8-9 ภาษากรีกแปลว่าโดยพระคุณท่านทั้งหลายได้รอดแล้ว ไม่ใช่อาจจะรอดหรือพยายามรอดให้ได้ แต่รอดแล้วและไม่ใช่โดยตัวของท่านทั้งหลายเอง
แต่เป็นของขวัญจากพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้
ยน. 10:28 พระเยซูกล่าวว่าแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีใครมาแย่งชิงแกะไปจากมือของเราได้เลย โรม. 11:6 กล่าวว่าถ้าเป็นทางพระคุณก็ไม่ได้เป็นทางการปฏิบัติ เพราะฉะนั้น พระคุณก็ไม่เป็นทางพระคุณอีกต่อไป อฟ 4:30 กล่าวว่า โดยพระวิญญาณนั้นท่านทั้งหลายได้ถูกประทับตราหมายไว้ จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด
คนที่เป็นคริสเตียนแต่วันหนึ่งได้ละทิ้งพระเจ้าเลิกเชื่อพระเยซูคือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่เลย เขาอาจจะดูเหมือนเป็นคริสเตียนแต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นข้าวละมาน มธ. 13:24-30 ความเชิ่อที่ไม่มีการปฏิบัติคือความเชื่อที่ตายแล้ว ยก 2:14 ท่านยากอบไม่ได้กล่าวว่ามีความเชื่อแล้วต้องปฏิบัติแต่ท่านกล่าวว่าความเชื่อแท้จะทำให้มีการปฏิบัติ เช่นอยากรู้เรื่องพระเจ้า ความรอด พระคัมภีร์ ความเชื่อ อยากอ่าน อยากอธิษฐาน อยากไปคริสตจักร อยากบอกคนอื่นเรื่องพระเยซูและเรื่องความรอด
สรุปแล้วความเชื่อแท้จะทำให้เราได้บังเกิดใหม่และจะมีการปฏิบัติเกิดขึ้นเองไม่มากก็น้อย มธ. 5:20 พระเยซูกล่าวว่า เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของพวกท่านไม่เหนือกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ท่านจะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เป็นอันขาดและยังมีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่พูดถึงการเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องมีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่นั่นไม่ใช่ความรอดในวันสุดท้ายหรือรอดจากนรกบึงไฟ แต่เป็นการได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์หรือรอดในยุคพันปี เพื่อร่วมปกครองกับพระเยซูคริสต์ คนที่ไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรนั้นคือคนที่ไม่มีจิตใจใหม่ เลิกทำบาปยังไม่ได้
---
5. ความรอดมีสองรอด
ความรอดในพระคัมภีร์มีสองความรอดใหญ่ คือ ความรอดที่ 1. คือรอดจากนรกบึงไฟหรือรอดในวันสุดท้าย ความรอดนี้เพียงแต่เราเชื่อพระเจ้าเท่านั้น เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราก็ได้รอดแล้ว
และความรอดที่ 2. คือรอดเข้าไปในอาณาจักร อาณาจักรคืออะไร อาณาจักรสวรรค์หรืออาณาจักรของพระเจ้าในยุคหน้า คือการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อปกครองโลกนี้เป็นเวลาพันปี ผู้ที่จะเข้าไปในอาณาจักรนี้ได้และได้ร่วมปกครองกับพระเยซูตลอดไป คือคนที่ต้องดำเนินชีวิตและนิสัยเหมือนพระเยซู ซึ่งไม่มีใครจะทำได้ นอกจากจะให้พระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเราและทำดีแทนเราในแต่ละวันได้
ถ้าหากเราอ่านเห็นพระคัมภีร์ข้อไหน ที่กล่าวว่าเชื่อเท่านั้นก็จะได้รอด คือรอดจากนรกบึงไฟ แต่ ถ้าหากพระคัมภีร์ข้อใดที่กล่าวว่า เชื่อไม่พอต้องเชื่อฟังพระเจ้าและไม่ทำบาปในแต่ละวัน คือ รอดเข้าไปในอาณาจักรพันปี และคนที่จะได้เข้าไปในอาณาจักรพันปีนี้ ยังจะได้ครอบครองกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันดรอีกด้วย
---
6.โลกนี้มี 4 ยุค
เรื่องยุคเป็นสิ่งสำคัญที่คริสเตียนควรรู้และเข้าใจ เพราะว่าผู้เชื่อมากมายทั่วโลกเชื่อและเข้าใจผิดว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว พวกเขาจึงหลงยุคและเข้าใจผิดเรื่องหลักการแห่งความรอดในแต่ละยุคและวางเป้าหมายการดำเนินชีวิตที่ผิด
สรุปแล้วโลกนี้มี 4 ยุค คือยุคบาป ยุคพระบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคอาณาจักร คืออาณาจักรพันปีนั่นเอง ยุคบาปนับตั้งแต่อดัมจนถึงโมเสส ยุคที่สองคือยุคพระบัญญัตินับตั้งแต่โมเสสจนพระเยซูเสด็จมา ยุคที่สามคือยุคพระคุณคือยุคนี้นี่เอง นับตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายจนพระเยซูกลับมาตั้งอาณาจักรในยุคพันปี และยุคสุดท้ายก็คือยุคอาณาจักรพันปีนี่เอง
ซึ่งพระเยซูจะปกครองโลกนี้เป็นเวลาพันปี บรรดาคริสเตียนที่ยังดำเนินชีวิตในบาปอยู่ในแต่ละวันจะไม่ได้ร่วมปกครองกับพระเยซู และจะถูกลงโทษอยู่ภายนอกที่สถานที่นึงเรียกว่าเกเฮนาจนครบพันปี หลังจากนั้นก็จะได้รอดเข้าไปในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เมื่อยุคพันปีผ่านพ้นไป พระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ให้เราอยู่
ปัจจุบันนี้เราอยู่ในยุคพระคุณและเรียกว่ายุคทำนา ยุคหน้าเป็นยุครับรางวัล รับพระพร ตำแหน่งอย่างครบถ้วนจากพระเจ้า ยุคนี้เราอยู่เพื่อการฝึกฝนชีวิต เพื่อการรับใช้ให้พร้อมสำหรับยุคหน้า เรานำคนมาหาพระเจ้าและนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในพวกเขาที่เชื่อแล้ว เพราะว่าปัจจุบันนี้มีคริสเตียนมากมายเหลือเกินที่ได้เชื่อพระเจ้าแล้วแต่ไม่รู้ว่าพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณนั้นสถิตอยู่ในพวกเขาและไม่เคยจากพวกเขาไปสักที และพระเยซูคริสต์องค์นี้ได้รอทำเพื่อพวกเราจะรู้และเข้าใจว่าพระองค์นั่นแหละที่จะเป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเราในแต่ละวันเพราะความชอบธรรมของเราไม่อาจจะเหนือความชอบธรรมของฟาริสีและธรรมาจารย์ถ้าหากเราไม่มีชีวิตของพระเยซูเป็นคนดำเนินชีวิตอยู่ในเรา
ท่านได้ตายแล้ว และเป็นคนใหม่แล้วในพระคริสต์ (กท 2:20/ โรม 6:3-13)
การตายทุกวันและการเป็นคนใหม่ทุกวัน (โรม. 6:11/ ลก. 9:23/ 1คร. 15:31/ กท. 2:20/ ฟป 1:21)
พระคริสต์อยู่ในท่านคือความหวังแห่งสง่าราศี (คส. 1:27)
การติดสนิทและการบอกรักพระเยซูสำคัญกว่าการรับใช้ (ยน. 15:5/ 1 ธส. 5:17 / วว 2:1-7)
การฝึกเดินในแต่ละวันคือการนับว่าตายทุกวันทุกเวลา (ลก. 9:23/ 1 คร 15:31/ โรม. 6:11,13/ กท. 2:20/ ฟป 1:21)
การเดินด้วยตัวใหม่ทุกวันเวลา (2 คร. 5:17) การสนิทในพระคริสต์บอกรักพระองค์ทุกเวลา (ยน. 15:5/ 1 ธส. 5:17/ วว 2:1-7)
สะสมพระคำที่แปลถูกอยู่ใน ยน 17:17/ โรม. 12:2 การดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อเอา เราไม่เดินด้วยสายตา อารมณ์ ความรู้สึก 2 คร. 5:17
---
-การเปลี่ยนความคิดเพื่อเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
การเปลี่ยนความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุด เพราะว่าคริสตจักรสอนผิด นำเชื้อยีสต์เข้ามาปะปนอยู่ในหลักคำสอนแห่งความจริงของพระคำพระเจ้า โรม 12:2 กล่าวว่า จงรับการเปลี่ยนจิตใจใหม่โดยการรับการเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ เมื่อเรารับการเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ แบบที่ถูกต้อง พระวิญญาณก็จะชำระหรือให้เรามีจิตใจใหม่ ซึ่งเป็นจิตใจของพระเยซู เป็นธรรมชาติของพระเจ้า เราจึงไม่สามารถทำบาปอีกต่อไปได้
---
1.ท่านได้ตายแล้วและเป็นคนใหม่แล้วกับพระคริสต์
การตายและการเป็นขึ้นมากับพระเยซู เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาปและมีตัวบาปสิงอยู่ในเขา โรม. 7:14-24 จิตใจของมนุษย์จึงป่วยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เลิกทำบาปได้ ยรม. 17:9 ทางเดียวเท่านั้นคือตาย เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขนพระองค์ได้นำเอาเราเข้าไปมีส่วนในการตายกับพระองค์ด้วย เมื่อพระเยซูตายเราก็ตาย ท่านได้ตายแล้ว ตัวเก่าอาดัมของท่านได้ถูกตรึงกับพระเยซูแล้ว ท่านไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในท่าน กท 2:20 สองพันปีก่อนเมื่อพระเยซูตายเราก็ตาย 2 คร. 5:14/ โรม. 6:3/ กท. 2:20/ คส. 3:3 เมื่อพระเยซูถูกฝังเราก็ถูกฝังกับพระองค์เหมือนกัน โรม. 6:4 เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็มีชีวิตใหม่ โรม. 6:4 การได้ตายและเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คริสเตียนควรจะรู้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลิกทำบาปและการดำเนินชีวิตใหม่ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้
คริสเตียนมากมายไม่รู้ว้าตัวเก่าของเขาได้ตายแล้ว เขาจึงพยายามเป็นคนใหม่ด้วยการเลิกทำบาป แต่การเลิกทำบาปนั้นไม่ได้เปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่หรือเป็นคนชอบธรรมได้ แต่การเกิดใหม่ต่างหากที่ทำให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมและเป็นคนใหม่ได้ การได้บังเกิดใหม่เป็นเพียงแต่หน้าฉากแต่การตายแล้วเป็นหลังฉาก คริสตจักรมากมายรู้แต่ว่าเขาได้บังเกิดใหม่ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาตายแล้ว ตายยังไง ตายตอนไหน ทำไมต้องตาย เมื่อคริสเตียนดูไม้กางเขนและอุโมงค์ เรามักจะเห็นพระเยซู มีคริสเตียนส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกเปิดตาให้ได้เห็นว่าพวกเขาก็อยู่ที่นั่นกับพระเยซูเหมือนกัน
การตายกับพระเยซูนี้ไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่แบบเล็งแต่เป็นการตายจริงในพระคริสต์เมื่อเราตายเราก็ได้พ้นจากตัวบาป โรม. 6:7 เราได้พ้นจากพระบัญญัติและได้พ้นจากโลกนี้ กท. 6:14/โรม. 7:4 เมื่อเราฟื้นคืนมา เราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรม โรม. 4:22-25, 5:19-21 และเราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ทันที 1 คร. 1:30 วันที่เราบัพติสมานั้นไม่ใช่วันที่เราตายและวันที่เราเกิดใหม่ แต่เป็นวันที่เราได้ยอมรับความจริงว่าเราได้ตายและถูกฝังกับพระเยซูเมื่อ 2 พันปีก่อนและเราได้เป็นกับพระองค์ เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมา การตายนี้เป็นการตายเพียงครั้งเดียวของพระเยซู ทุกคนจึงตายกับพระองค์
---
2.การนับว่าตายและนับว่าใหม่ทุกวัน
คริสเตียนมากมายไม่รู้ว่าเขาตายแล้วและเป็นขึ้นมากับพระเยซู พวกเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องการนับว่าตายคือะไร พวกเขาใช้มนุษย์เนื้อหนังดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า คริสเตียนบางกลุ่มเมื่อได้รู้เรื่องนี้แล้ว ก็คิดว่าการนับนั้นไม่สำคัญ เขาจึงไม่ได้นับว่าตายทุกวันอีกต่อไป แต่พระเยซูสั่งให้เราตายทุกวัน ลก.9:23 พระวิญญาณสั่งเปาโลให้เตือนพวกเราให้นับว่าตายแล้วทุกวัน โรม. 6:11และเปาโลเองก็นับทุกวันว่าท่านตายแล้ว 1 คร. 15:31 ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่ใหม่ทุกวัน กท 2:20 / 2 คร 6:17
---
3.ข้อลึกลับที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด คือ พระคริสต์อยู่ในเราเป็นความหวังแห่งสง่าราศี
คริสเตียนมากมายไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นอยู่ในเราตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อ พวกเขามักคิดว่าพระคริสต์อยู่ในสวรรค์กับพระบิดา เราขอเชิญพระองค์มาเยี่ยมบ้านหรือคริสตจักรบางครั้ง เพราะว่าเรื่องนี้เป็นข้อลึกลับที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
ผู้เชื่อมากมายจึงไม่เข้าใจและอาจไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน ถ้าหากเราได้รู้จักและเข้าใจถึงข้อลึกลับนี้แล้ว เราจะติดสนิทบอกรักและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ เราจะเติบโตสู่ชีวิตของพระเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อเราได้รู้ข้อลึกลับนี้แล้วและฝึกเดินในวิญญาณในแต่ละวัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพระคริสต์จะก่อร่างขึ้นในเรา
( 1.) เราจะตายไปและตายไปมากขึ้น และพระองค์จะมีชีวิตอยู่มากขึ้น กท. 4:19
( 2.) พระคริสต์จะขยายใหญ่ขึ้นในร่างกายนี้ เราเองก็จะเล็กลง ฟป. 1:20
( 3.) พระคริสต์จะดำเนินชีวิตแทนเรา เราเองก็จะตายไป ไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว ฟป. 1:21/ กท2:20
( 4.) พระคริสต์จะเป็นสติปัญญาของเรา จะเป็นคนคิดและตัดสินใจแทนเรา 1 คร. 1:30,5 พระคริสต์จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเราคือพระองค์เองจะให้จิตใจใหม่อยู่ภายในเราและจิตใจนั้นก็คือชีวิตของพระเจ้าคือชีวิตพระคริสต์ที่กระทำกิจอยู่ในเรานั่นเอง 1 คร. 1:30 เราจึงสามารถเลิกทำบาปได้
---
4. การบังเกิดใหม่และการทำงานของพระวิญญาณเพื่อขยายบ้านอยู่ในเรา
มนุษย์วิญญาณ ยน 3:6 กล่าวว่า ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ ทุกคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูก็เกิดจากเนื้อหนังทั้งนั้น แต่คนที่เชื่อก็เป็นมนุษย์วิญญาณ ชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณและวิญญาณควรจะเป็นนายของจิตใจ และสามารถสั่งให้จิตใจอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระวิญญาณ วิญญาณเองก็ควรจะอยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้า
---
-การบังเกิดใหม่ เมื่อเราเชื่อและต้อนรับเอาพระเยซู
เราก็ได้บังเกิดใหม่ทันที เพราะว่าพระวิญญาณได้บันดาลให้วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ จากนั้นพระวิญญาณก็เข้ามาครอบครองและสร้างบ้านอยู่ในวิญญาณของเรา และต่อมา พระเจ้าก็ทำงานเพื่อครอบครองจิตใจเราอีก วว. 3:20 เพื่อให้เราเลิกทำบาป และมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเพื่อสำแดงพระคริสต์ผ่านเราให้โลกเห็นพระองค์
การได้รู้ว่าพระคริสต์อยู่ในเราและการสร้างบ้านในจิตใจของเราของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ก็คือเราเชื่อเอา อฟ 3:17 กล่าวว่า เพื่อพระคริสต์จะครอบครองจิตใจของท่านโดยทางความเชื่อ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากและคริสเตียนมากมายยังไม่รู้และไม่เข้าใจ เขาพยายามทำดีรักษาตนเองให้บริสุทธิ์เพื่อพระคริสต์จะทรงครอบครองจิตใจเขาและเปลี่ยนแปลงจิตใจเขา แต่แท้ที่จริงนั้น เราเพียงแต่เชื่อเอาว่าพระคริสต์ครอบครองแล้ว พระคริสต์ก็ครอบครองแล้ว
คริสเตียนหรือมนุษย์วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้วโดยทางความเชื่อ คือโดยการเชื่อเอา เราไม่สามารถเห็นด้วยตาได้ แต่ต่อมาเราจะเห็นผลของชีวิตใหม่ คืออาการหิวกระหาย อยากรู้ อยากอ่าน อยากไปร่วมกับพี่น้อง อยากเป็นพยานประกาศเรื่องพระเยซูในทุกคน ยน 3:3-5
---
-เราเป็นคนบาปเพราะเกิดเก่าและเรากลายเป็นคนชอบธรรมได้เพราะเกิดใหม่
คริสเตียนมากมายเข้าใจผิดคิดว่าเรากลายเป็นคนบาปเพราะเราทำบาป แล้วเมื่อเราเปลี่ยนแปลงเป็นคนดี เราก็ได้เป็นคนชอบธรรม แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า การทำดีทำชั่วไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนชอบธรรมหรือเป็นคนบาป มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเป็นคนบาปเพราะเกิดจากอาดัมเรียกว่าเกิดเก่า พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระเยซูมาเพื่อดำเนินชีวิตอันชอบธรรมในโลกนี้ เพื่อทุกคนที่เชื่อจะได้กลายเป็นคนชอบธรรมและได้รับการไถ่ให้รอด โรม 5:19-21 การได้เป็นคนชอบธรรม เราได้มาโดยความเชื่อ พระเจ้าทรงนับความเชื่อของเราว่าเป็นความชอบธรรมนั่นเอง โรม. 4:22-25
---
คริสเตียนทุกคนได้รับการชำระด้วยพระโลหิตนี้แล้วทันทีที่เราเชื่อ 1 คร. 1:2 การชำระนี้ทำให้เราได้รับการยกโทษบาปและได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า เราได้กลายเป็นคนใหม่และเป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์ พระบิดาจะมองว่าเราใหม่ ชอบธรรมบริสุทธิ์ทุกเวลา เพราะพระโลหิตของพระเยซู
การชำระของพระเจ้าสำหรับคริสเตียนมีสามขั้นตอนด้วยกันคือ
1.การชำระด้วยพระโลหิต เพื่อรับความรอดจากนรกบึงไฟ
2.การชำระด้วยพระคำ เพื่อรับการชำระด้วยพระวิญญาณ
3.การชำระด้วยพระวิญญาณ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเราเมื่อได้รับการชำระด้วยพระคำแล้ว
---
ทุกวันนี้พระคำของพระเจ้าเต็มไปด้วยการแปลผิดหรือตีความหมายที่ผิด ทำให้พระคำพระเจ้ามีเชื้อผสมอยู่อย่างมากมาย พระคำจึงไม่เป็นความจริง ไม่มีชีวิต และไม่มีฤทธิ์เดช เมื่อคริสเตียนกินพระคำที่มีเชื้อยีสต์ผสมอยู่คริสเตียนก็เชื่อแบบผิด คิดผิด อฐิษฐานผิด อ่านผิด ดำเนินชีวิตผิด นมัสการ รับใช้ ผิดทุกอย่าง ปัญหาใหญ่อีกประการก็คือคริสเตียนจะไม่ได้เติบโตสู่ชีวิตพระคริสต์อย่างครบบริบูรณ์
พระเยซูได้อธิษฐานเผื่อปัญหานี้ใน ยน 17:17 ถ้าหากเรากำจัดคำสอนที่แปลผิดหรือกำจัดเชื้อยีสต์ได้ เราก็จะเข้าสู่การชำระด้วยพระวิญญาณ การชำระด้วยพระวิญญาณก็คือ พระคริสต์ได้ครอบครองจิตใจของเราและเราจะทำบาปไม่ได้ เพราะว่าเรามีธรรมชาติใหม่
สรุป การเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่คือการได้มาจากการสะสมพระคำที่แปลถูกนั่นเอง
---
การชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการได้รับจิตใจใหม่หรือธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว พระคริสต์ได้ครอบครองจิตใจของเขาเพราะว่า เขาได้เข้าใจพระคำที่แปลถูกและได้ฝึกฝนการเดินในฝ่ายวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ ทุกวันนี้คริสเตียนจำนวนมากมายไม่ได้รับการชำระด้วยพระวิญญาณเพราะว่าคริสเตียนส่วนมากเหล่านี้พวกเขารับเอาพระคำที่แปลผิด ชีวิตจึงต้องขึ้นลง สุข ทุกข์ ดีบาป ไปจนตาย
โรม 12:2 กล่าวว่า จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ โดยรับการเปลี่ยนความคิดของท่าน ก็คือการเปลี่ยนจากความเชื่อผิดมาเชื่อถูก เปลี่ยนจากความคิดแบบศาสนามาเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง