.พระพุทธองค์ตรัสว่า..
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่ายึดมั่นในธรรม"
ธรรมะคืออะไร .คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไร
ที่ไม่ใช่ธรรมะ..ความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ
ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมะ ความชอบความ
ไม่ชอบก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่
ไหน ก็เป็นธรรมะ.
เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อย
วางได้..ดังนั้น ก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธ
เจ้าที่ว่า..ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด.
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่าง
กายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งสิ้น
พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
พระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้
ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอน ไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่า
นั้นแหละ เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยัง
มีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระ
องค์ทำให้วุ่นวาย กิเลสของเรานั่นแหละที่มัน
ทำให้วุ่นวาย มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้อง
เสีย ก็เลยทำให้วุ่นวาย.
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่าน
ทรงสอนให้ "ปล่อยวาง" อย่าแบกถืออะไรให้
มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้ง ความถูกต้อง
ก็ทิ้ง.
คำว่า "ทิ้ง" หรือ "ปล่อยวาง" ไม่ใช่ไม่ต้องปฏิ
บัติ แต่หมายความว่า ให้ปฏิบัติ "การละ" "การ
ปล่อยวาง" นั่นแหละ.
พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย
ที่กายที่ใจเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่
ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ.
ดังนั้น นักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เอา
จริงเอาจัง ให้ใจมันผ่องใสขึ้น สว่างขึ้น ให้มัน
เป็นใจอิสระ.
ทำความดีอะไรแล้ว ก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึด
ไว้ หรืองดเว้นทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป
พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี่และ
เดี๋ยวนี้..ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรืออนาคต..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า..
ตายนี้มาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย อย่าเกิดสิ.
แต่นี่อยากเกิดอีก แต่ไม่อยากตาย.เพราะ นิสัยคนมันเป็นอย่างนั้น กิเลสของคนมัน เป็นอย่างนั้น.
พระนิพพานที่พระพุทธองค์ท่านว่า พ้นจาก
ภพชาติ ฟังไม่ได้ ไม่เข้าใจ.มันเข้าใจแต่ว่า
ต้องมีภพชาติ.
ถ้าไม่มีภพ ถ้าไม่มีที่อยู่.ฉันจะอยู่อย่างไร
ฉันจะอยู่อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ.
อยากจะเกิดอีกแต่ไม่ก็อยากตาย มันขัดกัน
เสียอย่างนี้.
ฉันอยากเกิดแต่ฉันไม่อยากตาย มันพูดเอา
คนเดียวตามภาษาคน.
แต่การเกิดแล้วไม่ตายนั้นมีไหมในโลกนี้.
เมื่อคนอยากเกิดก็คือคนนั้นอยากตายนั่น
เอง มันคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไปคิดให้
มันทุกข์.
ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้จัก
ทุกข์ เขาจึงคิดอย่างนั้น.
ถ้าพูดถึงว่าเราไม่มีภพมีชาติ เราฟังไม่ได้
จนกระทั่งท่านย้ำเข้าไปถึงตัวตนนี้ว่า.ไม่มี
ตัวมีตน ตนนั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น.
.มันจริงอยู่ มันก็จริงโดยสมมุติ.
ถ้าพูดถึงวิมุตติ ตัวตนก็ไม่มี.เป็นธรรมธาตุ
อันหนึ่ง เกิดขึ้นมาเพราะเหตุเพราะปัจจัย
เกิดขึ้นมาเท่านั้น.
เราก็ไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นมา
เมื่อเป็นสมมุติเป็นตัวเป็นตนก็ยึดตัวยึดตน
นั้นอีก เลยเป็นคนมีตน.
ถ้ามี "ตน" ก็มี "ของตน" ถ้าไม่มี "ตน" "ของ
ตน" ก็ไม่มี.
ถ้ามี "ตน " มันก็มีสุขมีทุกข์.
ถ้ามี "ตน" มันก็มี "ของตน" พร้อมกันขึ้นมา
เลย.เราไม่รู้เรื่องอย่างนี้.
ฉะนั้น.คนเราจึงไปคิดว่าอยากเกิด.แต่
ไม่อยากตาย..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท..
คนเราเป็นทุกข์ เพราะความไม่รู้?
การที่จิตรู้ไม่เท่าทันความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตนเอง
จึงเป็นเหตุให้เกิดความหลงยึดว่า มีเราเป็นเจ้าของความรู้สึกนึก คิด ปรุงแต่ง ตามมา
การที่ชีวิตเรายังมีลมหายใจอยู่
ถ้าเรามัวแต่พะวงกับเหตุการณ์ เรื่องราวภายนอกไปเรื่อยๆ
จิตจะไม่เห็นความจริงที่มีคุณค่า ซึ่งกำลังปรากฎอยู่ตรงหน้า
เราจึงพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้ความจริงไป
ปัญญาในธรรม คือ การที่จิตได้เห็นความจริงตามที่มีอยู่จริงในปัจจุบันขณะ
วิมุตติธรรม
ฉะนั้น "ความตายจึงไม่มี" สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ " สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป "
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ"ว่างจากตัวตน"โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความ"ไม่มีการเกิด"ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
ทำอย่างไร? ถึงจะไม่กลัว "ความตาย"
.
"ความตาย" จุดรวมของความกลัว
ความตายก่อความกลัวใหญ่หลวงแก่คนธรรมดาสามัญ เป็นจุดรวมของความกลัวทุกชนิด เช่น กลัวสัตว์ร้าย กลัวผี กลัวโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวเท่านั้น คนเราก็แทบจะไม่กลัวอะไรเลย และจะเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่แสนจะสงบเย็น.
.
เพราะฉะนั้น การทำให้ความตายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย จึงย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ถ้าใครทำได้ถึงที่สุด ก็จะทำให้ชีวิตนี้มีแต่กำไร ไม่มีทางขาดทุนเลย
.
ผู้ที่รู้สึกว่า"ความตายไม่มี"นั้น นับว่าเป็นคนมีบุญอย่างสูงสุดแล้ว เราจะทำอย่างไรความตายจึงจะไม่มี หรือมีค่าเท่ากับไม่มีสำหรับเรา
.
" สุญญตา " ความว่างจากตัวตน
สิ่งที่สามาถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ ปรมัตถธรรม โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ "สัมมาทิฏฐิ" ชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ " สุญญตา "( ความว่าง )ได้อย่างชัดแจ้ง
การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ"ไม่มีตัวตน"ที่ถาวร มีแต่"นามธรรม"(=จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ"รูปธรรม"(=ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
ร่างกายก็ไม่มีความหมายอะไร มันก็เป็นเบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปเอง เป็นเบญจขันธ์ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอุปาทานไปเอง
.
ขออย่าให้มีความรู้สึกว่าตัวกู ก็เรียกว่าตาย;
ตายอย่างภาษาธรรม แล้วก็..ไม่มีอะไรที่เป็นตัวกู หรือเป็นของกูแล้ว ความทุกข์จะเกิดที่ไหนได้ ? ความทุกข์มันจะต้อง**เกิดที่ ตัวกู – ของกู เสมอ**
พุทธทาสภิกขุ
“...ตัวกูแท้ ๆ มันเป็นส่วน"จิตใจ "
ส่วนความคิดความนึก ....?.(ความยึดมั่นถือมั่น)
ฉะนั้น อย่ามีความรู้สึก คิดนึก "ยึดมั่นถือมั่น" ว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู แล้วมันก็หมดกันเท่านั้น
ยิ่งทุกข์มากเท่าไร ก็แสดงว่ายังยึดมั่นถือมั่นมากเท่านั้น
การเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ของรูป ของนาม ของกาย ของใจ การเห็นความเป็นจริง จะทำให้เราสามารถละวางจากสิ่งที่ยึด ที่หลงอยู่ได้
มันเป็นทางที่จะทำให้เข้าถึงสภาวธรรมที่หลุดออกจากทุกข์ได้ ถ้าเราไม่เห็นตามความเป็นจริง มันก็จะเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ยึดกาย ยึดใจ ยึดสิ่งต่างๆ ยึดมากเท่าไรมันก็ทุกข์มากเท่านั้น เรียกว่า มันจมอยู่กับโลก
การเจริญสติเพื่อให้เราเพาะบ่มกำลังสติขึ้นมา
มันจะทำให้เราค่อยๆคลายจากสิ่งที่ยึดที่หลง
แล้วเมื่อพัฒนาสติได้มีกำลัง จนเกิดการเห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองๆ มันจะ วาง จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่ได้โดยธรรมชาติเลย
นั่นคือทางที่มันจะหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวงได้
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
#ให้พิจารณาที่กายกับใจของเรา
"เวทนาก็เป็นธรรมเทศนาเครื่องเตือนเราอย่างเอกเหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสติปัฏฐาน ทางพ้นทุกข์โดยตรงไม่อ้อมค้อม
เวทนาเกิดจากจิต อาศัยกายที่ตั้งอยู่ จงถือเวทนาเป็นเป้าหมายของการตั้งสติดีมาก โปรดพากันรีบเร่ง อย่านอนใจ สุข ทุกข์ อุเบกขา ปรากฏขึ้นสัมผัสใจ เหมือนรูปเสียง เป็นต้น มาสัมผัสตา หู เป็นต้นแล้วก็ดับไปเช่นเดียวกัน
จิตของเราถ้าไม่ตื่นเงาของตัวเองมันก็ดีเท่านั้น ขันธ์ทั้งห้าถึงทราบว่า เป็นเงาของจิต จงพิจารณาให้รอบคอบ อย่าหลงดีใจเสียใจ ไปตามสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกายหรือจากใจ ความฉลาดพิจารณาขันธ์ ใครไม่ได้ไปหามาจากที่ไหนย่อมเกิดขึ้นที่ใจของเราทั้งนั้น
จงหาอุบายคิดค้นขึ้นมาเป็นปัญญาสอนตนเอง ความฉลาดเท่านั้นจะสามารถแก้ความโง่เขลาได้ นอกจากความฉลาดแล้ว ไม่มีทางจะเอาตัวรอดได้ ฉะนั้นจงพากันสนใจในด้านปัญญา"
.... หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
อันที่จริงแล้ว ธรรมทั้งหลายเขาปล่อยตัวเขาเองอยู่แล้ว
เขาเป็นไตรลักษณ์ของเขาเองอยู่แล้ว
เราจึงหมดหน้าที่ใด ๆ ทั้งสิ้น , เพราะจริง ๆ แล้ว มันไม่มีเรานั่นเอง
แล้วจะเอาอะไรไปปล่อยอะไร ?
การไม่ปล่อยวางอะไรเลยนั่นแหละ เป็นการปล่อยว่างที่บริสุทธิ์จริง ๆ
เมื่อเราปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวาง ตัวของเขาเอง
อันนั้นเป็นการปล่อยวางที่บริสุทธิ์
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน
คติธรรม: " ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ก็สักว่าธาตุ ไม่อาลัย วางไว้กับโลก ทิ้งไว้กับโลก
ความเกิดความดับเป็นธรรมของโลก พ้นความเกิดความดับเป็นธรรมเหนือโลก "
ภาพ: " พระเจ้าใหญ่ห้าพระองค์ สร้างถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา ใช้เวลาสร้าง (แกะสลัก) สองเดือนพอดี เริ่ม ๓ กุมภาพันธ์ ถึง ๓ เมษายน ๒๕๖๓ "
ต่อไปจะเริ่มแกะสลักองค์พระนั่งปางประทานพร หน้าตัก ๓ เมตร และพระนอน ยาว ๘ เมตร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ให้ทันในวันวิสาขบูชา เพ็ญเดือน ๖ ที่จะถึงนี้
องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
รู้นี้ รู้อะไร รู้อย่างไร
รู้ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น และสิ่งบางสิ่งดับไป
ไม่ว่าจะเป็น รูปหรือนาม ที่กำลังแสดงตัวอยู่ในปัจจุบัน
ก็เป็นแค่สิ่งบางสิ่งเท่านั้น เมื่อไม่ไปบอกให้ค่าว่าเป็นอะไร
มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง รู้ว่าไม่มีสิ่งใด ที่เป็นเรา
อย่างแท้จริง บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้จริง
รู้ว่ามีสิ่งที่พ้นจาก รูปนามอยู่ เที่ยง
แต่ก็ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนเลย
เป็นที่ซึ่งดับสนิทแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพียงแค่รู้ รู้ตามเป็นจริง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เมฆก็ตาม หมอกก็ตาม
จิตก็ตาม อาการของจิตก็ตาม เจตสิกก็ตาม
จะใส่ชื่อลือนามไปสักเพียงใดก็ตาม
ถ้า .. "เรา" ไม่มีในที่นั้นๆ , "ของเรา" ไม่มีในที่นั้นๆพิษสงก็ไม่มีในที่นั้นเอง
เหตุนั้นการพิจารณาว่า เราไม่มีในที่นั้น เราไม่มีในที่ใดๆ ทั้งนั้น
ของเราก็ไม่มีในที่ใดๆทั้งสิ้น ท่านผู้อื่นก็ไม่มีในที่ใดทั้งสิ้น
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ สูญๆ สาญๆ เสียแล้ว .. เรื่องก็จบกัน ณ ที่นั้นไป
"ทำท่าทำทางไปวาง ก็เป็นอันผิดทั้งนั้น"
เพราะมันเป็น "กิริยา" เป็นเหตุ เป็นกรรม เป็นวิบากในตัว
ยกอุทาหรณ์สมมติหยาบๆ คือ เราก็ตาดีมองไปที่สว่าง
เราไม่ได้สมมุติให้ความมืดหนีไปมันก็หนีไป ณ ที่นั้นเอง
เมื่อ "เราไม่มี" ในที่ใดๆแล้ว
ก็ไม่ควรจะมีอะไร มาสร้างปัญหาขึ้นให้หนักใจ หนักธรรม
ชาวโลกเขาพูดอะไร ก็พูดไปตามเขาซะ
ไม่ควรเอา "สมมุติ" มาเป็นสงครามกับ "ปรมัตถ์ "
ไม่ควรเอา "สังขารคือผู้รู้" ไปเป็นสงครามกับ "พระนิพพาน"
ใครเป็นผู้รู้พระนิพพาน ก็พระนิพพานนั่นเองทรงอยู่ซึ่งพระนิพพาน
สังขาร และผู้รู้ จะไปทรงมิได้
จงให้เข้าใจว่า "ผู้รู้" นั่นเองเป็น "สังขารอันละเอียด"
มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของก็เป็นเหตุ เป็นกรรม เป็นวิบาก
เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน อวิชชา ตัณหา สารพัดจะบัญญัติใส่ชื่อ
เพราะพระนิพพาน ไม่ได้ใส่ชื่อลือนามให้ท่านผู้ใดเลย และก็ไม่สำคัญตัวว่าเป็นพระนิพพานด้วย
จึงเรียกว่า "พระนิพพานทรงไว้ซึ่งพระนิพพาน"
ธรรมอันนี้เป็นธรรมอันละเอียด
และเป็นธรรมสันทิฏฐิโกสุดท้ายของพระพุทธศาสนา
ละเอียดมาก !!
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต.
" รูป ไม่ใช่ตัวตน
ตัวตน ไม่ใช่ผู้ครอบครองรูป
ตัวตน ไม่มีในรูป
รูป ไม่มีอยู่ในตัวตน
เช่นนั้น จงเข้าใจว่า...ธาตุทั้ง ๔ ที่คงอยู่นั้นว่าง...จากตัวตน ที่ไม่เคยมีอยู่อย่างแท้จริง."
( ท่านนาคารชุน บิดาแห่งมหายาน
ผู้รจนา ปรัชญาปารมิตตาสูตร.)
หากใครกำลังทุกข์ใจ กังวลใจ และกำลังโทษตัวเองกับการกระทำ หรือตัดสินใจผิดพลาดในอดีต
.
ขอให้รู้ว่า ความจริงจักรวาลว่า
.
นั่นไม่ใช่ความจริง
.
นั่นเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว
.
นั่นเป็นเหตุผลของอัตตาที่คุณกำลังเลือกใช้บริการจนเคยชิน
.
ชีวิตนี้ ไม่มีอะไร ผิดพลาด หรือ ล้มเหลว
.
เด็กเพิ่งหันเดิน หกล้ม ไม่ใช่ ผิดพลาด หรือล้มเหลว
.
ต้นไม้เพิ่มเติบกล้า ไม่ใช่อ่อนหัด
.
แต่ชีวิตคือกระบวนการวิวัฒนาการความจริง ไปสู่ ความเชื่อ และกลับสู่ ความจริง
.
เราเป็นจิตวิญญาณ ที่มาหาประสบการณ์จากความเชื่อ เพื่อจะพบความจริงในตัวเอง
.
เป้าหมายชีวิตของคนเรา คือการสัมผัสถึงความสมบูรณ์แบบในตัวเราเอง
ที่จำเป็นต้องผ่าน ด้านตรงข้ามก่อนเสมอ คือ ไม่สมบูรณ์แบบ หรือ ที่เรียกแบบอัตตาว่า ล้มเหลว
.
คนพบความสำเร็จต้องเดินผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลวมาทุกคน ไม่เช่นนั้น ความสำเร็จ จะปรากฏเป็นจริงไม่ได้
.
หรือ ความสำเร็จ จะไม่มีคุณค่าให้เราจดจดและภูมิใจ
ถ้าไม่ผ่านด้านตรงข้ามซึ่งเป็นตัวช่วยให้เราได้เห็นด้านความจริง
.
ไม่ใช่คิดว่า อย่าเสียเวลาไปกับอดีตที่ผิดพลาดของเรา
แต่ให้คิดตามความจริงว่า
อย่าเสียเวลาไปกับการหลงทางของอัตตาที่ มันยั่วยุให้เราคิดวา ความผิดพลาด ล้มเหลว คือความบกพร่องของชีวิต
.
ชีวิตเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เราล้มเหลว
แต่ ออกแบบให้เรา พบความสำเร็จในระดับที่ต่างกัน
.
เด็กแรกหัดเดิน หกล้ม เพื่อเรียนรู้วิธีการเดินได้อย่างมั่นคง เมื่อเจอวิธีการที่ใช่แล้วก็จะไม่ล้มอีกต่อไป และจะเดินอย่างมั่นคงได้ตลอดไป
.
ต้นไม้ที่ยังเล็ก กำลัง รอวันเติบโตเป็นไม้ใหญ่ที่ไห้ผลที่หอมหวานในบั้นปลาย
.
อย่าสรุป ทั้งหมดของชีวิตจากแต่เศษเสี้ยวแห่งช่วงเวลาแห่งการเติบโตสู่ความยิ่งใหญ่ที่ยังไม่เห็นผลในบั้นปลายว่า ล้มเหลว
.
เพราะจะทำให้คุณ เสียเวลาไปกับอัตตา ไม่ใช่เสียเวลาเพราะทำสิ่งผิดพลาดและล้มเหลว
.
เขียนโดย รักคำราม
แท้จริงความเป็นเราย่อมไม่มี แท้จริงความเป็นขันธ์ธาตุย่อมไม่มี ขันธ์ธาตุนั้นโดยตัวมันเองย่อมเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่จะเข้าไปยึดถือจนก่อให้เกิดความเป็นตัวตนได้ ความเป็นจริงไม่เคยมีขันธ์ธาตุเกิดขึ้นมาก่อน หากกล่าวว่ามีขันธ์ธาตุเกิดขึ้น มันก็เป็นการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ธาตุด้วยความมีโมหะแห่งเราเอง จึงปรากฏความเป็นขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นในความรับรู้ และยึดเอาขันธ์ธาตุนั้นคือเรา มีความหมายในความเป็นตัวเป็นตนแห่งเรา
เพราะความเข้าไปยึดด้วยเหตุแห่งอวิชชาความไม่รู้ แต่ด้วยความเป็นจริงขันธ์ธาตุที่เราเข้าไปอาศัยและยึดมั่นถือมั่นมัน มันมีความเสื่อมโทรมมีความแก่ชรา มีความแปรเปลี่ยนไปในรูปทรงของมัน แปรเปลี่ยนไปในลักษณะที่จะพลัดพรากจากไป ด้วยความคงตัวรูปทรงเดิมของมันเอาไว้ไม่ได้ ขันธ์ธาตุหรือกายนี้ จึงเปรียบประดุจเรือนที่เราได้พักพิงอาศัยชั่วคราว ความแปรปรวนของมันเปรียบเสมือนเรือนที่กำลังถูกไฟไหม้ ให้สูญสลายมอดหายไปในทุกกาลเวลานาที
เมื่อถึงเวลาที่ต้องอำลาจากกันไป ขันธ์ธาตุที่มาประชุมกันเป็นรูปกายเราเป็นอวัยวะต่างๆ มันก็พร้อมทำหน้าที่แห่งมัน เป็นหน้าที่ที่ต้องแยกย้ายสลายออกจากกัน ไปสู่ความเป็นธาตุเดิมของมัน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้กระทั่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ย่อมสลายหายไปอีกเช่นกันหามีตัวตนไม่
จึงเป็นการจากไปเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง เป็นธรรมชาติที่คงปรากฏการณ์ “ความว่างเปล่า” ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน อยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว เมื่อความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้ สรรพสัตว์มนุษย์ผู้มืดบอดและไม่ยอมเข้าใจในกฎธรรมชาตินั้น จึงเอาความเคยชินซึ่งเป็นความทะยานอยากแห่งตน วิ่งไล่จับคว้าเงาของตนเองในความมืดอยู่อย่างนั้น เมื่อทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มีตัวตนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
การได้มาหรือการจากไป บนพื้นฐานความรู้ลึกนั้นๆในความยึดมั่น จึงย่อมเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่าและหาสาระอะไรไม่ได้เลย
.
"ตำนานปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
ธรรมะแท้ๆ เพียงแค่ " รู้ " แต่ไม่ใช่เข้าไปยึดถือ สุดท้ายแม้แต่ธรรมะ เราเองก็ละในช่วงปลาย แต่ไม่ใช่ไปละไปช่วงต้นๆ ที่ละก็ละเพราะเข้าสู่สภาวะสูญญตา ความไม่มีตัวตน...ผู้ปฏิบัติเพึ่งสังเกตุตน ว่าเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว ตัวตนใหญ่ขึ้นเพราะฉันรู้ธรรมแล้ว หรือตัวตนเล็กลงเพราะ "รู้"
เพราะ “ จิตที่ตั้งไว้ผิด ”
จึงเห็นว่ามี “อัตตา” หรือ “ตัวเรา-ของเรา”
ทุกข์ภัยทั้งหมดของโลก มาจาก “จิตที่ตั้งไว้ผิด” นี่เอง
.
“ การเกิดขึ้นแห่ง “อัตตา” นั้น มาจาก “จิตที่ตั้งไว้ผิด” พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า “จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมนำมาซึ่งอันตราย ซึ่งร้ายยิ่งกว่าอันตรายที่ศัตรูใจอำมหิตจะพึงกระทำให้ จิตที่ตั้งไว้ถูกจะนำมาซึ่งประโยชน์มากกว่าคนที่หวังดีที่สุด มีบิดา มารดา เป็นต้น ทั้งนี้ เป็นการชี้ให้เห็นโทษของการที่ตั้งจิตไว้ผิด
.
แต่สิ่งที่มนุษย์ในโลกกำลังกลัวกันนั้น หาใช่“จิตที่ตั้งไว้ผิด”ไม่ เพราะเขายังไม่รู้จักสิ่งๆนี้ และไม่เคยคิดถึงสิ่งๆนี้ จึงไปสนใจกลัวสิ่งที่ไม่น่ากลัวเท่าสิ่งๆนี้ เช่น กลัวลัทธิการเมืองฝ่ายตรงข้ามบ้าง กลัวสงคราม หรือ การอดอยาก กลัวผีสางเทวดา กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ กลัวกันจนถึงกับหมดความสุข หรือกลายเป็นความทุกข์ ทั้งกลางวัน กลางคืน
.
ทุกข์ภัยทั้งหมดของโลก มาจาก “จิตที่ตั้งไว้ผิด” นี่เอง คือ จิตที่ตั้งไว้ผิดก็ทำให้เกิดลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาขึ้น ทำให้เกิดการอดอยาก การเบียดเบียน และ การสงคราม ฯลฯ
.
เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว ชาวโลกก็หาได้สนใจไม่ ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ จึงจัดการแก้ไขไปอย่างผิดๆ กระทำไปด้วยความกลัว เพราะ..“ไม่มีธรรมะ” ซึ่งสามารถขจัดความกลัวออกไปได้เป็นอย่างดี (แม้ลำพังความกลัวล้วนๆ ท่านก็ถือว่า เป็นจิตที่ตั้งไว้ผิดเหมือนกัน) เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า มีจิตที่ตั้งไว้ผิดอยู่เป็นตอนๆ ต่อเนื่องกันไปหลายระดับ
.
เมื่อไม่มีการตั้งจิตไว้ในลักษณะที่“ถูกต้อง”เลย สิ่งที่เรียกว่า “อัตตา” หรือ ความเห็นแก่ตัวจัด ความเห็นว่า “มีตัว-มีตน” จึงเต็มไปหมด แม้กระนั้น ก็ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่สนว่า..มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? จนทำให้โลกนี้ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ใต้กะลาครอบของ “อวิชชา” คือความมืดมนอลเวง เต็มไปด้วยปัญหายุ่งยาก ซึ่งสรุปแล้วก็คือ “ความทุกข์” แล้วก็แก้ไขความทุกข์กันไปเรื่อยๆ ด้วยอาการที่รู้สึกว่าตื่นเต้น สนุกดี คือ ได้ลองฝีมือ ใช้ความรู้ใหม่ๆ แปลกๆ แม้จะแก้ไขความทุกข์ของโลกไม่ได้ ก็ยังเพลิดเพลินอยู่ด้วยความรู้หรือความสามารถใหม่ๆ เหล่านั้น เป็นเสมือนเครื่องหลอกให้อุ่นใจไปทีก่อน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อาการเช่นนี้เอง ที่เป็นเครื่องปิดบังไม่ให้ไปสนใจถึงต้นเหตุอันแท้จริงของวิกฤตการณ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่สนใจในเรื่อง “จิตที่ตั้งไว้ผิด” กล่าวคือ “อัตตา” กระแสแห่งการมี “ตัวตน-ของตน” จึงไหลไปเรื่อย ฉะนั้น ทำให้เราเห็นได้ว่า กำเนิดของ “อัตตา” หรือ “ตัวเรา-ของเรา” ก็คือ “อวิชชา”
.
พุทธทาสภิกขุ
สองคน สองเหตุผล สองคน สองความคิด.
อย่าเอาความคิดหรือเหตุผลของตน เที่ยวตัดสินถูกผิดเลย..เพราะตัวท่านเองจะเข้าไปเป็นตัวปัญหาชะเอง.
ในโลกนี้ไม่มีใครผิดใครถูกดอก มีแต่ผู้รู้ กับผู้หลง
#พระสิ้นคิด
Council of Light : #สิ่งจำเป็นที่ต้องทำ_สำหรับผู้ที่เดินทางสายนี้
♋️
:<>: นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสงบสุข
ดังนั้น จงทำใจให้สงบ-ให้นิ่ง แล้วพวกคุณจะรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป !!
.
#ความไม่มีตัวตน” (invisibility) คือผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณ จากการที่พวกคุณไม่มีความต้องการที่จะยึดติดกับสิ่งที่เป็น “ภายนอก” อีกต่อไป และเริ่มหันมาจดจ่ออยู่กับ “โลกภายใน”ของตัวเองมากขึ้นแทน
🕵️♀️
เพราะมีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเยียวยา “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้” ที่ถูกหล่อหลอมด้วยความวุ่นวายของโลกภายนอกได้ นั่นคือ...#การแก้ไขที่ภายใน ”
ดังนั้น...หากใครที่ต้องการเดินตามเส้นทางสายนี้ละก็...สิ่งจำเป็นที่ต้องทำ คือ ปลดปล่อย/ปล่อยวาง /ไม่ยึดติด รวมถึงต้องยอมจำนน #และให้อยู่กับ_ปัจจุบันขณะ ”...เพื่อให้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมีอิสระภาพในการพัฒนาขึ้นได้
🌗
#ซึ่งสิ่งนี้จะเริ่มต้นขึ้นได้_ก็ต่อเมื่อพวกคุณมีความพร้อมและเลือกที่จะให้มันเกิดขึ้น และจะเกิดแก่ผู้ที่หัวใจเริ่มสว่างไสวแล้วเท่านั้น !
.
ส่วน..สัญญาณแรกๆ ที่พวกคุณจะได้รับเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว...ก็คือ #การไร้ตัวตน ซึ่งจะทำให้คุณรับรู้ได้ว่า ร่างกายเนื้อของพวกคุณได้กลายเป็นเรื่องรองไป เพราะโลกภายในของพวกคุณจะบดบังมันไว้ เพื่อย้ำเตือนให้พวกคุณได้รู้ว่า #สิ่งที่สำคัญที่สุด_คืออะไร ! #และพลังอำนาจที่แท้จริงของพวกคุณสถิตย์อยู่ที่ใหน…!!
🎊
และขอให้คุณจดจำไว้ว่า….
~ #การยอมรับ จะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ
~ #การยอมจำนน (ปล่อยให้มันเป็นไป) จะมอบพลังอำนาจให้กับพวกคุณ
The Council of Light https://cutt.ly/Do10ufY
การหลุดพ้น ตามแบบพุทธศาสนา
.
❝ คำว่า “เรา” หรือความรู้สึกว่า“ตัวเรา”นั้น เป็นความรู้สึกของกิเลส
ที่เป็นเหมือนโคลนที่เข้ามาหุ้มห่อตัวเรา
ที่เราได้ล้างออกเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไปแล้ว ความรู้สึกว่า เรา หรือ อุปาทาน นั้น ไม่มีแล้ว เท่ากับซี่กรงหักหมดแล้ว เราจึงออกมานอกกรงได้ เรียกว่าจิตหลุดออกมาได้ หรือจิตพ้นจากอุปาทาน เท่านั้นเอง หาใช่ตัวเราไม่
จิตนั้น ก็ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า “ตัวเรา” จึงได้หลุดออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ตัวผู้หลุดพ้นหามีไม่ ”
นี่แหละ คือ การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนา
.
การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนานั้น เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องเข้าใจให้ดีๆ
ย่อมเป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีเยื่อใยของอุปาทานเหลืออยู่ แม้แต่เล็กน้อย
.
การหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด ยังมีอุปาทานเหลืออยู่บ้างโดยไม่รู้สึกตัวนั้น เป็นการหลุดพ้นของพวกอื่นเขา หาใช่ของพุทธศาสนาไม่
การหลุดพ้นชนิดนั้นหลุดพ้นแต่เพียงจากความยึดถือที่หยาบๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยึดถือชั้นละเอียด
จะต้องทำการปฏิบัติต่อไปอีกขั้นหนึ่ง จึงจะเป็นการบรรลุถึง"นิพพาน“นิพพาน”
.
การพูดว่า “ตัวเรา” ในขั้นนี้ ถ้ามีพูด ก็สักว่าพูด เพราะไม่มีคำ(อื่น)จะพูดเท่านั้น หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอาสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นมาเป็น “ตัวเรา” อีกก็หาไม่
.
จิตที่หลุดพ้นจากความยึดถือก็หมดทุกข์
เพราะทุกข์มีอยู่ที่จิตซึ่งมีความยึดถือเท่านั้น ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง“หลักหินยาน-มหายาน”
----------------------------------------
.
ไม่มี "คน"
.
"พระพุทธศาสนามุ่งหมายที่จะบอกให้รู้ว่า "ไม่มีคน ที่เป็นตัวเราหรือของเรา"นั้น ไม่มี;
มีแต่ความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้ สิ่งที่มีอยู่ก็เพียงแต่ร่างกายกับจิตใจ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ หรือเป็นธาตุตามธรรมชาติ;
มันมีอาการเป็นกลไก mechanism ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ในตัวมันเอง.
ถ้าผิดวิธีก็เกิดความโง่ความหลงขึ้นมา จนให้รู้สึกว่า"มีตัวเรา มีของเรา"
ถ้าถูกวิธีมันก็ไม่เกิดความรู้สึกอย่างนั้น แต่จะเป็นสติปัญญาอยู่ตามเดิม รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตามเดิมว่า"ว่างจากตัวเรา หรือ ของเรา"
และมูลเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือ "ความหลง ความเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา มีของเรา นั่นเอง."
.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมกถาเรื่อง "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
เมื่อ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๔
ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม ศิริราชพยาบาล
------------------------------------------
.
"คน" ไม่มี
.
"ว่าโดยความจริงแท้ ( สัจจะ ) ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ( นามธรรมและรูปธรรม ) ก็แลในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูก( ปัจจัย )ปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ ( สิ่งไม่คงตัว ) เช่นกับหญ้าและฟืน"
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๒๑๖
-------------------------------------------
.
"ทุกข์ นั่นแหละ มีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่,
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี,
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี,
ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี."
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๑๐๑
บางทีเรามีความสุขใจ บางทีเรามีความทุกข์ใจ มีความดีใจ มีความเสียใจ
เพราะอะไร ?? เพราะไม่รู้ธรรม เพราะไม่เห็นธรรม ไม่รู้ธรรมชาติ ไม่เห็นธรรมชาติ
คือธรรมชาติที่ "มันเป็นของมันเข่นนั้น" เรื่อย ๆ ทั้งกาย จิต คือ รูปและนาม
พระบรมศาสดา ท่านจึงได้หมาย " ขันธ์ ๕ " .. วางขันธ์ ๕ เลิกขันธ์ ๕ ละขันธ์ ๕
ที่ละไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่เห็นมัน เพราะไม่รู้เท่าทันมัน
เห็นว่ามันเป็นเรา เห็นว่าเราเป็นมัน เห็นเราว่าเป็นสุข เห็นสุขว่าเป็นเรา เห็นทุกข์ว่าเป็นเรา เห็นเราว่าเป็นทุกข์ .. มันแยกออกจากกันไม่ได้
เมื่อแยกออกจากกันไม่ได้ ก็แปลว่าเราไม่เห็นธรรม คือ ธรรมชาติอย่างนี้ มันไม่เป็นเรา แต่เราเข้าใจว่าเป็นเรา
สุขก็มาถูกเรา ทุกข์ก็มาถูกเรา เสียใจก็มาถูกเรา ดีใจก็มาถูกเรา เพราะ "เรา" ไปขวางอยู่ตรงนั้น
เรา คือ ก้อนอัตตา ตัวตน
เมื่อมีก้อนอัตตาเมื่อใดแล้ว สุขก็ถูกเรา ทุกข์ก็ถูกเรา อะไรก็ถูกเราหมด
เพราะฉะนั้น พระบรมศาสดา ท่านจึงว่า ให้ทำลายก้อนอัตตา
เมื่อทำลาย "ก้อนอัตตา" คือ "สักกายทิฏฐิ" นี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว "อนัตตา" มันก็ไม่ต้องเรียก มันเป็นของมันเอง เมื่อหมดอัตตา .. อนัตตาก็เกิดขึ้นเอง
พระโพธิญาณเถระแห่งหนองป่าพง
หลงยึดคลื่นพลังงานเป็นตัวเรา
ไม่มีอะไร... ก็ใกล้ นิพพาน
ไม่มีห่วง ไม่มีดีใจ ไม่มีเสียใจ ไม่มีพอใจ
ไม่มีหัวเราะ ไม่มีร้องไห้
ไม่มีบุญ ไม่มีบาป
ไม่มีดี ไม่มีเลว จึงใกล้นิพพาน
ถ้ายังห่วงอยู่แสดงว่ายังไกลอยู่
ยังเก็บ ยังกอบ ยังกำ ยังโกยอยู่
แสดงว่ายังห่างอยู่มาก..
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
219.ไร้ร่องรอย...ไร้เรื่องราว
การปฏิบัติธรรมนั้น
เป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่
เป็นความเสียสละ
ความเชื่อว่ามีตัวเราอยู่จริงๆ
เป็นการเสียสละ
ความรู้
ความเห็น
เป้าหมาย
หรือแม้กระทั่ง
ความต้องการจะรู้จะเห็นอะไร
เป็นความเสียสละที่ลึกซึ้ง
เสียสละความหวังว่าเราจะได้อะไรมามั้ย จากการนั่งสมาธิครั้งนี้
เสียสละอนาคต
เสียสละ ”เรา” ...ในฐานะของนักปฏิบัติธรรม
เมื่อเราเสียสละทุกอย่างออกไป
กิริยารู้ซื่อๆ ก็เกิดขึ้น
ความรับรู้ที่ปราศจาก
การแบ่งแยก
การให้ความหมาย
การให้คุณค่าว่าแบบนี้ดี แบบนี้ไม่ดี
แบบนี้ถูก แบบนี้ผิด
แบบนี้ใช่ แบบนี้ไม่ใช่
...มันจะหายไป
เมื่อปราศจากความเป็นตัวเรา
ความรับรู้อย่างซื่อตรง...เกิดขึ้น
ความเป็นกลางต่อสรรพสิ่ง...เกิดขึ้น
ลองปล่อยให้แต่ละขณะผ่านไปอย่างไร้เรื่องราว
เราจะพบชีวิตที่เบิกบาน
ความทุกข์ทั้งหลายในชีวิตเกิดขึ้น
เพราะความเห็นผิดว่ามีตัวเรา
ใช้ชีวิตในแต่ละขณะที่กำลังผ่านไปอย่างไร้เรื่องราว
ไร้เป้าหมาย ไร้ร่องรอย
ตื่นรู้อยู่...อย่างไร้ร่องรอย
ในบางขณะความรู้ ความทรงจำ ทฤษฎีต่างๆ ปรากฏขึ้น
ในบางขณะเราถามตัวเองขึ้นมาว่า ตอนนี้เรารู้อยู่มั้ย
เรามีหน้าที่รู้ทันว่าความเป็นเราเกิดขึ้นแล้ว
ความรู้
ทฤษฎีอันสวยงาม อันถูกต้อง
สร้างความเป็นเราเข้าให้แล้ว
เรากำลังสร้างร่องรอยให้กับธรรมชาตินี้
เรากำลังแทรกแซงมัน
“เรา”คือตัวปัญหา
รู้ทันแล้วปล่อยให้ชีวิตผ่านไปแต่ละขณะอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปอย่างเงียบเชียบที่สุด
ไร้เรื่องราว
แล้วเราจะได้รู้จัก รู้ที่บริสุทธิ์
ไม่แปดเปื้อนไปด้วยความเป็นเรา
รู้...ที่ไม่มีมลทินของความเป็นเรา
ถ้าเราเข้าใจประโยคนี้ได้ว่า
"ชีวิตที่แท้จริงนั้นไร้เรื่องราว"
เราจะอยู่ที่”ปัจจุบัน ”พอดี
และปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นขณะของการปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นได้
แค่ในปัจจุบันเท่านั้น
เมื่อชีวิตในขณะนี้...ไร้ร่องรอย ...ไร้เรื่องราว
ความเป็นเรา...ได้หายไป
ความรับรู้ถึงการดำรงอยู่
ด้วยความเต็มอิ่ม และบริบูรณ์...ก็ได้เกิดขึ้น
ปัจจุบันขณะ...ที่ปราศจากซึ่งมลทินของความเป็นเรา
ก็กลายเป็น...ปัจจุบันที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นขณะแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
กงล้อแห่งอริยมรรคได้เริ่มดำเนินไป
ความสมบูรณ์ของชีวิตที่แท้จริงได้เกิดขึ้น
ในแต่ละขณะของชีวิตจะเต็มไปด้วยความรู้ ตื่น เบิกบาน
ชีวิตจะผ่านแต่ละขณะไปด้วยความอิสระ
อิสระจากความหมายของความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา และอื่นๆ
ทั้งหมดคือ ชีวิตของพุทธะ
ชีวิตที่ความทุกข์ ความโศกใดๆ ก็เข้าไม่ถึง เป็นชีวิตที่สะอาด สว่าง บริสุทธิ์
เราทุกคนมีศักยภาพที่จะมีชีวิตของความเป็นพุทธะแบบนี้ได้...ได้ทันที ที่นี่ เดี๋ยวนี้
.
"...ธรรมชาติเป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีธรรมะเป็นสิ่งประสานแล้ว ย่อมจะเบียดเบียนซึ่งกันและกันไปอย่างไม่จบสิ้น
อย่าว่าแต่ไก่กับนก ผัวกับเมีย พ่อกับเเม่ เเม้ที่สุดกายกับใจยังทะเลาะกันเลย
เช่น การอยากกินของอร่อยเป็นเรื่องของจิต แต่การกินให้อิ่มเป็นเรื่องของกาย การเสพยาเสพติดเป็นเรื่องของจิต แต่การกินยาบำบัดรักษาเพื่อการอยู่รอดเป็นเรื่องของกาย
การเจริญสัมมาสติ จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องแท้จริง เพื่อทำความเข้าใจว่า ธรรมชาติคู่เป็นชีวิตจริงของเรา
กายกับใจหรือรูปกับนาม
จะต้องดำเนินไปตามจังหวะของการเกิดและดับตลอดเวลา เราจะรู้ธรรมหรือไม่รู้ก็ตาม
แต่ผู้รู้ความจริงของเรื่องนี้ จะสามารถใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของการเกิดดับได้อย่างสูงสุด คือความไม่มีทุกข์กับของคู่
ดังนั้น เรื่องผิดก็เกิดจากถูก ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีถูก สุขก็เกิดจากทุกข์ ถ้าไม่ทุกข์จะพบสุขได้อย่างไร ความดีก็เกิดจากความชั่ว ถ้าไม่ชั่วจะดีได้อย่างไร
และคนดีจะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีคนชั่วเป็นเครื่องวัด ตำรวจจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีโจร
กายมีได้ก็เพราะจิต ถ้าไม่มีจิตกายก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะเอาไปเผาทิ้ง ความรู้จะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีความหลงมาเป็นตัวตัววัด ความตายจะมีได้อย่างไรถ้าไม่มีการเกิด
เเม้ในที่สุด ผู้หญิงจะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีผู้ชาย ดังนั้น เมื่อเข้าใจสัจจธรรมข้อนี้แล้ว เราจะให้ความเป็นธรรมแก่สุขและทุกข์ว่า มีค่าเท่ากัน
แล้วเราจะไม่วิ่งหนีทุกข์อย่างเอาเป็นเอาตาย และจะไม่วิ่งหาสุขอย่าหลงใหลคลั่งไคล้ แต่เราจะฝึกฝนวิปัสนาปัญญา เพื่อนำมาใช้สัจจธรรคู่นี้..."
.
พระพุทธยานันทภิกขุ
โยม 1 : เป็นครั้งแรกที่หนูรู้สึกลงใจว่าแท้จริงทุกอย่างมันถูกปรุงมาจากอนุสัยนี่เองเจ้าค่ะ อนุสัยเป็นอย่างไรก็ปรุงไปแบบนั้น มันเป็นเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ
ยอมรับเจ้าค่ะ... ยอมรับว่า มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มันมาจากกรรมเก่า ถ้าปล่อยมันเหมือนคลื่นซัดฝั่ง ก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครไปยืนขวางคลื่นมันก็... เป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ความคิดปรุงแต่งเป็นนาม เป็นคลื่นพลังงาน (Wave หรือ Vibration) ซึ่งปรุงแต่ง กระเพื่อม ไหวตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วสร้างเป็นรูปจิต รูปกายขึ้นมา แล้วแต่จะมโนเอา แล้วปรุงแต่งยึดคลื่นพลังงานที่สร้างเป็นรูปจิตและรูปกายนั้น ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นความจริงได้ว่า
“จิต (ที่ถูกยึดได้)” ไม่มีอยู่จริง
“ตัวเรา” ผู้ยึดจิตก็ไม่มีอยู่จริง
“อวิชชา” ความไม่รู้ ความโง่เขลา ที่หลงยึดคลื่นพลังงานเป็นตัวจิตตัวใจ เป็นตัวเรา ก็ไม่มีอยู่จริง
เพราะ “สัจธรรม” ความแท้จริง
จิต (ที่มีรูปลักษณ์ให้ถูกยึดถือได้)
กาย (รูปตัวเราในจิต) และ อวิชชา
คือ ความหลงคิด หลงปรุงแต่ง หลงยึด ล้วนไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งรูปจิต รูปกายในจิต ขึ้นมาจากความไม่มีอะไรแล้วหลงยึดคลื่นพลังงานที่มันปรุงแต่งสร้างขึ้นมาเสียเอง
กล่าวได้ว่า.....
มีจิต มีอวิชชา มีตัวเรา
ไม่มีจิต ไม่มีตัวเรา ไม่มีอวิชชา
จึงไม่มีอะไรเลย ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
แต่โยมมีความหลง (อวิชชา) โดยไม่รู้ตัว คือ เอาคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรคิดปรุงแต่งยึดคลื่นพลังงานนั้นเป็นตัวเรา เป็นจิตของเรา ที่ต้องคอยสงวนรักษาไม่ให้มันกระเพื่อม ไม่ให้มีกิเลส ไม่ให้มีความทุกข์ ให้มันสะอาด บริสุทธิ์ เป็นความไม่มีอะไร เป็นความว่าง เป็นนิพพาน
จึงบังคับจิตใจตัวเองให้ยอมรับทุกปัจจุบันขณะตามความเป็นจริงตามที่เขียนส่งการบ้านมาว่า
“ยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มันมาจากกรรมเก่า ถ้าปล่อยมันเหมือนคลื่นซัดฝั่ง ก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครไปยืนขวางคลื่นมันก็เป็นธรรมชาติ เช่นนั้นเอง”
ซึ่งเบื้องหลังลึก ๆ จากใจ มีความหลงยึดถือจิตเป็นตัวเรา เป็นของเราไว้ในใจ อยากให้ใจยอมรับตามความเป็นจริง แล้วตัวเรา หรือ ใจของเราจะได้พ้นทุกข์ นิพพาน
“จิต” ที่ถูกยึดถือก็เป็นความปรุงแต่ง (สังขาร) ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
“อาการที่มีเราไปรู้จิต” ก็เป็นความปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
“อาการคิดปรุงแต่งยึดถือจิต” เป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วหลงมีตัวเราไปยึดถือคนอื่น สิ่งอื่น ๆ (แท้จริงจิตไม่มีอะไรให้ใครรู้ให้ใครยึดถือได้) ก็เป็นความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ดังนั้น จิตที่ถูกรู้ ถูกยึดได้ ก็ไม่มีอยู่จริง
อาการคิดปรุงแต่งยึดจิตเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็ไม่ได้มีอยู่จริง อาการที่มีตัวเราไปรู้จิตก็ไม่มีอยู่จริง
ตัวเราที่ยึดจิต เป็นตัวเรา (อวิชชา) ก็ไม่มีอยู่จริง
เปรียบเหมือนกับว่า “ผี” มันเป็นความหลงคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วมีอาการ... กลัวผี
พอตกกลางคืน “ผี” มีตัว
เวลากลางวัน "ผีไม่มีตัว"
“ผีตัวเรา” ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่คิดปรุงแต่ง
มีดวงจิตขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วยึดจิตเป็นตัวเราจึงมีความรู้สึกมีตัวเรา จิตของเราขึ้นมา
~~~~~~~~~~~~~~~
ปรารภเหตุโอวาทธรรมจากหนังสือจบซะที เรื่อง "จบที่ใจในปัจจุบัน" (อ่านรายละเอียดโดยคลิกที่ลิงก์จากเว็บไซต์ทางการด้านล่างนี้)
http://www.luangtanarongsak.org/.../2019.../item/3792-pkd-14
~~~~~~~~~~~~~~~
โยมส่งการบ้านหลังจากได้อ่านโอวาทธรรม
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
หนูรู้เจ้าค่ะว่า ยังมี “มึง” ที่ชอบไปช่วย “กู” อยู่เจ้าค่ะ มันเหมือนไม่ได้อยากเข้าไปช่วย แต่เป็นการตามไปดูไปพิจารณา ซึ่งก็ยังเป็น "มึง" อยู่ ที่อยากพ้นทุกข์ มันหยุดไม่ได้เสียทีเจ้าค่ะ หลวงตาช่วยด้วยเจ้าค่ะ(sad face)(sad face)
หลวงตา : บังคับให้มันหยุดปรุงแต่งเพื่อให้กูพ้นทุกข์ (นิพพาน) ไม่ได้ เพราะมันเป็นสังขาร เป็นคลื่นพลังงาน ซึ่งเป็น Wave เป็น Vibration มันเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในบังคับของเรา มันไม่ใช่เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงจะบังคับมันได้
ก็คงปล่อยให้มันเกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง........ เป็นไปตามธรรมชาติปกติธรรมดาของสังขารปรุงแต่ง
เมื่อมันเป็นสิ่งเกิดดับ มันจึงไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ไม่มีตัวเรา (กู) ตัวเขา (มึง) หรือ สัตว์ บุคคล เรา เขา ที่เป็น ตัวตนคงที่เป็นรูปร่าง เป็นก้อน เป็นแก่นที่เที่ยงแท้อยู่จริง ๆ
มีแต่ความโง่เขลา (อวิชชา) ที่หลงยึดเอาความปรุงแต่ง (สังขาร) ที่ปรุงแต่งเป็นนามรูปสมมติขึ้นมาจาก ความว่าง หรือ ความไม่มีอะไร หรือ จากไม่มีอะไร เป็นปรุงแต่งเป็นความมีขึ้นมา เป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา หญิง ชาย ภรรยา สามี ลูก หลาน พ่อ แม่ พี่ น้อง.....
โดยปรุงแต่งสร้าง “จิต” หรือ “ใจ” เป็นรูปนามสมมติขึ้นมาก่อน
แต่สัจธรรมความจริงแท้นั้น จิต หรือ ใจ ซึ่งเป็น “ธาตุรู้” ที่แท้จริงตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีรูปลักษณ์ใดเลย เป็นสุญญตา เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม
เพราะ “อวิชชา” คือ ความไม่รู้สัจธรรมความจริงของธรรมชาติว่า สิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ทั้งหมด ทั้งคลื่นพลังงาน Wave หรือ Vibration แสง สี หรือ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น หรือ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มี แล้วมีขึ้น มีการกระเพื่อมไหวตัว เคลื่อนไหว ปรากฏขึ้นมาจากความไม่มี เรียกว่า “สังขาร” เป็นสิ่งปรุงแต่งเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีเป็นธรรมดา
แม้ “อวิชชา” ซึ่งเป็นความไม่รู้ ความโง่เขลา ความหลงยึดถือสังขาร หรือ วิสังขาร เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เป็นสังขารปรุงแต่งยึดถือ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความปรุงแต่งจิตมีรูป แล้วยึดจิตเป็นเรา เป็นของเรา
ดังนั้น เมื่อมีจิต ก็มีอวิชชา มีตัวเรา... เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อหายโง่ (สิ้นอวิชชา) ก็ไม่มีจิต ไม่มีตัวเรา
“อวิชชา” เป็นสังขารปรุงแต่งที่มีการเกิดขึ้น จึงดับไปได้ โดยดับไปพร้อมกับความรู้แจ้งสัจธรรม ความจริงแท้ว่า “จิตหรือใจ” ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ตามธรรมชาตินั้น เป็น “วิสังขาร” อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตา ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นของเรา และ ไม่ใช่เป็นตัวเรา
***** หมายเหตุ :
ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มี “อวิชชา” อยู่โดยไม่รู้ตัว คือ หลงพยายามไม่ยึดสังขาร หรือ พยายามปล่อยวางสังขาร เพื่อให้ตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง โดยปักธงความว่างเป็นเป้าหมาย แล้วพยายามดิ้นรนทะยานอยากให้ตัวเราไปถึง ไปได้ ไปเป็น ไปบรรลุถึงความว่างนั้นได้
ส่วน “สังขาร” หรือ สิ่งปรุงแต่งทั้งหมดไม่ว่าจะมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต ล้วนปรุงแต่งขึ้นมา หรือ เกิดขึ้นมาจาก ความไม่มีอะไร (วิสังขาร)
แล้วปรากฏเป็นคลื่นพลังงานในลักษณะต่าง ๆ กันขึ้นมา เช่น เป็นคลื่น (Wave หรือ vibration) แสง สี เป็นต้น
แล้วคลื่นพลังงานนั้นปรุงแต่งจิต หรือ ใจ เป็นรูปสมมติที่ไม่อาจสัมผัสได้ขึ้นมาในความว่าง หรือ ความไม่มีอะไร พร้อมกับเกิดความหลง (อวิชชา) ยึดเอารูปสมมติของจิต หรือ ใจนั้น เป็นตัวเรา เป็นของเรา
แล้วเกิดเป็นตัวเรารูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงสมมติขึ้นมา ซึ่งมีรูปนามสมมติที่มีลักษณะต่าง ๆ กันตามภพภูมิ หรือ ความปรุงแต่งยึดถือไว้ภายในใจ
จากรูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น ขันธ์ห้าของคน และ สัตว์ ซึ่งเป็นรูปนามสมมติเกิดขึ้นแล้ว หรือ ปรุงแต่งขึ้นมาแล้วก็ดับไป หรือ แก่ เจ็บ ตายไปเป็นธรรมดา
ความจริงสังขารทั้งหมดทั้งที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต ล้วนเป็นคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความว่าง
ไม่มี... เป็นมี
จากไม่มี ก็มีการปรุงแต่งเป็นรูปสมมติของจิต จากรูปของจิตก็ปรุงแต่งเป็นรูปนามโปร่งแสง เรียกว่า รูปนามทิพย์ จากรูปนามโปร่งแสงก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น รูปนามซึ่งเป็นขันธ์ห้าของมนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน
***** ทั้งนาม และ รูปเป็นสิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ก็ต้องเสื่อม หรือ แก่ เจ็บ ตาย (สังขารดับ) กลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม
เมื่อรูปนามสมมติหยาบ (ขันธ์ห้า) แตกดับ (ตาย) แต่ถ้า “อวิชชา” ความไม่รู้ยังมีอยู่ จิต (ที่ถูกยึดได้) และ ตัวเรา ก็ยังมีอยู่ โดยจะมีรูปนามทิพย์ลอยออกจากร่างที่ตาย ถูกเขาพาไปรับกรรมเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
จนกว่าจะรู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงแท้ของ “สังขาร” และ “วิสังขาร” ว่าไม่มีตัวเราในสังขาร และ วิสังขารเลยแม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง
แล้วความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็น “อวิชชา” ก็จะหมดสิ้นไป
ดังนั้น “อวิชชา” ไม่สามารถดับไปด้วยการใช้กำลัง ใช้ความพยายามดิ้นรนทะยานอยาก แต่เพราะมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร น้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ออกมาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ จากจิตหนึ่ง สู่จิตหนึ่ง มาพิจารณาจนรู้แจ้งขึ้นที่ใจ (เกิดวิชชา) แล้วความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็นอวิชชาก็ดับไป
เหมือนกับว่าเมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ใจ ความมืดก็หายไป
***** แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะช่วยดับอวิชชาในใจของใครได้ เพียงแต่ถ่ายทอดพระสัจธรรมออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ให้น้อมนำไปพิจารณาตามจนมีความรู้แจ้ง (เกิดวิชชา) ขึ้นที่ใจ แล้วอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอดก็ดับไปเอง ได้ชื่อว่า "เป็นผู้ตรัสรู้ตาม"
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย