คำว่าอรหันต์จะไม่มีโลภ โกรธ หลง แต่เค้าบอกว่าแม้เรายังเป็นมนุษย์อยู่ก็ดี ถ้าเรามีความโกรธ มีความโลภ มีความหลง แต่เรารู้เท่าทันมัน..นี่เรียกว่าเป็นอริยบุคคลชั้นต้นแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าคนที่โลภ โกรธ และหลงแล้วไม่รู้เท่าทัน แต่กระทำลงไปแล้วเพิ่งมารู้..อย่างนี้ยังเป็นปุถุชน
ปุถุชนกับอริยบุคคลจึงแตกต่างกันตรงนี้ แตกต่างตรงที่ว่าอารมณ์นั้นดับยังไม่ได้ จะดับได้ก็คือกรรมมันได้สนองให้ได้กระทำไปแล้วจึงรู้ว่ากรรมนั้นเป็นอย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่อริยบุคคลรู้ในอารมณ์และดับในอารมณ์ได้นั่นแล..เรียกว่าอริยบุคคล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นขอให้โยมจงพิจารณาในธรรมที่ฉันกล่าวว่าจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วโยมต้องเอาไปตั้งไว้ที่ใด เพราะสมาธิถ้าโยมตั้งอยู่นอกกายเมื่อไหร่ นอกกายนั้นมันเป็นที่ว่าง มันไม่ใช่ที่ตั้งที่ฐานของจิต แต่ที่โยมตั้งอยู่ในกายนั้นแลคือตั้งอยู่ที่เหตุ ถ้าตั้งอยู่นอกกายมันเป็นนอกเหตุ นอกเส้นทางนิพพาน ถ้าตั้งอยู่ในกายเมื่อไหร่..มันเป็นเหตุ มันเป็นผล มันเป็นมรรค มันคือทางเดิน คือเพ่งรู้ในโทษภัยในวัฏฏะ เพ่งโทษในกายตน ว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างไร
แม้เราจะมีความแข็งแรงมันก็มีความอ่อนแอซ่อนอยู่ แม้เราไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็มีความเจ็บความป่วยซ่อนอยู่ แม้ที่เรายังไม่ตายมันก็ยังมีความตายซ่อนอยู่ ถ้าโยมพิจารณายกมันขึ้นมาให้เห็นเพียงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ทำให้จิตโยมตั้งมั่น แล้วเกิดความปลงสละสังเวชในอารมณ์นั้นได้ ทำให้จิตโยมน้อมเข้าหากฎแห่งไตรลักษณ์ว่า..ทุกอย่างมันเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เป็นแต่ของว่าง
ของว่าง..คืออะไร ของว่างหมายถึงสิ่งที่เราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นอะไรมันได้เลย คือนอกเหนือคำสั่งเรา อะไรที่อยู่นอกเหนือจิตที่เราจะไปบังคับบัญชามันนั่นแล..เค้าเรียกว่าอนัตตา ความเจ็บ ความป่วย ความตาย..เราบังคับมันได้หรือเปล่าจ๊ะ นั่นคืออนัตตา แล้วอะไรบ้างที่เราบังคับมันได้ อะไรที่เราบังคับมันได้มีมั้ยจ๊ะ
อนัตตาเราไปอะไรมันไม่ได้เลยเพราะมันว่างแล้ว นั้นจิตที่ว่างโยมจะพิจารณาธรรมได้หรือเปล่าจ๊ะ เมื่อมันเป็นอนัตตาไปแล้ว (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ค่ะ) ถูกต้อง จิตที่ว่างมันเป็นอนัตตา ไม่สามารถพิจารณาธรรมได้ แล้วจิตแบบไหนที่จะพิจารณาธรรมได้ จิตที่อยู่ในวิตกวิจาร จิตที่มีอัตตาอยู่ จิตที่มีกายสังขารมีตัวมีตนอยู่ ถึงจะพิจารณาธรรมได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มันพิจารณาธรรมอย่างไร อ้าว..ก็ธรรมมันอยู่ในกายสังขาร วิตกวิจารมันเป็นปฐมฌาน นั้นโยมต้องกลับมาดูที่ลมหายใจ มาดูที่กายอย่างนี้ แล้วพิจารณาละมันลงไปจนวิตกวิจารมันหายไป ทำให้เกิดสุขและปิติขึ้นมา เพื่อจะเอาสุขและปิตินี้แลเป็นกำลังแห่งฌาน ให้เข้าถึงอุเบกขาคือการวางเฉยที่เราจะข่มจิตข่มใจข่มเวทนา เพื่อจะเอามาพิจารณาธรรม เพื่อระงับความฟุ้งซ่านของจิต อย่างนี้..เพื่อไม่ให้จิตส่งออกไปภายนอก
จิตที่ส่งออกไปภายนอกนั่นแลเค้าเรียกว่าสมุทัย..มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อมันเป็นเหตุแห่งทุกข์แล้วส่งออกไปแล้วนี่..มันหามีประโยชน์อันใดไม่ เพราะทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ในกาย ควรกลับมาดูภายใน ก็คือภายใน..อะไรที่เรียกว่าภายในจึงเรียกว่าเป็นธรรมทั้งนั้น ก็เพ่งดูให้อยู่บ่อยๆ
นั้นจิตที่ว่างเป็นอนัตตาไม่สามารถพิจารณาธรรมได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมต้องถอยออกมาให้อยู่ในวิตกวิจารที่อยู่ในอัตตา แล้วบอกว่าอัตตานี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น..ก็ถูกแล้ว อัตตานี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่โยมจะอนัตตาเป็นของว่างนี่โยมต้องรู้ก่อนว่าโยมมีอัตตาแล้วเป็นอย่างไร โยมเห็นโทษเห็นภัยมันหรือยัง โยมยังไม่รู้โทษรู้ภัยมันจะไปอนัตตามันจะข้ามไปทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้ว่าง แล้วว่างแล้วเป็นยังไง เคยจิตว่างมั้ยจ๊ะ จิตว่างแล้วเป็นยังไงจ๊ะ
จิตว่างนี่สุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มี ใช่มั้ยจ๊ะ ใครด่าโยมในขณะนั้นตัวโทสะมันยังไม่ทำงานเลย อ้าว..มันว่างน่ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเป็นอัตตาเมื่อไหร่ใครด่าโยมรับรอง เผลอๆโยมดีดกะโหลกใส่ นั้นขณะที่จิตมันว่างเป็นอนัตตา..โทสะ โมหะ โลภะนี้มันหยุดทำงานทันที แต่เค้าถึงบอกว่าในขณะที่โยมยังไม่เข้าถึงอนัตตา..ที่เค้าให้พิจารณาเพราะอะไร เพราะให้โยมนั้นวางให้ปล่อยให้ละ ไม่ให้ยึดนั้นเอง เพื่อให้จิตมันเข้าถึงความสงบ
จิตเข้าถึงความสงบจะรู้ได้อย่างไร..จิตมันจะเบากายมันก็จะเบา เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว..นี่แลคือการทำจิตให้ตั้งมั่น สมาธิที่ตั้งมั่น จิตมันจะเบากายมันก็จะเบา เวทนามันก็จะเกิดน้อย ถ้าโยมไปยึดมันมากเท่าไหร่ สมาธิไม่รวมตัวกัน เดี๋ยวเกิดขึ้นเดี๋ยวตั้งอยู่อย่างนี้ ไม่นานโยมจะถูกเวทนาเล่นงาน แล้วโยมจะไม่สามารถเจริญความเพียรได้ตลอดรอดฝั่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะสมาธิมันไม่ตั้งมั่นนั่นเอง จึงเรียกว่าจิตยังฟุ้งซ่านอยู่
เค้าถึงบอกว่าการภาวนาจิตนี้เป็นการแก้ความฟุ้งซ่านอย่างหนึ่ง การที่โยมภาวนาพระคาถาบทใดก็ตามก็เป็นการแก้ความฟุ้งซ่านอย่างหนึ่งได้ทั้งนั้น นั้นขอให้โยมจำไว้ เมื่อจิตโยมตั้งมั่นสงบเกิดสมาธิตั้งมั่นแล้ว ขอให้โยมจงไปพิจารณากำหนดรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมใดที่โยมเคยสดับเคยฟังโยมจงมาพิจารณานั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
หากเรายังไม่มีธรรมของตัวเราเอง ก็จงหยิบยกธรรมของครูบาอาจารย์ผู้ใดก็ได้ท่านใดก็ตามที่เรานั้นศรัทธาในปฏิปทาของท่าน จะเป็นธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ของใครก็ดีที่เราเมื่อพิจารณาแล้วมันทำให้เราเกิดสติ ทำให้เราเกิดปัญญา นั่นแลเพื่อน้อมจิตเข้าหาตัวปัญญา เข้าหาความสงบ แล้วก็น้อมเข้าไปดูอยู่ในฐานทั้ง ๔ อย่างนี้ ในกาย เวทนา จิต ธรรมอย่างนี้ เมื่อเวทนายังไม่เกิดเราก็ดูจิต ดูสภาวธรรมของจิตมันเป็นอย่างไร
หากเวทนามันเกิดขึ้นแล้ว โยมต้องรู้ว่าเวทนาที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะเรามีกายนี้แลที่เราไปยึดในกาย..เวทนามันจึงเกิด ยึดมากเท่าไหร่มันก็เกิดมากเท่านั้น เหมือนที่เราว่าเรารักมากเท่าไหร่เราก็ทุกข์มากเท่านั้น เรารักน้อยเราก็ทุกข์น้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒