ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่น ก็ยังอยู่ไกลจากพระพุทธเจ้า
ทุกอย่างก็อยู่ที่การขยันฝึกปฎิบัติ " ตรงทาง ตรงธรรม "
มันเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด ที่ท่านทั้งหลายได้เกิดขึ้นมา พบพระพุทธศาสนา
โอกาสแบบนี้ ยากมาก ในการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสาร
เพราะฉะนั้น มันไม่มีกิจอันใดที่จะสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
ทางโลกเราก็ ทำงานทำการ ใช้ชีวิตตามปกติ
แต่ว่าเราก็อาศัยวิถีชีวิตของเรา เป็นเครื่องมือในการเจริญสติ ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม
ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ รู้กาย รู้ใจ มีใจตั้งมั่น เบิกบาน แล้วก็ เป็นอิสระ
ใช้ชีวิตด้วยความเป็นอิสระ จากการยึดมั่น ถือมั่น
ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายได้เป็น " ชาวพุทธที่แท้จริง "
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
อย่ามุ่งหมายความสุขอันประเสริฐอะไรๆ
ให้มากไปกว่า "ความปกติของจิต"
ที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขึ้นไม่ลงไป "ตามอารมณ์ที่กระทบ"
เพราะไม่มีสุขอะไร ประเสริฐยิ่งไปกว่าความปกติของจิตนั้น ....
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พุทธทาสภิกขุ
ไม่ต้องนั่งสมาธิให้เสียเวลา
การฝึกสมาธินี่ ฝึกสติลูกเดียว เรื่องชีวิตประจำวันนี่มี ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ฝึกสติให้ตามรู้สิ่งเหล่านี้ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ไม่ต้องไปนั่งสมาธิให้เสียเวลาทำงาน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น
" หลักก็อยู่ตรงที่ว่า เราทำก็ให้มีสติ พูดให้มีสติ คิดให้มีสติ รับประทาน ดื่ม ทำอะไรต่างๆ ให้มีสติ เป็นสมาธิทั้งสิ้น "
นอนลงไป จิตมันคิดอะไร ถ้าจิตมันอยู่ว่างๆ ปล่อยให้มันว่างไป ถ้ามันคิดปล่อยให้มันคิดไป ปล่อยให้คิดไปเลย อย่าไปห้ามมัน
ถ้าสมมติว่าเราสงสัยว่าปัญหานี้เราจะแก้อย่างไร พอมันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนี้ มันเกิดมีปัญหาถามตัวเองว่า เราจะแก้อย่างไร ทิ้งมันไว้นั่น อย่าไปคิดหาทางแก้ แต่เมื่อนอนลงไปแล้ว จิตมันคิดอะไร ปล่อยๆๆๆ ไป พอไปถึงจังหวะที่มันจะแก้ได้ มันหยุดกึ๊กลง ว่าง พอไหวตัวพั๊บ
อ้อ! สิ่งนี้ต้องทำอย่างนี้
เรื่องชีวิตประจำวันทั้งหมดนี่เป็นอารมณ์สมาธิ แล้วเราจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร สติตัวเดียว ทำ พูด คิด ฯลฯ ให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ในตอนแรกๆ อาจจะสับสนวุ่นวาย แต่เราพยายามฝึกให้คล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย เรื่องได้สมาธิขั้นใด ตอนใด อย่าไปสนใจ เอาสติตัวเดียวเท่านั้น
ทำงานอะไรต่างๆ นี้ เป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น ขอให้เรามีสติลูกเดียว
เกร็ดธรรมคำสอน ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
< ผลของจิตที่ตั้งมั่น >
เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว สติสัมปขัญญะ ก็มีกำลังมาก
นั่นหมายถึง มีปัญญามากเช่นกัน
ดังนั้น สัมมาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นประมุข สำหรับการเจริญมรรค
ถ้าสมาธิไม่ตั้งมั่น จิตก็ไม่ตั้งมั่น
เพราะสมาธิคือ การตั้งมั่นของจิต
จิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะซัดซ่ายไปตามอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ
》ดังนั้น ก่อนที่จะ พิจารณากายหรือพิจารณาจิต สมาธิจะต้องมีก่อน
ใครที่ยัง ไม่มีสมาธิ ให้ฝึกก่อนอย่าข้ามขั้นตอนเด็ดขาด
เพราะสมาธิที่แท้จริง ต้องมีองค์ประกอบ สามประการคือ อะไร
ตอบ: บริสุทโธ สมาหิโต กัมมนิโย
คือ บริสุทธิ์ ตั้งมั่น นำไปใช้งาน
ดังนั้นเมื่อพอได้จิตตั้งมั่นแล้ว ก็อย่าอยู่นิ่งๆ ให้มาพิจารณาธรรมจนเกิดปัญญารู้แจ้ง
ธรรมจาก ศิษย์อตุโล
จะเป็นพระโสดาฯ หรือจะเป็นพระอรหันต์ มาจากจุดตั้งต้นอันเดียวกัน จุดตั้งต้นก็คือ เราต้องมาเรียนรู้ความจริง ของกายของใจตนเอง ถ้าไม่สามารถเรียนรู้ความจริง ของกายของใจได้ โสดาฯก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่พระอรหันต์เลย
พระโสดาบันท่านเห็นแล้วว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงมาก็คือ รูปธรรมกับนามธรรมทั้งหลาย กายกับใจของเรานี้แหล่ะ เต็มไปด้วยของที่ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไปทั้งสิ้น เนี่ยท่านเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ ใจยอมรับ ก็เห็นทั้งกายทั้งใจเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ร่ายกายหายใจเข้าก็ดับไป เกิดร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจออกเกิดแล้วดับ ไป กลายเป็นร่างกายหายใจเข้า ร่างกายยืนเกิดแล้วก็ดับ ร่างกายเดินเกิดแล้วก็ดับ ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน เกิดแล้วดับ ดูความจริงเรื่อยๆไป
ในใจก็ดูง่าย ไม่มีอะไรหรอก พอตาเรามองเห็นรูป ใจเราก็เปลี่ยน เห็นรูปที่พอใจ ใจก็มีความสุขขึ้นมา ให้รู้ทัน ว่าใจมีความสุข เห็นรูปที่ไม่พอใจ ใจมีความทุกข์ขึ้นมา รู้ทัน ว่าใจมีความทุกข์ ได้ยินเสียงที่พอใจ ใจมีความสุข รู้ว่าใจมีความสุข ไม่ใช่รู้ว่าเสียงอะไรนะ เสียงนกเสียงคน เสียงบ่นเสียงด่า เสียงชม ไม่จำเป็นต้องรู้ตรงนั้นหรอก ให้คอยรู้ที่ใจของเราอันเดียวนี่แหล่ะ ตามองเห็น ก็รู้ทันที่ใจ ตามองเห็น ใจก็เปลี่ยน หูได้ยินเสียง ใจก็เปลี่ยน ให้รู้ความเปลี่ยนแปลงที่ใจ ใจนี้เดี๋ยวก็สุข ใจนี้เดี๋ยวก็ทุกข์ ใจนี้เดี๋ยวก็ดี ใจนี้เดี๋ยวก็ร้าย สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีก็ชั่วคราว ร้ายก็ชั่วคราว ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ ดูกันเป็นแรมเดือนแรมปีเลยล่ะ กว่าใจจะยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างมันชั่วคราว เราดูจนใจยอมรับนะ ไม่ใช่เราแกล้งยอมรับเอาเอง (แกล้ง)ยอมรับเอาเอง ฆ่ากิเลสไม่ตาย ถ้าจิตเห็นความจริง จิตยอมรับความจริง ถึงจะฆ่ากิเลสตาย
เรื่องมันง่ายๆแค่นี้แหล่ะ แต่ว่าทำไมคนทั่วไป ไม่สามารถที่จะดูกายดูใจ ตามความเป็นจริงได้ มันแปลกไหม ร่างกายของเรามีมาแต่เกิดใช่ไหม ทำไมเราไม่เคยดูความจริงของกาย จิตใจของเราก็มีมาตั้งแต่เกิด ทำไมเราไม่เคยดูความจริงของจิตใจ ไม่เฉพาะเรานะ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษเราก็ไม่ได้ดู หมูหมากาไก่อะไรก็ไม่ได้ดู หาคนที่จะมาดูความจริงของกาย หาคนที่จะมาดูความจริงของใจได้เนี่ย หายากที่สุดเลย งั้นพระอริยฯเลยขาดแคลน ทั้งๆที่ไม่ได้ยากเลยนะ ที่จะพัฒนาจิตใจ ให้บรรลุอริยธรรมเนี่ย ไม่ได้ยากเลย แค่เราเห็นความจริง แค่จิตยอมรับความจริงนะ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ทุกอย่างในกาย เกิดแล้วดับ ทุกอย่างในใจ เกิดแล้วดับ แค่นี้เอง ทำไมทำไม่ได้ ที่ทำไม่ได้ ก็เพราะว่า เราลืมกายลืมใจของเราทั้งวัน เราไปหลงโลกภายนอกนะ เรามัวแต่สนใจสิ่งภายนอก เราไม่ย้อนมาที่ตัวเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“…ความจริงแล้ว จิตใจของเราหรือของคนทุกคนนั้น
มันสะอาด-มันสว่าง-มันสงบอยู่แล้ว
‘สะอาด’ ก็แปลว่า 'จิตใจเราไม่สกปรก'
‘สว่าง’ ก็หมายถึง 'การเห็นแจ้ง'
เห็นอะไร ? ว่างั้น
ก็เห็นชีวิตจิตใจของเรานี้แหละ เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้แหละ
‘สงบ’ ก็หมายความว่า 'พอแล้ว หยุดแล้ว'
ไม่ไปศึกษาเล่าเรียนอันใดเพิ่มเติมอีกแล้ว เพราะมันมีเท่านี้
การทำให้คนไม่มีทุกข์นั้น เราต้องเห็นอยู่ที่นี้
ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเอาไว้ว่า
‘การที่เรายังไม่เห็นจิตเห็นใจของเรานั้น
เปรียบก็เหมือนกับการที่เมฆหรือฝ้ามาบังแสงตะวันเอาไว้
ความสว่างของดวงตะวันจึงไม่ส่องมาให้เราเห็นพื้นโลกนี้ได้’
ในขณะใดก็ตามที่เราไม่เห็นจิต-ไม่เห็นใจ ไม่เห็นชีวิตของเรา
ในขณะนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า‘คนไม่มีสติ’
หรือจะเรียกว่า ‘คนมีกิเลสมาก’ ก็ได้
เพราะในขณะนั้น กิเลสมันเข้ามาครอบงำอยู่ภายในจิตใจของเรา
แล้วเราก็เพ้อฝัน ทำไปตามกิเลสอันนั้น
ทั้งที่ส่วนของจิตใจของเรานั้น มันไม่ได้เป็นอะไร
มันยังสะอาด-สว่าง-สงบอยู่
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอน
‘ให้เรามีสติ-ให้รู้จัก-ให้เห็นแจ้งในตัวเรา’
เห็นธรรมะ ต้องเห็นตัวเรานี้...พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นอย่างนี้ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว
ก็ไล่ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงออกได้
ความจริง
ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงนั้น ก็ไม่ได้มีอยู่ที่เรา
มันเพียงวูบเข้ามาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
คล้าย ๆ กับน้ำแข็งก็ว่าได้
น้ำแข็งนั้น เขาทำให้เป็นก้อนขึ้นมาได้...แต่ก็อยู่ได้ไม่ทนทาน
เมื่อถูกแดด-ถูกลม น้ำแข็งนั้นก็ละลายไปเป็นน้ำตามเดิม
ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงนี้ก็เหมือนกัน
มันไม่ได้ตั้งอยู่นาน มันเป็นเพียงวูบเดียวมาเท่านั้น
เมื่อเราไม่เห็นความที่มันเป็น ไม่เห็นความที่มันเกิดขึ้นมา
ก็เรียกว่า ‘มันตบหน้าเรา’ จะว่าอย่างนี้ก็ได้
อุปมาอีกอย่างหนึ่ง
เหมือนกับรถยนต์ที่มันวิ่งไปตามถนน
แล้วขี้ฝุ่นมันก็จะปลิวฟุ้งวิ่งไล่ตามท้ายรถยนต์ไป
รถยนต์มันวื้ดมาปุ๊บเดียวเท่านั้น
'ความคิด' คือ 'ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง' นั้น
ก็เหมือนกันมันเป็นเพียงวูบเดียวมาเท่านั้น แล้วเราก็คล้อยทำไปตามมัน
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอน ‘ให้เราเห็น-ให้เราเข้าใจจิตใจของเรา
ให้รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้ รู้จักเอาชนะมันได้จริง ๆ’
อันนี้นี่การเห็นธรรม ต้องเห็นมาในรูปนี้
มันไม่ใช่ว่าต้องเห็นไปอย่างอื่น...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เหตุเกิดของความโลภ ความโกรธ ความหลง
กิเลสทั้งสามตัวนี้ จะปรากฏตัวให้เห็น มันจะต้องมีเหตุเกิดขึ้นก่อน มิใช่ว่าจู่ๆ มัน จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะ"เราประมาทขาดสติจนเคยชินนั้นเอง"
จึงดูเหมือนว่า มันเกิดง่ายๆ
จิตปกติ มันก็ไม่มีความโลภ โกรธ หลง แต่เมื่อเราไม่รู้สึกตัวชัดเจน การขาดความรู้เนื้อรู้ตัวชัดเจนนี้เอง จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างง่ายดาย เพราะการขาดสติสัปะชัญญะอย่างต่อเนื่องนั้นเอง
ที่จริงแล้ว"ความโลภ ความโกรธ ความหลง" ไม่ได้มีตลอดเวลา "มีเหตุจึงเกิด เมื่อไม่มีเหตุก็ดับ" เราต้องระวังที่"เหตุ"ของมัน ขณะที่อ่านหนังสือสบายๆ อยู่ในขณะนี้ มีใครอยากโกรธกันบ้างไหม? มีใครเกิดรู้สึกไม่พอใจกับใครบ้างไหม?
ดังนั้น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะหมดกิเลสหมดทุกข์ได้ง่ายๆ เหมือนกัน เช่นเดียวกับเราขาดสตินั้นแหละ ดังนั้น เราต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างชัดเจนถี่ถ้วนว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ กับใช้ชีวิตอย่างขาดสติสัมปะชัญญะอยู่เสมอ การใช้ชีวิตแบบไหน จะมีความสุขสงบมากกว่ากัน?
ถ้าคิดให้ดีๆ คุณอาจมีความสุขอย่างง่ายๆ เว้นแต่ว่าคุณยังไม่มีศรัทธาที่ต้องการใช้ชีวิตแบบนี้เท่านั้นเอง! หรือว่าคุณยินดีต้องการที่จะใช้ชีวิตสนุกสนานด้วยความโลภ โกรธ หลงอยู่ต่อไปก็ไม่ว่ากัน แล้วกรุณาคิดดูให้ ดีๆ ว่า คุณเป็นคนปกติ หรือผิดปกติกันแน่?
พระพุทธยานันทภิกขุ
" จิตชอบเสพอารมณ์ความคิด รู้ทันจิตใจตนเอง อย่าเพลินอยู่กับสภาวะที่เกิด จนเข้าไปเกิดวิตกวิจารณ์ ให้รู้ทันใจ อยู่กับใจตนเอง จะเห็น วิมุตติธรรม "
เมื่อรู้ทันใจตนเอง แล้วจะรู้ว่า สภาวะที่เกิดไม่ได้มีค่าอะไรน่ายึดถือเลย เป็นการส่งจิตออกนอกโดยเผลอทําตามกิเลสตนเองด้วย การที่เรารู้ทันใจเรา มีสติที่มีกําลังพอที่จะเลิกให้ค่าเลิกสนใจสภาวะต่างๆ แล้วกลับมารู้ทันใจตนเอง
รู้ทันใจตนเองตรงไหน ตรงที่ใจขยับแล้วเกิดกิเลสตัณหาอุปาทาน เห็นตรงนี้นะ ไม่ใช่"ตามไป"เห็นสิ่งที่เกิดหรือสภาวะที่เกิด ให้เห็นตรงใจเราว่าใจเราเข้าไปยึดอีกแล้ว เห็นตรงนี้ได้บ่อยๆ จะเห็นว่าทุกข์เกิดขึ้นที่ตรงนี้ ตรงที่
"เราเข้าไปยึดถือ"
"ความรู้สึกตัวเป็นสติ" ที่จะนําปัญญามารู้ทัน
เมื่อเห็นมากรู้ด้วยปัญญามาก มันจะปล่อยตรงนี้
ปล่อยตรงนี้ได้มันจะ"ทําลายความอยากอื่นๆ"เราไปด้วย ความเห็นเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เป็นการเจริญมรรคแปด
Trader Hunter พบธรรม
ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น
จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาจะมีลักษณะที่เบา มีลักษณะที่นุ่มนวลอ่อนโยน มีลักษณะที่ปราดเปรียวว่องไว ไม่หนักไม่แน่นไม่แข็งไม่ซึมไม่ทื่อ
ถ้านั่งสมาธิแล้วจิตแน่นจิตแข็งจิตซึมจิตทื่อ ให้รู้เลยว่าเป็นมิจฉาสมาธิแล้วล่ะนะ นอกรีตนอกรอยแล้ว ไม่ใช่สมาธิในทางศาสนาพุทธแล้ว หรือนั่งแล้วเคลิ้มง่อกๆแง่กๆขาดสตินะ ใช้ไม่ได้เลย จิตไม่ได้มีความคล่องแคล่วว่องไวควรแก่การงาน จิตสะลึมสะลือ หรือจิตเที่ยวเห็นโน้นเห็นนี่ออกข้างนอกไป จิตไม่อยู่กับฐาน สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย
ถ้าเรามีสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย จิตจะมีความตั้งมั่นอยู่กับตัวเอง จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต เรียกว่าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ จิตหนีไปเมื่อไหร่มันก็ลืมกายลืมใจ มีร่างกายก็ลืมร่างกาย มีจิตใจก็ลืมจิตใจ แต่ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตจะเบาสบาย นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไว มีความสุขความสงบอยู่ในตัวเอง จิตจะถอยตัวออกมาจากรูปธรรมนามธรรม เพราะไม่ไหลเข้าไปในปรากฏการณ์ทั้งหลาย จิตจะถอยตัวออกมาเป็นคนดู
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สัจจะบารมี
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑. ผู้มีปัญญา เขาตั้งใจอะไรไว้
เขาก็พยายามทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ โดยมีปัญญาคุม
โดยรู้กำลังใจของตนเองมีแค่ไหน ระดับไหน
ก็ให้ตั้งใจไว้แค่ระดับนั้น
๒. ผู้มีปัญญา จะใช้คำว่า ข้าพเจ้าจะพยายามปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ให้ดีที่สุดในวันนี้ เขาตั้งเป็นวันๆ ทำทุกวัน
โดยมี มรณา และอุปสมานุสสติ ควบอยู่เสมอ
ด้วยความไม่ประมาทในความตาย
๓. ทำได้แค่ไหน ก็พอใจแค่นั้น
รักษาอารมณ์จิตอย่าให้เกิดความเศร้าหมองของจิตเกิดขึ้น อย่าให้ขาดทุน
โดยใช้หลักพรหมวิหาร ๔
ไม่เบียดเบียนตนเอง
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนทั้งตนเอง
และผู้อื่นเป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติ
แก้ปัญหาทุกชนิดจัดเป็นอารมณ์สันโดษนั่นเอง
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
"วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่นที่ง่ายที่สุด
คืออาศัย"สติ" รู้ทัน "จิตที่ไม่ตั้งมั่น"
จิตที่"หลงไปคิด"เกิดบ่อยที่สุด
เป็นจิตที่ไม่ตั้งมั่น ที่เกิดบ่อย
รองลงจากจิตหลงไปคิด
คือจิต"หลงไปดู"
รองจากจิตหลงไปดู
คือจิต"หลงไปฟัง"
สามตัวนี้เกิดบ่อยที่สุด
หลงไปคิดเกิดบ่อยที่สุด
หลงไปดูรองลงมา"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
การเจริญวิปัสสนานั้น แม้เป็นเพียงชั่วขณะของจิต วิปัสสนาก็เกิดแล้ว การเจริญวิปัสสนาที่ดีคือการเห็นไตรลักษณ์ในชีวิตประจําวัน จากการดําเนินชีวิตของเรา เพียงแต่จะเห็นได้ต้องมีกําลังของสติสมาธิ ให้จิตตั้งมั่นได้เพื่อจะเข้าไปเห็นความจริง จึงให้หมั่นเจริญสติรู้สึกตัวบ่อยๆก็ด้วยเหตุนี้
.
เมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆเข้า มันจะขยายเวลามากขึ้นบ่อยขึ้นไปเอง ทําให้เรามีสติพอที่จะไปเห็นความจริงของโลก ไม่มีอะไรที่ต้องทํามากไปกว่า "การรู้สึกตัวเลย" แอดมินพูดกล่าวตรงนี้ มีผู้รู้ที่ก้าวผ่านไปแล้วผ่านมาเห็นมากมาย ย่อมเห็นความจริงนี้ตรงกัน
Trader Hunter พบธรรม
ตรงที่"รู้สึกตัว"..เกิดสติ ระลึกรู้ ขึ้นมาแล้ว
ตรงที่"ระลึก รู้ตัว"ชั่วขณะสั้นๆนั้น
เกิด"สมาธิที่ตั้งมั่น"ขึ้นมาของใจแล้ว
แต่ ชั่วขณะสั้นๆ นั้นได้เพียงแค่ขณิกะสมาธิ หรือ สมาธิช่วงสั้นๆ ในเบื้องต้น ซึ่งเมื่อเราเริ่มก้าวหน้าไปแล้ว มันถึงจะขยายแล้วนานขึ้น มากขึ้น บ่อยขึ้น ในอนาคต
ตรงจุดนี้หล่ะ ที่ต่างจากการ นั่งทําสมาธิยาวๆเป็นชั่วโมง เพราะคนที่นั่งสมาธิได้ จะสามารถเกิดจิตตั้งมั่นได้นานกว่าชั่วขณะหนึ่ง
เวลาที่ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมา แม้สั้นๆก็สามารถเจริญปัญญาได้ แต่ การนั่งสมาธิแล้วเห็นนานกว่าก็สามารถเจริญปัญญาได้นานกว่า แต่สุดท้ายแล้ว เห็นสั้นๆ เห็นบ่อยๆ นั้น ทําได้ง่ายกว่าการพยายามไปนั่งสมาธิมาก
การที่ให้ฝึก รู้สึกตัว ในชีวิตประจําวันไปก่อน เพราะ พอเกิดสมาธิช่วงสั้นได้ และมี"กําลังสติ"มาก พอจะไปนั่งสมาธินาน มันก็ทําได้ง่ายขึ้น หรือ ถ้าไม่นั่งสมาธิ แต่เจริญปัญญาชั่วขณะ แต่ทําได้บ่อยๆ ก็สามารถเห็นความจริงได้เช่นกัน เพราะแค่ชั่วแว๊บเดียว แค่ขณะจิต ดังแค่กระพริบตา
หากเข้าไปเจริญวิปัสสนาจริง เวลาที่เข้าไปเห็นมันจะเหมือนหยุดเวลา เหมือนเป็นภาพสโลว์
เวลาเดินช้าๆ( บอกให้รู้ แล้วอย่าไปคิดเลียบแบบ เพราะจะยิ่งไม่เกิด ให้มันเกิดเอง )
แต่ก็สามารถเจริญปัญญาได้ไม่ต่างจากการนั่งสมาธิเลย
Trader Hunter พบธรรม
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
สิ่งสำคัญจริงๆในการดำเนินตามรอย
เหล่าพระอริยเจ้าทั้งหลาย
อยู่ตรงที่ว่าจะ"มีจิตตั้งมั่นขึ้นมาได้หรือไม่"
หลายๆคนปฏิบัติมาแล้วไม่สามารถก้าวข้ามผ่านได้
เป็นเพียงเพราะไม่มีจิตที่ตั้งมันจริงๆ
ตั้งมั่นกับอะไร? ตั้งมั่นกับการ " รู้ " นั่นเอง
"เมื่อจิตตั้งมั่นย่อม "รู้".."เห็น" ตามจริง"
"เมื่อจิตตั้งมั่น..ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ"
นี้คือสิ่งที่พระศาสดาตรัสสอนไว้
"ตั้งมั่นอยู่กับรู้" แต่ "ไม่รักษารู้" ไม่หลงออก"นอก".."ใน"
มี"ความตื่น..พร้อมรู้" ในทุกๆสภาวธรรม
"ที่เกิดขึ้นและดับไป" นี้เป็นสิ่งอันควรพิจารณานะ
< ผลของจิตที่ตั้งมั่น >
เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว สติสัมปขัญญะ ก็มีกำลังมาก
นั่นหมายถึง มีปัญญามากเช่นกัน
ดังนั้น สัมมาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นประมุข สำหรับการเจริญมรรค
ถ้าสมาธิไม่ตั้งมั่น จิตก็ไม่ตั้งมั่น
เพราะสมาธิคือ การตั้งมั่นของจิต
จิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะซัดซ่ายไปตามอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ
》ดังนั้น ก่อนที่จะ พิจารณากายหรือพิจารณาจิต สมาธิจะต้องมีก่อน
ใครที่ยัง ไม่มีสมาธิ ให้ฝึกก่อนอย่าข้ามขั้นตอนเด็ดขาด
เพราะสมาธิที่แท้จริง ต้องมีองค์ประกอบ สามประการคือ อะไร
ตอบ: บริสุทโธ สมาหิโต กัมมนิโย
คือ บริสุทธิ์ ตั้งมั่น นำไปใช้งาน
ดังนั้นเมื่อพอได้จิตตั้งมั่นแล้ว ก็อย่าอยู่นิ่งๆ ให้มาพิจารณาธรรมจนเกิดปัญญารู้แจ้ง
ธรรมจาก ศิษย์อตุโล
มโนธาตุ โพธิญาณ
“จิตใจที่ดี” ต้องเกิด ๕ อย่างนี้เป็นประจำ
“ เพราะฉะนั้น จึงมีหลักที่แสดง“พัฒนาการของจิตใจ” ว่าจิตใจของชาวพุทธ หรือจิตใจที่ดี ต้องมีคุณสมบัติ ๕ อย่าง คือ…
๑. มีปราโมทย์ "ความร่าเริง เบิกบานใจ"
๒. มีปีติ "ความอิ่มใจ"
๓. มีปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลาย สบายใจ
๔. มีสุข "ความคล่องใจ โปร่งใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้นหรือระคายเคือง"
๕. มีสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สงบ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ถูกอารมณ์ต่างๆมารบกวน
ถ้าทำใจให้มีคุณสมบัติ ๕ อย่างนี้ได้ ก็จะเป็น“จิตใจที่เจริญงอกงามในธรรม” สภาวะจิต ๕ ประการนี้ โปรดจำไว้เลยว่าให้มีเป็นประจำ
.
พระพุทธเจ้าตรัสบ่อยๆว่า เมื่อปฏิบัติธรรมถูกต้องแล้ว พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งคือเกิดสภาพจิต ๕ ประการนี้ ถ้าใครไม่เกิดแสดงว่าการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า...
.
พอ ๕ ตัวนี้มาแล้ว ปัญญาก็จะผ่องใส แล้วจะคิดจะทำอะไรก็จะเดินหน้าไป ตลอดจนการปฏิบัติธรรมก็จะก้าวไปสู่โพธิญาณได้ด้วยดี”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยาย เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ในวาระงานฌาปนกิจศพ นางละเมียด รอดสังข์ ณ เมรุวัดธรรมเจดีย์ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ( จากหนังสือ “สร้างวาสนา-เพิ่มค่าให้อายุ” )
-------------------------------------------------
ชีวิตที่ดี และ มีความสุขที่แท้จริง
“มนุษย์ทุกคนต้องการชีวิตที่ดีและมีความสุขที่แท้จริง และเราก็ดำเนินชีวิต เพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาสิ่งนี้ แต่แล้วมนุษย์ก็ประสบปัญหากันอย่างนี้แหละ เพราะเพียรพยายามไปโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าชีวิตที่ดีและความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร
.
ขอรวบรัดว่า หลักในการสร้างชีวิตที่ดีและมีความสุขนี้ ไม่มีอะไรมาก ก็คือ การเข้าถึงธรรมนั่นเอง เป็นอันเดียวกัน เมื่อใดเราเข้าถึงชีวิตที่ดีมีความสุขที่แท้จริง ก็คือเข้าถึงธรรม พูดสั้นๆ ว่า “เมื่อสุขแท้ ก็ถึงธรรม” เมื่อพูดอย่างนี้แล้วทุกท่านจะได้ไม่หนักใจ คือจะได้เห็นการก้าวเข้าไปหาธรรมเป็นเรื่องที่ตรงกับจุดหมายของชีวิตเราอยู่แล้ว…”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ธรรมะฉบับเรียนลัด”
ถาม. การที่เรา รู้ลมแล้ว เราจะเดินปัญญาอย่างไรครับ ?
ตอบ. การรู้ลม จิตตั้งมั่นกับลม ทําให้จิตมีกําลัง
"ได้ทั้งสติและสมาธิ"
เมื่อ"จิตมีกําลัง"จะรวมเด่น"ตั้งมั่น"ขึ้นมา
จิตจะไม่ฟุ้ง ไม่กระจาย เกิดภาวะจิตรวมเป็นหนึ่ง"ตั้งมั่น"
สภาวะตรงนี้เป็นสภาวะธรรม ที่ต้องปฏิบัติ
เช่น นั่งสมาธิ หรือ เจริญสติรู้สึกตัว รู้ลม หรือ รู้กายอย่างอื่นก็ได้ แต่ให้เป็นการเจริญสติ เมื่อ"จิตตั้งมั่น"ได้แล้ว ถัดจากนั้น จิตจะเริ่ม"เจริญปัญญา"ต่อเอง หรือ "เจริญวิปัสสนา"นั้นเอง
"การรู้สึกตัว" โดยอาศัย"ลมหายใจ"
เป็นการทําเพื่อให้ จิตมีคุณภาพมากขึ้นก่อน
จึงจะเกิดการเจริญปัญญาขึ้นมาตามหลัง
เราไป"บังคับให้จิตเจริญปัญญาไม่ได้"
ต้องบ่มจนมะม่วงสุก สภาวะธรรมถึง
จึงจะเกิด"เจริญปัญญา"เอง
"จิตที่ไม่ตั้งมั่น"ไม่สามารถเห็นอะไรตามความเป็นจริงได้ ทั้งนี้ เพราะจิตที่ขาดการฝึกอบรมย่อมมีคราบกิเลสต่างๆติดแน่นอยู่เป็นเปลือกหุ้มจิตเอาไว้ตลอดเวลา รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง
▪คำสอนของพระพุทธองค์จึงไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในเวลามีทุกข์ คำสอนของพระพุทธองค์
ให้"วิธีการฝึกจิตให้ตั้งมั่น" เป็น"สมาธิ"
เพื่อ"มีกำลัง" สลัด "คราบกิเลสออกไป"
ด้วยการ "รู้".."เห็น" สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงด้วย"ปัญญา"
》เมื่อจิตมีคุณสมบัติพอที่จะดูชีวิตของตนอย่างเป็นกลางได้ เราจึงจะจับหลักได้ว่า
▪สิ่งใดยิ่งมองยิ่งชัด สิ่งนั้นเป็นของจริง
▪สิ่งใดยิ่งมองยิ่งไม่ชัด สิ่งนั้นเป็นของปลอม
เพราะ"ดู" เพราะ "รู้" เพราะ"เห็น" นั่นแหละ
มนุษย์เราจึงมีโอกาสเป็นที่พึ่งแห่งตน
พระอาจารย์ชยสาโร
เมื่อ"จิตตั้งมั่น"รวมศูนย์ได้ ให้เจริญสติปัฏฐานในข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ ใน กาย เวทนา จิต ธรรม จะทําจิตตั้งสงบอยู่ในกาย จะเข้าถึง"ความว่าง" ได้ปัญญาญาณ รู้แจ้งในไตรลักษณ์ ในอริยสัจ 4 รู้ในเหตุในผล เห็นเส้นทางเดินชัดเจน...
Trader Hunter พบธรรม
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "จิตเป็นสมาธิ"<=..
.. คำว่า "จิตเป็นสมาธิ" นั้น หมายถึง "จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง" ไม่ใช่จิตหยุดโดยไม่รับอารมณ์ใดเลยทั้งสิ้น นักปฏิบัติใหม่หรือท่านที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลย มักจะเข้าใจอย่างนั้น ความจริงการเข้าใจอย่างนั้น เป็นการเข้าใจที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง
ธรรมดาของนักปฏิบัติใหม่ "จิตที่ว่างจากอารมณ์ โดยไม่รับรู้อารมณ์เลย" สำหรับการปฏิบัติเบื้องต้นนี้ไม่มี อาการอย่างนั้น
"จิตที่ว่างจากอารมณ์" เป็นอาการของ "สัญญาเวทยิตนิโรธ" พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือพระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่จะเข้าได้
พระอริยะนอกนั้น แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญก็ไม่สามารถทำได้ ปกติของจิตเป็นอย่างนี้
เมื่อทราบแล้วว่า"จิตไม่ว่างจากอารมณ์" เพื่อฝึกฝนจิต"ให้มีกำลัง"ที่ควรแก่"การเจริญวิปัสสนาญาณ"ในขั้นต่อไป
ท่านจึงสอนให้ภาวนา "เพื่อโยงจิตให้อยู่ในอารมณ์ภาวนา" คือ "หาทางให้จิตนึกคิด แต่นึกคิดในขอบเขตที่มอบหมายให้" ไม่ใช่จะนึกคิดเพ่นพ่านไป
การภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่งนี้ "เป็นการระงับการฟุ้งซ่านของจิต" ..
(หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่องสมาธิ คือความตั้งใจมั่น จิตยิ่งมั่นเข้ามา
ยิ่งมั่นหมายเข้ามา ยิ่งพิจารณาเข้ามายิ่งแน่เข้ามา
มั่นจริง ๆ ว่าจิตนี้ไม่เป็นไปกับใคร จิตอย่างนี้เชื่อแน่
จริง ๆ ก็ไม่เป็นไปกับใคร ไม่เป็นไปกับอารมณ์
อารมณ์เป็นอารมณ์ จิตเป็นจิต
ที่จิตเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นดีเป็นชั่ว เพราะจิตหลงอารมณ์ ถ้าไม่หลงอารมณ์ แล้วไม่เป็นอะไร
จิตนี้ไม่ได้หวั่นไหว สภาวะอันนี้
เรียกว่า เป็นสภาพรู้อันหนึ่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เหล่า
นั้น เป็นอาการของธาตุทั้งหมด
เกิดแล้วก็ดับไปเฉย ๆ อย่างนี้
ถึงแม้เรามีความรู้สึกอย่างนี้ แต่ยังละไม่ได้ ก็มีนะ
การละได้หรือละไม่ได้ ก็ช่างมันเถิด ให้มีความรู้หรือ
มีความหมายไว้อย่างนี้เสียก่อน ในเบื้องแรกของจิต
เราค่อยพยายามเข่นฆ่าเข้าไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นอย่าง
นี้แล้ว จิตถอยออกมา พระบรมศาสดาหรือคัมภีร์
ท่านกล่าวว่าเป็น " โคตรภูจิต " โคตรภูจิตนี้คือจิตมัน
จะข้ามโคตร จิตของปุถุชนย่างเข้าไปหาอริยชน
ซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนเรานี่เอง
" โคตรภูบุคคล " พอก้าวเข้าไปถึงจิตพระนิพพาน
แต่ไปไม่ได้ ถอยออกมาปฏิบัติขั้นหนึ่ง ถ้าเป็นคนก็
เหมือนคนเดินเข้ามห้วย ขาข้างหนึ่งอยู่ฟากห้วยทาง
นี้ อีกขาหนึ่งอยู่ฟากห้วยทางโน้น เข้าใจแล้วล่ะว่า
ห้วยฝั่งทางโน้นก็มี ฝั่งทางนี้ก็มี แต่ไปไม่ได้ ถอยมา
ที่บุรุษผู้น้นเข้าใจว่า ฝั่งทางโน้นก็มี ฝั่งทางนี้ก็มี
นี่คือ โคตรภูบุคคล หรือ โคตรภูจืต แปลว่า
รู้เข้าไปแต่ไปยังไม่ได้ ถอยกลับมา
เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ มาดําเนินไปสร้างบารมี
ไป มาบําเพ็ญเข้าไป เห็นว่ามันแน่นอน มันเป็น
อย่างนั้น จะต้องตรงไปทางนั้น พูดง่าย ๆ สภาพที่
เราพากันมาประพฤติปฏิบัติ อยู่เดี๋ยวนี้
ถ้าพิจารณาตามเรื่องราวจริง ๆ แล้ว มันมีหนทางที่จะต้องไปคือ เรารู้หนทางในเบื้องแรกว่า ความดีใจหรือความ
เสียใจไม่ใช่หนทางที่เราจะเดิน เราต้องรู้จักอย่างนี้
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะถ้าไปดีใจ มันก็ไม่ใช่
ทาง เกิดทุกข์ได้ ไปเสียใจก็เกิดทุกข์ได้ นั่นคือเรา
คิดได้อย่างนี้ แต่ว่ายังละไม่ได้.
ทําอย่างไร ถึงจิตจะตั้งมั่นได้นานๆ ?
จิตตั้งมั่น ย่อมรู้ว่าตั้งมั่น เขาจะตั้งมั่นขึ้นมาเอง ไปกําหนดไม่ได้
การพยายามให้จิตตั้งมั่นได้นาน เป็นการปรุงแต่งจิต จิตไม่ได้ตั้งมั่นแล้ว กลายเป็นไปประคองจิต หลุดจากการตั้งมั่นแท้
ทําอย่างไรให้จิตตั้งมั่นได้บ่อย และ นานขึ้น ทําได้ 2 หลักใหญ่ ให้ จิตผู้รู้ได้สะสมกําลังขึ้นมา
1 สายสมาธิ นั่งสมาธิจนได้ฌาน ทําได้ยากในยุคนี้
2 สายเจริญสติปัญญา ให้หมั่นรู้สึกตัว กับ กาย กับ ใจ รู้ทัน กาย ใจ
ให้หมั่นรู้สึกตัว เป็นขณะสั้นๆ เวลาสั้นๆ ที่รู้สึกตัว รู้สึกตรงไหน จิตผู้รู้ ไปตั้งมั่นตรงนั้น ชั่วแว๊บ ทําบ่อยๆ จิตผู้รู้จะเข้มแข็งมีกําลังขึ้นมา จนสามารถตั้งมั่นเด่น จนผู้ปฏิบัติรับรู้ได้
การเจริญวิปัสสนาแท้ จะเกิดเมื่อจิตเรารวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ จิตจะรวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมาได้ จึงต้องมีแรงของสมถะมาช่วย เพื่อให้จิตนั้นสงบตั้งมั่น เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมา จะไม่มีการเข้าไปดึงเอาสัญญาและสังขารมาเป็นอารมณ์ จิตจะว่าง มีแต่รู้ที่ไม่เข้าไปยึดถือ ตรงนี้จะปลอดจากสัญญาและสังขาร คือ ไม่เข้าไปยึดถือความจําความคิดปรุงแต่ง จิตปล่อยออกจากขันธ์เป็นอิสระ เพื่อจะเห็น รูป นาม ตามความจริง ไม่มีความคิดปรุงแต่งมาหลอกชักนํา เมื่อเห็น รูป นาม ตามความจริงจะเห็นธรรมชาติของมันก็คือ เห็นไตรลักษณ์ จุดที่สําคัญคือการเข้าไปเห็นจิตเห็นใจของตนเอง ที่เวียนไปในภพต่างๆ ที่หลงเข้าไปยึดเกาะ แล้วสุดท้ายก็ดับไป แม้หลงยึดอย่างไร สุดท้ายก็ดับอยู่ดี นี้คือการเข้าไปเจริญวิปัสสนาแท้ ที่ไม่มีความคิดใดเลย ในขณะปัจุบัน
แต่มีข้อยกเว้น ในผู้ที่จิตรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว แต่ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ เห็นรูปนามแยกออก แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ให้ใช้ความคิด เข้าไปคิดถึงไตรลักษณ์ เช่นให้เห็น รูปกายที่เน่าเปื่อย เห็นความเสื่อมของกาย เห็นความน่าสังเวชของกายที่เสื่อม ให้คิดเริ่มต้น เพื่อให้ จิตเข้าไปคุ้นในสัญญาหล่าวนี้ในเบื้องต้นก่อน เมื่อคุ้นแล้ว(อันนี้ยังเป็นการเห็นในระดับความคิด ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา ยังละอะไรไม่ได้) ให้มาเจริญวิปัสสนาตามปกติ จิตก็จะสามารถเจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา เห็นไตรลักษณ์ ต่อได้เอง อย่างนี้แม้เป็นเพียงการเอาความคิดมาช่วย แต่วิปัสสนาก็ไม่ได้เกิดตอนที่คิดอยู่ดี
.. โลกว่าง...ทั้ง จิต ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ ล้วนเป็นธรรมว่างจากอัตตาและจากสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา จึงเรียกว่า ‘โลกว่าง”
.... ธรรมที่ว่าง ก็มีหลายระดับ คือ ว่างจากสิ่งนี้ เพราะได้ละวางสิ่งนั้น
ผู้ที่ได้ ปฐมฌาน จะมีธรรมว่างจากนิวรณ์๕ (กามฉันทะ-พยาบาท-ถีนมิทธะ –วิจิกิจฉา –อุทธัจจะ)
ผู้ที่ได้ทุติญาน จะว่างจาก วิตก วิจารณ์
ผู้ที่ได้ตติญาน จะว่างจากปิติ
ผู้ที่ได้จตุตญาน จะว่างจากสุข
***.... ความว่างขั้นสูงสุดของความว่างทั้งปวง... คือ การที่บุคคลผู้มีสัมปชัญญะ ทำกิเลส อวิชชา ให้สิ้นไปด้วยอรหัตตมรรค
" สัมมาสมาธิในอริมรรค
เป็นสมาธิมีผลใหญ่
มีอานิสงค์ใหญ่
เป็น สมาธิที่ตั้งใจไว้ชอบ
"ใจที่ตั้งมั่น" เป็นสัมมาสมาธินี้
จะไม่มีความหวั่นไหวคลอนแคลน
สมาธิประเภทนี้ ย่อมขับไล่ "กิเลสมารทั้ง ๕"
ให้หมดสิ้นไปจากจิตได้ นั่นเอง
นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ ได้แก่
กามฉันทะ ขับไล่ความพอใจในกามารมณ์ได้
ละพยาบาท คือ ความอิจฉาพยาบาท ที่มีอยู่ภายในใจได้
ถีนมิทธะ กำจัดความง่วงเหงาหาวนอนได้
หรือ ความขาดสติปัญญาของจิตได้
อุทธัจจกุกกุจจะ ขับไล่ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญของจิตได้
วิจิกิจฉา ไม่มี ความเคลือบแคลงสงสัยเลย
ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และข้อปฏิบัติ
ของตน ในสติ สมาธิ ในปัญญา
ในมรรค ในผล ในวิมุติ ไม่มีความสงสัยเลย
ไม่มีลูบ ๆ คลำ ๆ
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า...
สมาธิประเภทนี้ ไม่เสื่อม ไม่ถอยหลัง
เป็นสมาธิตลอดกาล
ไม่มี การเข้าการออก เป็นอกาลิโก
จะเดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ครุ่ดคิด
แม้จะทำกิจการงานอะไร ก็เป็นสมาธิ
มีความตั้งมั่นไว้ชอบอยู่...เสมอ
เพราะได้ละสังโยชน์ตามขั้นตามภูมิ
ของปัญญา ไม่เหมือนสมาธิประเภทอื่น
สมาธิประเภทอื่นนั้น
กาลนั้น จึงจะเข้าสมาธิ กาลนั้น จึงจะออก
จากสมาธิ
เมื่อ...ยังมีการเข้าการออกอยู่อย่างนั้น
สมาธิประเภทนี้ การละสังโยชน์เครื่องร้อยรัด ยังคลุมเครืออยู่."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สิ่งสำคัญในการดูจิตก็คือ ความรู้สึกตัว
ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิมากไป
เพราะเมื่อรู้เท่าทันความรู้สึกหรือความคิด
จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะแล้ว คำว่าตั้งมั่น
ก็คือสมาธินั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ จิตไม่มีราคะก็รู้ว่าจิตไม่มีราคะ
ถ้ามีสมาธิมากๆเป็นฌาน จะไม่เห็นกิเลสเลย
เพราะถูกสมาธิข่มไว้ แต่การทำสมาธิให้ได้ก็มีประโยชน์
ต้องเป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่นมีความความรู้ตัว
ปัญญาที่เกิดจากสมาธิที่แนบแน่นมีกำลัง
ก็จะลึกซึ้งละเอียดยิ่งขึ้น ถ้าทำได้ก็ทำ
ถ้าไม่ได้ก็เจริญสติ ด้วยความรู้สึกตัวก็พอแล้ว
แล้วสมาธิที่มีกำลังมาก ก็จะพัฒนาขึ้นไปตามลำดับเอง
.........................
ความที่จิตจะคลายออกจากการสำคัญมั่นหมาย
ว่าเป็นตัวเป็นตนนั้นเป็น เพราะจิตนั้นมีความตั้งมั่น
และเป็นกลางเพียงพอที่จะเห็นเพียงบางสิ่งเกิดและดับไป
เมื่อจิตรับรู้ว่าสิ่งต่างๆนั้น ไม่เคยที่จะคงทนอยู่ได้จริงเลย
เกิดการยอมรับความเป็นจริงตามที่เป็น จึงเกิดการคลายออก
กระบวนการทั้งหมดนั้น ก็มาจากการที่ได้เจริญสติสัมปชัญญะ
รู้กายใจอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยไม่ได้คาดหวังในผลนั่นเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
แดนทิพย์นิพพาน
. บางท่านทำสมาธิ เข้าถึง กายวิสุทธิเทพ เห็นแดนทิพย์นิพพาน ตรงนี้เป็น”วิกขัมภนวิมุตติ “ หลุดพ้นด้วยการข่มกิเลสชั่วคราว ถึงประตูรู้เส้นทางจะไปแล้ว ..ได้สัมผัสทั้งสังขาร..และ ..วิสังขารแล้ว
. เป็นความดีมากแล้ว แต่ยังไม่ดีถึงที่สุด....เพราะจะต้องเดินปัญญา ทำวิปัสสนา ..จนอารมภ์พระนิพพาน
มันเต็มในใจ..จะนิพพานนอก นิพพานใน..มันเป็นเนื้อเดียวกันหมด..
มันแจ้งในใจ ตลอดกาล ..เมื่อบารมีเต็ม..ก็หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงได้…
ทางเดินมีหลายเส้นทาง..แต่ทุกเส้นทางมันมีไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา กำกับอยู่.
.และสุดเส้นทาง..มีป้ายที่เหมือนกันว่า...”วาง”..
***…การเจริญภาวนาได้ถึง กายวิสุทธิเทพ ธรรมกาย และ สัมผัสพระนิพพาน ..
แม้จะยังไม่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง...ก็หลุดพ้นได้ชั่วคราวด้วย “วิกขัมภนวิมุตติ” หรือ นิพพานชั่วขณะ
ก็นับว่ามีบารมีมากแล้ว...ใยจะต้องกลัวการเห็นแดนทิพย์นิพพาน..ว่าเป็นนิมิตลวง
ว่านิพพาน จะต้องมีแต่ความว่าง บริสุทธิ์ จะต้องไม่มีนิมิต..
**..ด้วยการหลุดพ้นมีตั้งหลายระดับ ระดับ การข่มกิเลส จะทำลายอวิชชา จะหมด..หรือ..ไม่หมด
โดยสิ้นเชิง.ก็แล้วแต่. ตอนนั้น กำลังของอวิชชาก็ทำอะไรเราไม่ได้... เพราะ...ตอนนั้น..จิตเราไม่สังขาร
..จิตเราไม่ปรุงแต่ง
*/. ยิ่งปฏิบัติภาวนา จนสมาธิละเอียด เครื่องรู้เห็น คือ “ทิพพจักษุ”. ทิพพโสต..ของกายทิพย์ .
.จะละเอียดยิ่งขึ้นไป..จนถึงญาณทัสสนะ ให้รู้ ให้เห็น ให้ได้สัมผัส พอเข้าใจสภาวะพระนิพพาน
เพื่อจะปฏิบัติให้ถึงคำว่ารู้แจ้งหรือ “ทำนิพพานให้แจ้ง” ได้จริงๆ คือ..เป็นพระอรหันต์
.....................................
‘โลกว่าง”
โลกว่าง เพราะ ว่างจากอัตตา (ตัวตน) และจากสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การดมกลิ่น การสัมผัส ความสุข ความทุกข์ การวางเฉย ล้วน เป็นธรรมว่างจากอัตตาและจากสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา
" เป็นผู้มีสติอยู่...สม่ำเสมอ
ไม่มี บกพร่อง
ถึงแม้ว่า ไม่ได้เดินจงกรม
ไม่ได้ นั่งสมาธิ ก็ไม่มีอะไรจะเสียหาย
นี่พูดถึงอาการ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราทำเข้าไปถึง "จุดนี้"
มันจะเป็นของมัน อย่างนั้น
มัน จะดีใจ ก็รู้จัก
จะเสียใจ ก็รู้จัก
เมื่อ...อารมณ์มาประสบ
มันก็"รู้ขึ้นพร้อมกัน" และก็"ดับพร้อมกัน"
ถ้าพูดตามเรื่องก็เรียกว่า...
มรรค มันฆ่ากิเลส
เกิด - ดับ กลับพร้อมกันเลย
พอ มีปัญหา ก็มีเฉลยพร้อม
ภาษาครูบาอาจารย์ท่านว่า...
มัน มีแต่เรื่องเกิด - ดับ เท่านั้น."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ดูใจ..เราก่อน
สอนใจ..เราก่อน
หัดปล่อยวาง..ก่อน
เมื่อ..จิตสงบเป็นปกติแล้ว
จึงค่อยพูดค่อยออกความเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล
ด้วย"จิตเมตตากรุณา"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ถ้าหากว่ามีปัญญาอยู่พร้อมแล้ว
ความระลึกได้และความรู้ตัว
มันจะติดต่อกันเป็นลำดับ
แต่ถ้าปัญญานั้นยังไม่ผ่องใส
สติสัมปชัญญะมันก็อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง
ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องมีปัญญามาช่วย
พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้
อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน
มาต้านทานมันเลยว่า "สติ"..นี้มันก็ไม่แน่นอน
มันลืมได้เหมือนกัน
"สัมปชัญญะ"..ความรู้ตัวนี้ ก็ไม่แน่นอน
มันล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง
อะไรที่มันไม่เที่ยง แล้วเราไม่รู้ทันมัน
อยากจะให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์เท่านั้น
เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ตามปรารถนา
ไม่ได้ตามความอยาก ที่จะให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น
ซึ่งเป็นความอยากที่เกิดจาก"อำนาจจิตที่สกปรก"
สกปรกด้วยความไม่รู้จักอันนี้
มันก็เกิดกิเลสตัณหาตรงนี้แหละ
_________________________
หลวงปู่ชา สุภัทโท
เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง หลักเหตุผลของเราจะเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก เราอยู่เหนือเหตุผลแบบโลกๆ สิ่งที่เราเคยคิดว่าถูกที่เคยคิดว่ายุติธรรมเหมาะสม จะเปลี่ยนแปลงไป เราจะย่อมรับความจริงในโลกได้มากขึ้นง่ายขึ้น จนเราไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์( อนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา ) ไม่มีสิ่งใดเที่ยง แม้แต่ตัวเราก็ไม่เที่ยงไม่มีอีกต่อไป
การแปลความหมายใดๆในสิ่งต่างๆที่มองเห็น จะหมดค่าในสัญญาเก่าๆที่เคยมีมาแต่ยังรู้อยู่ แต่จะเห็นเป็นเพียงสีเป็นเพียงธาตุ ที่เกิดขึ้นจากการสะท้อนแสง หาได้มีอะไรเป็นความหมายอีกต่อไป เข้าใจคําว่า"สักแต่ว่ารู้ว่าดูว่าเห็น" ก็ตรงนี้หล่ะ เพราะมันเพียงแค่เห็นแสงสีแต่ไม่ให้ความหมายแสงสีที่เห็น การให้ค่าในกายต่างเพศหมดไป เห็นเพียงจิตที่ไม่มีเพศหญิงเพศชาย อยู่ในร่างที่เป็นก้อนธาตุที่รอวันเน่าวันเสื่อม เหมือนเราใส่เสื้อแล้วเสื้อผ้าขาดชํารุดจนใช้ไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องทิ้ง ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะอีก มันเน่าแล้วก็ไม่เหลือสิ่งใดใด เหลือแต่เพียง "ความจริง ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อยู่เหนือกาลเวลา" รอว่าเมื่อไหร่ที่เราปล่อยจากการยึดเกาะได้ เข้ามารู้ รู้ได้ด้วยตน พบได้ด้วยตน จะหลุดพ้นการมีตน....
ภาพ วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร กรุงเทพฯ
Trader Hunter พบธรรม
หยุดสร้างสังสารวัฏ +++
จิตของเราจมอยู่ในกองขยะ คือโลกสมมุติ ถูกกองขยะครอบงำ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า แล้วเมื่อไรเล่าจึงจะพ้นทุกข์ได้
“จิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิมนั้น ปภัสสรคือสว่างไสว และไร้อารมณ์” แต่เพราะ"ความหลงหรืออวิชชา" คือความไม่รู้ จึงคิดสร้างสรรค์ปั้นแต่งสารพัดอย่าง มีทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งหยาบ ทั้งละเอียดประณีต วิจิตรพิสดาร ต่ำช้าเลวทรามจนไม่อาจจะประมาณได้ เพราะมีมากมายเกินกว่าจะคณานับ แล้วก็มาหลงในสิ่งที่จิตสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นนั้นว่า"เป็นตัวเป็นตน เป็นของของตน"
พระผู้เปิดโลกให้เราเห็นก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระผู้ทรงเอ็นดูสัตว์โลก ทรงชี้ทาง บอกทางให้เราออกจากโลกสมมุติ อันเปรียบดังกองขยะนี้เสีย
จงแหวกม่านอวิชชาออกมา จงพาตนออกมาจากกองขยะเสีย ณ บัดนี้ หยุดสร้างสังสารวัฏเสีย ก่อนที่ความตายจะมาถึง
๓๑ ภพภูมิ ตลอดไปถึงโลกธาตุ และอนันตจักรวาล ล้วนเป็นสมมุติทั้งสิ้น สิ่งใดเป็นสมมุติ สิ่งนั้นล้วนเป็นมายา ซึ่งมีสภาวะไม่เที่ยง มีความผันแปร และดับสลายไปเป็นที่สุด เกิดแล้วก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัย
“สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” คือไม่ใช่อัตตาตัวตนของเรา
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
ไอ้ความรู้สึก มันหุ้มตัวนั้นอยู่ ไอ้ตัวนั้น มันไม่เกิดไม่ดับอยู่อย่างนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
คือเขาเรียกว่ามันไม่เกิดมันไม่ตาย พูดง่ายๆซะ มันไม่เกิด มันไม่ตาย อย่างที่ว่า มันไม่เกิดมันไม่ตาย......
ไอ้ที่มันเกิดมันดับอยู่ เนี๊ยะ !!! มันเป็นความรู้สึกอันหนึ่ง
แต่สิ่งทั้งหลายที่เป็นความจริงนั้น มันไม่เกิดไม่ดับ มันไม่เกิดไม่ดับ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
ไอ้ความรู้สึก มันหุ้มตัวนั้นอยู่ ตัวอันนั้น มันไม่เกิดไม่ดับ แยกออกจากกันให้ได้ แยกออกจากกันให้ได้...
เมื่อถึง “ความสงบ อันนี้แล้ว” ไม่มี “อะไร” จะทำ
มรรค (ปัญญาอันชอบ เห็นชอบ ฯลฯ) เป็นเรื่องของ “เจตสิก” ทั้งนั้น
ออกจาก “ผู้รู้” นั่นเอง มันจะเป็นอย่างไร ก็ช่างมัน มัน “เกิด” จาก “ผู้รู้” อันนี้
ถ้า “จิต” นี้ไม่มี “ผู้รู้” ก็ไม่มีเช่นกัน
มันคือ “อาการ” ของพวกนี้
“มรรค” เป็นหนทางที่จะ “ดำเนิน” เข้าไป
ผลคือ “ความสงบ” เกิดขึ้น นั่นเป็น “จุดที่ต้องการ”
เมื่อ ถึง “ความสงบ อันนี้แล้ว” ไม่มี “อะไร” จะทำ
พระศาสดา จึงให้ “ละ” จะเป็นอะไรก็ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็น “ปัจจัตตัง” แล้วจริงๆ
หลวงปู่ชา สุภัทโท
" สติ...ตั้งมั่น ในที่ใด
กิเลส เหล่านั้น ต้องหายไป ในที่นั้น
ถ้าหากสติ...
ตั้งมั่น อยู่...ในทุกอิริยาบถ
กิเลส
มัน ก็ไม่เกิดอีก เท่านั้น."
____________________________________
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง)
เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู
ได้รู้ ได้เห็น
เห็นมากๆ จะไม่หลงไปกับ สัญญา และสังขาร
เห็นรูปแบบ ที่วนเกิดซ้ำๆ
ดังดูหนัง แต่ไม่หลงเข้าไปเล่นอีก
ใจแยกออกมาเป็นผู้ดู
Trader Hunter พบธรรม
ผู้ที่มีสติตั้งมั่น
จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น ถ้าโยมอยากจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
...ก็ฝึก สติปัฏฐาน ทำให้มีสติตั้งมั่น
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า..
ตอนพระตถาคตดำรงอยู่ก็ดี หรือ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วก็ดี
ชนเหล่าใด เป็นผู้ใคร่ศึกษาใน " สติปัฏฐาน ๔ "
ชนเหล่านั้น จะเป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐในโลก
สติ... มันเป็นประโยชน์เกื้อกูลในทุกๆ เรื่องในชีวิต
สามารถเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดา
ให้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นมาได้
ที่เค้าบอกว่า มนุษย์เรา ใช้สมอง
ใช้ศักยภาพของตัวเอง ไม่ถึง 10 %
อีก 90 % ที่มันหลับใหลอยู่
มันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ ด้วย สติปัฏฐาน
ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น
พอโยมมีจิตใจที่ตั้งมั่น
โยมสามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงขึ้นมาได้
ทำอะไรก็สามารถประสบความสำเร็จได้
ทั้งทางโลก และ ทางธรรม
แล้วเมื่อฝึกจนสติมันตั้งมั่นอยู่เสมอ
พระพุทธองค์ ก็ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า...
เปลื้องจิต น้อมเข้าสู่ อมตธาตุ
นั่นสงบ นั่นระงับ นั่นประณีต
ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
พระมหาวรพรต กิตติวโร
"จิตตั้งมั่น"นะ ไม่ใช่"จิตสงบ" คนละอันกัน
แต่ในความตั้งมั่น มีความสงบ สงบจากอะไร "สงบจากนิวรณ์"เท่านั้นเอง ไม่ใช่"สงบจากอารมณ์"
ต้องแยกให้ออกนะที่ว่าสงบๆน่ะ ไม่ใช่สงบจากอารมณ์นะ แต่"สงบจากนิวรณ์"
อารมณ์มีร้อยอารมณ์ก็ได้ พันอารมณ์ก็ได้ หมื่นอารมณ์ก็ได้ ล้านอารมณ์ก็ได้
แต่จิตนั้นสงบจากนิวรณ์ ไม่ถูกยั่วให้ฟุ้งซ่านไป
ตั้งมั่นเป็น"ผู้รู้".. "ผู้ดู"อยู่ นี่แหละ สงบแบบตั้งมั่นนะ
ไม่ใช่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว"แบบสมถะ" คนละอัน
จิตบางชนิดนะ สมาธิบางชนิดนะ จิตไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์เป็นหนึ่งจิตเป็นหนึ่ง นี่คือสมถกรรมฐาน
สมาธิอีกชนิดหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่งอารมณ์ล้านอารมณ์ก็ได้ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอด จิตเป็นหนึ่งคือเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดูไม่ฟุ้งซ่านตามอารมณ์ไป
แต่ไม่ได้เพ่งตัวจิตไว้นะ ถ้าเพ่งตัวจิตเมื่อไหร่ ตัวจิตจะเปลี่ยนสภาพจากผู้รู้ไปเป็นอารมณ์ทันทีเลย จิตจะแปลสภาพจากจิต คือธรรมชาติที่รู้นะ กลายเป็นอารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเพ่งใส่จิตด้วย
เราจะต้องฝึกจนกระทั่งจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็น "ผู้รู้.."ผู้ดู"
วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไหลไป จิตไหลไปดูไหลไปฟังไหลไปคิด ไหลไปเพ่ง ยกตัวอย่างหายใจอยู่ก็ไหลไปอยู่ที่ท้องไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หรือไหลไปคิดเรื่องอื่นเลย หรือไหลไปคิดเรื่องบริกรรมพองหนอยุบหนออะไรขึ้นมา นี่ไหลไปคิด ให้รู้ทันจิตที่ไหลไปคิด จิตรู้จะเกิด
หลวงพ่อเทียนจึงสอนนะว่า เมื่อไรรู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้นจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ
หลวงปู่ดูลย์ก็สอนอันเดียวกันบอกว่า คิดเท่าไรก็ไม่รู้
หยุดคิดถึงรู้ แต่ไม่ใช่เป็นวิปัสสนานะ เพิ่งจะตั้งต้นเท่านั้นเอง เพิ่งหลุด หมายถึงหลุดออกจากโลกของความคิด
หลังจากนั้นต้องเจริญวิปัสสนาอยู่ดีแหละ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เรามีลักษณะเฉพาะ ที่จะสังเกตหรือกำหนดว่า จิตเป็นสมาธิโดยถูกต้อง อยู่ ๓ ประการ
คือ"จิตตั้งมั่น"ไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวเรียกว่า สมาหิโต เป็นสมาธิ แล้วก็
จิตนั้น"บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรมารบกวนจิต".." จิตว่างจากกิเลส"เรียกว่า ปริสุทโธ บริสุทธิ์ แล้วก็
จิตนั้น"เหมาะสมอย่างยิ่ง พร้อมอย่างยิ่ง"ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของจิต เรียกว่า กัมมนีโย
สามคำนี้ถ้าจำได้ก็ดี สมาหิโต stableness ปริสุทโธ pureness กัมมนีโย activeness ต้องมี ๓ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าจิตนั้นมีสมาธิอย่างถูกต้อง"
พุทธทาสภิกขุ
วิปัสสนาเกิดเมื่อ"หมดความคิด" เมื่อจิตทรงตัวเป็นผู้รู้แล้ว หากรู้อยู่แต่ความว่างๆ ไม่เข้าไปพิจารณาขันธ์สักที ให้น้อมนําด้วยใจ เพื่อเข้าไปพิจารณาขันธ์
การน้อมนําไม่ใช่การไปคิดแช่ แต่เป็นการโน้มน้าวไปด้วย"ใจ" เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพิจารณา(ไม่ใช่คิด)ขันธ์
ปกติแล้วไม่ต้องโน้มน้าวไปก็พิจารณาเองได้ แต่บางครั้งถ้า"ไปรู้ว่างมาก"ไปมันจะไม่เข้ามาพิจารณาขันธ์ ทําให้ไม่เข้าไปเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์
การเข้าไป"เห็นไตรลักษณ์ของขันธ์"จะทําให้เราดับตัวตนหรือดับอัตตาของเรา เมื่อตัวตนเราดับ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะค่อยๆดับไปด้วย
วิธีน้อมนําให้เข้ามาพิจารณาขันธ์ เมื่อขณะ"จิตตั้งมั่นทรงตัวเป็นผู้รู้"แล้ว ให้ใช้ลมหายใจของเรา โดยรู้สึกถึงลมเข้าตามมาที่กาย จะรู้ตามมาที่ก้อนกายเอง มันจะเห็นกายเอง พอเห็นกายมันจะพิจารณากายเป็นไตรลักษณ์เป็นอัตโนมัติ เป็นการใช้ลมนําทางมายังก้อนกาย จะทําให้เห็นกายง่ายกว่าและไม่หลุดจากสมาธิ
จากการที่จะตั้งใจให้เข้ามาดูก้อนกายโดยตรง จะหลุดจากการเข้าไปกําหนดรู้มายังกาย เวลาดูจะเห็นก้อนกายค่อยๆสลายหายไปแตกดับเป็นละเอียดเล็กๆหรือเป็นแสงสว่างแล้วหายไป
เทคนิคในการนัอมนําใจหรือเล่นกับใจของใครก็ของมัน ลองเล่นกับใจใช้ใจตนเองดูจะเห็นทางของตนเอง
สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ
หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป
หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสามปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง
ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ให้้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ” ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ” ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน
ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ
แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า”จิต” อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า”ใจ” ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่
นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม