สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติระลึกรู้
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องรูปธรรม
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนความรู้สึกจากสัมผัส
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนของการรับรู้
4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้งรูปธรรมและนามธรรม
สติ ที่ว่านี้ คือ สติปัฏฐาน 4
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
เอกายะโน อะยัง มัคโค
" หนทางนี้เป็นทางเดียว ที่จะทำให้เหล่าสัตว์บริสุทธิ์ ได้ล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ ดับทุกข์และโทมนัสได้ บรรลุอริยมรรคเพื่อเห็นแจ้งพระนิพพานได้ หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔"
แต่หากเราเล่นบทผู้เสวยเวทนาเสียเอง การปรุงแต่งก็เกิดขึ้นต่อไปทันที ผลก็เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทคือ ทุกข์
》 เวทนานุปัสสนาจึงดูจะง่ายกว่ากายานุปัสสนา ความสำเร็จของการปฏิบัติวัดที่ความเร็วของสติ ที่ต้องฝึกบ่อยๆ ก่อนที่ปรุงแต่งครั้งต่อๆไป
ปุจฉา:
เริ่มฝึก ควรเน้นฐานใดฐานหนึ่ง
จนมั่นคงไปก่อนใช่ไหมคะ?
วิสัชนา:
ก็เริ่มต้นด้วยการเจริญกายคตาสตินะ
ตั้งสติไว้กับกาย
เราจะเริ่มจาก
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายก็ได้
เช่น ถ้าเริ่มที่ลมหายใจ
ก็เรียกว่า “อานาปานสติ”
ลมหายใจก็เป็นกายอันหนึ่ง
หรือว่า จากส่วนใดของกายก็ได้
เมื่อตั้งสติไว้กับกายได้เนืองๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
กายคตาสติ ที่บุคคลเจริญแล้ว
ชื่อว่า เจริญอมตธรรม
ระลึกรู้กาย ทำความรู้สึกตัวเนืองๆ
สามารถสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์
ของธรรมชาติได้
กายคตาสติ เปรียบเหมือนแผ่นดิน
ทุกอย่างก็ตั้งอยู่บนแผ่นดินทั้งนั้น
ความงอกงามไพบูลย์
ของกุศลธรรมทั้งปวงต่างๆ
ฐานที่เหลือ ก็ต้องต่อยอด
มาจากฐานกายทั้งหมด
เพราะฉะนั้น...
เราก็เริ่มฝึกฐานกาย
ให้มีความชำนิชำนาญ
มนุษย์มีจุดเด่นที่สุด ก็คือ "มีกาย"
ให้ได้ฝึกเจริญกายคตาสตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นฝึกฐานกายให้มาก
ใหม่ๆก็อยู่กับกายได้ไม่ตลอดหรอกนะ
รู้บ้าง เผลอบ้าง ก็เป็นธรรมดา
เราก็ค่อยๆฝึกปฏิบัติไป
ทำให้มาก เจริญให้มาก
พอฝึกไปมากๆเข้า
จิตใจมีความตั้งมั่น
ก็เริ่มอยู่กับกายได้ดี
พออยู่กับกายได้ดี
สติมีกำลัง จะพบว่า..
จากที่เราเคยรู้สึกได้แค่เป็นส่วนๆ
ความรู้สึกที่มือบ้าง ที่แขนบ้าง ที่เท้าบ้าง
ที่การเคลื่อนไหวบ้าง ที่ลมหายใจบ้าง
แต่พอสติเริ่มมีกำลัง เราจะพบว่า
การรู้สึก การรับรู้ของเรา
มันจะกว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนรู้สึกขึ้นมาได้ทั้งตัวเลย
เรียกว่า “สติเต็มฐาน”
พอสติเต็มฐาน
รู้กายขึ้นมาได้ทั้งกาย
อย่างตอนแรกเวลาเดิน
เราจะรู้สึกได้แค่ฝ่าเท้าสัมผัส
การก้าว การเคลื่อน
แต่พอสติเต็มกำลัง สติเต็มฐานปุ๊บ!
จะรู้สึกกายได้ทั้งกายที่เดิน
รู้สึกได้ทั้งตัว
เมื่อสติเต็มฐาน
จะเกิดการรับรู้กายและใจ
ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปกำหนดดูจิตเลย
เราจะรู้สึกการทำงานของจิตใจ
ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
เวลา.. ความคิด ต่างๆผุดขึ้นมา
เวลา.. ความรู้สึก ต่างๆผุดขึ้นมา
เวลา.. จิตเผลอไป แว๊บไป ในอารมณ์ต่างๆ
จะรู้สึกได้ รับรู้ได้ ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
ให้เราฝึกเจริญกายคตาสติไปเรื่อยๆ
ทำให้มาก เจริญให้มาก
ถึงจุดหนึ่งสภาวะรู้ตื่นขึ้นมา
จะเห็นการทำงานของกายของใจ
ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
จะเป็นการเห็นแบบสละ ละ วาง
ที่เรียกว่า..
• รู้.. สักแต่ว่ารู้
• เห็น.. สักแต่ว่าเห็น
• ได้ยิน.. สักแต่ว่าได้ยิน
• ทราบ.. สักแต่ว่าทราบ นั่นเอง
ถ้าเราไปตั้งใจเจาะจง
เช่น ดูกายดูจิตมากเกินไป
มันยังไม่เป็นกลาง
ก็จะไม่เป็นรู้สักแต่ว่ารู้
แต่ถ้าเราแค่ระลึกรู้กายไปเรื่อยๆ
จนจิตตั้งมั่นขึ้นมา
จะกลายเป็นจิต
เข้าถึงความเป็นกลาง
คือ รู้สึกกาย รู้สึกใจขึ้นมา
ได้เองโดยธรรมชาติ
เมื่อเราฝึกไปเรื่อยๆ
จะเข้าถึงสภาวะของ สัมมาสมาธิ
คือ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ในสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จะรู้พร้อมทั้งกายและใจ
ก็จะเกิดสภาวะจิตตั้งมั่นนั่นเอง
รู้กายรู้ใจ เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ก็ค่อยๆฝึกปฏิบัติไป
.
.
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
3 เมษายน 2564
ถ้าเราเล่นบทผู้สังเกต เวทนาก็ไม่มีผลอะไรให้เดือดร้อน
ความติดใจทำให้เกิดการปรุงแต่ง(การกินครั้งต่อไป) เรื่อยไป
เวทนานุปัสสนาเป็นการพิจารณาแง่มุมต่างๆของเวทนาซึ่งเราล้วนคุ้นเคย แต่ไม่ฉุกคิดว่าถูกเวทนาหลอกต้มให้ติดกับอยู่ในวังวนที่หยุดไม่ได้
ยกตัวอย่างเรื่อง ความอร่อยของทุเรียนเป็นเวทนาทำให้เราเสพติดทุเรียน แง่มุมอื่นของเวทนาก็ยังมี เช่น ความรู้สึกที่ไม่อร่อยของของกินบางอย่าง ขมเสียจนไม่อยากกินอีก
》ถ้าเราสามารถปรุงแต่งให้เกิดเวทนาหรือไม่ให้เกิดเวทนาที่เราต้องการได้ดั่งใจ ทุกข์ต่างๆคงไม่เกิดขึ้น คงมีแต่ความสุขสมหวัง แต่ข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างนั้น
แท้ที่จริงเวทนาที่เกิดขึ้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นลอยๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป
< เวทนานุปัสสนา >
เวทนาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตมนุษย์ในฐานะที่เป็นแรงจูงใจภายในที่เกิดขึ้น ในอันที่จะทำให้เกิดการปรุงแต่งให้เกิดกรรมใหม่แล้วเกิดเวทนาใหม่วนอยู่อย่างนั้นไม่เป็นอันสิ้นสุด ดังนั้นการตัดกรรมใหม่ นอกจากจะต้องทำความรู้จักกับสังขารแล้ว ยังต้องทำความรู้จักกับเวทนาด้วย
จุดที่จะระงับการปรุงแต่งก็คือจุดที่เวทนาจะก่อให้เกิดการปรุงแต่งครั้งต่อไป ต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ซึ่งสามารถป้องกันด้วยการใช้สติ(และ สัมปชัญญะ) เมื่อสติมาทันก็สามารถบรรเทาการปรุงแต่งลงได้ เป็นกรรมใหม่ที่เป็นไปไม่ใช่สนองตัณหา เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เพื่อการปรุงแต่งต่อไป นั่นคือเป็นกรรมเพื่อความสิ้นไปของกรรม
เวทนา (Feeling) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากมีการรับรู้สิ่งเร้า ( ผัสสะหรือ Perception) การรับรู้สิ่งเร้าก็เป็นผลผ่านทางอวัยวะในการรับรู้และระบบประสาทสัมผัสซึ่งต้องเลือกจากการปรุงแต่ง(สังขาร)
ยกตัวอย่างการปรุงแต่ง เช่น การกินทุเรียน
ทำให้เกิดการรับรู้ทางรสชาติ(ผัสสะ)
เมื่อรับรู้รสชาติแล้วก็เกิดความอร่อย(เวทนา)
ความอร่อยทำให้เกิดความติดใจ(ตัณหา)
การภาวนานั้น ไม่ใช่ว่าจะนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว
แต่ต้องทำและทำได้ตลอดเวลา
การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ให้มีสติประคับประคองอยู่เสมอ
สมาธินั้น อาตมาไม่เอามากหรอก แต่ให้มีสติอยู่เสมอ
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
“สติ” กับ “ปัญญา” ใน“สติปัฏฐาน”
.
“พอได้ “สมาธิ” ที่ถูกต้อง ก็มาเป็นตัวเอื้อแก่ “ปัญญา” จุดหมายของธรรมะในพุทธศาสนานั้น อยู่ในกระบวนการของไตรสิกขา “สมาธิเพื่อเป็นปัจจัยแก่การใช้ปัญญา” เราก็ก้าวจาก “สมถะ” หรือ สมาธิ ไปสู่ “วิปัสสนา”
“วิปัสสนา” มีวิธีปฏิบัติสำคัญที่เรียกว่า “สติปัฏฐาน” คือ การเอาสติมาใช้ในการจับตาประดาปรากฏการณ์ที่ภาษาพระเรียกว่า “อารมณ์”ต่างๆ หรือตามดูรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตจิตใจของเรา เอาสติไปจับให้ทันหมด แล้วส่งให้ปัญญารู้เห็นเข้าใจ
.
สติ กับ ปัญญา ทำงานคู่กัน (ปัญญาในที่นี้เรียกว่า “สัมปชัญญะ”) ขอเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับตาเรานี้เป็นปัญญา เราจะมองอะไร สิ่งนั้นต้องอยู่ต่อหน้า ถ้าสิ่งนั้นหลุดลอยไป เราก็มองไม่ได้ ปัญญาก็ต้องมองสิ่งที่อยู่ต่อหน้าจิต สิ่งนั้นจะอยู่ต่อหน้าจิตได้อย่างไร ก็ต้องจับหรือกำกับไว้ สิ่งที่จับไว้ก็คือสติ สติจับสิ่งนั้นไว้ต่อหน้าแล้ว ปัญญาก็เหมือนตาที่มองดูสิ่งนั้น
.
ในวิธีปฏิบัติวิปัสสนา จะมีสติเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวจับสิ่งนั้นไว้ให้ปัญญาดู สติกับปัญญาจึงทำงานคู่กัน สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายจิต คืออยู่ในหมวดสมาธิ ก็มาทำงานประสานกับปัญญา เหมือนกับรับใช้ปัญญา
.
สติตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ให้พลาดไป สติจับ ปัญญาก็ดู ปัญญาดูรู้ตามเป็นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด้านร่างกาย ความเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง การนอน การกิน การดื่ม การรับประทานอาหาร สติจับทันหมด ปัญญาก็ดูรู้ตามเป็นจริง
.
อาการที่เกิดขึ้นเป็นไปในจิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ และความคิดอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจของเราทุกอย่าง สติจับให้ปัญญาดูหมดทันกับปัจจุบัน
.
เมื่อดูไปๆ ปัญญาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะสิ่งทั้งหลาย เมื่อเรามองตามที่มันเป็น ตามดูต่อเนื่องไปและไม่ขาดตอน ก็จะเห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป ซึ่งเป็นอาการของอนิจจังตลอดเวลา
.
พอเราดูโดยไม่มีอะไรมาบังตา ก็เห็นตามเป็นจริง เห็นสภาพที่เป็นอย่างนั้น คือเห็นความเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ตามที่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้คือเรื่องของ “สติปัฏฐาน”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สมาธิแบบพุทธ”
💥สติปัฏฐานคืออะไร
นี่ !!ไม่ใช่ นั่น หรอก
คือ หัวใจของสติปัฎฐานทั้งหมด
มีแต่การเดิน แต่ไม่มีผู้เดิน
การเดินรู้ว่าเดิน ยืนรู้ว่ายืน นั่งรู้ว่านั่ง นอนรู้ว่านอน กินรู้ว่ากิน นั้น
แม้แต่แมวหรือสัตว์อย่างอื่น มันก็รู้ตามสัญชาติญาน
....ส่วนพระพุทธภาษิตนี้ ท่านหมายความว่า
สิ่งที่กำลังเดินนี้ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ เรา เขา สัตว์ บุคคล
เป็นเพียงกลุ่มของสิ่งที่มีเหตุปัจจัย
ที่ตกอยู่ใต้อำนาจบังคับของเหตุ เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจปัจจัย นั้นๆ
ไม่ควรยึดถือเอาว่าเป็น..การเดิน ยืน นอน นั่งเหล่า นั้นเป็นของเรา
ดังนั้น แม้กิน ดื่ม อุจจาระ ปัสสาวะอะไรก็ตาม ให้เต็มไปด้วยความรู้สึกเหล่านี้ คือ
"กลุ่มสังขารทั้งหมดนั่น ที่กำลังเดิน นั่ง นอน
หาใช่ เรา ไม่ !!!
มันเป็นแต่สังขาร คือการปรุงแต่งตามธรรมชาติ ตามเหตุ ตามปัจจัย
กล่าวคือ เราตั้งหน้า ตั้งตา "ปล่อยวาง"กันท่าเดียว โดยไม่ต้องลังเล
เมื่อทำได้ ก็จะไม่จับฉวยเอาอารมณ์ หรือเวทนา อันเกิดแต่อารมณ์ นั้นๆมา
เป็นอภิชชา(ความยินดี)
หรือโทมนัส(ความยินร้าย)
นี่คือหัวใจหรือความหมายที่แท้จริง ของสติปัฐฐาน
< สรุป ทางสายเอก (เอกายมรรค) >
พวกเราสังเกตไหม ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางสายเอกสายเดียว เพิ่อความพ้นทุกข์ เรื่องที่เราต้องเรียนนะ
- เรื่องหนึ่งคือเรื่องอริยสัจ
- เรื่องหนึ่งเรื่องสติปัฏฐาน
- เรื่องหนึ่งเรื่องไตรลักษณ์
เรื่องหลักๆ ที่ต้องเรียน ถ้าเรียนเรื่องเหล่านี้แล้วเข้าใจ การภาวนาจะง่ายที่สุดเลย พูดได้ว่าไม่ได้ทำอะไร ทำตัวเป็นแค่คนสังเกตการณ์ พวกเราสังเกตไหม ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางสายเอกสายเดียว เพื่อความพ้นทุกข์
ลองดูกิริยาในสติปัฏฐาน มีกิริยาหลักอยู่คำเดียวคือคำว่า "รู้" ท่านบอกว่าหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ท่านไม่ได้บอกว่าหายใจออก ให้กำหนดไว้หกฐานเจ็ดฐานห้าฐานสิบฐาน ไม่มีนะ บางทีใช้คำว่ารู้ชัด เช่น ยืนอยู่ก็รู้ชัด เดินอยู่ก็รู้ชัด
คำว่ารู้ ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ จิตใจเป็นกุศลก็รู้ มีความโลภก็รู้ มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ มีแต่คำว่ารู้เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ จิตมีอะไรขึ้นมาก็รู้
ดังนั้น กิริยาที่เป็นหัวใจของการภาวนา ในทางสายเอกทางสายเดียว คือคำว่า "รู้" นี่เอง คำว่า "รู้" มีสองนัยยะ
- อันแรก มีสติ รู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ คือ รูปธรรม และนามธรรมที่กำลังปรากฏ
- อันที่สอง มีปัญญา รู้ความจริงของสภาวะรูป และนามอันนั้น ความจริงของสภาวะรูปและนาม ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
ฉะนั้น คำว่ารู้ครอบคลุมนัยยะสองประการ
- อันแรก รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
- อันที่สอง รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา รู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อการพ้นทุกข์
ดังนั้น เราต้องฝึกจนสติแท้ๆ คือความระลึกได้เกิดขึ้นมา สติแท้ๆ เกิดจากจิตจำสภาวะได้ จิตจำสภาวะได้เพราะหัดตามรู้สภาวะบ่อยๆ
- หัดตาม รู้กาย บ่อยๆ
- หัดตาม รู้เวทนา บ่อยๆ
- หัดตาม รู้จิต บ่อยๆ
- หัดตาม รู้สภาวธรรมทั้งรูปธรรม นามธรรม บ่อยๆ
ดังนั้นสติปัฏฐานนี่จริงๆ แล้วมีสองขั้นตอน
- ขั้นตอนที่หนึ่ง รู้กาย เวทนา จิต ธรรม ไปเรื่อยๆ เพื่อให้จิตจำสภาวะได้ แล้วสติจะเกิดขึ้นเอง ดังนั้น สติปัฏฐานในเบื้องต้นทำให้เกิดสติ เรารู้เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอน คอยรู้สึกไป อย่าใจลอย แล้วอย่าเพ่งอยู่ที่กาย ดูจิตใจไป ก็อย่าใจลอย แล้วอย่าเพ่งอยู่ที่จิต รู้เวทนาก็อย่าใจลอยไป แล้วอย่าไปเพ่งเวทนา
สิ่งที่ผิด มีสองอัน คือ เผลอไปกับเพ่งเอาไว้ เพ่งแล้วจะนิ่ง ไม่สามารถรู้สภาวะตรงตามความเป็นจริงได้
ดังนั้น สติปัฏฐานเบื้องต้นก็รู้กาย เวทนา จิต ธรรมไป แต่แบบไม่เพ่ง แล้วก็ไม่ใจลอย ลืมมันไป รู้บ่อยๆ เท่าที่รู้ได้จนจิตจำสภาวะได้แล้วสติจะเกิดขึ้น นี่เป็นสติปัฏฐานขั้นที่หนึ่ง
- (ขั้นตอนที่สอง) เมื่อสติเกิดขึ้นแล้วจิตใจตั้งมั่น สัมมาสมาธิเป็นสิ่งจำเป็น จิตใจที่ตั้งมั่นตรงนี้ต้องเรียนนะ บทเรียนเรื่องสัมมาสมาธิอยู่ในเรื่องจิตตสิกขา เรื่องสีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ต้องเรียนให้ครบนะ ต้องเรียนจนกระทั่งจิตใจของเราตั้งมั่นเกิดสัมมาสมาธิ ไม่ใช่มิจฉาสมาธิ สมาธิที่พวกเราฝึกมันเป็นมิจฉาสมาธิเป็นส่วนมาก เป็นสมาธิเพ่งจ้องบังคับ สัมมาสมาธิเป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็นสภาวธรรม ตั้งมั่นกับตั้งแช่ลงไปไม่เหมือนกันนะ ถ้าจิตใจเราตั้งมั่นมีสติระลึกรู้รูป มีสติระลึกรู้นาม จะเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นความจริงของรูปของนาม
ดังนั้นสติปัฏฐานเบื้องปลายนี่ทำไปเพื่อให้เกิดปัญญา มีสติระลึกรู้รูปรู้นาม รู้กายรู้ใจ ลงไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง คือสัมมาสมาธิถึงจะเกิดปัญญานะ เพราะสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าขาดสัมมาสมาธิจิตไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูละก็ ไม่เกิดปัญญาหรอก จะเป็นผู้เพ่งผู้จ้องผู้บังคับ ปัญญาที่เกิดขึ้นก็คือ การเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์นั่นเอง
เบื้องต้นเห็นก่อนว่าไม่ใช่เรา พอเห็นตรงนี้นะ จิตบรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน ตัวเราไม่มี รู้กายรู้ใจต่อไป เห็นกายนี้ทุกข์ล้วนๆ เลยนะ จิตปล่อยวางความยึดถือกาย เป็นพระอนาคามี สุดท้ายจิตมันจะรวมลงมาอยู่ที่จิต มารู้อยู่ที่จิต เรียนรู้จนกระทั่งปล่อยวางจิต จะสมมุติเรียกว่าพระอรหันต์ ใช้คำว่าสมมุตินะ พระอรหันต์ไม่เคยรู้สึกว่ามีพระอรหันต์เป็นของสมมุติขึ้นมา
นี่คือเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ เป็นทางสายเอกทางสายเดียวที่เราต้องเรียน แต่ละจุดแต่ละมุมจะมีแง่มุมที่ต้องเรียนเป็นรายๆ ไปนะ นี่หลวงพ่อพูดในภาพรวมให้ฟังไว้ก่อน
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
< การเจริญสติปัฏฐาน ๔ >
การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม
หลักการคือ การตามรู้ เพียงแค่รู้ ใช้โยนิโสมนัสสิการ(ดูเหมือนพิจารณาเปลวเทียนที่ไหม้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดแค่รู้) โดยดูรู้อยู่ในอาณาเขตของกายใจตนเท่านั้น
จําดีๆหลักคือแค่ในกายกับแค่รอบๆกายกับใจตนเท่านั้น กายเราเป็นดังธาตุ ๔ มีดินนํ้าลมไฟ นอกกายที่รอบๆกายก็คือ ดินนํ้าลมไฟ เหมือนกัน
ดูการโต้กันของธาตุระหว่างกายกับรอบกาย เป็นการเปิดสัมผัสรู้ เกิดความรู้สึกตัว จิตผู้รู้จะยิ่งเข้มแข็ง ความรู้สึกตัวที่ได้ เกิดเป็นสัมมาสติที่จิตผู้รู้ สติเกิดสมาธิ เกิดปัญญาญาณ เมื่อมีปัญญาญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากรู้ จะเห็นความจริงไปละอวิชชาได้
ในเบื้องต้นตอนหัด ก็มักจะดูทีละฐานไปก่อน(ฐานกายน่าจะง่ายที่สุด) แต่พอปฏิบัติไปมากๆ สติปัฏฐาน ๔ จะเกิดพร้อมกันทั้ง ๔ ฐาน เป็นอัตโนมัติให้เห็น พยายามพัฒนาจิตผู้รู้นะ เมื่อจิตผู้รู้เด่นมีกําลังมากๆ จะเห็นได้มากได้ไวไปเองครับ การพัฒนาจิตผู้รู้ก็คือการหมั่นรู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้เองครับ
.... หมั่นเพียรเจริญในสติปัฏฐานกันครับ ….
< สรุปสติปัฏฐาน ๔ >
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
》สรุปสติปัฏฐาน ๔
การปฏิบัติกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติใช้หลักปฏิบัติใน สติปัฏฐาน เป็นส่วนใหญ่ และพระสูตรที่แสดงสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นพระสูตรใหญ่ที่เรียกว่า "มหาสติปัฏฐานสูตร" ก็ได้ประมวลข้อกรรมฐานไว้เป็นอันมาก ซึ่งได้ถือเป็นหลักในการอบรมกรรมฐานในสำนักนี้ และสำหรับในพรรษากาลที่แล้วมาจนถึงบัดนี้ ก็ได้ถือหลักสติปัฏฐานดังกล่าว แต่ว่าได้แสดงแทรกธรรมะจากพระสูตรต่าง ๆ ได้อธิบายธรรมะจากพระสูตรต่าง ๆ นั้น มิได้แสดงอธิบายสติปัฏฐาน ๔ โดยตรง โดยพิสดาร เพราะว่าได้เคยอธิบายไว้โดยพิสดารและได้พิมพ์เป็นเล่มไว้ ผู้ต้องการทราบอธิบายในสติปัฏฐานโดยตรง ก็อาจที่จะหาอ่านได้ และแม้ว่าธรรมะที่แสดงอธิบายแทรกเข้ามานั้น จะเป็นธรรมะจากพระสูตรอื่น แต่ก็รวมเข้าได้ในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งสิ้น ดังเช่นที่ได้ยกเอาข้อสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบจากสัมมาทิฏฐิสูตรที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดง มาอธิบายติดต่อกันมากครั้ง จนจบกระแสความในสัมมาทิฏฐิสูตรนั้น ก็รวมเข้าได้ในมหาสติปัฏฐานสูตรเช่นเดียวกัน เพราะในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น ก็ได้แสดงมรรคมีองค์แปดในหมวดอริยสัจ ๔ มรรคมีองค์แปดนั้นก็มีสัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรก เพราะฉะนั้น เมื่อจับแสดงสัมมาทิฏฐิก็เป็นอันว่าได้แสดงข้อธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในวันนี้จะได้แสดง สรุปสติปัฏฐาน ๔ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในพระสูตรหนึ่ง แต่ก่อนที่จะแสดง ก็ขอกล่าวให้ทราบว่า ข้อที่แสดงจากพระสูตรที่กล่าวนี้มิได้ยกข้อต่าง ๆ ตรงกับมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งหมด แต่เลือกหยิบยกมาทรงแสดงและทรงแสดงในทางปัญญา และก็พึงทราบว่าแม้ในทางสมาธิก็ย่อมรวมอยู่ในแนวเดียวกัน สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ที่จะแสดงในวันนี้ จึงอาจจะยากไปสำหรับผู้ที่มาอยู่ใหม่ ผู้ที่เข้ามาใหม่ แต่ว่าให้ถือว่าเป็นการแสดงสรุปในคราวสุดท้ายของพรรษากาลที่แล้ว เมื่อเริ่มแสดงใหม่เมื่อเข้าพรรษานี้แล้วจึงจะได้แสดงตั้งต้น ซึ่งเป็นข้อที่จะฟังได้ง่ายขึ้น
》สติปัฏฐาน ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตร
สติปัฏฐาน ๔ ก็คือ ตั้งสติคือความระลึกได้หรือความระลึกรู้ไว้ ในกาย ในเวทนา ในจิต และ ในธรรม ในมหาสติปัฏฐานสูตรได้รวบรวม ข้อที่พึงพิจารณาในกายไว้ ก็คือข้อว่าด้วยลมหายใจเข้าออก ข้อว่าด้วยอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ข้อว่าด้วยสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในความเยื้องกรายอิริยาบถทั้งสี่นี้และอิริยาบถประกอบทั้งหลาย ข้อว่าด้วยกายนี้จำแนกออกเป็นอาการทั้งหลาย มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ข้อว่าด้วยธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ข้อว่าด้วยป่าช้าเก้า คือพิจารณาศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า แยกออกเป็น ๙ ข้อ ตั้งต้นแต่ศพที่ตายแล้ววันหนึ่งสองวันสามวันเป็นต้นไปจนถึงเป็นกระดูกผุป่น
ตั้งสติพิจารณาเวทนา ก็คือตั้งสติกำหนดเวทนา ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งที่เป็นสามิสคือมีกิเลสเป็นเครื่องล่อให้เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นนิรามิสคือไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อหรือเป็นเครื่องนำให้เกิดขึ้น
ตั้งสติพิจารณาจิต ก็คือตั้งสติกำหนดดูจิตใจนี้ ที่มีราคะ ความติดใจยินดีหรือปราศจากราคะ ความติดใจยินดี ที่มีโทสะหรือปราศจากโทสะ ที่มีโมหะความหลง หรือปราศจากโมหะความหลง เป็นต้น
ตั้งสติพิจารณาธรรม ก็คือตั้งจิตกำหนดดูธรรมะทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นในจิต ตั้งต้นแต่
กำหนดดูนิวรณ์ทั้งห้า คือกิเลสที่เป็นเครื่องกั้นจิต บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต มีกามฉันท์ ความพอใจรักใคร่อยู่ในกาม พยาบาท ความมุ่งร้ายปองร้าย เป็นต้น
กำหนดดูขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
กำหนดดูความเกิดของขันธ์ ๔ ความดับของขันธ์ ๕
ตั้งสติกำหนดดูอายตนะภายในทั้ง ๖ ที่รับอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อายตนะภายในภายนอกที่รับกัน ก็คือตากับรูปที่ประจวบกัน หูกับเสียงที่ประจวบกัน จมูกกับกลิ่นที่ประจวบกัน ลิ้นกับรสที่ประจวบกัน กายและสิ่งถูกต้องทางกายที่ประจวบกัน มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวที่ประจวบกัน เกิดสังโยชน์คือความผูกใจ และก็ให้รู้จักความเกิดของสังโยชน์ ความดับของสังโยชน์ และสังโยชน์ที่ดับแล้วจะไม่เกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูโพชฌงค์ทั้ง ๗ มีสติโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้ คือ สติธรรมวิจยโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้คือธรรมวิจัย ความเลือกเฟ้นธรรมเป็นต้น
ตั้งสติกำหนดดูอริยสัจทั้ง ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ก็รวมเป็นตั้งสติในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ที่ตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
》สติปัฏฐาน ๔ ในบางพระสูตร
และได้ตรัสสรุปไว้ในพระสูตรอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ตรัสอธิบายวิธีปฏิบัติตั้งสติในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม รวมความเข้ามาว่าให้ปฏิบัติ
ตั้งสติ คือความระลึกได้ ความกำหนดได้ในกาย ก็คือใน ปฐวีกาย กายที่เป็นส่วนดิน อาโปกาย กายที่เป็นส่วนน้ำ เตโชกาย กายที่เป็นส่วนไฟ วาโยกาย กายที่เป็นส่วนลม เกสากาย กายที่เป็นส่วนผม โลมากาย กายที่เป็นส่วนขน ฉวิกาย กายที่เป็นส่วนผิว จมฺมกาย กายที่เป็นส่วนหนัง มงฺสกาย กายที่เป็นส่วนเนื้อ นหารูกาย กายที่เป็นส่วนเส้นเอ็น อฏฺฐิกาย กายที่เป็นส่วนกระดูก อฏฺฐิมิญฺชกาย กายที่เป็นส่วนเยื่อในกระดูก
ตั้งสติกำหนดเวทนา ก็คือ ในสุขเวทนา เวทนาความรู้ที่เป็นสุข ทุกขเวทนา ความรู้ที่เป็นทุกข์ อทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ตั้งสติกำหนดเวทนาที่เกิดทาง สัมผัสทางตา เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางหู เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางจมูก เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางลิ้น เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางกาย เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางมโนคือใจ
ตั้งสติกำหนดจิตใจ ก็คือกำหนดดูจิตที่มีราคะคือความติดใจยินดี หรือที่ปราศจากราคะคือความติดใจยินดี จิตที่มีโทสะหรือจิตที่ปราศจากโทสะ จิตที่มีโมหะ หรือจิตที่ปราศจากโมหะ จิตที่ฟุ้งซ่านหรือจิตที่หดหู่ จิตที่ถึงความใหญ่ด้วยเมตตาภาวนาสมาธิเป็นต้นหรือจิตที่ไม่ถึงความใหญ่ จิตที่ยิ่งคือยิ่งด้วยสมาธิปัญญาวิมุตติหลุดพ้น หรือจิตที่ไม่ยิ่ง จิตที่มีสมาธิหรือจิตที่ไม่มีสมาธิ จิตที่หลุดพ้นหรือจิตที่ไม่หลุดพ้น
ตั้งสติกำหนดดูธรรม คือธรรมะที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลหรือที่เป็นกลาง ๆ ต่าง ๆ อันนอกไปจากข้อที่กล่าวแล้วในกายในเวทนาและในจิตทั้งสามข้างต้น
》ทางปฏิบัติสติปัฏฐาน
และได้ตรัส ทางปฏิบัติ เพื่ออะไรหรือโดยวิธีอย่างไรไว้ว่า ในการปฏิบัติตั้งสติดังกล่าวนั้น ก็ให้ปฏิบัติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งหมด
▪โดยเป็นอนิจจะ คือไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เกิดดับมิใช่โดยนิจจะ คือเป็นของเที่ยง
▪โดยเป็นทุกข์ คือเป็นสิ่งที่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ มิใช่โดยเป็นสุขต้องดับไปในที่สุด
▪โดยเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน มิใช่เป็นเรามิใช่เป็นของเรา ไม่ใช่โดยอัตตา คือโดยเป็นตัวตนเป็นตัวเราเป็นของเรา
▪มีความหน่าย มิใช่มีความเพลิดเพลิน
▪มีความคลายความติดใจ มิใช่ติดใจ
▪มีความดับ คือดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากของใจ มิใช่ก่อตัณหา
▪มีความสละวาง มิใช่มีความยึดถือ
การปฏิบัติตั้งสติก็โดยวิธีดังที่กล่าวมานี้ เพื่อให้เห็นว่าไม่เที่ยง ต้องเกิดดับเป็นทุกข์ ต้องมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตามิใช่ตัวเราของเรา และเบื่อหน่ายไม่เพลิดเพลิน เพื่อคลายความติดใจ มิใช่ติดใจ เพื่อดับตัณหาดับทุกข์ มิใช่ก่อให้เกิดตัณหา ก่อทุกข์ เพื่อปล่อยวางมิใช่เพื่อยึดถือ
》วิธีปฏิบัติสติปัฏฐานคือภาวนา
และได้ตรัสสอนถึง วิธีปฏิบัติ ว่าการปฏิบัตินั้นเรียกว่า ภาวนา ที่แปลว่า ทำให้เกิดขึ้น ทำให้มีขึ้น และภาวนานั้นจะทำอย่างไร ก็ได้ตรัสสอนเอาไว้อีกว่า ภาวนาอันหมายถึงปฏิบัตินั้น ก็คือปฏิบัติทำสติความระลึกได้ หรือความกำหนดทำญาณความหยั่งรู้ ที่เป็นตัวปัญญาให้บังเกิดขึ้นให้มีขึ้นทันในธรรมะที่เกิดขึ้นในเวลานั้น โดยไม่ให้พลาดไม่ให้ล่วงเลยเผลอเรอในธรรมะที่บังเกิดขึ้นในเวลานั้น
ยกตัวอย่างเช่นว่า เมื่อตั้งจิตกำหนดดูกาย เช่นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก็หมายถึงว่ากำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกที่บังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ดังเช่นกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกที่บังเกิดอยู่ในบัดนี้ หายใจเข้าในบัดนี้ ก็มีสติ มีญาณกำหนดรู้ หายใจออกในบัดนี้ ก็มีสติ มีญาณกำหนดรู้ มิใช่ว่าเผลอ หายใจเข้าหายใจออกอยู่ในบัดนี้ แต่ว่าจิตมิได้กำหนดหรือกำหนดไม่ทัน จึงไม่มีสติ ไม่มีญาณอยู่ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนั้น เพราะว่าเผลอสติ หรือว่าจิตไม่ตั้งกำหนด ไม่ตั้งเพื่อที่จะรู้
》หน้าที่ของภาวนา
ฉะนั้น หน้าที่ของภาวนา คือการปฏิบัติประการแรก ก็คือ
กำหนดให้มีสติ ให้มีปัญญาหรือญาณ กำหนดทันต่อธรรมะที่เกิดขึ้นในเวลานั้น นี่เป็นหน้าที่ของภาวนา ประการหนึ่ง
และให้รวมอินทรีย์ทั้งหลายมาปฏิบัติกิจคือหน้าที่พร้อมกัน ได้แก่รวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ ให้มาปฏิบัติหน้าที่กำหนดอยู่ในธรรมะที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานั้น สุดแต่ว่าจะยกเอาข้อไหน กายข้อไหน เวทนาข้อไหน จิตข้อไหน ธรรมะข้อไหนขึ้นมา ก็ให้ทั้งตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย ทั้งมนะคือใจ มาปฏิบัติหน้าที่กำหนดรู้พร้อมกัน ไม่ใช่ว่าทั้งหกนี้จะแยกย้ายกันไปทำงานทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ตาไปดูเสียทางหนึ่ง หูไปฟังเสียทางหนึ่ง จมูก ลิ้น กาย มนะคือใจไปเสียทางหนึ่ง ๆ ต้องรวมกัน กล่าวย่อก็คือว่าต้องรวมกายใจนี้ทั้งหมดเข้ามาเป็นอันเดียวกัน นี่เป็นหน้าที่ของภาวนา ประการที่สอง
และนำความเพียรพยายามปฏิบัติ โดยเริ่มดำเนิน และก้าวหน้าไปจนบรรลุถึงเป้าหมายบรรลุถึงความสำเร็จ เป็นสติเป็นญาณกำหนดรู้อยู่ในธรรมะที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานั้นคือในกายในเวทนาในจิตในธรรมที่กำหนดนั้น นี่เป็นหน้าที่ของภาวนาเป็น ประการที่สาม
และใช้ความเพียรปฏิบัติส้องเสพอยู่ในข้อปฏิบัตินี้เนือง ๆ เสมอ ๆ ให้สม่ำเสมอ ไม่ทอดทิ้ง และความส้องเสพนี้ก็หมายความว่า ให้รับเอาข้อที่ปฏิบัตินี้เข้าไปให้ถึงใจ ให้ตั้งอยู่ในใจ เหมือนอย่างบริโภคอาหาร ส้องเสพอาหาร บริโภคอาหารก็ให้นำเข้าปากเคี้ยวกลืนเข้าไปให้เข้าถึงในท้อง เพื่อย่อยไปเลี้ยงร่างกาย ในการปฏิบัติก็เช่นเดียวกันต้องรับเอาข้อที่ปฏิบัติกรรมฐานที่ปฏิบัติ ให้เข้าไปถึงใจ เหมือนอย่างบริโภคอาหารเข้าไปย่อยเลี้ยงร่างกายให้ร่างกายอิ่มเอิบ ก็ส้องเสพเอาข้อที่ปฏิบัตินี้เข้าไปให้ถึงใจให้ใจอิ่มเอิบเป็นปีติเป็นสุขขึ้น เป็นผลที่ได้รับ ดั่งนี้เป็นหน้าที่ของภาวนาเป็น ประการที่สี่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้
ก็เป็นอันว่าจบสรุปในสติปัฏฐาน
***********************************
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
คนที่ใจไม่อยู่กับตัว เที่ยวแส่ส่าย ออกไปรับสัญญาอารมณ์ภายนอก ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งอดีต อนาคต
ผู้นั้นก็จะต้องพบกับความร้อนใจ ด้วยประการต่างๆ
เปรียบเหมือนผู้ที่ไม่อยู่ในบ้านในเรือนของตัว วิ่งไปเที่ยวนอกบ้าน มันก็จะต้องโดนแดดบ้าง ฝนบ้าง ถูกรถชนบ้าง ถูกสุนัขบ้ากัดบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ถ้าหากเราอยู่แต่ในบ้านของเราแล้ว แม้จะมีภัยอันตรายบ้างก็ไม่สู้มากนัก
และก็จะไม่ต้องประสบกับความร้อนใจ ด้วยลมหายใจเข้า ออก
เปรียบเหมือนกับไส้เทียนหรือไส้ตะเกียง
สติที่เข้าไปกำหนดอยู่
เหมือนกับไฟไปจ่อไส้ตะเกียง
ที่มีน้ำมันอันเป็นเหตุนำมาซึ่งแสงสว่าง
ไส้เทียนที่เขาควั่นและจุดไฟขึ้น
แม้เพียงเล่มเดียวสามารถจะทำลาย
เผาบ้านเมืองให้พินาศไปได้ฉันใด
"สติ" อันเดียวนี้ก็สามารถทำลายแผดเผา ความชั่วร้ายในตัวเรา คือ กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ให้พินาศหมดสิ้นไปได้
สติจึงเป็นตัว ตปธรรม (เครื่องแผดเผากิเลส)
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
สติปัฏฐานเนี่ย เบื้องต้นทำให้มีสติ เบื้องปลายจะมีปัญญา
หน้าที่เรานะ ร่างกายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก มันเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เวทนาเกิดขึ้นในกาย คอยรู้สึก เวทนาในกายมีอยู่แล้ว เวทนาในจิตเกิดขึ้น คอยรู้สึก เวทนาในจิตก็มีอยู่แล้ว แค่คอยรู้สึกขึ้นมา กุศล-อกุศลเกิดขึ้นในจิต ก็แค่คอยรู้ มันมีอยู่แล้ว นี่เรียกว่าตามรู้ทั้งสิ้นเลย เพราะงั้นการตามรู้ไม่ใช่ ส่งจิตตามไปที่อื่นนะ รู้อยู่เฉพาะหน้า รู้อยู่กับปัจจุบัน แต่ว่าสภาวะมันมีอยู่แล้ว ก็รู้มัน นี่เรียกว่าตามรู้ ตามรู้เนืองๆ นี่ทำให้เกิดสตินะ
พอรู้บ่อยๆ จิตจะจำสภาวะได้แม่น อย่างเราหัดขยับตัวแล้วรู้สึก ขยับตัวแล้วรู้สึก วันนึงเราใจลอย พอใจลอยปุ๊บ เราเกิดขยับขึ้นมาโดยไม่ได้เจตนาจะรู้สึกนะ มันจะรู้สึกขึ้นเอง สติตัวจริงเกิดแล้ว เกิดโดยไม่เจตนานะ ไม่เจือด้วยโลภะ แล้วค่อยฝึกไปเรื่อยนะ บางคนดูเวทนา ดูบ่อยๆ ต่อไปพอนั่งๆอยู่ มดมากัดเจ็บปั๊บ สติเกิดเลย เห็นเวทนาเกิดขึ้นในกาย กายอยู่ส่วนนึง เวทนาอยู่ส่วนนึง จิตเป็นคนดู นี่เกิดสติขึ้นมา ใจตั้งมั่น รู้สึกขึ้นมา หรือเห็นกุศลอกุศลนะ หัดดูไปเรื่อย กุศลอกุศลใดๆเกิดขึ้นในใจ คอยหัดดูไปเรื่อย ที่หัดดูจิตๆ หัดดูไปอย่างนั้นแหล่ะ ในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา รู้สึกขึ้นมา กิเลสเกิดแว้บ รู้สึกเลย อย่าว่าแต่ตอนตื่นเลย ตอนนอนหลับนะ กิเลสเกิดยังรู้สึกเลยอัตโนมัติขึ้นมา
นี่เราฝึกไปจนสติมันอัตโนมัตินะ ถึงจะใช้ได้ ถ้าสติยังต้องจงใจให้คอยเกิดอยู่ ยังอ่อนอยู่ ต้องฝึกไปอีก หัดรู้สภาวะมากๆนะ สติจะเกิด
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
คำตอบของหลวงปู่ชา สุภทฺโท
ถาม : ในมหาสติปัฏฐานบอกว่า ทางนี้เป็นทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์ ก็มีต้องพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ผู้ที่จะพ้นทุกข์จะต้องพิจารณาทั้ง ๔ อย่างทั้งหมดหรือเปล่าครับ
ตอบ : กาย เวทนา จิต ธรรม...น่ะ อันนี้มันของอย่างเดียวกัน รู้อันหนึ่งก็เหมือนรู้หมด เหมือนเรารู้คนคนหนึ่ง ก็รู้หมดทุกคนในโลก เหมือนเรารู้จักลิงตัวหนึ่ง ลิงตัวอื่นนอกนั้นเหมือนลิงตัวนี้เหมือนกัน นี่จะพูดกันง่ายๆ หลักใหญ่ของสติปัฏฐานมันเป็นอย่างนี้ อันนั้น มันเป็นลักษณะของมัน เมื่อรู้กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม มันเป็น"สักว่า"ทั้งนั้นแหละ ทั้ง ๔ นั่นน่ะ...มันก็พอแล้วนะ ถึงแม้ว่ามันจะรู้อันเดียวมันก็ได้
สติ รู้สึกนี้สําคัญที่สุด
หากเรามีสติรู้สึกตัว เราจะเจริญได้ ทั้งทางโลก เพราะ ใจเรารู้ว่าสิ่งใดควรทํา ไม่ควรทํา สุดท้ายส่งเป็นผลดีกับตัวเราในระยะยาว
ทางธรรม สติรู้สึกตัว เป็นเหมือนประตูที่จะก้าวเข้าสู่ธรรมในระดับสูงขึ้นไป จนได้มรรคผล
ดังนั้น คําว่าสติ หรือ สติปัฏฐาน4 หรือ ความรู้สึกตัว ไม่ว่าใช้คําเรียกอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ควรทําให้มาก
สติปัฏฐาน 4 เป็นมรดกธรรมอันล้ำค่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงมอบไว้ให้แก่ชาวโลก
เป็นหนทางที่จะปลดเปลื้องตนจากสภาพแห่งกองทุกข์
พบกับความสงบสุขที่แท้จริงคือ...พระนิพพานได้
.
การเรียนรู้ฝึกฝนในฐานทั้ง 4
เริ่มจากฐานกาย รับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
จากความรู้สึกเป็นส่วนๆ
.
ที่การหายใจบ้าง
การกระเพื่อมหน้าอกหน้าท้องบ้าง
ที่ความรู้สึกที่มือบ้าง ที่เท้าบ้าง
ที่ความเคลื่อนไหวของกายบ้าง
.
พอฝึกไปเรื่อยๆ สติมีกำลัง
การรับรู้มันจะกว้างขึ้น กว้างขึ้น
จนสามารถรู้สึกได้ทั้งตัว
ตอนแรกอาจรู้สึกได้เป็นส่วนๆ ส่วนใดส่วนหนึ่ง
แต่พอฝึกไป สติสัมปชัญญะมีกำลัง
มันรู้สึกได้ทั้งตัวเลย
.
ก็รู้สึกทั้งตัวไปเรื่อยๆ สบายๆ
เรียกว่า “สติมันเต็มฐาน” ฐานกาย
ก็รู้กายได้ทั้งกาย
พอสติขยายตัวได้เต็มฐาน
ก็จะเห็นการทำงานของกายของใจ
ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
.
ในขณะที่รู้สึกกายอยู่
เวลามีความคิด มีความรู้สึกผุดขึ้น ก็รู้สึกได้นะ
หรือเวลาที่จิตมันเผลอไป ฟุ้งไป ก็รู้สึกได้
.
ฐานกายเปรียบเหมือนแผ่นดิน
เป็นบาทฐานทุกอย่างเลย
ทุกอย่างก็ต่อยอดจากฐานกายทั้งหมด
.
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
“กายคตาสติที่บุคคคลเจริญแล้ว
ชื่อว่า... เจริญอมตธรรม
กายคตาสติที่บุคคลซ่องเสพแล้ว
ชื่อว่า... ซ่องเสพในอมตธรรม
กายคตาสติที่บุคคลไม่ประมาทแล้ว
ชื่อว่า... ไม่ประมาทในอมตธรรม”
.
เจริญกายคตสติ ระลึกรู้กายเนืองๆ
สามารถหยั่งเข้าสู่อมตธรรมได้
.
พระมหาวรพรต กิตติวโร
ภาวนาถูกทางแห่งสติปัฏฐาน 4 ที่กล่าวว่า
"อาตาปี สัมปชาโณ สติมา" เป็นดังนี้
๑) สติมา คือมีสติตั้งมั่นอยู่ที่ฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม โดยเท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น
๒) สัมปชาโณ คือมีสัมปชัญญะ รู้ตัวเสมอว่ากำลังกำหนดอะไร ดูอะไร สิ่งที่กำหนดอยู่นั้นเป็นรูปอะไร นามอะไร
๓) อาตาปี คือต้องมีความเพียรประคองจิต ๔ ประการ คือ
เพียรละ บาปเก่าๆ ไม่ให้เกิดขึ้น ในที่นี้หมายถึงการถ่ายถอนทิฏฐานุสัย (ทิฏฐิ) อันเป็นบาปเก่าๆ ที่หลงเข้าใจผิดว่าชีวิตเป็น ฉัน เรา เขา ให้เอาออกไปให้ได้ ด้วยการกำหนดให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นรูป เป็นนาม
เพียรระวัง ไม่ให้ความชั่วใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ ด้วยการระวังป้องกันกิเลสใหม่ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเพียรสำรวมอินทรีย์ คือขณะเห็น ขณะได้ยิน เป็นต้น จะต้องกำหนดได้ถูกต้องว่าเป็นรูปอะไร นามอะไร
เพียรสร้าง วิปัสสนากุศลให้เกิดขึ้น ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจ และเพียรฝึกหัดกำหนดรูปนามให้เกิดขึ้นได้เท่าทันในอารมณ์ปัจจุบัน
เพียรรักษา วิปัสสนากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ และพอกพูนให้มีมากขึ้น ด้วยการหมั่นระลึกรูปนามที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ให้เกิดขึ้นในอารมณ์ปัจจุบันอยู่เนืองๆ
เพราะ อารมณ์ปัจจุบัน เป็นปัจจัยแก่ การทำลาย อภิชฌา โทมนัส
และ อารมณ์ปัจจุบัน จะเป็นปัจจัยทำให้เกิด วิปัสสนาปัญญา
สรุปได้ว่า การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นการทำลาย “ตัณหา” คือ อภิชฌา - โทมนัส และ “ทิฏฐิ”คือความเป็นฉัน เรา เขา ซึ่งทั้งตัณหา และทิฏฐิ นี้คือองค์ธรรมของอุปาทาน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด ภพ ได้แก่ กรรมภพ และอุปัตติภพ หากผู้ใดปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ได้ถูกต้อง ผู้นั้นย่อมทำลายได้ทั้ง ตัณหา อุปาทาน ภพ ซึ่งเป็นปัจจุบันเหตุ ที่จะทำให้เกิดอนาคตผล คือ ชีวิตในชาติหน้า นับได้ว่า บุคคลผู้นั้นกำลังสร้างอำนาจของการกระทำเพื่อยุติการเกิดของชีวิตได้ การกระทำนั้นก็คือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
การฝึกสติปัฏฐาน เราวางใจให้ถูก
ไม่ใช่ว่า..เราจะฝึกใจให้นิ่ง สงบ อันนั้นมันเป็นผล
แต่เราฝึก.เพื่อปลุกการระลึกรู้ให้ตื่นขึ้นมา
พอการรับรู้มันตื่น จะเห็นการทำงานของกายของใจขึ้นมา
รู้สึกกาย รู้สึกใจ ขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติเลย
การรับรู้มันตื่น ดีอย่างไร? พอการรับรู้มันตื่น
จะเกิดกระบวนการหลุดออก คลายออกจากสิ่งต่างๆ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า“ละนันทิ จิตหลุดพ้น”
ละนันทิ กันอย่างไร? หรือ การปล่อยวางอารมณ์
ปล่อยอย่างไร? ก็เมื่อใดที่มีสติ มีความรู้สึกตัวขึ้นมา
“นันทิ” หรือ ความเพลินในอารมณ์ ก็ถูกละออกไป
#การปล่อยวาง คือ การหลุดจากอารมณ์
อารมณ์ก็หลุดออกไป
เพราะฉะนั้น..
การปล่อยวางเกิดจากการที่มี #สติสัมปชัญญะ
และสติสัมปชัญญะเกิดจากการฝึกฝน
เพราะฉะนั้นธรรมะไม่ได้ใช้มันสมอง ไม่ได้ใช้ตรรกะตีความ
แต่เป็นเรื่องของการลงมือฝึกปฏิบัติได้สัมผัส
..เหมือนเราจะกินน้ำ เราก็กินจริง ๆ เลย
ลิ้มรสพระธรรมจริง ๆ
....................................
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ถาม : ในเวลาที่กระแสอารมณ์และความคิดพรั่งพรูออกมา จะเฝ้าสังเกตมันอย่างมีอุเบกขาได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ : ไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าสังเกตความคิดและอารมณ์ ขอเพียงแต่ยอมรับความจริงว่า ตอนนี้กำลังมีความปั่นป่วนอยู่ในใจ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่มีความคิดหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นในใจได้โดยปราศจากเวทนาที่ร่างกาย เมื่อท่านเฝ้าสังเกตเวทนา เท่ากับท่านกำลังลงลึกถึงจิตในระดับรากเหง้า ท่านกำลังชำระจิตให้บริสุทธิ์ในระดับรากเหง้า
ฉะนั้น จงอยู่กับ"เวทนา" และเพียงแต่"ยอมรับความจริง"ว่ากำลังมีสิ่งรบกวนหรืออารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น เท่านั้นก็พอ อย่าลงไปในรายละเอียดของมัน
~ เอส เอ็น โกเอ็นก้า ~
ธรรมคีรี กันยายน 2555
“…สำหรับอาตมา มีประสบการณ์ว่า
การเจริญสติ…ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา
หลวงพ่อเคยทำวิธีหลับตามาแล้ว…แต่ไม่เกิดปัญญา
พอมาทำวิธีใหม่ วิธีของหลวงพ่อนี้…มันเกิดปัญญา
ทำให้รู้สึกว่าถูกต้องกับตำรับตำราของคนสมัยใหม่
วิธีของหลวงพ่อนี้…บางคนอาจจะคิดว่าเป็นของใหม่ก็ได้
เพราะยังไม่เคยได้ยิน
แต่ความจริงแล้วเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละ
การเจริญสติที่อาตมาทำมา และกำลังเล่าให้ฟังอยู่นี้ทำดังนี้ :
สมมติว่า เรากำลังนั่งพับเพียบ หรือ กำลังนั่งเก้าอี้
หรือ กำลังนอน หรือ ยืนก็ได้
ให้เอาสติมาจับความเคลื่อนไหวของมือ
พลิกมือขึ้น-คว่ำมือลง ยกมือขึ้น-เอามือลง
ให้มีสติรู้ทุกอิริยาบถ
ทำอย่างนี้บ่อย ๆ นี่เป็นการเจริญสติอย่างหยาบ ๆ
พูดง่าย ๆ คือ ให้มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ
ไม่ว่าจะนั่ง-นอน-ยืน-เดิน ‘จะทำอะไรอยู่ก็ตาม…ให้รู้สึก’
การทำวิธีใคร ๆ ก็ทำได้
จะนับถือศาสนาอะไร…ก็นำเอาไปทำได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าชนชาติใดก็ทำได้…เพราะทุกคนมีกายกับใจด้วยกันทั้งนั้น
ทุกศาสนาก็สอนเหมือนกันหมด คือ ให้ละความชั่ว ทำความดี
เมื่อเจริญสติจนชำนาญแล้ว
ให้เอา"สติ"...เข้าไปจับ..."ความรู้สึก" ของจิตใจ
คือ "รู้"..ตามอารมณ์ ไม่ว่าจะคิดอะไร…ก็ให้ "รู้"...ให้"เห็น"
ให้คอยจับ"ดู"...ความคิด ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
คือ ดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลา…ไม่ว่าจะทำอะไร
จะอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ขุดดิน ฟันหญ้า อาบน้ำ
ทำอะไรก็ตาม…ให้คอยเฝ้าดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลา
ว่าเกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้น
พอใจ ไม่พอใจ กังวล สงสัย…ซึ่งเป็นความคิด เป็นอารมณ์
ก็ให้เราเฝ้าดูความคิด ดูอารมณ์ นั้น…แล้วเราจะเห็นความคิดต่าง ๆ เช่น ความดีใจ เสียใจ อยากได้ อยากไม่ได้ โกรธ เกลียด มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา
มัน.."เกิดขึ้น"..แล้วมันก็.."ดับไป"…
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
กล่าวคือ เราไม่ได้ดีใจ หรือเสียใจอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
การเปลี่ยนแปลง นี่แหละ…ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
เป็น อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา
ฉะนั้น เราอย่าไปตามอารมณ์
ถ้าเราไปตามอารมณ์…เราก็จะเกิดทุกข์
เราเพียงแต่คอยดูมัน
พอคิดอะไรวูบขึ้นมา…ก็ให้รู้ ให้เห็น
พอเรารู้…มันจะหยุด
‘การหยุด’ ก็เท่ากับว่า ‘เราได้ทำลายกิเลสนั่นเอง’…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
#สติปัฏฐาน ๔ แบบง่ายๆ
การภาวนา เท่าที่ได้ข้อมูลมานี่ง่ายสุด ไม่ต้องไปนึกอะไร อย่างดีก็ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบ แล้วทำสติกำหนดรู้จิตเฉยอยู่ พอจิตว่างอยู่ ปล่อยให้ว่าง ถ้าจิตคิด ปล่อยให้คิด เอาสติตามรู้
ทีนี้ ถ้าหากว่าจิตยังไม่มีพลัง พอคิดปั๊บ เรากำหนดรู้ เขาจะหยุดคิด มันก็เป็นความว่าง ว่างแล้วเราก็รู้อยู่ที่จิต
- การรู้อยู่ที่จิต เป็น "จิตตานุปัสสนา"
- เมื่อจิตคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ ก็ "ธัมมานุปัสสนา"
- พร้อมๆ กันนั้น สุขทุกข์เกิดขึ้น จิตของเราก็รู้เองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็น "เวทนานุปัสสนา"
- กิริยา อาการ ที่กำหนดหมายรู้สิ่งต่างๆ ได้ มันเกิดจากประสาทสมอง ก็เป็นเรื่องของ "กายานุปัสสนา"
พอนั่งพั๊บลงไป เราก็รู้ว่าเรามีกาย นั่งไปนั่งมา
* มีสุข มีทุกข์ เราก็รู้ จิตว่างเราก็รู้ จิตคิดเราก็รู้ เวลาจิตว่าง เป็นจิตตานุปัสสนา
* ถ้าจิตคิด เป็นธัมมานุปัสสนา
* เมื่อจิตว่างอยู่เฉยๆ พอรู้อยู่ที่ความว่าง คือมันไม่มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น จิตรู้อยู่ที่จิต ก็เป็นจิตตานุปัสสนา
* แต่ถ้ามันคิดขึ้นมาปั๊บ เรื่องที่คิดเป็น ธัมมานุปัสสนา
กำหนดหมายเอาอย่างนี้ง่ายดี
ถ้าเรายังอยู่ในความคิดอันนั้น ก็เป็นธัมมานุปัสสนาเรื่อยไป
(ถึงแม้เรื่องที่คิดจะไม่เกี่ยวกับธรรมะ) ...
อันนี้นักธรรมะเราคงจะเข้าใจผิดว่า ความคิดเรื่องราวต่างๆ เรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอะไรจิปาถะ ถ้านอกจากคัมภีร์แล้ว ถือว่าไม่ใช่ธรรมะ
แต่ความจริง สิ่งที่เป็น"อารมณ์จิต"ทั้งหมด ที่เรารู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้งหมด ทั้งเรื่องธรรมะ ทั้งเรื่องวิชาการทางโลก ทั้งธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งระลึกของจิต สิ่งระลึกของสติ
เพราะฉะนั้น จิตของเราจะคิดถึงเรื่องอะไรก็ตาม เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น
"คิด"เรื่องบาปก็เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่องบุญก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน ก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่องครอบครัวก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เมื่อจิตคิดไป ไม่ต้องบังคับให้จิตกลับมาบริกรรม พุทโธ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เอาสติจ่อเอาไว้
ทีนี้มันสังเกตง่าย ถ้าจิตของเรายังไม่มีพลังเพียงพอ พอคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ เขาจะว่าง นี่แสดงว่าจิตยังไม่มีพลัง
พอ
จิตมีพลัง เราฝึกไปเรื่อยๆ เขาคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ เขาไม่ยอมหยุด จะให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด อันนี้เรียกว่า จิตมีพลังงาน
มันจะเป็นไปทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว จิตจะปรุงแต่ง ดีชั่ว บาปบุญ ไม่สำคัญ อย่าไปสนใจ เพียงแต่รู้อย่างเดียวเท่านั้น
สิ่งใดที่จิตเราแต่งขึ้นมาเอง เราไม่ได้เจตนาที่จะแต่งขึ้นมา มันไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป "มันเป็นกลางๆ"
บุญบาปนี่"ต้องมีเจตนา"...ถ้าเจตนาไม่พร้อม คิดปรุงแต่ง อย่างไร ก็ไม่มีบาป...ไม่มีบุญ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วิธีทำความรู้สึกตัว (สัมปชัญญะบัพพะ)
(ทุกคนสามารถทำความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมงในขณะที่ตื่นอยู่
"ทั้งกลางวัน และ กลางคืน" ด้วย "ปีติ และ ปราโมทย์")
ดูกรภิกษุท้้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว
ในการถอย ในการแล ในการเหลียว
ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก
ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร
(หรือการแต่งกายของฆราวาส)
ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดังพรรณนามา ฉะนี้
(นั่นคือ รวม "อิริยาปถบัพพะ" คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือ มีสติในอิริยาบถใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีสร้างสติให้เกิดมีขึ้น
แต่"สัมปชัญญะบัพพะ" หรือรู้ตัวในอิริยาบถย่อย ทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นอกเหนือจากการเกิดสติ
ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแยกแยะออกมาเป็นอีกวิธีหนึ่งต่างหากโดยเฉพาะ
และทรงแนะนำให้ปฏิบัติ
"ทั้งกลางวัน และ กลางคืน" นั่นคือ 24/7 และ
"ด้วยปีติ และ ปราโมทย์" เพราะ ปราโมทย์ ทำใจให้ร่าเริง บันเทิง
▪"ปราโมทย์" จะนำให้เกิด ปีติ
▪"ปีติ" จะนำให้เกิด ปัสสัทธิ หรือ สงบ
▪"ปัสสัทธิ" จะนำให้เกิด สุข
▪"สุข" จะนำให้เกิด สมาธิ นั่นคือ รวมลงเป็น "ธรรมสมาธิ 5"
▪"สมาธิ" จะนำให้เกิด "ยถาภูตญาณทัสสนะ" คือ เห็นความจริงตามความเป็นจริง
นั่นคือเห็น "ไตรลักษณ" - อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
▪จิตจะเบื่อหน่าย
▪คลายกำหนัด และ
▪จิตย่อมหลุดพ้น
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกายท้้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือท้้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง
สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่า
ความรู้เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่าน้้น
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว
และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ดูกรภิกษุท้้งหลายอย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
< สติปัฏฐาน ๔ >
การทำจิตใจของเราให้สงบก็คือการทำจิตใจของเราให้มีอารมณ์อันเดียว จดจ่ออยู่กับอารมณ์อันเดียวได้นานๆ ซึ่งท่านเรียกว่า การฝึกสตินั่นเอง หรือ สติปัฏฐาน ๔ มี
๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการดูกายในกาย ดูอย่างไร การดูจะต้องมีผู้ดูก่อน และผู้ที่ถูกดู แยกผู้ดูออกจากผู้ถูกดูก่อนจึงจะเกิดสติปัญญาขึ้นได้ เช่น บางท่านถนัดการดูลมหายใจเข้าและออก...! การหายใจเข้าและการหายใจออกนั้นเป็นผู้ที่ถูกดู...! การที่เราไปเห็นลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้นเป็นผู้ที่ไปดู...! แยกออกให้ได้อย่างนี้ตลอดเวลาอย่าไปหลง...! ถ้าหลงแล้ว ผู้ถูกดูจะเป็นตัวกูของกูไปหมด...! บางท่านถนัดดูโครงกระดูกตัวเอง...! บางท่านถนัดการดูอสุภะคือความไม่งามในตัวเอง...! บางท่านให้ดู ผม ขน เล็บ ฟัน หนังฯ...! อื่นๆอีกมากมายหลายวิธี อย่าไปสนใจเลย หลายสำนักหลายวิธีการ
ในที่นี้จะให้ดูลมหายใจเข้า – ลมหายใจออก เมื่อทำไปนานๆจิตไม่วอกแวกไปสู่อารมณ์อื่นจิตจะสงบ เมื่อสงบแล้ว กาย ใจก็เบาสบาย ไม่สั่นไหว ใช้สติพิจารณาสังเกต ดูลมหายใจที่เรากระทำอยู่...
▪มันก็จะสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง นั่นแหละเราจะเห็น "ความไม่เที่ยง" ของจิต
▪จิตก็จะเป็นทุกข์ขึ้น เพราะความอยากที่จะให้มันสงบ นั่นแหละ"ทุกขัง"
▪ให้มันสงบนานๆก็ไม่ได้ คือความทนอยู่ได้ยากและ บังคับบัญชาได้ยาก นั่นคือ"อนัตตา"
พิจารณาสิ่งอื่นๆในโลกนี้ ในร่างกายอันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตก็เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในสิ่งเหล่านี้ จิตก็จะปล่อยวางไปทีละน้อยๆ จิตก็จะตั้งมั่นเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรมเหล่านี้ นี่แหละคือตัวปัญญา ที่ไปเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กฎไตรลักษณ์ของโลก.
๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึงการมีสติจดจ่ออยู่กับเวทนา เวทนาเป็นนามธรรม เช่นอารมณ์ที่เกิดจากการปวดแข็ง ปวดขาในเวลานั่งสมาธิ แยกผู้ดูออกมา...! แล้วดู...! และสังเกตเวทนาใดที่เกิดขึ้น มีไหม เมื่อเรานั่งสมาธิไป ตอนแรกๆอาจจะยังไม่มีเวทนาเกิดขึ้น จิตของเราก็จะสงบ...! เป็นสุขบ้าง...! เป็นอุเบกขาบ้าง...! หรืออาจเป็นทุกข์บ้าง...! เพราะเวลานั่งเมื่อเริ่มนานเข้า เราจะเห็นว่าเวทนาเริ่มเกิดขึ้นเช่นปวดขา เมื่อเราสังเกตเห็นแล้ว เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาว่าทำไมมันปวด...! ก็เรานั่งนาน...! การนั่งนานเป็นการทนในสภาพเดิมได้ยาก...! การทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยากนั้นจึงทำให้เกิดทุกข์ขึ้น ดังนั้นเราก็เห็นทุกข์...! เมื่อทุกข์เกิดขึ้นเราก็อยากให้ทุกข์นั้นมันดับไป ให้สังเกตให้ดี เมื่อยิ่งอยากให้ทุกข์ดับเท่าใด ยิ่งทำให้ทุกข์นั้นเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นจะเห็นว่าความอยากเป็น"สมุทัย" ...! เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความอยากเป็น ตัณหา พยายามละความอยาก ให้ทุกข์หายไป โดยวางอุเบกขาจิต คือทำให้จิตนั้นสงบเป็นกลางๆ ไม่คิด ไม่นึกถึงเวทนา เวทนาก็จะค่อยๆเบาลงไปได้ แต่เมื่อทำบ่อยๆมันจะละเวทนาไม่ได้ขาด จะเป็นการหลบเวทนาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
จึงอยากให้พิจารณาดูเวทนาต่อไปว่า เวทนาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นที่ใด ทำไมถึงเกิด เช่นปวดขา ทำไมถึงเกิด ขาเป็นผู้ปวด จิตเราเป็นผู้ดู ผู้ดูปวดไหม (ต้องแยกผู้ดูกับผู้ถูกดูออกจากกันก่อนให้ได้ จึงจะไม่หลง) จิตไม่ปวด แต่ขาปวด ดังนั้นขาไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขา ความปวดอยู่ที่ขา ไม่ใช่อยู่ที่จิต ขาปวดห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้เพราะเรานั่งนานหรือบังคับบัญชามันไม่ได้ แสดงว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจของเรา มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของของเรา มันไม่ใช่ตัวตนของเรา ซึ่งท่านเรียกลักษณะอย่างนี้ว่า อนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาเราจงละมันเสีย มันจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่เรา เกิดความเบื่อหน่ายในเวทนา หรือทุกข์
เมื่อจิตเรารวม สามารถละได้เราจะสังเกตเห็นจิตของเราตัดเวทนาเพียงแวบเดียวเท่านั้นแหละเพียงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นทุกข์หรือเวทนาก็จะหายไปไม่กลับมาอีกเลย ตัดแล้วตัดเลย ท่านเรียกว่า นิโรธ...! จิตจะรวมเป็นสุข จิตก็จะสงบสุขอยู่อย่างนั้น เห็นเวทนาอยู่โน่น อยากจะเรียกมันเข้ามาให้จิตเป็นทุกข์เหมือนเดิมบ้างมันก็ไม่มา ถึงแม้ทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างแสนสาหัสเท่าใดก็ตามก็ไม่มาแสดงให้จิตเป็นทุกข์อีกเลย นี่แหละท่านเรียกว่าการข้ามเวทนาได้แล้ว .แต่ถ้าจิตยังไม่รวมเราก็เกิดปัญญาเพิ่มขึ้นๆในแต่ละวันในที่สุดก็จะตัดเวทนาได้ขาด.
๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึงการมีสติจดจ่ออยู่กับความคิดความนึก อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิต ติดตามเฝ้าดูจิต การเคลื่อนไหวของจิต ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นสัญญาคือความจำในอดีต จะเป็นจำรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง ธรรมารมณ์บ้าง อารมณ์เหล่านี้จะฟุ้งออกมาโดยอัตโนมัติ ท่านเรียกว่าเจตสิก
อารมณ์ของจิต มันจะตามนอน คือ เกิดปุบไหลไปเลย สติตามไม่ทัน มันไปนานแล้วสติเราค่อยตามเห็น เพราะเป็นกิเลสที่ละเอียดมาก จะตามทันได้ต้องเป็นสติของพระอริยะ ต้องเป็นมวยรุ่นใหญ่ ถึงจะต่อยกันได้
เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวของจิต จะเห็นว่าอารมณ์ของจิตเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมและดับไปตลอดเวลา
เกิดเป็นต้นเหตุของ ทุกข์ เพราะเราไม่อยากให้มันเกิด เราต้องการความสงบ ดังนั้นเกิดเป็น สมุทัย เมื่อเกิดแล้วอยู่นานๆไม่ได้ต้องมีการแปรเปลี่ยน เป็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง เสื่อมสลายแล้วก็ดับไป ความดับเป็น นิโรธ
การที่เราพิจารณาอยู่อย่างนี้ก็คือเรากำลังเดินมรรค ๘ อยู่นั่นเอง ดังนั้นเราจะเห็นอริยสัจ ๔ ครบคือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ คือสมุทัย เห็นความดับทุกข์คือนิโรธ เห็นแนวทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์คือมรรค ๘ เมื่อสติปัญญาเราแก่กล้าขึ้นมา จะเห็นเพียงเกิด กับดับเท่านั้น เกิดเป็นทุกข์ – ดับเป็นนิโรธ จิตจะรวมใหญ่เห็นสามแดนโลกธาตุ ดับหมด วัตถุ ข้าวของ ดวงดาว กาแลกซี่ ดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งทุกอย่างดับหมด จิตจะว่างไม่มีที่สิ้นสุดน่าอัศจรรย์มาก.
๔. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึงการมีสติจดจ่ออยู่กับ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของ รูปและนาม
รูปคืออะไร...? รูป คือลมหายใจเข้าและออกของเรานี่แหละ
นามคืออะไร...? นามก็คือเห็นเวทนา สัญญา สังขารความคิดความปรุงที่เกิดขึ้นตามสัญญาอารมณ์ต่างๆ พิจารณาให้เห็นความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ และความดับไปของสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ดับไป หายไป เกิดอารมณ์ใหม่ขึ้น เมื่อมันเกิดแล้วก็ดับไป แสดงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา และไม่ใช่ของของเรา เพราะเรายังมีอยู่ ไม่ดับไปตามอารมณ์นั้น ยังเห็นอารมณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นอีก
เราเรียกลักษณะการเกิด เสื่อม แล้วดับไปนี้ว่า อนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในความเกิด-ดับๆ แล้วเราก็จะปล่อยวางสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ สิ่งใดเกิดขึ้น แล้วก็ดับ ปล่อยวาง ไวเท่ากระพริบตา ท่านว่าเป็นผู้มีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ พระอรหันต์ท่าน สิ่งใดเกิดขึ้นดับ เกิดขึ้นดับเป็นไปอย่างอัตโนมัติเลย ท่านจึงไม่มีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ท่านจึงไม่เป็นทุกข์นั่นเอง.
.....ขออวยพร.....
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง
< ปริญญาสูตร >
ผู้เจริญสติปัฏฐานชื่อว่าทำให้แจ้งอมตะ
[๘๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? ดูกร ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ...
▪มีความเพียร
▪มีสัมปชัญญะ
▪มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
▪เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ย่อมกำหนดรู้ กายได้ เพราะกำหนดรู้กายได้ จึงเป็นอันชื่อว่ากระทำให้แจ้งซึ่งอมตะ.
[๘๑๑] ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ...
▪มีความเพียร
▪มีสัมปชัญญะ
▪มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
▪เมื่อเธอพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ย่อมกำหนดรู้เวทนา ได้ เพราะกำหนดรู้เวทนาได้ จึงเป็นอันชื่อว่ากระทำให้แจ้งซึ่งอมตะ.
[๘๑๒] ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
▪มีความเพียร
▪มีสัมปชัญญะ
▪มีสติ กำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
▪เมื่อเธอพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ย่อมกำหนดรู้จิตได้ เพราะ กำหนดรู้จิตได้ จึงเป็นอันชื่อว่ากระทำให้แจ้งซึ่งอมตะ.
[๘๑๓] ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
▪มีความเพียร
▪มีสัมปชัญญะ
▪มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
▪เมื่อเธอพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ย่อมกำหนดรู้ธรรม ได้ เพราะกำหนดรู้ธรรมได้ จึงเป็นอันชื่อว่ากระทำให้แจ้งซึ่งอมตะ.
จบ สูตรที่ ๘
ภาวนาถูกทางแห่งสติปัฏฐาน 4 ที่กล่าวว่า
"อาตาปี สัมปชาโณ สติมา" เป็นดังนี้
๑) สติมา คือมีสติตั้งมั่นอยู่ที่ฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม โดยเท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น
๒) สัมปชาโณ คือมีสัมปชัญญะ รู้ตัวเสมอว่ากำลังกำหนดอะไร ดูอะไร สิ่งที่กำหนดอยู่นั้นเป็นรูปอะไร นามอะไร
๓) อาตาปี คือต้องมีความเพียรประคองจิต ๔ ประการ คือ
เพียรละ บาปเก่าๆ ไม่ให้เกิดขึ้น ในที่นี้หมายถึงการถ่ายถอนทิฏฐานุสัย (ทิฏฐิ) อันเป็นบาปเก่าๆ ที่หลงเข้าใจผิดว่าชีวิตเป็น ฉัน เรา เขา ให้เอาออกไปให้ได้ ด้วยการกำหนดให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นรูป เป็นนาม
เพียรระวัง ไม่ให้ความชั่วใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ ด้วยการระวังป้องกันกิเลสใหม่ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเพียรสำรวมอินทรีย์ คือขณะเห็น ขณะได้ยิน เป็นต้น จะต้องกำหนดได้ถูกต้องว่าเป็นรูปอะไร นามอะไร
เพียรสร้าง วิปัสสนากุศลให้เกิดขึ้น ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจ และเพียรฝึกหัดกำหนดรูปนามให้เกิดขึ้นได้เท่าทันในอารมณ์ปัจจุบัน
เพียรรักษา วิปัสสนากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ และพอกพูนให้มีมากขึ้น ด้วยการหมั่นระลึกรูปนามที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ให้เกิดขึ้นในอารมณ์ปัจจุบันอยู่เนืองๆ
เพราะ อารมณ์ปัจจุบัน เป็นปัจจัยแก่ การทำลาย อภิชฌา โทมนัส
และ อารมณ์ปัจจุบัน จะเป็นปัจจัยทำให้เกิด วิปัสสนาปัญญา
สรุปได้ว่า การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นการทำลาย “ตัณหา” คือ อภิชฌา - โทมนัส และ “ทิฏฐิ”คือความเป็นฉัน เรา เขา ซึ่งทั้งตัณหา และทิฏฐิ นี้คือองค์ธรรมของอุปาทาน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด ภพ ได้แก่ กรรมภพ และอุปัตติภพ หากผู้ใดปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ได้ถูกต้อง ผู้นั้นย่อมทำลายได้ทั้ง ตัณหา อุปาทาน ภพ ซึ่งเป็นปัจจุบันเหตุ ที่จะทำให้เกิดอนาคตผล คือ ชีวิตในชาติหน้า นับได้ว่า บุคคลผู้นั้นกำลังสร้างอำนาจของการกระทำเพื่อยุติการเกิดของชีวิตได้ การกระทำนั้นก็คือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
“สติ” กับ “ปัญญา” ใน“สติปัฏฐาน”
.
“พอได้ “สมาธิ” ที่ถูกต้อง ก็มาเป็นตัวเอื้อแก่ “ปัญญา” จุดหมายของธรรมะในพุทธศาสนานั้น อยู่ในกระบวนการของไตรสิกขา “สมาธิเพื่อเป็นปัจจัยแก่การใช้ปัญญา” เราก็ก้าวจาก “สมถะ” หรือ สมาธิ ไปสู่ “วิปัสสนา”
“วิปัสสนา” มีวิธีปฏิบัติสำคัญที่เรียกว่า “สติปัฏฐาน” คือ การเอาสติมาใช้ในการจับตาประดาปรากฏการณ์ที่ภาษาพระเรียกว่า “อารมณ์”ต่างๆ หรือตามดูรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตจิตใจของเรา เอาสติไปจับให้ทันหมด แล้วส่งให้ปัญญารู้เห็นเข้าใจ
.
สติ กับ ปัญญา ทำงานคู่กัน (ปัญญาในที่นี้เรียกว่า “สัมปชัญญะ”) ขอเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับตาเรานี้เป็นปัญญา เราจะมองอะไร สิ่งนั้นต้องอยู่ต่อหน้า ถ้าสิ่งนั้นหลุดลอยไป เราก็มองไม่ได้ ปัญญาก็ต้องมองสิ่งที่อยู่ต่อหน้าจิต สิ่งนั้นจะอยู่ต่อหน้าจิตได้อย่างไร ก็ต้องจับหรือกำกับไว้ สิ่งที่จับไว้ก็คือสติ สติจับสิ่งนั้นไว้ต่อหน้าแล้ว ปัญญาก็เหมือนตาที่มองดูสิ่งนั้น
.
ในวิธีปฏิบัติวิปัสสนา จะมีสติเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวจับสิ่งนั้นไว้ให้ปัญญาดู สติกับปัญญาจึงทำงานคู่กัน สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายจิต คืออยู่ในหมวดสมาธิ ก็มาทำงานประสานกับปัญญา เหมือนกับรับใช้ปัญญา
.
สติตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ให้พลาดไป สติจับ ปัญญาก็ดู ปัญญาดูรู้ตามเป็นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด้านร่างกาย ความเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง การนอน การกิน การดื่ม การรับประทานอาหาร สติจับทันหมด ปัญญาก็ดูรู้ตามเป็นจริง
.
อาการที่เกิดขึ้นเป็นไปในจิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ และความคิดอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจของเราทุกอย่าง สติจับให้ปัญญาดูหมดทันกับปัจจุบัน
.
เมื่อดูไปๆ ปัญญาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะสิ่งทั้งหลาย เมื่อเรามองตามที่มันเป็น ตามดูต่อเนื่องไปและไม่ขาดตอน ก็จะเห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป ซึ่งเป็นอาการของอนิจจังตลอดเวลา
.
พอเราดูโดยไม่มีอะไรมาบังตา ก็เห็นตามเป็นจริง เห็นสภาพที่เป็นอย่างนั้น คือเห็นความเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ตามที่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้คือเรื่องของ “สติปัฏฐาน”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สมาธิแบบพุทธ”
< เวทนานุปัสสนา >
เวทนาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตมนุษย์ในฐานะที่เป็นแรงจูงใจภายในที่เกิดขึ้น ในอันที่จะทำให้เกิดการปรุงแต่งให้เกิดกรรมใหม่แล้วเกิดเวทนาใหม่วนอยู่อย่างนั้นไม่เป็นอันสิ้นสุด ดังนั้นการตัดกรรมใหม่ นอกจากจะต้องทำความรู้จักกับสังขารแล้ว ยังต้องทำความรู้จักกับเวทนาด้วย
จุดที่จะระงับการปรุงแต่งก็คือจุดที่เวทนาจะก่อให้เกิดการปรุงแต่งครั้งต่อไป ต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ซึ่งสามารถป้องกันด้วยการใช้สติ(และ สัมปชัญญะ) เมื่อสติมาทันก็สามารถบรรเทาการปรุงแต่งลงได้ เป็นกรรมใหม่ที่เป็นไปไม่ใช่สนองตัณหา เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เพื่อการปรุงแต่งต่อไป นั่นคือเป็นกรรมเพื่อความสิ้นไปของกรรม
เวทนา (Feeling) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากมีการรับรู้สิ่งเร้า ( ผัสสะหรือ Perception) การรับรู้สิ่งเร้าก็เป็นผลผ่านทางอวัยวะในการรับรู้และระบบประสาทสัมผัสซึ่งต้องเลือกจากการปรุงแต่ง(สังขาร)
ยกตัวอย่างการปรุงแต่ง เช่น การกินทุเรียน
▪ทำให้เกิดการรับรู้ทางรสชาติ(ผัสสะ)
▪เมื่อรับรู้รสชาติแล้วก็เกิดความอร่อย(เวทนา)
▪ความอร่อยทำให้เกิดความติดใจ(ตัณหา)
▪ความติดใจทำให้เกิดการปรุงแต่ง(การกินครั้งต่อไป) เรื่อยไป
เวทนานุปัสสนาเป็นการพิจารณาแง่มุมต่างๆของเวทนาซึ่งเราล้วนคุ้นเคย แต่ไม่ฉุกคิดว่าถูกเวทนาหลอกต้มให้ติดกับอยู่ในวังวนที่หยุดไม่ได้
ยกตัวอย่างเรื่อง ความอร่อยของทุเรียนเป็นเวทนาทำให้เราเสพติดทุเรียน แง่มุมอื่นของเวทนาก็ยังมี เช่น ความรู้สึกที่ไม่อร่อยของของกินบางอย่าง ขมเสียจนไม่อยากกินอีก
》ถ้าเราสามารถปรุงแต่งให้เกิดเวทนาหรือไม่ให้เกิดเวทนาที่เราต้องการได้ดั่งใจ ทุกข์ต่างๆคงไม่เกิดขึ้น คงมีแต่ความสุขสมหวัง แต่ข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างนั้น
แท้ที่จริงเวทนาที่เกิดขึ้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็น"แค่ความรู้สึก"ที่เกิดขึ้นลอยๆ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป"
▪ถ้าเราเล่นบทผู้สังเกต เวทนาก็ไม่มีผลอะไรให้เดือดร้อน
▪แต่หากเราเล่นบทผู้เสวยเวทนาเสียเอง การปรุงแต่งก็เกิดขึ้นต่อไปทันที ผลก็เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทคือ ทุกข์
》 เวทนานุปัสสนาจึงดูจะง่ายกว่ากายานุปัสสนา ความสำเร็จของการปฏิบัติวัดที่ความเร็วของสติ ที่ต้องฝึกบ่อยๆ ก่อนที่ปรุงแต่งครั้งต่อๆไป
ที่อาตมาชอบเน้น
การใช้อิริยาบถย่อย
เป็นอุบายเจริญสติ
มากกว่าอย่างอื่น
เพราะมันจะทำให้เข้าไปสู่
รายละเอียดของชีวิตจิตใจ
ได้ถูกต้องชัดเจนและง่าย
เพราะฉะนั้น ท่านจึงแบ่ง
รายละเอียดการศึกษา
สติปัฏฐานออกเป็น ๔ ฐาน
กาย เวทนา จิต และฐานอารมณ์
ฐานกายถือว่ามันหยาบที่สุดแล้ว
แต่เราก็ยังไม่สามารถ
เก็บรายละเอียดของมันได้ครบถ้วน
ทุกขั้นทุกตอนใช่ไหม?
ที่เก็บไม่ได้
เพราะไม่ใส่ใจที่จะเก็บใช่หรือไม่?
แต่ในภาคปฏิบัติจริง
ต้องพยายามเก็บให้ดีที่สุด
เท่าที่จะทำได้
เพราะถ้าไม่ใส่ใจที่จะตามรู้
การเคลื่อนไหวของกาย
ก็ยากที่ตามรู้การเคลื่อนไหว
ของเวทนา จิต และอารมณ์
ซึ่งมีความละเอียดอ่อนอย่างสูงมาก
การตามรู้ความเคลื่อนไหวของเวทนา
ก็คือตามรู้ความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
เคร่ง ตึง ไหว เจ็บ ปวด
ที่มันเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ของกาย
Direk Saksith
สติปัฏฐาน กับ วิปัสสนาภูมิ
หลวงพ่อปราโมทย์ :อาจารย์บางท่านก็สอน ต้องรักษาจิตให้ว่างเท่านั้นถึงจะเป็นทางลัด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้รักษาจิตให้ว่าง มีแต่บอกให้มารู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ก็รู้ธรรม ไม่รู้ทุกข์ก็ไม่รู้ธรรมหรอก บางท่านก็ต้องบอกว่าให้พิจารณากายก่อน นั่นก็วาทะของอาจารย์แต่ละอาจารย์ บางท่านก็บอกว่าอย่าไปพุทโธต้องขยับมือถึงจะดี ก็ถูกของท่าน อย่างหลวงพ่อเทียนท่านพุทโธไม่ได้ ท่านก็ขยับมือแล้วท่านทำได้ (หมายถึงภาวนาเจริญสติปัฏฐานได้ – ผู้ถอด)
แต่ในความเป็นจริงแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นหลากหลาย มีหลายแง่หลายมุม ยกตัวอย่างสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย สติปัฏฐานเป็นเรื่องของวิธีเจริญวิปัสสนา สติปัฏฐานเป็นเรื่องวิธีเจริญวิปัสสนานะ เป็นตัววิธี แต่ตัวอารมณ์ที่เราใช้ทำวิปัสสนาเรียกว่า วิปัสสนาภูมิ ก็มีเรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอินทรีย์ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอริยสัจจ์ ๖ เรื่อง นี้ แต่ ๖ เรื่องนี้ถ้าย่อลงมาแล้วก็คือเรื่องรูปกับนามนั่นแหละ
สติปัฏฐานเป็นวิธีปฏิบัติ ทำอย่างไรจะรู้รูป ทำอย่างไรจะรู้นาม วิธีจะพัฒนาให้รู้รูปรู้นามตามหลักของสติปัฏฐาน สติปัฏฐานมี ๒ ระดับ ระดับที่ ๑ พัฒนาให้เกิดสติ ระดับที่ ๒ พัฒนาให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นตัวสติปัฏฐานเนี่ย ไม่ใช่อารมณ์ของวิปัสสนานะ วัตถุประสงค์ที่ท่านสอนเนี่ย ท่านสอนวิธีปฏิบัติ สอนว่าทำอย่างไรเกิดสติ ทำอย่างไรเกิดปัญญา ตรงที่เกิดปัญญานั่นแหละ เป็นวิปัสสนา
แต่ตัวอารมณ์ของวิปัสสนานั้นคือ รูป-นาม ซึ่งแยกแยะออกไปได้ แบ่งรูปแบ่งนามนะ พวกเรามีรูปนามกันทุกคนแหละ บางคนถนัดที่จะแยกรูปแยกนามออกไปเป็นขันธ์ ๕ บางคนถนัดแยกรูปนามออกไปเป็นอายตนะ ๖ บางคนถนัดแยกรูปนามออกไปเป็นธาตุ ๑๘ บางคนถนัดแยกรูปนามออกไปเป็นอินทรีย์ ๒๒
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภายในกายหรือภายในใจ ล้วนเป็นแค่สภาวะของรูปนามเท่านั้น และก็ตัองดับไป
แต่สิ่งที่เหลือคือสัญญา ที่ยังคงอยู่ให้เห็น เหมือนรอยเท้าโค ที่เดินผ่านไปแล้วแต่ยังมีร่องรอยทิ้งไว้
กาลเวลาผ่านไป สัญญาทั้งหลายก็จะจางหายไป เหมือนรอยเท้าโค ก็จะจางหายไปสิ้น
อย่าพยายามให้ความสำคัญหรือไปให้ค่ากับอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นความสั่นสะเทือนหรืออาการที่มันหมุน ที่เปรี่ยบเสมือนรอยเท้าโค สุดท้ายก็จะจางหายไป
เพราะยังมีรูปมีนามอยู่ตราบใด จึงต้องมีการทำงานอยู่แบบนี้เป็นปกติธรรมดา สภาวะเขาแสดงออกมาแล้วเขาก็ดับไป เหลือไว้เพียงสัญญาทิ้งไว้
ตัวสภาวะเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกิริยาอาการของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนโคมันเดินไป เดินไป มันก็ไม่เคยสนใจหรือหันกลับมามองรอยเท้ามันเลย
แล้วเราจะไปสนใจร่องรอยของสภาวะซึ่งเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งที่เคยเกิดแล้วก็ต้องดับไป และสัญญาก็เป็นเพียงแค่รอยเท้าของโคเท่านั้น มีอะไรจะต้องไปให้ความสำคัญเล่า ปล่อยมันไปสิ
สักวันหนึ่งสัญญาและรอยเท้าโคก็จะจางหายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แค่ความว่างเปล่า เราจะไปถามหาสัญญาและถามหารอยเท้าโค เพื่ออะไร? และจะเหนื่อยไปทำไมกับสิ่งที่เกิดดับ
มันไม่มีความหมายหรือคำตอบอะไรๆจากสภาวะจากสัญญา สักวันเมื่อขันธ์ดับ สัญญาและสังขารทั้งปวงก็ดับหมดไม่มีทั้งโคและรอยเท้าโค คืนสู่ความไม่มี ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน
พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท
8/4/62
ประตูสู่ปัญญา
เพียรฝึก....
ให้มีสติรู้ชัด....
คือ มี #สติสัมปชัญญะ ลงใน "ฐานใดฐานหนึ่ง" จาก 4 ฐาน
คือ....
#ฐานกาย หรือส่วนต่างๆของกาย เช่น
ดูส่วนของกายที่กำลังเคลื่อนไหว
ดูอาการพอง-ยุบขณะหายใจเข้า-ออก
ดูอิริยาบถที่เปลี่ยนไปมา
ดูลมหายใจเข้า-ออก
เป็นต้น
หรือ #ฐานเวทนา
หรือ #ฐานจิต (อาการของจิต)
หรือ #ฐานธรรม
"ฐานใดฐานหนึ่ง" ที่ชำนาญ
หรือ "ฐานใดฐานหนึ่ง" ที่ปัจจุบันขณะนั้นเด่นชัด
เริ่มต้น
เพียรฝึกเจริญสติปัฏฐาน
ให้ชำนาญ...
ใน "ฐานใดฐานหนึ่ง" ก่อน
ควรเริ่มต้นที่ฐานกาย หรือส่วนต่างๆของกาย
เมื่อชำนาญ
จะพัฒนาต่อไปยังฐานต่างๆได้อย่างมั่นคง ไม่สั่นคลอน
และ....
เพียร
ทำซ้ำ
ทำซ้ำ
ทำซ้ำ
เพียรให้ต่อเนื่อง
ในทุกช่วงเวลาที่สะดวก
และเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเรา
ภายใต้การบริหารจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพดีพอควร....
ทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ...
ไม่มีโชคช่วย...
ทำแทนกันไม่ได้...
ผลที่เหมาะควร...
มาจากเหตุที่ถูกต้อง
และปฏิบัติตรงทาง ไม่คลาดเคลื่อน...
"สติ" ชนิดที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ อบรม สั่งสอน
และถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนา แก้ไข ตลอดจนขัดเกลาตนเอง
เป็น"สติ"ชนิดที่ต้องมีที่ตั้ง
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ต้องมีฐานที่ตั้ง
สามารถเรียกได้ว่าเป็นสติชนิด "สติปัฏฐาน" นั่นเอง
"สติธรรมดา" ที่ไม่ประกอบด้วยฐานที่ตั้งของสติ จึงไม่ใช่สติปัฏฐาน
ตีตรงนี้ให้แตก ให้กระจ่าง...
"การเจริญสติปัฏฐาน"
ถือเป็น"ต้นทาง"ของการขัดเกลาตนเอง
เพื่อแก้ไขความเห็นที่ผิด หรือนิสัยที่ไม่ดี
และสามารถพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้อีกมาก...โดยลำดับ
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน 🙏🏻ค่ะ
250463
เพราะว่าให้ผลเหมือนกัน
วิธีต่าง ๆ ในเบื้องต้นมีเยอะ
แต่ต่อยอดเหมือนกันได้ทั้งนั้น
เหมือนแม่น้ำหลายสาย
สุดท้ายมันก็รวมลงมหาสมุทรเหมือนกัน
สติปัฏฐานทุกข้อไม่ว่าจะ
ด้านกาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรมก็เช่นกัน
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
การเจริญสติปัฏฐาน ๔
ด้านเหนือ ด้านใต้ ด้านตะวันออก ด้านตะวันตก
กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านก็มีประตูเมือง
อยู่ทั้ง ทิศเหนือ ทิศใต้
ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก
ภายในกำแพงเมือง
มีกองดินใหญ่อยู่ตรงที่กลางเมือง
ไม่ว่าพ่อค้าจะเข้าออก
ทางประตูทางทิศใดก็ตาม เหนือใต้ออกตก
ก็สามารถที่จะไปบรรจบได้
ที่กองดินใหญ่ได้ด้วยกันทั้งนั้น
.
ฉันใดผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔
ไม่ว่าจะเป็น พิจารณากายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ก็สามารถที่จะชำระบาปและอกุศลธรรม
ให้หมดสิ้นไปได้ด้วยกันทั้งนั้น
#เพราะหัวใจมันคือสภาวะความตื่นรู้
#โดยอาศัยฐานทั้งสี่เป็นเครื่องระลึกรู้
เป็นอุปกรณ์เท่านั้นเอง
เลือกเอาได้ ลมหายใจ อิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อย สัมปชัญญะ
หรือบางคนอาจจะรู้จิตรู้ใจได้เลยก็ได้ ก็แล้วแต่
#โดยอาศัยความรู้สึกตัวเป็นบาทฐาน
................................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖) 🙏🏻ค่ะ
การกำหนด บริกรรม วิธีต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ ขวาย่างหนอ หรือ นับตัวเลขต่างๆ ฯลฯ
มันเป็นเหมือนอุปกรณ์เบื้องต้น
เพื่อช่วยให้สามารถอยู่กับตัวเองได้
แต่พอเราเริ่มอยู่ได้แล้ว เป็นแล้ว โยมไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้หรอก
โยมอยู่กับสภาวะตรงๆ เลย
อยู่กับความรู้สึกตัว
อยู่กับความเบาสบาย
อยู่กับความตั้งมั่นได้เลย
แล้วมันสบายกว่าวิธีการกำหนดมาก
เพราะฉะนั้น จึงเริ่มพาฝึกด้วย รู้เนื้อรู้ตัวไปเลย
มันจะได้ไม่ต้องไปปลดทีหลัง
แม้กระทั่งลมหายใจก็ต้องปลดออก
ฐานกายพอฝึกแล้ว เดี๋ยวมันก็ละออกไป
ฐานเวทนา ละออกไป
ฐานจิต เปลื้องออกไป
สุดท้ายมันหลุดทั้งหมดเลยจาก"การยึดมั่นถือมั่น"
เข้าสู่อมตธรรม
เพราะฉะนั้น เราฝึกเพื่ออะไร?
...สละ ละ วาง หลุดจาก"การยึดมั่นถือมั่น"
ทุกอย่างมันเป็นแค่อุปกรณ์เบื้องต้นเท่านั้นเอง
เหมือนเรือแพที่ใช้ข้ามฝั่ง เมื่อถึงฝั่งก็ไม่ต้องแบกเรือขึ้นไป สุดท้ายแล้ว มันสลัดหมดเลย คืนสู่บริสุทธิ์
แต่อยู่ดีๆเราจะไปถึงสภาวะนั้นเลยได้ไหม?
...จึงต้องมีฐานกายก่อน (สติปัญฐาน4)
จากนั้นมันจะปลดโดยธรรมชาติ....รู้ธรรมเฉพาะหน้า
เดินจิต
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ให้รับสัมผัสถึงสิ่งต่างที่มากระทบกาย(เอาแค่หมวดกายพอ) แค่ให้รู้ เช่นเดินไปธรรมดาปกติ เวลาเท้ากระทบพื้น ก็ให้รู้สึกตัวเป็นสติ "แค่รู้"
เวลาลมพัดผ่านกายก็ให้รู้ จุดที่ต้องรู้นี้สําคัญมาก ให้รู้แค่รู้ถึงความรู้สึกที่กายถูกโดนลมเท่านั้น อย่า ไปให้ความหมายใดๆ อย่าไปคิด แค่รู้ว่ารับรู้ถึงความรู้สึกตัว โดยไม่มีอะไรต่อ ไม่คิดต่อ ไม่มีความหมายต่อ เช่นลมพัดกระทบกาย แค่ รู้ แต่ไม่ไปคิดแปรความหมายว่าลมแรงลมช้าลมร้อนลมเย็น "แค่รู้สึกตัว" อย่าไปให้ความหมายแม้แต่ไปคิดว่าเป็นลมด้วย นี้หล่ะคือการรับรู้ ถึงความรู้สึกตัวที่มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นสติที่บริสุทธิ์ ปราศจากความคิด เป็นการเจริญวิปัสสนา แบบสติปัฏฐาน4 ในหมวดกาย
สิ่งนี้เมื่อทําบ่อยๆแล้วจะทําให้สติมีกําลังมากขึ้นมาเรื่อย จนก้าวหน้าในวิปัสสนา หลังจากที่ รู้สึกในชีวิตประจําวันได้บ่อยแล้ว และ ให้ดีทําควบคู่ไปกับการตามรู้ลมหายใจ ไปในชีวิตประจําวันด้วย ให้ทําบ่อยทําไปเรื่อย อย่าไปเพ่งอย่าไปเกร็ง อย่าอยากได้สภาวะ แล้วจะได้เองโดยไม่รู้ตัว ถ้าไปอยากได้ไปคิดมากไปลังเลสับสนตอนทํา มันจะไม่ได้อะไร ให้ทําไปเลย
ให้รู้แค่ความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่เผลอ ก็ให้รู้ตัว ให้กลับมา รู้ความรู้สึกตัวพอ ความรู้สึกตัวจะค่อยเด่นชัดขึ้น เป็นการเจริญสติ วิปัสสนา จาก" ตอนแรกที่รู้แค่แว๊ปเดี๋ยว " แค่แว๊ปเดียว! ไม่ต้องไปพยายามรักษาความรู้สึกตัว ถ้าไปพยายามให้รู้สึกตัวต่อไปนานๆ จะกลายเป็นการพยายามไปรู้สึกตัว จะไม่ใช่ความ" รู้สึกตัวที่บริสุทธิ์ " จะเป็น" การคิดรู้สึกตัวแทน " แยกดี ตรงนี้หล่ะ ที่ไปสับสนกันทําผิดกันมาก ทําให้วิปัสสนาไม่เจริญ ปัญญาญาณที่จะรู้ธรรมจึงไม่เกิดกันครับ
การเดินจงกรม
ให้เดินสบายๆแบบเบาๆโล่งๆไม่ได้คิดอะไรไม่ได้ให้ความหมายใดๆ " รับรู้ความรู้สึกได้ที่กาย " เช่นเท้ากระทบพื้นก็ให้รู้แล้วจบ (ไม่ใช่ไปตามรู้เท้าก้าว กลายเป็นไปคิดเพ่งเท้าก้าวไป จะกลายเป็นสมถะ) ทําอย่างนี้ถึงเป็นการเจริญวิปัสสนาครับ หรือรู้วูบๆวาบๆแว๊ปเดียว ตอนลมพัดผ่านกาย หรืออยู่เฉยๆวูบผ่านกายผ่านกระประสาทกระแสเลือดในกาย แค่รู้ นั้นหล่ะ รู้ความรู้สึกตัวแล้ว
การเดินจงกรมถ้าจะทําสมถะ ให้เพ่งไปที่การก้าวย่างของเท้าก็จะได้สมถะ เช่นตามรู้การก้าวย่างของขาเท้า จะได้สมถะ แต่ถ้าไม่ตามดูตามรู้ แต่แค่รู้แว๊ปๆ ตอนเท้ากระทบพื้น เกิดรู้ความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญสติความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อเอามรรคผล แต่สรุปทําอะไรแล้วดีแล้วชอบ ทําไปก่อนเลย พอสมถะเข้มแข็งขึ้นมาก เดี๋ยวพอมาเจริญวิปัสสนามันก็จะไปได้เร็วมาก แต่ถ้าจะเอาแต่สมถะแล้วไม่เอาวิปัสสนามาช่วยในตอนท้าย ปฏิบัติไปได้แค่พรหม ไม่ถึงนิพพาน
"สติปัฏฐานเป็นองค์วิปัสสนาเพื่อการเข้าไปละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนั้นคือเหตุผลว่าเราปฏิบัติดีแล้วทำไมไม่บรรลุธรรม"...
เพราะฉะนั้นทุกคนเข้าใจผิดว่าพระโสดาบันนั้นต้องรักษาศีล 5 อย่างมั่นคง
พระโสดาบันท่านรักษาศีล 5 อย่างมั่นคง...
เราเพียงแค่ตั้งใจว่าจะไม่ผิดศีลจะรักษาศีล 5 อย่างมั่นคงอย่างเดียว บอกได้เลย #รักษาไปจนตายก็ยังไม่ได้เป็นโสดาบันเพราะยังมีความเห็นผิดอยู่ ยังลูบคล่ำในศีลอยู่...
แต่ว่าพระโสดาบันเมื่อท่านได้เข้าถึงจุดๆนึงแล้วท่านจะ #รักษาศีลโดยที่ไม่ลูบคล่ำในศีล เพราะศีลมันเกิดขึ้นในภายในใจของท่าน #ตัวเจตนามั่นคงแล้วไม่ผิดศีลแน่นอนด้วยเจตนา...
เพราะฉะนั้นการพลั้งเผลอก็เป็นเรื่องปกติ แต่ในใจของท่านนั้นไม่มีแล้ว แล้วก็ไม่มีความลังเลสงสัยวิจิกิจฉาอยู่ใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...
มั่นคงต่อพระรัตนตรัย เพราะว่าท่านเห็นว่า #กายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาจึงเชื่อมั่นคงต่อพระพุทธศาสนานั้นคือความเป็นที่มาของพระโสดาบัน ท่านละสังโยชน์ได้ 3 ตัวไม่ลูบคล่ำในศีลละกายได้แล้วก็ไม่ลังเลสงสัย...
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติถ้าหากยังไม่ผ่านการเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ไม่สามารถจะเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีได้หรือพระอรหันต์ได้...
เพราะฉะนั้นจะอธิบาย #สติปัฏฐาน 4 ให้เข้าใจว่าเป็นการเข้าไปละสังโยชน์อย่างไรส่วน พระสกิทาคามีท่านก็ละเช่นเดียวกับพระโสดาบัน...
ท่านก็มาพิจารณาอะไรต่อก็มา #พิจารณากายในกายจนเข้าไปละกายละเอียด กายนอกละหมดแล้วแต่กายในท่านยังละไม่ละเอียดเมื่อละกายในได้นั้น ภูมิธรรมของท่านก็คือเข้าไปเป็นพระสกิทาคามีละเช่นเดียวกับพระโสดาบัน...
ส่วนพระอนาคามีท่านละอะไร ท่านละเวทนาในเวทนา เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน 4 คือคุณธรรมของพระอริยบุคคล สติที่เราเจริญกันมานั้นมันเป็นเพียงแค่ กายคตาสติ อนาปานสติ และพุทธานุสติ...
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
สติปัฏฐาน มีกระบวนการอย่างไร?
... สติจับ ปัญญาดู ...
ปัญญาดู รู้ เห็น เข้าใจ ตามเป็นจริง
ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
พอได้ "สมาธิ" ที่ถูกต้อง ก็มาเป็นตัวเอื้อแก่ "ปัญญา"
จุดหมายของธรรมะในพุทธศาสนานั้นอยู่ในกระบวนการของไตรสิกขา "สมาธิเพื่อเป็นปัจจัยแก่การใช้ปัญญา" เราก็ก้าวจาก "สมถะ" หรือสมาธิ ไปสู่ "วิปัสสนา"
"วิปัสสนา" มีวิธีปฏิบัติสำคัญที่เรียกว่า "สติปัฏฐาน" คือ การเอาสติมาใช้ในการจับตาบรรดาปรากฏการณ์ที่ภาษาพระเรียกว่า "อารมณ์" ต่างๆ หรือตามดูรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตจิตใจของเรา เอาสติไปจับให้ทันหมด แล้วส่งให้ปัญญารู้ เห็น เข้าใจ
สติ กับ ปัญญา ทำงานคู่กัน (ปัญญาในที่นี้ เรียกว่า “สัมปชัญญะ”) ขอเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับตาเรานี้เป็นปัญญา เราจะมองอะไรสิ่งนั้นต้องอยู่ต่อหน้า ถ้าสิ่งนั้นหลุดลอยไปเราก็มองไม่ได้ ปัญญาก็ต้องมองสิ่งที่อยู่ต่อหน้าจิต สิ่งนั้นจะอยู่ต่อหน้าจิตได้อย่างไรก็ต้องจับหรือกำกับไว้ สิ่งที่จับไว้ก็คือสติ สติจับสิ่งนั้นไว้ต่อหน้าแล้วปัญญาก็เหมือนตาที่มองดูสิ่งนั้น
ในวิธีปฏิบัติวิปัสสนาจะมีสติเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวจับสิ่งนั้นไว้ให้ปัญญาดู สติกับปัญญาจึงทำงานคู่กัน สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายจิต คืออยู่ในหมวดสมาธิ ก็มาทำงานประสานกับปัญญา เหมือนกับรับใช้ปัญญา
สติตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ให้พลาดไป สติจับ ปัญญาก็ดู ปัญญาดูรู้ตามเป็นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด้านร่างกาย ความเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง การนอน การกิน การดื่ม การรับประทานอาหาร สติจับทันหมด ปัญญาก็ดูรู้ตามเป็นจริง
อาการที่เกิดขึ้นเป็นไปในจิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ และความคิดอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจของเราทุกอย่าง สติจับให้ปัญญาดูหมด ทันกับปัจจุบัน
เมื่อดูไปๆ ปัญญาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะสิ่งทั้งหลาย เมื่อเรามองตามที่มันเป็น ตามดูต่อเนื่องไปและไม่ขาดตอน ก็จะเห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป ซึ่งเป็นอาการของอนิจจังตลอดเวลา
พอเราดูโดยไม่มีอะไรมาบังตา ก็เห็นตามเป็นจริง เห็นสภาพที่เป็นอย่างนั้น คือเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นต้น ตามที่มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้คือเรื่องของ "สติปัฏฐาน"
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยาย "สมาธิแบบพุทธ"
หมายเหตุ
"สัมปชัญญะ" หรือ "ปัญญา" ก็คือ ความรู้ความเข้าใจตระหนักชัดต่อสิ่งที่สติกำหนดไว้นั้น หรือต่อการกระทำในกรณีนั้นว่า มีความมุ่งหมายอย่างไร สิ่งที่ทำนั้นเป็นอย่างไร ปฏิบัติต่อมันอย่างไร และไม่เกิดความหลงหรือความเข้าใจผิดใดๆ ขึ้นมา ในกรณีนั้นๆ