#พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า
อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำโดยง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่นพึงตั้งธรรมห้าอย่างไว้ในใจ คือ
๑.#เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ
๒.#เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ
๔.#เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส
๕.#เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น
(องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕)
ภารกิจสำคัญของการศึกษาคือ การฝึกอบรมบุคคลให้พัฒนาปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงและสภาวะของสิ่งทั้งหลาย มีทัศนคติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องปฏิบัติและจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามที่ควรจะเป็น เพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ตน คือ ความมีชีวิตอยู่อย่างสำเร็จผลดีที่สุด มีจิตใจเป็นอิสระ มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ และประโยชน์ต่อผู้อื่น
คือ สามารถช่วยสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ชนทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้
เมื่อมองกว้างๆ การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะดำเนินไปจนถึงผลสำเร็จ โดยมีคุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน ๔ อย่าง ดังนี้
๑. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นกับตา
๒. สมาทปนา จูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติ
อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือ ชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน
วิธีสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกตหรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้
๑. แบบสากัจฉา หรือสนนทนา วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธีใดๆ โดยเฉพาะในเมื่อผู้มาเฝ้าหรือทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจหลักธรรม
๒. แบบบรรยาย วิธีสอนแบบนี้ น่าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจำวัน ซึ่งมีประชาชน หรือพระสงฆ์จำนวนมาก และส่วนมากเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ กับมีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพื่อหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นับได้ว่าเป็นคนประเภทและระดับใกล้เคียงกัน พอจะใช้วิธีบรรยายอันเป็นแบบกว้างๆ ได้
๓. แบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ที่มีความสงสัยข้องใจในข้อธรรมต่างๆ แล้ว โดยมากเป็นผู้นับถือลัทธิศาสนาอื่น บ้างก็มาถามเพื่อต้องการรู้คำสอนทาง ฝ่ายพระพุทธศาสนา หรือเทียบเคียงกับคำสอนในลัทธิของตน บ้างก็มาถามเพื่อลองภูมิ บ้างก็เตรียมมาถามเพื่อข่มปรามให้จน หรือให้ได้รับความอับอาย
๔. แบบวางกฎข้อบังคับ ในการสอนแบบนี้พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดยความเห็นชอบของสงฆ์ หมายความว่า ทรงบัญญัติ โดยชี้แจงให้เห็นแล้วว่า ถ้าไม่รับจะเกิดผลเสียอย่างไร เมื่อรับจะมีผลดีอย่างไร จนสงฆ์รับคำของพระองค์ว่า ดีแล้ว ไม่ทรงบังคับเอาโดยพลการ
๑. ยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่น เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น
๒. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฎความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น
๓. การใช้อุปกรณ์ในการสอน ในสมัยพุทธกาล หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเตรื่องใช้ต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่
๔. การทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทำนองสาธิตให้ดู
๕. การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ
๖. อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นในถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน
๗. การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้เรียนยังไม่พร้อม ก็ต้องมีความอดทน ไม่ชิงหักหาญหรือดึงดันทำ แต่ต้องตื่นตัวอยู่เสมอเมื่อถึงจังหวะหรือเป็นโอกาส
๘. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้ ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การ
สอนได้ผลดีที่สุด ก็จะทำในทางนั้น
๙. การลงโทษและให้รางวัล สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่า การลงโทษ ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผลโดยไม่ต้องอาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด
๑๐. กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป
#ข้อสรุปที่เกี่ยวกับการสอน มีดังนี้
๑. ปัญญาเป็นสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นภายในตัวผู้เรียนเอง
๒. ผู้สอนทำหน้าที่เป็นกัลลยาณมิตร ช่วยชี้นำทางการเรียน
๓. วิธีสอน อุบาย และกลวิธีต่างๆ
เป็นสื่อหรือเป็นเครื่องผ่อนแรงการเรียนการสอน
๔. อิสรภาพทางความคิด เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสร้างปัญญา
เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................
จากหนังสือ พุทธวิธีในการสอน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า
โดย...พระอัครเดช ญาณเตโช
วัดฉาง ต.บางปรอด อ.เมือง จ.ปทุมธานี
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
การคิดอย่าคิดไปไกลมากนัก ต้องเอาปัจจุบันธรรม
เป็นหลัก ทุกอย่างให้อาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นหลัก
แม้การปล่อยวาง ก็พึงปล่อยวางด้วยปัญญา จักมี
อารมณ์เบาใจ
ต่างกับวางเฉยด้วยความไม่พอใจ
ซึ่งเป็นอารมณ์หนัก เพราะเป็นอารมณ์เก็บกด
ให้พิจารณาอารมณ์เหล่านี้ให้ดีๆ จักเห็นกิเลส
ได้อย่างชัดเจน ต้องไม่ฝืนโลก - ไม่ฝืนธรรม
ไม่ฝืนธรรมดา การปฏิบัติธรรมจักให้ก้าวหน้า
ต้องเข้าหาธรรมดา หรือความเป็นจริงอยู่เสมอ
พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ความรู้อันสว่างไสว เบิกบานอย่างนี้ เมื่อพบเช่นนี้เราก็มีอันเดียวเท่านั้น ให้มารวมที่นี้
ฉะนั้นให้วาง วางทั้งหมด เหลือแต่ "ความรู้"อันเดียว แต่อย่าไปหลงนะ อย่าให้ลืม ถ้าเกิดนิมิตเป็นรูปเป็นเสียงอะไรมา ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไร เอาแต่ความรู้สึกอันเดียวเท่านั้นแหละ
ไม่ห่วงข้างหน้า ไม่ห่วงข้างหลัง หยุดอยู่กับที่ จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่ยึดไม่มีที่หมาย เพราะอะไรเพราะว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเราและไม่มีของของเรา…หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราหมดอย่างนี้ ไม่ให้เราคว้าเอาอะไรไป ให้เรารู้อย่างนี้ รู้แล้วก็ปล่อย ก็วาง
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ที่มาส่วนหนึ่งจาก รู้จักปล่อยแล้วก็วาง
สรุปชีวิตเรา:
โลกนี้คือโรงละครที่มี...
กรรมเป็นผู้เขียนบท
กิเลสเป็นผู้กำกับ
สัตตานัง (คือตัวเรา) เป็นผู้เล่น
มีผู้ร่วมกรรมเป็นตัวประกอบซึ่งกันและกัน
เราเกิดมาก็ชั่วคราว
ภพชาตินี้ก็ชั่วคราว
ตั้งอยู่ อาศัยอยู่ก็ชั่วคราว
สุดท้ายก็ตายจากโลกก็ชั่วคราวในโลกนี้
แต่ที่สำคัญ คือ จิต ที่มีการเกิดดับสืบต่อกัน จึงนำพาไปเกิดในภพใหม่ ตามบุญและกรรมที่กายนี้ทำไว้ขณะที่อยู่ในโลก โดย
ทำชั่วก็ไปอบายภูมิ (เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน)
ทำดีก็ไปสุคติภูมิ (มนุษย์ สวรรค์ พรหม)
ถ้าจิตหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ก็ไปนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเพราะหมดเหตุปัจจัย เลิกเล่นละครไปเลย
San Nirvana