พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 29 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 348 **ผู้มีคุณวิเศษที่แท้จริง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมเพิ่มเติม ในเรื่องของ การระมัดระวังความลุ่มหลงในคุณวิเศษต่างๆ ในตอนต่อไป
จะมีวิธีที่เราควรพิจารณา และระมัดระวัง นอกเหนือ 3 วิธี ที่เมื่อวานพระพุทะองค์ได้ทรงเมตตา แสดงให้ฟังไปแล้วนั้น หรือเปล่าเจ้าคะ ถ้าหากว่ามี เราควรจะพิจารณาแบบไหนบ้าง
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นต้องระมัดระวัง
จะลุ่มหลงในคุณวิเศษต่างๆที่ได้รับมา
จะลุ่มหลงในสิ่งต่างๆ ที่คิดว่าดีแล้วนั้น
ในความเป็นจริงแล้วลูก มันต้องระมัดระวัง เป็นปลีกย่อย เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ที่ละเอียดอ่อน ที่เรานั้น จะต้องประสบพบเจอตลอด..
- ซึ่งไม่สามารถที่จะระบุไว้ว่า มันมีเท่านั้นข้อ เท่านี้ข้อ
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. สิ่งที่ควรทำอีก ก็คือ การคอยดูจิตแห่งตน อย่างสม่ำเสมอ
ให้ตนระลึกรู้ในใจ อยู่เสมอว่า..
/ การกระทำเช่นนี้ มันเจือปนด้วยความหลง หรือเปล่า ?
/ การที่ได้สิ่งนั้นมา เกิดความลุ่มหลง ยึดติด ยึดมั่นถือมั่น หรือเปล่า ?
ตัวของลูกนั่นเองละ จะเป็นผู้กำหนดได้ว่า..
สิ่งใด คือ ความหลง
สิ่งใด ต้องระมัดระวัง แก้ไขความหลง
คือ ต้องปลุกจิตตนให้ตื่น ตื่นจากความลุ่มหลงทั้งหลาย อยู่เสมอ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งเหล่านี้ละลูก คือ สิ่งที่ลูกควรจะทำ อีกอย่างหนึ่ง
ถ้าจะรวมเป็นหัวข้อใหญ่ ก็คือ การพิจารณาอยู่เสมอ รู้ตื่นอยู่เสมอ
เพราะความลุ่มหลง - มันไม่ได้มา เป็นหัวข้อใหญ่
.. แต่มันจะมาเป็นปลีกย่อย
ฉะนั้น.. เมื่อลูกตั้งจิต พิจารณาถึงเหตุที่ควรระมัดระวัง - ในเรื่องใหญ่แล้ว..
-- ก็ต้องดูจิตแห่งตน พิจารณาในเรื่องเล็ก - ปลีกย่อยลงมาหน่อย +
ลูกจะได้มีสติ อยู่เหนือความลุ่มหลงทั้งปวง
เราอย่าคิดว่า มันนิดเดียว ไม่เป็นไร..
เราอย่าไปมองข้าม ความนิดเดียว ของเชื้อ เชื้อที่มันเกาะอยู่ในจิตใจของเรา
แม้เพียงนิดเดียว - เราก็ควรที่จะรู้ทัน และขจัดมันออก +
เพราะเชื้อเหล่านี้นั้น.. ถ้ามันมีนิดเดียวแล้ว มันจะลามไปไวมาก..
-- มันจะสามารถแพร่ขยายเชื้อเหล่านั้น ให้คลุมจิตใจแห่งตัวของลูก ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จึงควรตรวจดู ดูจิตใจแห่งตนอยู่เสมอ
และสิ่งหนึ่ง ที่จะเป็นสิ่งสุดท้าย - ในหัวข้อใหญ่ คือ..
ข้อที่ 4 ที่ควรระมัดระวังนั้น..
คือ การฝึกฝนตนให้รู้ ให้ตนรู้ ตนเข้าใจว่า..
สิ่งที่วิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนา
สิ่งวิเศษ ที่องค์พระพุทธเจ้า ทรงเป้าหมายไว้ ให้ทุกคนไปถึง
สิ่งที่ทุกคน ควรจะทำให้ได้
-- คือ คุณวิเศษ แห่งการเป็นองค์พระอรหันต์ คือ การดับกิเลสได้ ลูก ++
ไม่ว่าลูกนั้น จะเดินทางในสายไหน เส้นไหน
ในรูปแบบใด ของการเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน - ไม่สำคัญ และไม่มีอะไรวิเศษกว่าอะไร
มีเพียงความวิเศษ สิ่งเดียวเท่านั้น คือ ลูก สามารถดับการเกิดแห่งตนได้
เมื่อลูกสามารถดับการเกิดแห่งตนได้เมื่อไร -
เมื่อนั้นละลูก - จึงถึงซึ่ง คุณวิเศษที่มีอย่างแท้จริง ในพระพุทธศาสนา
จึงถือว่า..
* เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะอย่างแท้จริง
* เป็นผู้ที่รู้ ผู้ที่ตื่น ผู้ที่เบิกบานแล้ว
* ผู้ที่อยู่เหนือกิเลสตัณหา อยู่เหนือวัฏสงสาร เหนือโลก - ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
นั่นละลูก.. จึงถือว่า เป็นบุคคล ผู้ที่มีคุณวิเศษ **
และพระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำไว้เช่นนี้เถิดว่า..
การถึงซึ่งองค์พระอรหันต์ - เป็นคุณวิเศษ
ที่พระพุทธศาสนา ควรที่จะพากันสรรเสริญ ในกลุ่มชาวพุทธทั้งหลาย
-- แต่บุคคลผู้ที่ถึงซึ่งองค์พระอรหันต์นั้น
... ท่านก็มิได้เห็นว่า สิ่งนั้นวิเศษอะไร สำหรับตัวของท่านเอง..
บุคคล ผู้ที่เป็นชาวพุทธ เขาเหล่านั้น ก็สรรเสริญคุณความดีนั้น เพื่อ
เป็นจุดมุ่งหมาย เป็นสิ่งจูงใจ ให้กับเขาทั้งหลาย รู้จุดมุ่งหมาย
- มีแรงจูงใจ ที่จะดับการเกิดของตนให้ได้ !
แต่บุคคล ผู้ที่ถึงแล้ว..
ท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ย่อมไม่มีความยึดความถือ ในสิ่งที่โลก และชาวพุทธ ควรสรรเสริญ คือองค์พระอรหันต์นั้น.. ว่าดี ว่าตนประเสริฐ ว่าตนวิเศษ
จิตผู้ที่เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ ก็จะรู้ รู้ตื่นในทุกอย่าง
ปราศจากความยึดติด ลุ่มหลง ความมีตัวมีตน
องค์พระอรหันต์ ทั้งหลาย จึงไม่ถือว่า ตนเป็นผู้วิเศษ
แต่ท่านทั้งหลาย - จะรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองว่า..
* ท่านคือ ผู้จบกิจในการเกิดแล้ว
* ท่านคือ ผู้มีชัยชนะเหนือกิเลสแล้ว
* ท่านไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อีกต่อไปแล้ว
ท่านจะรู้ตื่น ในสิ่งทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันแตกฉาน
จะไม่ยึดไม่ถือเลย - ในความเป็นอรหันต์แห่งตน
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
ลูกทั้งหลาย.. ผู้ซึ่งกำลังประพฤติปฏิบัติดี
ผู้ซึ่งกำลังแสวงหา และทำความดี และได้รับความดีบ้าง ในบางสิ่ง
จึงควรที่พิจารณาอยู่อย่างนี้ เสมอว่า ..
คุณวิเศษ ที่สูงสุด ในพระพุทธศาสนา คือ การเป็นองค์พระอรหันต์
ตราบใดที่ตน ยังไม่รู้ ไม่เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
ตราบนั้น จึงไม่ควรถือว่า สิ่งที่ได้มาแล้วในคุณวิเศษ ในพระอรหันต์ 4 สาย - ที่ได้กล่าวไปนั้น
- มันเป็นสิ่งวิเศษ
- มันเป็นสิ่งที่ลูกนั้น ได้ทำดีที่สุดแล้ว
ไม่ควรไปลุ่มหลง พัวพันมัวเมา กับความวิเศษเหล่านั้น ลูก
ควรที่จะประพฤติปฏิบัติ มุ่งหน้าตรงสู่พระนิพพาน
ควรที่จะเห็น ตามองค์พระอรหันต์ว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นเพียงเครื่องมือ ในการช่วยชำระล้างกิเลส
-- เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ที่แท้จริง คือ *พระนิพพาน*
และเมื่อไรก็ตาม.. ที่ตนสามารถปฏิบัติ จนเข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ แล้ว
สิ่งที่ตนจะคิดว่า มันเป็นคุณวิเศษนั้น - ย่อมไม่มีในความคิดแห่งตน
ตนย่อมอยู่เหนือความคิด การยึดในสิ่งต่างๆ ว่าวิเศษ
รวมถึง การยึดในความเป็นองค์พระอรหันต์ ว่าวิเศษในตน - ย่อมไม่มี **
บุคคลผู้อื่น ..
อาจจะสรรเสริญ
อาจจะชื่นชม ชื่นชอบ
อาจจะเป็นสิ่งที่ควรแก่การสักการบูชาแห่งผู้อื่น
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเขาทั้งหลาย ..
- ไม่ใช่เรื่องแห่งตน
- ไม่ใช่เหตุที่ตน - จะไปหลงในลาภสักการะต่างๆ
ถ้าเมื่อไรที่คิดว่า.. ตนเป็นองค์พระอรหันต์ แล้ว.. แต่ยัง
/ มีความรู้สึกยินดี
/ มีความรู้สึกว่า.. ตนวิเศษ
/ มีความรู้สึกว่า.. ตนดีกว่าผู้อื่น
/ มีความรู้สึกยินดี.. เมื่อผู้อื่นสรรเสริญ และทำการกราบไหว้บูชา
จงรู้ตัวไว้เถิด ว่า นั่นไม่ใช่องค์พระอรหันต์ !
- ไม่ใช่วิสัยแห่ง องค์พระอรหันต์..
ที่จะกระทำเช่นนั้น
ที่จะมีความรู้สึกเหล่านั้น
-- นั่นกำลังเป็นการหลง - หลงดี ยึดดี ถือดี.. หลงทางเข้าแล้ว ++
จงดูที่จิตที่ใจของตน ว่า ถ้าเกิดยังมีอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น
แปลว่า ยังไงก็ยังไปไม่ถึง !
- ต้องวางสิ่งที่ตนคิดว่า ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ทั้งหลายเหล่านั้น..
- อย่าไปยึดถือมันว่า ดี +
แล้วปฏิบัติ ทำความดีต่อไปเรื่อยๆ..
จนวันหนึ่ง ที่ลูกรู้สึก อยู่เหนือคุณวิเศษต่างๆ
เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา
แม้มีคนสรรเสริญ กราบไหว้บูชา - ลูกก็สักแต่เห็นว่า.. มันเป็นเพียงปรกติ
และสิ่งที่เขาบูชานั้น เขาบูชา องค์พระอรหันต์
ซึ่งองค์พระอรหันต์ - ไม่ใช่ตัวของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง
แต่เป็นเส้นทาง แห่งการเดินตามรอย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ หรือเป็นเส้นทางแห่ง การถึงซึ่งการดับการเกิด
ฉะนั้น.. เมื่อเราอาศัยเส้นทางเส้นนี้ จนเข้าถึงคำว่า *อรหันต์* แล้ว
เราก็ยังต้องวางคำว่า *อรหันต์* นั้น
วางลง ไม่ยึดเอาไว้..
เราอาศัยทางเส้นนี้ มาจนสิ้นสุดหนทาง
เมื่อสุดหนทางแล้ว.. สิ่งที่เราควรจะทำ คือ แยกจิตออกจากทางเส้นนี้ด้วย
โดยไม่ยึดเอา ถือเอา ว่า..
นั่นคือเรา คือตัวตนของเรา
คือเราเป็น คือเป็นเรา
นั่นละลูก จิตของลูก -
จึงจะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างแท้จริง.. พระยาธรรมเอย
จึงสามารถอยู่เหนือ ความลุ่มหลงทั้งปวงได้ อย่างแท้จริง
จึงเป็นสิ่งที่ องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. เขาทำกัน
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือสิ่งที่ลูกทั้งหลาย ผู้ตั้งใจที่จะเดินเข้าสู่ การเป็นองค์พระอรหันต์
ผู้ตั้งใจฝึกฝน ในการประพฤติปฏิบัติ ให้ประสบผลสำเร็จ
- ควรที่จะรู้ และระมัดระวังเข้าไว้ ++
คุณวิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากการถึงซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ นั้นไม่มี !
เมื่อถึงซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ - จิตแห่งตน ย่อมไม่ยึดถือ ในการเป็นองค์พระอรหันต์ ลูก
-- จึงจะถึงที่สุด แห่งความวิเศษ อย่างแท้จริง **
วิเศษ อย่างที่ไม่มีวันดับ สูญหายไปจากความวิเศษ
วิเศษ เพราะตนไม่ต้องเป็นทาสแห่งใคร อีกต่อไปแล้ว
วิเศษ เพราะตนไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป
คุณวิเศษนั้น จะอยู่กับลูก - ไม่มีวันดับหาย.. ลูกเอ๋ย
- เมื่อลูกอยู่เหนือคุณวิเศษ..*
พระยาธรรมเอ๋ย.. นี่ละ คือ สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ก็ควรที่จะพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อที่จะได้ไปถอดถอนความลุ่มหลง ที่อาจจะทำให้หลงในคุณวิเศษต่างๆ ที่ได้ ที่มี
- เมื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อไปสู่พระนิพพาน +
เหลืออีกแนวทางหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ที่ลูกจะสามารถหยิบไปพิจารณาให้เห็นตามแนวความจริง
เพื่อถอดถอนความลุ่มหลง ในสิ่งที่ลูกเรียกว่า คุณวิเศษ ต่างๆ
* เมื่อลูกทั้งหลาย รู้จุดมุ่งหมาย ที่ทำความดี ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
ว่า.. ทำเพื่อมรรคผลนิพพาน
* เมื่อลูกทำความเข้าใจว่า.. การปฏิบัติ ย่อมทำให้เกิดสิ่งที่โลกเรียกว่า เป็นคุณวิเศษเหล่านั้น.. เป็นธรรมดา
* ลูกรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกเอาไป ทำอะไร / เพื่ออะไร - ให้เกิดประโยชน์ แก่ตน และผู้อื่น
เมื่อลูกรู้ว่า สิ่งวิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนา คือ การดับกิเลส ดับการเกิดแห่งตนได้
ลูกมีสติอยู่กับสิ่งเหล่านี้.. ก็จะไม่ทำให้ลูกลุ่มหลงในคุณวิเศษ ที่มี ที่ได้เลย..
* รวมถึงการคอย ระมัดระวัง ความหลงเล็กๆน้อยๆ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นละ.. พระยาธรรม
ถ้าลูกปฏิบัติตามสิ่งที่ได้กล่าวมาไว้แล้ว ใน 3 คลิปนี้
- ก็จะเป็นตัวช่วยในการถอดถอนความลุ่มหลงได้ เป็นอย่างดี
และสิ่งเหล่านี้ ก็ควรเรียนรู้ ตั้งแต่แรกเริ่มของการปฏิบัติเลย
ก็ดีนะ พระยาธรรม..
จะได้มีองค์ความรู้ เพื่อที่จะได้นำพาจิตแห่งตน ให้รู้ทันในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ในภายภาคหน้า
จงประพฤติปฏิบัติ ตามที่กล่าวมาแล้วเถิด.. พระยาธรรม
สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยลูก
/ ในการถอดถอนความหลง
/ ในการตีกรอบ ให้ลูกอยู่ในทางที่ถูกต้อง
ลูกจะไม่เป็นผู้ที่ต้องลองจับไฟเอง
ลูกจะไม่เป็นผู้ที่หลงทาง แวะไปข้างทาง เสียเวลา
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. เพราะกาลเวลา ที่เราจะเดินเข้าสู่พระนิพานนั้น - มันก็ย่อมมี +
ถ้าหากว่า เราสามารถย่อเวลาที่ยาว มาเหลือสั้น
-- สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ไวกว่า - ย่อมเป็นโอกาสที่ดี **
มัวแต่ชักช้า เลี้ยวไปทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง
- เดี๋ยวกิเลส เดี๋ยวตัณหา.. มันจะฉุดดึงไป
เดี๋ยวถ้าเกิดว่า เราตายจากชาตินี้ - เกิดมาชาติใหม่
เกิดว่าเราต่อยอดการปฏิบัติไม่ได้..
เพราะโดนเหตุปัจจัยรอบตัว.. คอยนำพาไปในทิศทางที่ไม่ถูก
จะทำยังไงล่ะ.. พระยาธรรม
... อาจมีโอกาส หลงทางได้ !
ฉะนั้น.. จงทำให้มันตรง
ตรงแล้ว จะได้ไม่เสียเวลา
จะได้ไม่มีโอกาส เปิดให้แก่หมู่มาร และกิเลสตัณหา เข้ามาโจมตีเราได้ ลูก
จะได้ถึงพระนิพพาน อย่างแท้จริง
อย่ามัวแต่ชะล่าใจว่า.. เดี๋ยวก่อนๆ
จงทำไปเถิด ทำให้มันถูกต้อง
-- ไปถึงให้มันไวที่สุดได้ - มันก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี *
ใครจะยังไงก็แล้วแต่.. เราควรที่จะไปให้ถึงก่อน
ถึงแล้ว ค่อยหันกลับมาช่วยคนอื่น ก็ได้.. มันไม่เป็นไร ลูก
ดีกว่า มัวแต่ห่วงสิ่งนั้นสิ่งนี้ แวะข้างทางอยู่..
- ไปไม่ถึงเสียที..
เกิดอุบัติเหตุ ตายเสียก่อน - ก็เลยไปไม่ถึงจุดมุ่งหมาย นี่ลูก...
ก็ต้องไป..
ตั้งใจไปให้ดี ไปให้ถูก ไปอย่างปลอดภัย
และไปให้ถึงก่อน น่ะแหละดีแล้ว.. พระยาธรรม
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 30 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 349 **รวมสี่สายกลายเป็นหนึ่ง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกนั้นฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ในเรื่องของ องค์พระอรหันต์ ทั้ง 4 สาย น่ะเจ้าค่ะ
เมื่อลูกได้ฟังแล้ว ก็เลยทำให้ลูกเกิดความคิดรวบรวมเครื่องมือ ที่จะช่วยให้เราเข้าถึงพระนิพพานเอาไว้ทั้งหมด
ลูกจึงปรารถนาที่จะเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ว่า เครื่องมือทั้งหลายเหล่านั้น.. เราจะสามารถรวมมาไว้เป็นหมวดเดียวกัน หรือทำความเข้าใจรวมกัน ว่ามันมีสิ่งนั้น มีสิ่งนี้ สิ่งโน้น
เพื่อให้เราได้รู้ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มันเป็นธรรมดา
หากเราได้ประพฤติปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้แล้ว - ก็จะเกิดขึ้น มีอยู่ เป็นธรรมดา
และสามารถนำพาเราเข้าสู่พระนิพพานได้ ลูกก็เลยรวบรวมมาไว้เป็นหมวดเดียวกัน
วันนี้ ลูกจะเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ เรื่องของ สิ่งต่างๆ ที่รวมกันมาเป็นอุปกรณ์ ไว้ใช้สำหรับเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน ใช้สำหรับการชำระจิต น่ะเจ้าค่ะ ”
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ก็ดีเหมือนกันนะลูก หากว่าเรานี้ รวมกันไว้เป็นหมวดเดียวกัน
เราจะได้ท่องได้ จำเอาไว้ ว่ามันมีอะไรบ้างที่มันเกิดขึ้น ในการประพฤติปฏิบัติ เป็นธรรมดา
และในแต่ละสิ่งนั้น มันคือ เครื่องมือแห่งการช่วยชำระล้างกิเลสตัณหา
เพื่อเราจะได้รู้ว่า บุคคลผู้ที่จะไปสู่พระนิพพานนั้น - มีเครื่องมืออะไรบ้าง อย่างชัดเจน
ไหนเล่า พระยาธรรม ลูกนั้นรวบรวมไว้ แบบไหนบ้าง มีอะไรบ้าง ลองกล่าวธรรมนั้นมาเถิด..
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกได้ฟังธรรม มาหลายวันนี้ ทำให้ลูกได้เข้าใจว่า ..
สิ่งที่จะช่วย และนำพา ให้เราไปสู่พระนิพพานได้นั้น
คือ การมีศีล มีธรรม มีสมาธิ และมีปัญญา - มีสิ่งเหล่านี้ เป็น 4 ย่างก้าว
ถ้าเปรียบกับรถ - ก็จะเปรียบเหมือนล้อ 4 ล้อ ของรถคันนั้นๆ
- เพื่อที่จะพาเราไปสู่พระนิพพาน *
แล้วก็จะมีเครื่องช่วยอีก ที่เราสามารถนำมาเป็นสิ่ง ที่จะช่วยชำระล้างดวงจิตของเรา ให้สะอาด
ล้างกิเลส ให้หมดให้สิ้นไป คือ
การทำอาสวะให้สิ้นไป
การระลึกชาติได้
การรู้จุติ และอุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
การมีตาทิพย์ หูทิพย์
แสดงฤทธิ์ได้
ทายใจผู้อื่นได้
ขยายธรรมที่ยาว ให้สั้นลง // ขยายธรรมที่สั้น ให้ยาวออกไป
เข้าใจในคำพูด คำศัพท์ต่างๆ
สามารถหยิบธรรม มาอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ และเห็นตาม
สามารถที่จะเห็นธรรมเฉพาะหน้า
.. และอธิบาย หรือหยิบยกตัวอย่าง เรื่องนั้น เรื่องนี้- ให้เหมาะกับเหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆ
อย่างนี้.. น่ะเจ้าค่ะ
ลูกเลยไปรวบรวมไว้ เป็นหมวดเดียวกันอย่างนี้ เพราะลูกคิดว่า..
ถ้าเกิดว่าเราปฏิบัติ เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน
อย่างน้อย เราก็จะได้รู้ว่า - สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวช่วยของเรา..
และ
// เราก็จะได้ปฏิบัติตาม ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
// เราจะได้รู้ การทำอาสวะให้สิ้นไป
// เราจะได้หยิบเอาแต่ละสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา ในแต่ละเรื่อง แต่ละอย่าง ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป
.. จะได้เอาสิ่งเหล่านี้ ขึ้นมา เพื่อช่วยเราในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าค่ะ
... ลูกจึงรวบรวมไว้เป็นหมวดเดียวกัน.. อย่างนี้
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. มันก็จะทำให้มองเห็นแนวทางได้ชัดเจนขึ้น
ถ้าเกิดจะพูดโดยรวมว่า ประพฤติปฏิบัติเพื่อไปสู่พระนิพพาน - ก็เข้าใจดี
- แต่อาจจะไม่รู้ว่า ต้องทำแบบไหน..
สิ่งที่รวบรวมมาเป็นหมวดเดียวกันนี้.. ก็ดีเหมือนกัน จะได้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า..
ถ้าหากว่าเราจะไปสู่พระนิพพาน
- เรานี้ จะต้องทำแบบไหน
- มีอะไรบ้างที่เราจะต้องทำ
พระยาธรรมเอ๋ย.. จะได้รู้ว่า เราต้องเริ่มจากการ..
ตั้งสัจจะ รักษาศีล เสียก่อน
เมื่อเรามีศีลแล้ว.. เราก็ควรที่จะฟังธรรมต่างๆ เพื่อรู้แผนที่แห่งการบอกทาง
รู้ว่า องค์พระพุทธเจ้า สอนสั่งแนวทางไว้เช่นไรบ้าง.. เราจะได้รู้
เมื่อเรารู้แล้ว เราก็จะได้ฝึกฝนสมาธิ เพื่อเป็นกำลังค้ำหนุน ฝึกฝนปัญญา
เมื่อเรา มีศีล มีธรรม มีสมาธิ และปัญญาแล้ว.. เราก็จะเกิดความรู้
หรือว่าอยากรู้เครื่องมือต่างๆขึ้น- ตามรอบ ตามเหตุ ตามปัจจัย ของแต่ละบุคคล
เช่น
การรู้ การทำอาสวะให้สิ้นไป
การระลึกชาติได้
การรู้ตามกฎแห่งกรรม อย่างแท้จริง
รู้จุติ อุบัติเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลาย
-- เมื่อเรามีญาณรู้ ต่างๆเหล่านี้ - เราก็จะได้นำมาใช้ มาช่วยในการขัดเกลากิเลสตัณหา **
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อบุคคลทำความเข้าใจ ให้รู้ ให้เห็นเป็นธรรมดา ว่า..
มีศีล มีธรรม มีสมาธิ และปัญญา
มีการรู้ - รู้ที่จะทำอาสวะให้สิ้นไป
มีญาณรู้ รู้ระลึกชาติได้
มีญาณรู้ รู้จุติ และอุบัติบังเกิด ของสัตว์ทั้งหลาย
มีตาทิพย์ หูทิพย์
แสดงฤทธิ์ได้ ทายใจผู้อื่นได้
สามารถมีปัญญาแตกฉานในธรรม - ทั้ง
- เรื่องของการสรุปธรรม
- เรื่องของการขยายธรรม
- เรื่องของการรู้จักเอาถ้อยคำแต่ละคำ มาทำให้เกิดประโยชน์
ที่ฟังแล้วเข้าใจในเรื่องนั้น ที่กำลังชี้บอก หรือเห็นธรรมเฉพาะหน้า
* สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ - เป็นสิ่งที่จะต้องประสบพบเจอเป็นธรรมดา
- สำหรับการปฏิบัติ เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้ว
เราเห็นเป็นธรรมดาว่า.. มันเป็นเครื่องมือ ที่จะช่วยให้เราไปสู่พระนิพพาน ได้นั้น..
เราก็จะประพฤติปฏิบัติตาม อย่างถูกหลักการ
คือรู้ มีศีล มีธรรม มีสมาธิ และปัญญาแล้ว
รวมถึง อาจจะเกิดสิ่งที่ลูกเรียกว่า คุณวิเศษ ข้อใดข้อหนึ่ง - 2 ข้อ 3 ข้อ
เราก็จะได้เอาสิ่งเหล่านั้น - มาช่วยชำระล้างกิเลสแห่งตน ให้สิ้นไป
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดีแล้วละลูก ที่รวบรวมเป็นหมวดเดียวกัน
อย่างน้อย.. ถ้าเกิดคิดว่าจะไปพระนิพพาน ก็ยังเข้าใจว่า..
/ ไปแบบไหน
/ เริ่มต้นยังไง และเราจะได้เจอกับอะไรบ้าง
/ เจอแล้ว ต้องทำยังไงบ้าง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่จะปรากฏแก่ตัวของเรา *
- ตามเหตุที่เราจะปฏิบัติ
- ตามเหตุแห่งกรรมวิบาก และเชื้อกิเลส ที่เรามีอยู่
-- แต่เราจะสามารถอาศัยเครื่องเหล่านี้ ในการดับกิเลสแห่งตน ++
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อรู้แล้วว่า เรามีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา / และมีญาณรู้ต่างๆ
จะช่วยให้เราเข้าสู่พระนิพพานได้ +
ก็จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติกัน - ตามสิ่งที่รู้ ที่ทำความเข้าใจ นี้เถิดลูก
เราเริ่มจาก ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
ส่วนสิ่งอื่นที่จะเกิดขึ้นมาช่วยเรา.. ก็คงจะเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย
หากเรามีศีล ธรรม สมาธิ ปัญญาแล้ว อย่างหนักแน่นแล้ว
สิ่งอื่นๆที่มันเกิดขึ้นตามหลังมา - เราย่อมมีปัญญาควบคุม
และใช้สิ่งเหล่านั้น เป็นเครื่องมือในการชำระกิเลสได้ - โดยไม่ลุ่มหลงกับมัน ++
พระยาธรรมเอย.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นะลูก มันจะปรากฏขึ้นเป็นธรรมดา
- เพราะมันเป็นเครื่องมือในการชำระกิเลส ตามธรรมชาติ..
หากเราปฏิบัติ ตาม ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา - มุ่งสู่พระนิพพาน
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. ย่อมผุดขึ้น เกิดขึ้นกับเรา เป็นแน่แท้ +
-- อาจจะไม่ทั้งหมด.. ก็อาจจะเกิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2 เรื่อง 3 เรื่อง
แล้วแต่ว่า เราจะมีกี่อย่าง ในตัวเรา
มีกี่อย่าง - ก็เพื่อชำระกิเลสแห่งตนเท่านั้น **
เมื่อเห็นเช่นนี้ เข้าใจเช่นนี้ เราก็จะได้รู้ตามความเป็นจริง
โดยไม่หลงทิศทางไป ว่าจะปฏิบัติแบบไหน จะไปยังไง..
เจอกับตัวนั้นตัวนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ - ก็จะแตกตื่น ตกใจ
.. นึกว่าวิเศษมากมาย อาจเกิดความลุ่มหลงได้..
และเมื่อเราบอก เราสอนผู้อื่น - เราก็ควรจะชี้ จะบอก จะสอนผู้อื่น ดังนี้เหมือนกัน..
ที่สอนให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ -ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร
- แต่มันเป็นเครื่องช่วยชำระกิเลสตัณหา.. ที่มันมีอยู่แล้ว ตามเหตุของธรรมชาติ
- มันคือความจริง ที่ทุกคนต้องเจอ
เพียงจะไม่เจอทุกสิ่ง ในคนเดียวกัน
หรือบางคน.. อาจจะมีทุกสิ่งในคนเดียวกัน ก็ได้
บางคน.. อาจจะมีแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง 2 สิ่ง 3 สิ่ง - แล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย
... แต่จะมีสิ่งเหล่านี้ เป็นธรรมดา ..
ลูกเอ๋ย.. การที่บุคคลผู้เกิดคุณวิเศษ เครื่องมือในการชำระกิเลส เหล่านี้ขึ้น
แล้วนำมาเผยแผ่แก่ผู้อื่น โดยใช้ความลุ่มหลงนั้น ย่อมจะนำพาให้ผู้อื่นหลง และตนหลง
หลงทิศหลงทาง หลงผิดไป
เป็นการอวดอุตตริ - เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ !
แต่ถ้าหากว่าเราประพฤติปฏิบัติ อย่างมีสติ มีปัญญา
- เราอยู่เหนือความลุ่มหลงเหล่านี้..
เราย่อมสามารถสอนผู้อื่นได้ ตามความเป็นจริง
และจงสอนให้ผู้อื่นนั้น มีสติรู้ตามด้วย - อย่าให้เกิดความลุ่มหลง !
ถ้าเราคิดว่า เราควบคุมให้อยู่ในกรอบที่ดีได้ - เราก็สามารถสอนได้
เพียงแต่ว่า อาจจะหลบหลีกหน่อย ในเรื่องของการหยิบยกตนขึ้นมาปรารภ
.. ขึ้นมากล่าวถึงคุณวิเศษ ที่ตนมีอยู่ - ไม่ต้องไปพูดถึงมันหรอกลูก
มี -ไม่มี ก็ช่างมัน !
แต่เราสามารถที่จะสอนคนอื่นได้ ในเรื่องเหล่านี้ เพราะ..
มันเป็นความจริงของศาสนา ที่เกิดขึ้น
มันเป็นสิ่งที่จะนำพา - เพื่อไปสู่พระนิพพาน
เป็นเครื่องมือแห่งการชำระกิเลส และตัณหา
ฉะนั้น.. ความจริง ก็คือความจริง ไม่มีใครปกปิดความจริงได้ลูก
สิ่งที่บัญญัติไว้ว่า ห้ามอวดอุตตริ ในสิ่งที่เป็นคุณวิเศษต่างๆ
- เพียงแค่ ไม่ให้หยิบยกตัวตนขึ้นมา เท่านั้น !
< แต่สิ่งเหล่านี้ สามารถที่จะประกาศไปได้ ชี้ทางผู้อื่นได้.. ให้ทุกคนรู้เห็นตามความเป็นจริง >
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ที่ได้เรียบเรียงเอาไว้ จนเป็นหมวดหนึ่ง ของแนวทางการปฏิบัติ
- หรือเครื่องมือที่ช่วยชำระกิเลสตัณหา..
ที่เมื่อ มีศีล ก็มีธรรม มีศีล มีปัญญา
เมื่อรู้ทำอาสวะให้สิ้นไปแล้ว ก็อาจจะมีญาณรู้วิเศษ อื่นๆตามมาอีกหลายอย่าง
สิ่งเหล่านี้ มันเป็นธรรมชาติ
ก็ดีแล้วละ ลูก
แต่จงสอนผู้อื่น และตนเองให้ดี อย่าให้เกิดความลุ่มหลง ก็แล้วกัน
-- ให้นำมาใช้งาน ในทิศทางที่ถูกต้อง ++
ลูกเอ๋ย.. ความจริงในพระพุทธศาสนา - เป็นสิ่งที่ผู้ประพฤติปฏิบัติ
// ไม่สามารถปฏิเสธได้ ว่ามันมีอยู่จริง
// ไม่สามารถปกปิดได้ ว่ามันมีอยู่จริง
เพราะสิ่งที่เราทำ มันย่อมทำให้ปรากฏขึ้นได้ เป็นธรรมดา
แต่จงเห็นเป็นธรรมดา - จะได้ไม่เห็นว่าเป็น คุณวิเศษ
และจงให้ผู้อื่นเห็นว่า.. เป็นธรรมดาของการปฏิบัติ
- มันย่อมมีเครื่องมือเหล่านี้ เป็นปรกติอยู่แล้ว ++
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ลูกนั้น ได้รวบรวมไว้ ก็ดีแล้ว
จงหมั่นทบทวน ฝึกฝน ทบทวน ดูให้มันเห็นเป็นปรกติไป
แล้วทุกอย่าง- ก็จะไม่วิเศษอะไรสำหรับลูกเลย..
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจ และรวบรวมจากธรรมะ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนมา
เพราะลูกคิดว่า ถ้าเกิดแบ่งแยกกันไป แยกกันมา มันจะดูเยอะ ดูไม่เข้าใจ ดูสับสน
ดูไม่รู้ว่า มันมีอะไรบ้าง
แต่ถ้าเรารวมกัน มาเป็นหมวดเดียวกัน มาเป็นแบบนี้ บุคคลผู้จะไปนิพพาน เขาดูปุ๊บ
.. เขาก็จะรู้แล้วว่า
มีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา
มีการรู้ ในการทำอาสวะให้สิ้นไป
ระลึกชาติได้
รู้จุติ อุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
มีตาทิพย์ หูทิพย์
แสดงฤทธิ์ได้
ทายใจผู้อื่นได้
ขยายธรรมให้ยาวได้ สรุปสั้นได้
ใช้คำพูดที่เหมาะสม กับเหตุการณ์ ชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ รู้ตามได้
-- สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องปรกติ ที่มันมีอยู่ในหนทางของการปฏิบัติ..
ก็จะสามารถรู้ และเข้าใจ นำมาใช้งานได้ ...
วันนี้ คงต้องกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ..
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 7 มิถุนายน 2561
ตอนที่ 350 **สติปัฏฐาน 4**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
นอกเหนือจากเครื่องช่วยการชำระกิเลส เครื่องช่วยที่จะนำพาให้เราไปสู่พระนิพพาน คือศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา กับคุณวิเศษต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
ที่พอจะช่วย หรือเป็น เครื่องช่วยให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ได้อาศัยเพื่อไปสู่พระนิพพาน
ยังมีอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น หรือเปล่าเจ้าคะ..
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อดวงจิตทั้งหลายได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โดย..
อาศัย ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
อาศัย สิ่งที่โลก เรียกว่า คุณวิเศษต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
... หรือเครื่องช่วยในการชำระกิเลสต่างๆเหล่านั้น..
เมื่อได้อาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ช่วยตน จนเข้าถึงระดับที่จิตของตนนั้น..
มีพลังที่มากพอ - มากพอที่จะนำเอา..
* พลังของสมาธิ
* พลังของความสงบ
* พลังแห่งสติและปัญญา
* พลังแห่งความรู้แจ้งเหล่านั้น
- มาพิจารณาถอดถอน - เพื่อที่จะได้พาตนเข้าสู่พระนิพพาน อย่างแท้จริง ++
จิตทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะประพฤติปฏิบัติตน ดังต่อไปนี้ คือ..
จะนำเอากำลังเหล่านั้น มาพิจารณาให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
- ในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่มีอยู่ในตน.. เพื่อถอดถอนกิเลสให้สิ้นไป อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดวงจิตทั้งหลาย ผู้ที่จะเข้าสู่พระนิพพานนั้น
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้
เมื่อผ่านขั้นตอนเหล่านี้แล้ว จึงสามารถบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ได้
บุคคลผู้ใดก็ตาม.. ที่ยังมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้
บุคคลผู้นั้น.. ต่อให้จะมีคุณวิเศษมากเพียงใด - ย่อมไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน
อาจเป็นผู้หลงอยู่ ติดอยู่ ในความดีใดความดีหนึ่ง ที่เป็นความดีอย่างละเอียดประณีต
-- แต่อยู่ในวัฏสงสารนี้ - ไม่อาจที่จะดับการเกิดแห่งตนได้ ++
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มต้นในการทำความดี โดยอาศัย ศีล ธรรม สมาธิและปัญญา
จนเรานั้นเกิดคุณวิเศษต่างๆ - ซึ่งเป็นเครื่องช่วยในการชำระกิเลส
เราจึงอาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาพิจารณาให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
ถึงสิ่งที่มีอยู่ในเรา ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ก็คือการพิจารณา ดูกาย
เมื่อดูกายแล้ว ก็ต้องดู กายในกาย อีกทีหนึ่ง
ถอดถอน สิ่งที่เรียกว่ากายนั้นให้ได้
ถอดถอน สิ่งที่เรียกว่ากายนั้น ให้รู้ ให้เห็นตามความเป็นจริง
รวมถึงจะต้องพิจารณาให้เห็น เวทนา
- เวทนาที่อยู่ในกาย // เวทนาที่อยู่ในจิต -
จะต้องพิจารณาให้เห็น ความสุข ความทุกข์- ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึก
ของทั้งกายและจิต ให้ลึกเข้าไปให้ถึงที่สุด
ให้เห็นแจ้ง เห็นชัด เวทนาในกาย / เวทนาในจิต
ถอดถอน ให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวใช่ตน / ไม่ใช่เรา ใช่ของของเรา
นอกจากนั้นแล้ว ยังคงต้องพิจารณาให้ลึก
ถอดถอนความมีตัว มีตน มีที่ตั้งแห่ง จิต
ถอดถอนจิตนั้น
/ ให้อยู่เหนือ ความมี และความไม่มี
/ ให้จิตนั้นมีพลังที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
มี คือไม่มี
มีนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก มี หรือไม่มีเลย
-- คือ จิตนั้น จะว่างเว้นจากการยึดถือว่า มี หรือยึดถือว่า ไม่มี ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเราพิจารณาจนเห็นจิตที่อยู่เหนือความมีหรือความไม่มีแล้ว
ก็พิจารณาให้เห็นอีก เห็นธรรม
ธรรม คือ ความจริงที่องค์พระพุทธเจ้าได้ชี้บอกเอาไว้
ธรรม คือ ความจริงที่มันมีอยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต
เห็นแจ้งตามความเป็นจริงชัดเจนแก่ตัวของเรา - ที่สมมุติว่าเป็นตัว
เป็นความรู้สึกที่มี ที่เข้าใจ
.. แล้วก็วางความรู้สึกเหล่านั้น - จนไม่ยึดถือสิ่งใด
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือเครื่องช่วยในการชำระกิเลส - ในอีกขั้นตอนหนึ่ง *
ที่ทุกดวงจิต จะต้องเข้าไปถึงจุดตรงนี้ - หากว่าจิตทั้งหลายเหล่านั้นต้องการที่จะไปสู่พระนิพพาน
พระยาธรรมเอ๋ย.. ขั้นตอนนี้ จึงเป็น ขั้นตอนสุดท้าย
และเป็นขั้นตอนแห่งการพิจารณาที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก
ซึ่งจะต้องอาศัย กำลังของสมาธิที่สูง / กำลังของจิตที่อยู่ในกรอบของศีล
... จนจิตนั้น เป็นภูมิจิตที่อยู่ในที่ที่สูง *
/ จะต้องอาศัยการเข้าใจในธรรม
/ อาศัยปัญญาที่มาก
/ จะต้องอาศัยคุณวิเศษที่ตนมี ในบางประการ หรือทั้งหมดที่มี มีทั้งหมดทุกข้อ
/ อาศัยสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ เข้าช่วย จึงสามารถที่จะเข้าใจ
พระยาธรรมเอย..
บุคคลผู้ใดก็ตาม.. ที่ไม่สามารถที่จะทรงกำลังของ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญาอย่างแท้จริง
บุคคลผู้นั้น.. ต่อให้จะได้ยิน ได้ฟังเรื่องของการ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา จิตและธรรม
- ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ลูก เพราะ..
// มันเป็นเรื่องของพระอริยะเจ้า
// มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
// มันเป็นเรื่องที่รู้เห็น เข้าใจได้ เฉพาะตนเท่านั้น
บางที การที่เราได้ยินคำพูดคำหนึ่ง ซึ่งเป็นคำพูดง่ายๆ
แต่คำพูดคำนั้น ก็สามารถที่จะตีความหมายไปได้หลายรูปแบบ - ตามระดับภูมิจิตแต่ละภูมิ
เช่น ถ้าเกิดว่า บุคคลผู้ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง
ในเรื่องของการพิจารณาดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม
ฟังดูแล้วเข้าใจ เพียงแค่ชั้นเดียว
กาย ก็คือ กายนี่ละ
เวทนา ก็คือ การรับรู้สุขทุกข์นี่ละ
จิต ก็คือ จิตนี่ละ
ธรรม ก็คือ ธรรมนี่ละ
อาจจะเข้าใจแบบระดับชั้นต้น เข้าใจเพียงชั้นเดียว - ไม่อาจที่จะเข้าถึง การแตกฉานอย่างแท้จริง
- ตนจึงตีความไปตามที่ตนนั้นเข้าใจ ว่า..
ธรรม คือ ธรรม
กาย ก็คือ กาย
จิต ก็คือ จิต
เวทนา ก็คือ เวทนา
... ก็เลยตีความหมาย เข้าใจแบบที่ตนคิด / แบบที่ภูมิจิตแห่งตนนั้น ทรงความรู้อยู่เพียงเท่านั้น..
คือเข้าใจแบบหยาบๆ - จึงเอามาเปรียบเทียบในเรื่องของความหยาบ
-- แล้วก็เลยตัดสินว่า.. เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
พระยาธรรมเอ๋ย.. แต่หากว่า ตนนั้นเป็นบุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึง..
การพิจารณากาย การพิจารณาเวทนา จิต หรือธรรม - ด้วยการเป็นพระอริยะเจ้า
เป็นผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว ในส่วนหนึ่ง...
คือ จิตนั้นสามารถเข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน *
พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตที่มีสภาวธรรมสูงเช่นนั้น - ย่อม
มีปัญญา
มีสิ่งที่จะช่วยให้พิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริง- สิ่งที่ละเอียดลึกเข้าไปอีก
เช่น เห็นกาย เห็นทั้งกายนอก และกายใน - กายที่ซ้อนในกายอีกทีหนึ่ง
เช่น พิจารณาเห็นเวทนา ย่อมเห็นทั้งเวทนาที่หยาบ - และละเอียดเข้าไป
พิจารณาดูจิต ย่อมรู้และเข้าใจในเรื่องของจิต ว่าจิต มีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน
ให้อยู่เหนือทั้งความมีและความไม่มีนั้น - ย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี
เช่น พิจารณาธรรม ย่อมเข้าใจว่า ธรรมนั้น หมายถึง ธรรมในระดับของธรรมที่หยาบ
- หรือธรรมที่ละเอียดลึกเข้าไป ..
จนทะลุแจ่มแจ้ง
จนเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า เรา
ในตัวในตนของเรา
ในตัวในตนของบุคคลผู้อื่น หรือสิ่งอื่น ได้อย่างชัดเจน
-- จนรู้แจ้ง ถอนรากถอนโคนของการเกิดจนได้.. เพราะตนเป็นผู้รู้ตื่น อย่างแท้จริงแล้ว …
--ไม่ใช่การตีความ - ตามความเข้าใจแห่งตน ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรื่องของการประพฤติปฏิบัติ นะลูก
มันมีทั้งแบบที่หยาบ กลาง และปลาย คือ ละเอียดมาก
บางทีเราประพฤติปฏิบัติ เข้าใจธรรมในขั้นต้น
- เกิดความลุ่มหลง ว่าเรารู้แล้ว เข้าใจแล้ว..
แต่เมื่อเราประพฤติปฏิบัติลึกเข้าไป..
-- ยังมีธรรมที่ละเอียด ที่ซ้อนลึกเข้าไปเรื่อยๆ อีกมากมาย ++
ฉะนั้น.. เราจึงควรที่จะประพฤติปฏิบัติ ให้ตนนั้นเข้าถึง เข้าใจอย่างแท้จริง
เมื่อเข้าถึงเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว.. เราจะได้ไม่หลงว่า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว
.. เพราะการที่ปฏิบัติจนเข้าถึงอย่างแท้จริง - มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งนัก ++
จึงฝากธรรมนี้ ไว้ให้ลูกนั้นได้นำไปเผยแผ่ เพื่อที่จะเปิดทางให้กับดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้ที่เข้ามาฟังธรรมนี้แล้ว
- อาจจะรู้สึกว่า ไม่ถูกต้องตามที่ตนรู้
- อาจจะรู้สึกว่า ตนรู้แล้ว เข้าใจแล้ว
พระยาธรรมเอ๋ย..
เรื่องของ พระธรรม
เรื่องของ การประพฤติปฏิบัติ
เรื่องของ หนทางที่จะไปสู่พระนิพพานนั้น
มันเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน และรู้ได้อย่างแท้จริง จากการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น
อาจจะเกิดการถกเถียงกันขึ้นมา..
- เมื่อได้ยินได้ฟังในเรื่องของ การพิจารณากาย จิต เวทนาและธรรม
อาจจะเกิดการถกเถียง..
- ตามความเข้าใจของระดับภูมิจิตภูมิธรรม ของแต่ละคนที่ประพฤติปฏิบัติกัน
แต่ลูกเอ๋ย.. ความจริง ก็คือ ความจริง ความจริง คือ ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะ..
สามารถเห็นธรรมที่ซ้อนธรรม
เห็นสิ่งที่มันซ่อนมันซ้อนละเอียดลึกเข้าไป คือความเป็นจริง
บุคคลผู้ที่ถึงแล้ว ซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ จะเป็นบุคคลผู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริงเท่านั้น **
ไม่ใช่บุคคลผู้ที่เคยได้ยิน เคยผ่านหู ผ่านตา เคยท่องเคยจำเอาไว้
ไม่ใช่ลูก.. ต้องประพฤติปฏิบัติ ให้เข้าถึง
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. เรื่องของการพิจารณากาย เวทนา จิตและธรรมนั้น - จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ฉะนั้นลูก.. จงตั้งใจศึกษาธรรมเหล่านี้ ให้ดี ให้ละเอียดอ่อนอย่างที่สุด
เพื่อประโยชน์แก่ดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
.. แล้วเอาความจริงไปพูดกันเถิด..
อย่ามัวแต่เอาสิ่งที่คิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว ตามความคิดเห็นแห่งตน
- มานำพาตนให้หลงอยู่ในความรู้แล้ว เข้าใจแล้ว.. เหล่านั้นเลย !
พระยาธรรมเอ๋ย.. เครื่องช่วยในการชำระกิเลสนั้น..
มีสิ่งที่ให้ลูกนั้นได้พากันประพฤติปฏิบัติ ขั้นต้น
คือ ศีล ธรรม สมาธิและปัญญา
รวมถึงคุณวิเศษต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านั้น
.. มีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งเป็นขั้นต้น ขั้นตอนต่างๆในการประพฤติปฏิบัติ ลูก
ทำให้ได้ ทำให้เข้าถึง ทำให้ได้กำลังจากสิ่งเหล่านี้
แล้วก็ค่อยเอากำลังจากสิ่งเหล่านี้ มาพิจารณา
เรื่องของกาย เรื่องของ เวทนา เรื่องของจิต ของธรรม
ที่รวมอยู่ในหมวดของการมีสติระลึกรู้ ตามความเป็นจริง ในสิ่งที่เรียกว่า เรา
-- เพื่อถอดถอนตัวเรา ดับเราให้สิ้นจากการเกิด ++
- ไม่ให้เราเกิดอีกต่อไป..
พระยาธรรมเอ๋ย.. และการพิจารณาดูกาย ดูจิต ดูธรรม ดูเวทนา นั้นมันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
วันนี้ก็ทำความเข้าใจเอาไว้ก่อนนะลูก
แล้วจะค่อยๆอธิบาย เป็นแต่ละขั้น แต่ละตอน แต่ละหัวข้อ ในการพิจารณา
เช่น การพิจารณากาย นั้น..
มีวิธีในการพิจารณาแบบไหน
มีกี่แบบในการพิจารณา
เราต้องพิจารณาแบบไหนบ้าง
การพิจารณาดู จิต ดูเวทนาหรือธรรม ก็เช่นเดียวกัน..
... ต้องค่อยๆศึกษาไป ทีละขั้นทีละตอน ทีละแบบ - ให้เข้าใจ เข้าถึงอย่างแท้จริงเถิด
ลูกเอ๋ย.. จงตั้งใจทำหน้าที่แห่งตนให้ดี
ดวงจิตอีกมากมายที่จะอาศัยธรรมเหล่านี้ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
วันนี้ แม้จะเป็นแค่วันที่ เพาะปลูก หว่านเมล็ด
ยังไม่ถึงวันที่ออกดอกออกผล
แต่สิ่งใดก็ตาม หากเราได้ทำไปแล้ว - สิ่งนั้นย่อมจะเจริญงอกงาม
ขอเพียงแค่ให้เราหว่านเมล็ดพืชที่ดีที่สุดเอาไว้
และดูแลมัน ตามเหตุและปัจจัยที่ควรจะเป็น..
ถึงเวลา.. ผลก็ย่อมออกมาเองละ ++
พอจะเข้าใจแล้วหรือยัง.. พระยาธรรมเอย
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้
ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ และนำไปเผยแผ่
วันนี้ พระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องของการมีสติ อยู่กับ กาย เวทนา จิต และธรรม
ให้เข้าใจสภาวธรรมความละเอียดของการพิจารณา
เข้าใจว่า เราต้องอาศัย ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา
และเครื่องช่วยในการขัดเกลากิเลสต่างๆ
- อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นกำลังในการพิจารณา...
ดวงจิตทั้งหลายผู้ที่จะไปสู่พระนิพพาน - ต้องผ่านการพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม
บุคคลผู้ที่ฟัง บุคคลผู้ที่เคยได้ยินเฉยๆ แต่ไม่ปฏิบัติ ท่องเอา จำเอา
-- จะไม่สามารถเข้าใจ เข้าถึง ธรรมที่ซ้อนธรรม
- เข้าถึงความละเอียดที่ซ้อนอยู่ - ในสิ่งที่มันมีมันเป็นอยู่ ++
ฉะนั้น.. ทุกคนจึงควรที่จะปรับจิตปรับใจ ค่อยๆพิจารณา
ตามธรรม ที่พระพุทธองค์จะทรงเมตตาแสดงต่อไปนี้ คือการชี้ทาง
ในรูปแบบของการพิจารณา กาย จิต เวทนาและธรรม สิ่งเหล่านั้นอย่างละเอียด
.. พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วละเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ