พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 277 **อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงบางอย่างที่ลูกค่อนข้างสงสัยน่ะเจ้าค่ะ คือว่า ลูกรู้สึกว่า สิ่งที่ไม่ดี การทำความชั่ว หรือทางที่มืด สิ่งเหล่านั้นมันแข็งแรง แข็งแกร่ง แม้แต่ความดื้อด้าน พลังแห่งทิฐิ อัตตาตัวตน สิ่งเหล่านี้ บางทีมันมีคลื่นพลังที่แข็งมากเลยเจ้าค่ะ
ทีนี้ลูกเลยสงสัยว่า การทำความดีส่วนใหญ่แล้ว..จะเป็นสิ่งที่นิ่มนวล ความดี ก็คือ สิ่งที่อ่อนโยน
เช่น ถ้าใครที่ทำความดี คิดดี หวังดี.. เขาก็จะมีความเมตตา แล้วก็มีสิ่งที่อ่อนโยนอยู่ในจิตใจของเขา
ฉะนั้น.. ลูกจึงคิดว่า ความดีที่จะต้องชนะความชั่ว หรือสิ่งไม่ดีเหล่านั้น..
มันจะต้องเป็นความดีแบบไหน ต้องเป็นความดีที่แข็งแรง แข็งแกร่งมาก อย่างนั้นหรือเปล่า
แล้วจะทำยังไงให้ความดีนั้นมันแข็งแรง แข็งแกร่งพอ ที่จะสามารถเอาชนะสิ่งชั่วร้ายได้ น่ะเจ้าค่ะ ?
เพราะว่าบางครั้ง หนูก็เห็นว่า ถ้าเกิดคนดีเจอคนไม่ดีกระทำ คนไม่ดีเขาจะมีพลังไม่ดี ที่แข็งมาก
คนดีก็จะตกอยู่ในที่ที่ลำบาก เพราะความดีนั้น มันเป็นการอ่อนโยน ต้องให้อภัย ต้องเมตตา
บางทีว่าเขาไปแล้ว ก็ต้องกลับมาทุกข์อีก อะไรอย่างนี้น่ะเจ้าค่ะ
เราจะทำความดีแบบไหน จะได้ชนะความชั่ว ?
จะทำความดีแบบไหน จะได้แข็งแกร่งพอ ที่จะไปรบกับความชั่วได้ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกฟัง ทำความเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็ลองพิจารณาตามนี้ดู
ลูกเอ๋ย.. นั่งหลับตา ผ่อนคลายจิตใจของตน ให้เบา ให้ว่าง ให้สงบ ให้สบายเสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ ทำจิตของตนให้นิ่ง ทำให้ว่าง ให้โล่ง
ปรับคลื่นกระแสที่มันว้าวุ่น วุ่นวาย ทิ้งไปลูก
เหลือเพียงแต่กาย ที่นั่งนิ่งๆ
เหลือเพียงแต่ดวงจิต ที่เป็นดวงแก้ว สว่างไสว..อยู่ในศูนย์กลางกาย
ทำตัวให้เบาๆ คล้ายกับว่า ตนนั้นนั่งลอยอยู่กลางอากาศ
หายใจเข้า น้อมเอาพลังที่เย็น.. เข้าไปสู่จิตใจ
ผ่อนคลาย ปล่อยวางทุกอย่าง
แล้วก็ค่อยๆพิจารณาธรรมที่ถามมา.. ตามคำตอบที่จะได้ฟังต่อไปนี้ลูก..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดวงจิตทั้งหลายนั้น เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้ มานานหลายแสนภพชาติ บางชาติก็เกิดเป็นคน
บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์ เป็นเทวดา
บางชาติก็วนกลับไปสู่นรก
การเกิดหลายแสนภพชาติ ของแต่ละดวงจิตนั้น - ย่อมมีกรรมที่ก่อที่ทำเอาไว้มากมาย ++
บางคน เป็นคนที่เกิดมา มีพลังบุญที่เชื่อมต่อกับผู้คนมาก
มีพลังบาปที่ไปสร้างสร้างเวรกรรม เชื่อมต่อกับดวงจิตต่างๆทั้งหลายมาก - ก็ต้องมีวิบากกรรมมาก ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละดวงจิต.. เป็นธรรมดา
เมื่อถึงชาติใดชาติหนึ่ง หรือว่าชาติที่ตนรู้จักพระธรรมคำสอน แล้วก็ตั้งใจว่า จะสร้างความดี เพื่อที่จะไปสู่ทางพ้นทุกข์ ย่อมแน่นอนสิลูก ก็จะมีวิบากกรรมที่ตนนั้น เคยก่อเคยทำเอาไว้
...ส่งผลมากระทบ ให้ลูกนั้นจะต้องได้ชดใช้
และมันก็จะมาในรูปแบบต่างๆ - ตามที่ลูกแต่ละคนได้สร้างกรรมเอาไว้ในอดีต
กรรมวิบากเหล่านั้น.. ส่งผลมากระทบ ทดสอบว่าลูก ยังมั่นใจในความดีอยู่หรือเปล่า ?
-- มันก็เลยเป็นธรรมดา ที่เราทุกคนจะต้องเผชิญผ่านพ้นสิ่งที่ไม่ดี ให้ได้ !
พระยาธรรมเอ๋ย.. นั่นมาจากสาเหตุของบาปกรรม ที่ตนได้..
/ เคยก่อ เคยทำ
/ เคยขวางความดีของผู้อื่น
/ เคยสร้างเหตุของทุกข์ ให้กับผู้อื่น
/ เคยทำร้าย ทำลายผู้อื่นมา..
ถึงวันที่ตนคิดว่า จะเข้าสู่พระนิพพาน -- ตนเลยก็ต้องมาจ่ายหนี้.. ให้มันหมดเสีย
รวมถึง อีกมุมหนึ่ง.. ซึ่งถ้าเกิดว่าเรานั้น มีคนที่เกี่ยวข้องกับเรามามากมายเพียงใด
.. เราก็ต้องกลับมาใช้กรรมของเรา ในรูปแบบของกรรมดี
ก็คือ ต้องมาทำความดีต่างๆ คืนให้กับทุกดวงจิต ที่มีบุญสัมพันธ์กันมา
และย่อมแน่นอนว่า.. แต่ละคน แต่ละดวงจิต ต่างก็มีกรรมเป็นของของตน
.. มีกิเลสและตัณหา ครอบอีกทีหนึ่ง
ทีนี้ คนมาก - ก็วุ่นวายมาก
คนน้อย - ก็วุ่นวายน้อย
มีความทุกข์มากกอง.. มันก็เลยกลายเป็น คลื่นพลังทุกข์ที่มากหน่อย
มีความทุกข์น้อยกอง.. มันก็เลยกลายเป็นความทุกข์ ที่น้อยหน่อย
ตามเหตุตามปัจจัย นั่นละลูก
... มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น..
บางคน.. แรกๆมาก็ดี ดีทุกอย่าง
แต่พอถึงเวลาที่กรรมดีที่มีต่อกัน..หมดแล้ว
ถึงรอบที่ต้องชดใช้กรรมชั่ว ที่ลูกเคยไปกระทำกับเขาไว้.. เขาก็เลยหันทำความชั่วใส่ลูก
มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นละลูก
แล้วก็ยังมีสิ่งไม่ดี ที่มันเกิดขึ้นอีก ก็คือ เชื้อแห่งกิเลสตัณหา ของแต่ละบุคคล
ที่มารวมกันเอาไว้ ..มารวมกันเข้าไว้
คนนั้นอยากให้เป็นอย่างนั้น คนนี้ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
คนนั้นว่าถูก คนนี้ว่าไม่ถูก
คนนั้นว่าดี คนโน้นว่าไม่ดี
คลื่นแห่งกิเลสตัณหา ก็ยังส่งผลมา.. ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
มากระทบครอบงำการทำความดีอีก
อย่างนี้ละลูก มันมาหลายทิศหลายทาง หลายสาเหตุ
แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. หากว่าเรารู้เท่าทันมัน เราก็จะสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในความดีได้.. ลูกเอ๋ย
เช่น กรรมไม่ดีที่เราเคยก่อเคยทำ กับบุคคลผู้อื่น / ดวงจิตอื่น
ขวางความดีของเขา
สร้างเวรสร้างกรรมกับเขา
... เขาก็แค่มาทำหน้าที่ เคลียร์บิลของเขาให้มันหมด
ก็เราจะไปนิพพานแล้วไม่ใช่หรือ ?
-- เราก็จ่ายเขาไปให้มันหมดซะ --
บิลใดที่มันเป็นสิ่งที่ดี ที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกันมา
- เราก็จ่ายให้มันจบให้เขาไปซะ ให้มันจบไป ++
กิเลสตัณหาที่มันทับถมเข้ามา ดีบ้าง..ไม่ดีบ้าง..
สิ่งเหล่านั้น เราก็รู้ให้เท่าทันบ้าง ..มันเป็นปรกติของมันอย่างนั้นเอง
ดี ก็คือหลง ไม่ดี ก็คือหลง
เราก็แค่ยืนหยัดอยู่ในความดี แบบที่ว่า.. *ยอมถวายชีวิตนี้ ให้กับความดี*
ลูกเอ๋ย..
ทำความดี อย่างมีสติ
รู้เท่าทัน เหตุที่เกิด
ยึดหลักความดี
-- ทำอย่างนี้ละลูก.. เราก็จะสามารถที่จะทำความดีของเรา จนชนะสิ่งต่างๆทั้งหลายที่ไม่ดี ได้ลูก --
กรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา กรรมนั้นแปลว่า เราได้ก่อ ได้ทำเอาไว้แล้ว.. จงจ่ายไปเถิด
กรรมใดที่เป็นกรรมดี ที่เราควรจะทำ /ได้โอกาสที่จะทำ.. เราก็จงทำไปเถิด
ทำความดี ก็เพื่อชดใช้กรรมดี หรือว่า ชดใช้ ถอดถอน สิ่งที่มันสานต่อขึ้นมา ด้วยกรรมดี
คือ ตอบแทนคุณของผู้ที่เขาเคยทำดีกับเรา
ทำคืน ใช้คืน
จะได้หมดกรรมดี
จะได้ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร
กรรมชั่ว หรือสิ่งไม่ดีกระทบมา - ก็ชดใช้ไป
ยอมรับความเป็นจริง... ใช้ให้เขาไป ใช้ให้มันหมด
เราอดทน ทำเช่นนี้..
ไม่ย่อท้อต่อความดี
ยอมใช้ให้มันหมดไป
จิตของเราไม่สร้างกรรมเพิ่ม
ตั้งใจที่จะสร้างกรรมดี ละความชั่ว
ใครเขาจะว่าแบบไหน.. ก็แล้วแต่เขา
ใครเขาจะมองแบบไหน.. ก็แล้วแต่เขา
เราก็แค่ทำหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำไปจนถึงจุดหนึ่ง ที่จิตของเราสว่าง
จิตของเรามีพลังแห่งความรู้แจ้ง - ส่องให้ตัวของเรานั้น.. เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความจริง
เราก็จะมองเห็นอีกระดับหนึ่งว่า อะไรที่เกิด - อะไรที่ดับ ?
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง
เราก็จะไม่สุข ไม่ทุกข์.. อีกแล้ว
แล้วก็ทรงจิตของตน เห็นทุกข์ทั้งหลาย
เห็นสิ่งทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหล่านั้น.. เป็นธรรมดา
พระยาธรรมเอ๋ย.. การทำความดีนั้น ต้องใช้พลังที่เข้มแข็ง
- เข้มแข็งมาก ในการทำความดี
แต่การฝึกนั้น..ก็ไม่ยากอะไร ลูก
แค่ทำตนนั้น ให้ยอมรับ เข้าใจ.. ในเรื่องของ *กฎแห่งกรรม*
เราชดใช้ไป
สิ่งดี ก็-ใช้ไป / สิ่งไม่ดี- ก็ใช้ไป
และเราก็ทำตนให้ยอมรับความเป็นจริงว่า.. สิ่งใดที่มันจะเกิดขึ้นกับเรา
ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นไปตามเหตุของมัน
-- เราก็แค่ มีหน้าที่แค่ต้องทำความดีไปเรื่อยๆ ตามเหตุที่ดีนั้น ก็พอ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเราทำเหตุที่ดีแล้ว..
สิ่งที่ดี - ก็ย่อมต้องเกิดขึ้นกับเรา.. ลูกเอ๋ย
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ.. บางครั้ง เราคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น.. เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ดีที่สุดเลย
แต่ในความเป็นจริงนั้น.. ดีแล้วจริงหรือเปล่า ดีที่สุดจริงหรือเปล่า ?
หรือว่าเราคิดเอง เป็นมุมมองของเราเอง
... เราต้องไม่เข้าข้างตนเอง.. ลูกเอ๋ย
เราต้องหาความจริง ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ถูกกระทบอยู่
ความจริง - ที่มันแฝงมากับสิ่งไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้น.. แล้วค่อยหามันไปเรื่อยๆ
จนกว่าเราจะเจอเหตุว่า.. แท้ที่จริงแล้ว ยังติดอะไรอยู่ในเราอยู่..
มันก็เลยมีสิ่งเหล่านี้ กระทบเข้ามาในเรา
ทำไปเรื่อยๆ ลูก
ความชั่ว - เป็นสิ่งที่เข้มแข้ง
แต่เข้มแข็ง.. เพื่อที่จะเจียระไนให้ลูกนั้นเป็นเพชรให้ได้ อย่างแท้จริง
ถ้าไม่มีสิ่งที่เข้ามากระทบ..
ลูกนั้น ก็จะไม่รู้ว่า ลูกยังติดอะไรอยู่หรือเปล่า ?
ฉะนั้น.. ยิ่งเราประกาศไปสู่พระนิพพาน ก็จะยิ่งมีสิ่ง..
กระทบมา หลายรูปแบบ
กระทบมา หลายทิศหลายทาง
กระทบจนกว่า.. ลูกนั้น จะเป็นผู้ที่บรรลุนิพพานอย่างแท้จริง
- ดับอัตตาตัวตน
- รู้แจ้ง เข้าใจ ในทุกสิ่ง
- ดวงจิตของลูกสว่างไสว
... ไม่มีสิ่งใดกระทบได้อีก อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น.. บุคคล ผู้ที่ตั้งใจว่าจะไปสู่พระนิพพาน ผู้ที่ตั้งใจทำความดีทั้งหลาย..
จงพิจารณาให้เห็น เหตุที่มันเกิดขึ้นกับตน..
จากวิบากกรรม ที่ตนเคยก่อ
จากบุญสัมพันธ์ที่เคยมี ชดใช้กรรมที่ไม่ดี
แล้วก็ชดใช้กรรมดี.. ที่บุคคลผู้อื่นเคยมีกับตนมา ให้มันจบ ให้มันหมด
แล้วก็มองให้เห็นว่า มันเป็นธรรมดา.. ที่กิเลสตัณหาในโลก จะเข้ามาทดสอบเรา
แล้วก็มองให้เห็น ให้ลึก ถึงกิเลสที่อยู่ในตัวเรา..
ไม่เป็นไรหรอกลูก..
กรรมชั่วมา.. เพื่อล้างกรรมชั่ว ลูกเอ๋ย
กรรมดีมา.. เพื่อล้างบุญคุณ หรือว่าบุญสัมพันธ์ สิ่งที่ดี ที่มีต่อกัน
- เพื่อดับกรรมชั่ว ในตัวเรา
- เพื่อดับกรรมดี ในตัวเรา
และกิเลสตัณหา ที่มันกระทบเข้ามา ก็ผ่านมา กระทบมา
- เพื่อดับกิเลสตัณหา ในตัวเรา
ฉะนั้น.. จงอย่ากลัว !
อย่ากลัวต่อสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะมีพลังที่เข้มแข็งยังไง
-- ความดีของเรา ต้องเข้มแข็งยิ่งกว่า **
และพลังที่จะเติม ก็แค่รู้เท่าทัน ยึดหลักการทำความดี
จนกว่าวันหนึ่ง.. ที่ดวงจิตของลูก มีพลังมากพอ เข้าใจทุกสิ่ง ..
เมื่อนั้นละลูก..
มันจะไม่ใช่ความอดทน
มันจะไม่ใช่ความดี- ที่จะต้องเข้มแข็ง
แต่มันจะกลายเป็นความดี
/ ที่ดีแล้ว
/ ดีแบบไม่ต้องอดทน
/ ดีแบบไม่ต้องพยายามเข้มแข็ง
/ ดีแบบบริสุทธิ์
/ ดีแบบรู้แจ้งในทุกอย่าง
กรรมวิบากไม่มี ไม่มีอะไรส่งผลมาหาเรา
เราก็ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร ไม่ต้องไปตอบแทนใครอีกแล้ว
... จบกิจทุกอย่าง ในดวงจิตของเรา
กิเลสตัณหา ช่วยกระทบ กระแทกเรา จนขัดเกลากิเลสตัณหาในตัวเรา.. จนหมดแล้ว
เราจึงเป็นผู้รู้แจ้ง เข้าใจสรรพสิ่งทั้งหลายได้ เป็นอย่างดี
จะเห็นเป็นธรรมดา.. อย่างนั้นเอง
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
บุคคล ผู้ที่เขานั้น สามารถเอาชนะคลื่นพลังแห่งความชั่วร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายได้
เขาเอาชนะด้วยการ รู้เท่าทัน ยืนหยัดในการทำความดี
* จนถึงวันหนึ่ง ที่ความดีของเขา เป็นความดีที่สว่างรู้แจ้ง..
* จนถึงวันนั้นแหละลูก.. เขาจะอยู่เหนือทุกข์ เขาจะอยู่เหนือกิเลสตัณหา
* จนถึงวันนั้นละลูก.. เขาจึงจะไปสู่พระนิพพานได้
ฉะนั้น..
จงอย่าอ่อนแอ
อย่าพ่ายแพ้ต่อกรรม ที่ตนต้องชดใช้
อย่าพ่ายแพ้ต่อกรรมดีที่ตนต้องทำ ทำไปเถิด..ลูกเอ๋ย
อย่าพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา ที่มันพยายามกระทบเข้ามา
- เพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา ในตัวของลูก
จงถอดถอน ทุกสิ่งที่มันเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
- ด้วยสิ่งที่มันกระทบเข้ามาเหล่านี้ละลูก..
จนเราสลายตัวตนของเราได้เมื่อไร..
-- เมื่อนั้นละลูก เราก็จะสามารถมีความดี.. ที่ชนะความชั่ว อย่างถาวร **
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
นำไปพิจารณา ประพฤติ ปฏิบัติตาม
ลูกพอเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ.. ว่าเราต้องทำดีอย่างเดียว ++
ส่วนสิ่งที่กระทบเข้ามา เป็นสิ่งที่ให้เราใช้กรรมดี / กรรมชั่ว
ทำให้เราฝึกฝนขัดเกลากิเลส ที่อยู่ในตัวเราออกเสียให้หมด
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
จะพยายามตั้งใจทำความดี อย่างที่พระองค์ทรงเมตตาสอนลูก เจ้าค่ะ
จะไม่มัวแต่โทษวิบากกรรม โทษกิเลสตัณหา โทษสิ่งภายนอกอีกต่อไป..
จะเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. มาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ตน
ให้ตนถึงซึ่ง *ความดีอันสูงสุด*
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ