การเจริญปัญญา จะเริ่มเกิดเมื่อเราแยกกายแยกใจได้ การเกิดจะเกิดขึ้นเองไม่ใช่ไปบังคับให้เกิด การที่เรารู้สึกตัวอยู่กับกายใจเราไปเรื่อยๆ จะทําให้เราเห็นกายเราแยกออกจากใจ เวลาเห็นจะเห็นกายเหมือนเป็นท่อนๆหรือเป็นหุ่น โดยมีใจเป็นผู้ดูกาย แยกออกไปจากกาย กายส่วนกาย ใจส่วนใจ (คนที่เห็นได้แรกๆมักจะสังเกตุไม่ออก)
หลังจากเราเห็นตรงนี้แล้ว จะทําให้เราเห็นความจริงของกาย ของใจ ชัดเจนขึ้น การเห็นตรงนี้จะเห็นได้เมื่อจิตตั้งมั่นว่างๆไม่ปรุงแต่งไม่คิดอะไร เป็นวิปัสสนาญาณหรือปัญญาญาณนั้นเอง รู้ในวิชชา เพื่อไปค่อยๆละอวิชชาในแต่ละเรื่อง และเป็นการเข้าไปเห็นไตรลักษณ์ในขณะดําเนินชีวิตประจําวัน
ให้อยู่กับความรู้สึกตัว " พอจะคิดปุ๊บ ให้รู้สึกตัว ให้มันชิน จนเป็นสันดาน " แรกๆมันจะเผลอ ไม่เป็นไร เผลอก็ให้รู้ว่าเผลอ นั้นหล่ะ รู้ว่าเผลอคือรู้สึกตัวแล้ว
แล้วเวลาที่เราเห็นใจเราขยับ หลงเข้าไปยึดความคิดอารมณ์ เทคนิคที่ผมใช้นะ ผมจะบอกตัวเองว่าใจเราโง่อีกแล้ว ที่หลงเข้าไปยึด แค่ตรงที่รู้ตัว ว่าหลงเข้าไปยึด นั้นรู้สึกตัวแล้ว " ทุกครั้งที่ใจเราเข้าไปยึด บอกตัวเองเราโง่แล้ว ไม่ว่าร้ายหรือดี " ใจเราจะปกติมากขึ้นอัตโนมัติ เกิด สติ สมาธิ ปัญญา มรรค ครบที่ใจเป็นปกติ
ทําอย่างนี้อย่างจริงจัง จะปล่อยผู้กระทําออก เป็นธรรมที่เข้าถึงระดับจิตใจ
เพิ่มเติมว่า
ในส่วนที่บอกว่าใจเราโง่อีกแล้ว ไม่ได้คิด เพื่อจะบอก แต่สิ่งที่ปรากฏ ใจมันสอนเรา จะเห็นเอง ว่าการที่เราเผลอเข้าไปยึด หรือแม้แต่เพียงแค่ส่งใจออกไป เป็นความโง่ของเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมากระทําเรา พอใจมันรู้อย่างนี้ ใจมันบอกตัวเอง ว่าเรานี้โง่เหลือหลาย แค่พอจิตจะขยับเข้าไปยึด ใจมันก็บอกแล้ว ว่าโง่อีกแล้ว (ไม่มีความคิด) " จิตอบรมจิต จิตสอนจิต " แต่เริ่มต้นตอนแรกๆ มันจะยังไปบอกเองหรอกว่าโง่ และมันจะเป็นการที่เข้าไปคิดบอกมากกว่า แต่การเหนี่ยวนําตรงนี้เอาไว้บ่อยๆ อีกหน่อย ใจมันจะบอกได้เองอัตโนมัติเลย ว่าใจเราโง่อีกแล้ว " เริ่มด้วยความคิด แต่สุดท้ายมันจะเหลือแต่ใจเราที่บอกเราเอง "
ต้องใช้เวลาสะสม ให้ชิน ชีวิตนี้เผลอปล่อยใจมาตั้งแต่เกิด ยังไม่นับรวมอดีตชาติ ผ่านวันเวลามาตั้งเท่าไหร่ การที่เราจะมารู้ทัน แล้วเราปล่อยออกได้เลยนั้น ย่อมต้องใช้เวลาสะสมกําลังสติ
สติก็เหมือนเบรค ที่ใช้กํากับใจเรา ถ้าเบรคดีมีกําลังมาก ใจเราก็หยุด ส่งออกไปยึดเรื่องราวต่างๆ หมดยึดก็หมดภพชาติ แล้วเรื่องยาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับความผูกพันกัน อันนี้ที่ละยากมาก เพราะพันกันมากี่ชาติก็ไม่รู้อีก
ผลัดกันเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั้งร้ายและดี จึงต้องหมั่นรู้สึกตัว สะสมกําลังเบรค ให้สติมีกําลังมาก
หัวใจของวิปัสสนานั้น ผมกำลังจะบอกว่า...
"จับความรู้สึกตัวสดๆบนฐานของการเคลื่อนไหวทางกาย และดูความคิด"
สองสามประโยคดูมากความ แต่ถ้าปฎิบัติเป็นขั้นตอนแล้วจะรู้ว่า เมื่อรู้สึกตัวได้ดี จะดูความคิดเอง พอจิตเริ่มปรุงแต่งมันจะรู้ บางทีมันปรุงสามสี่เรื่อง พอรู้ มันหยุด ลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ดูจิตใจ ดูความคิดก็ไม่มีอะไรให้ดู มันเงียบไปเลย แต่พอเราเผลอๆ มันก็คิดเท่านั้น
ขณะนี้ฟังผมพูด เป็นความคิดทั้งนั้น มันทำงาน อุปมาเหมือนภาพยนตร์ เมื่อเราดูเรื่องที่ฉายบนจอ เราเข้าไปในเนื้อเรื่องเลย เรามีแต่อารมณ์ สุข โศก กลัว รัก ไปตามท้องเรื่องโดยไม่เห็นจอ ทั้งๆที่เรื่องดำเนินไปบนจอ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเข้าไปในความคิด เราจะไม่รู้จักความคิด
แต่สมมติว่า เราไม่ได้ดูเนื้อเรื่อง เราค่อยๆทวนลำแสงสวนทางไปในทาง ที่เครื่องฉายทำงาน ในที่สุดเราจะเห็นเหตุ เรื่องทั้งหมดออกมาจากเครื่องนี้ เมื่อเราคุ้นเข้าๆ เราก็จะเห็นเบื้องหลังของเครื่องฉายเครื่องนั้นด้วย ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถเล็ดลอดออกจากวังวนของความเวียนว่ายตายเกิดได้
สรุปว่า..ความทุกข์ทรมานของมนุษย์เรา ไม่ว่าโดยอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เกิดจากสภาพไม่รู้จักตัวเองให้ถึงแก่น ไม่รู้ถึงพลังความสามารถต่างๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ ไม่เปิดเผยความจริงในส่วนลึกจนกระทั่งทะลุปรุโปร่งในตัวเอง..
ท่านเขมานันทะ (อ.โกวิท เอนกชัย)
จากหนังสือ "รุ่งอรุณแห่งความรู้สึกตัว"
จิตที่เป็นสุข ไม่เพ่ง ไม่เกร็ง จะนําพาให้สมาธิเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่าทุกข์กับสมาธิ ยกเว้นว่าคุณจะเพียรขันติบารมี ซึ่งแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
แอดมินลองมาแล้วโดยเพียรขันติจนเอาชนะความเจ็บปวดสังขารได้ในที่สุด จนตอนหลังสมาธิที่พัฒนาขึ้น จนกายเบาแยกรูปแยกนามความเจ็บปวดกายจึงไม่มีอีก
สุดท้าย แอดมินก็ยังเห็นว่า นั่งสมาธิสบายๆแบบไม่ต้องไปนั่งสมาธิทรมาน สมาธิจะก้าวหน้าได้ไวได้ดีกว่า ดังนั้นใครที่นั่งขัดสมาธิแล้วนั่งได้ไม่นาน ให้เปลี่ยนมานั่งท่าที่ตนเองสบายเลย แต่ขอให้นั่งแล้วใจนิ่งไม่สัดส่ายไปไหน รู้สึกตัวกับลมหายใจของตนเองให้ได้ละกัน จุดสําคัญคือ ใจที่มีสติรู้สึกตัวนิ่งสงบ ถ้าใจไม่นิ่งไม่สงบไม่รู้สึกตัว จะไม่เป็นสมาธิ มันแค่เป็นการนั่งทนหรือนั่งทรมานตนเอง ใจไหลไปอยู่กับ เวทนา อารมณ์ ความคิด ตลอด
สมาธิไม่ได้อยู่ที่ท่าทาง แต่อยู่ที่การตั้งมั่นของจิตใจ ที่รู้ตัว
ความเผลอสติ ความไม่รู้สึกตัว
เป็นต้นเหตุของการเกิดทุกข์
เป็นสายโซ่ข้อหนึ่งทำหน้าที่เกาะเกี่ยว
กับเหตุปัจจัยอื่นๆ อีกหลายตัว
เช่น เมื่อเราเผลอสติ(อวิชชา)
สังขาร(การปรุงแต่ง)
วิญญาณ(การรับรู้)
นามรูป(ภาพในใจ)
สฬายตนะ(การเชื่อมต่อภาพภายในและภายนอก)
ผัสสะ(การกระทบกันระหว่างภาพทั้งสอง)
เวทนา(การเข้าไปรับรู้ภาพที่มากระทบ)
เกิดขึ้นตามลำดับ
เมื่อภาพเชื่อมต่อกัน
ขบวนการของทุกข์ยังไม่ครบวงจร
หากผู้ที่ฝึกฝนมาดี
มีความชำนาญในการตามรู้
จนถึงขั้นปรมัตถ์แล้ว
โอกาสที่จะเกิดสติ รู้เท่าทัน
และตามเห็นกระบวนการของอวิชชา
เป็นไปได้มาก
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติต้องศึกษา
ทบทวนประสบการณ์ตรงนี้บ่อยๆ
ทุกๆ ครั้งที่ความคิดเกิดขึ้น
อย่าพลาดโอกาสเลยทีเดียว
เพราะตรงนี้อาจกล่าวได้ว่า
เป็นหัวใจของการปฏิบัติวิปัสสนา
ที่สำคัญมากจุดหนึ่ง
Direk Saksith
แค่รู้สึกตัว ให้มาก ให้บ่อย เมื่อความรู้สึกตัวชัด จะทําให้จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมาแล้ว จะรู้ทัน รู้ทัน จึงปล่อยได้ ที่ไหลไปตามความคิดอารมณ์ เพราะรู้ไม่ทันกับไม่รู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัว อารมณ์ความคิดขณะนั้น แว่บนั้น จะหายไป ความเชื่อมต่อไม่มี ขาดออกจากใจเรา ที่นี้พอขาดแล้ว หากใจเราเลิกไปวิตกวิจารณ์ให้ค่าความหมายกับมันอีกก็จบ แต่หากยังไม่เลิก ก็จะส่งใจออกไปอีก ตรงจุดนี้ การรักษาใจไว้กับกาย เช่น ลมหายใจ หากทําอยู่เสมอ จะเข้ามาช่วยได้ในตอนนี้ นี้คือกระบวนการแห่งจิตใจ ที่มันวิ่งเป็น ปฏิจสมุปบาทในใจเรานั้นเอง "สติปัฏฐาน เป็นตัวมาตัดตรงนี้ ด้วย สติกํากับใจ"
...ตัวนึกคิดนี่แหละ คือสมุทัย
มรรค คือการเอาสติมาดูความคิด
# นี่คือข้อปฏิบัติ
ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด
และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป
# นี่คือการเห็นความคิด
คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย...
เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ
ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์
คิดปุ๊บ เห็นปั๊บ... อันนี้แหละ
คือระดับความคิดที่เรียกว่า "ปัญญา"
ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
# การเห็น # การรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
การรู้... คือการเข้าไปในการคิด และการคิด
ก็คงดำเนินต่อไป
เมื่อเราเห็นความคิด...
เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
กราบสาธุธรรมหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
"การมองทุกสรรพสิ่งที่เกิดบนโลก"
หากมองด้วยอวิชชา คือความไม่รู้จริง จะเห็นว่าทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพวิชชา จะมีความสำคัญทั้งหมด น่าอยากได้ใคร่ดี น่าเอา น่าเป็นไปเสียทั้งหมด ทุกศาสตร์ ทุกสิ่ง ทุกอิทธิปาฏิหาริย์มีความน่าสนใจ น่าค้นคว้า น่าจะหาเอามาเพื่อประดับอัตตาทั้งสิ้น เท่าไรก็ไม่พอ
หากมองด้วยวิชชา ด้วยปัญญาไตร่ตรองตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว จึงจะมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง มันเป็นของมันอย่างนั้นเองมานานแล้ว มันมีทุกอย่างอยู่ใน
กลไกของธรรมชาติ ฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์ มันมีมาเนิ่นนานควบคู่กับจักรวาลทั้งปวง มิใช่ของใหม่ใดๆ ผู้ที่มีความเข้าใจ ปฏิบัติถึงกลไกของธรรมชาติ ก็ย่อมเกิดฤทธิ์เดช เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นได้เสมอ ตั้งแต่ครั้งโบราณมาแล้ว ฤๅษี พราหมณ์ นักพรต เก่งกว่า ปาฏิหาริย์กว่า อิทธิฤทธิ์มากกว่าเราๆผู้มาทีหลังทั้งสิ้น
แต่พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นปาฎิหารย์ เหล่านั้นเป็นเรื่องไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เห็นเป็นโทษภัยของ"วัฎฎะ"เป็นสิ่งที่ควรละอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดอวิชชา ในอุปทานขันธ์5 ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
ทั้งปวง...ดังนั้นทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน เพียงแต่เราไปยึดใน"อุปทานขันธ์" หลงคิดว่าเป็นของจริงคือความแน่นอน ของทุกสรรพสิ่ง จึงต้องแบก"อุปทานขันธ์" อยู่ตลอดเวลา ทำให้วัฎฎะในตัวเราเวียนตาย เวียนเกิด อย่างไม่รู้จบสิ้น....
"จิตที่ได้รับการอบรมที่ถูกต้องแล้วปัญญา
ย่อมเกิดขึ้น จะมองดูอะไรก็เป็น“นิยายนิกธรรม"(ธรรมที่นําสัตว์ ออกจากทุกข์) ทั้งสิ้น
ผู้ไม่ได้รับการอบรมจิตที่ถูกต้อง ปัญญาแท้จริงก็ไม่เกิด แม้ผู้นั้นกำลังจับพระไตรปิฎกอ่านอยู่ก็ไม่เป็นผล ยิ่งทำให้เกิดความลังเลสงสัยตลอดไป ส่วนผู้มีปัญญาอบรมมาด้วย
จิตที่ถูกต้อง แม้จะไม่ต้องจับพระไตรปิฎก
แต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นธรรม เป็นยอดพระไตรปิฎกได้... "
--------------------
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ
สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา
ญาณ มี 7 อย่างคือ
บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้
จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร
เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์
อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์
ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร
อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด
ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด
อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง
เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่
อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้
ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง
จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ
เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ
อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง
ฌาน
ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน
ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่
วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก
ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)
สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์
เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์
ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์
ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้
ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง
อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มี
ลักษณะคนสงบ 16 อย่าง
บุคคลที่มีความสงบสำรวมมักเป็นผู้ที่มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ เพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีพลังงานด้านลบออกมาจากตัวตนของคนผู้นั้น
1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว
2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น
3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด
4. เป็นผู้ไม่ก่อความรำคาญ
5. เป็นผู้พูดด้วยปัญญา
6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
7. เป็นผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว
8. เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง
9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าเสมอกับเขา
11. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าวิเศษกว่าเขา
12. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าต่ำกว่าเขา
13. เป็นผู้ไม่มีโทษอันทำให้มืดมัวดุจฝ้า
14. เป็นผู้ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกว่าเป็นของตน
15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศกเพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป
16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติในธรรมทั้งหลาย
โอวาทหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
เมื่อมี"สติ" ความเพลินย่อมดับ
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง...
ภิกษุนั้น ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเสียง อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในเสียง อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง...
ภิกษุนั้น รู้สึกกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในกลิ่น อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในกลิ่น อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง...
ภิกษุนั้น ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรส อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในรส อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง...
ภิกษุนั้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกายแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในสัมผัสทางกาย อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในสัมผัสทางกาย อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง...
ภิกษุนั้น รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในธรรมารมณ์ อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในธรรมมารมณ์ อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง
เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว
มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย
ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลายด้วย
ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้ว ซึ่งความยินดี และความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ในเวทนานั้น ๆ เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ นันทิ (ความเพลิน) ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะฯ จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘.
ไม่อาจ ที่จะ หลุดพ้น ไปจากทุกข์ ผลเสียของ การปล่อยจิต ให้เพลินกับอารมณ์ ภิกษุทั้งหลาย !
ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน รูป ผู้นั้น เท่ากับ เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน เวทนา ผู้นั้น เท่ากับ เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน สัญญา ผู้นั้น เท่ากับ เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน สังขารทั้งหลาย ผู้นั้น เท่ากับ เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์...
ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน วิญญาณ ผู้นั้น เท่ากับ เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์
เรากล่าวว่า “ผู้ใด เพลิดเพลินอยู่ ใน สิ่งที่เป็นทุกข์ ผู้นั้น ย่อมไม่หลุดพ้น ไปได้จากทุกข์” ดังนี้.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๙/๖๔.
“วิญญาณ” มีสองอย่าง คือ “วิญญาณในขันธ์ห้า” และ “ปฏิสนธิวิญญาณ”
“ปฏิสนธิวิญญาณ” คือ “วิญญาณตัวมาเกิด” เป็นคนทีแรก
ส่วน “วิญญาณในขันธ์ห้า” หมายถึง “ความรู้ที่เกิดขึ้นเบื้องต้น” ของ “ผัสสะ” แล้วก็หายไป เช่น ตาเห็นรูป ตัว “ผู้รู้” นั้นเรียกว่า “วิญญาณ”
ต่อจากนั้น ตัว “สัญญา” ก็เข้ามาแทน มา “จำ” ได้ว่าเป็น รูปนั่นรูปนี่แล้ว “สัญญา” ก็ “ดับไป”
“สังขาร” ก็เข้ามา “ปรุงแต่งคิดนึก” ต่อไป
อัน “ความรู้” ว่าเป็น "รูปทีแรกนั่น" เรียกว่า “วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ห้า”
“ธรรมทั้งสี่” อย่างนี้ มันหากทำหน้าที่ ของสัตว์ผู้จะเกิดต่างหาก ผู้จะมาเกิดต้องมี "ธรรมสี่อย่าง" นี้สมบูรณ์จึง "จะเกิดได้"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
สติ รู้สึกนี้สําคัญที่สุด
หากเรามีสติรู้สึกตัว เราจะเจริญได้ ทั้งทางโลก เพราะ ใจเรารู้ว่าสิ่งใดควรทํา ไม่ควรทํา สุดท้ายส่งเป็นผลดีกับตัวเราในระยะยาว
ทางธรรม สติรู้สึกตัว เป็นเหมือนประตูที่จะก้าวเข้าสู่ธรรมในระดับสูงขึ้นไป จนได้มรรคผล
ดังนั้น คําว่าสติ หรือ สติปัฏฐาน4 หรือ ความรู้สึกตัว ไม่ว่าใช้คําเรียกอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ควรทําให้มาก
"ผู้รู้" เป็นสักแต่ว่า "เรือนร่างของจิต" แต่ "ไม่ใช่จิต
" เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งทาง ร่างกาย และ จิตใจ ก็เป็นแต่เพียงว่า "อาการอันหนึ่ง" ที่ "เกิดขึ้น"จาก "จิต" แต่ไม่ใช่ "จิต"
รู้ชัดเจน ก็เหลือแต่ “ความรู้” นี่เรียกว่า “วัฏจิต”
"เชื้อ" ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิด ไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่นั้น ก็คือ “ตัวรู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล
เมื่อขาดจากความ “สืบต่อ” กับ "สิ่งภายนอก"
จนกระทั่ง "ในขันธ์" เรียบร้อยแล้วยังเหลือแต่ “จิต”
นั่นคือยังเหลือแต่ “อวิชชา” ...
"อวิชชา" นี้ท่านเรียกว่า "เชื้อ" ....
“เชื้อแห่งวัฏจักร” มีอยู่ที่ “จิตนี้”
"ปัญญา" พิจารณาลงไปที่ “จุดนั้น”...
ความสว่างคืออะไร ดูให้ดี ว่าความสุข-สุขอะไร
เป็น “สุขอวิชชา” หรือเป็น “สุขวิชชา”
“สุขสมมุติ” หรือ “สุขวิมุตติ” “สงบตัวจากความคิด”
ลงไปสู่ “ความรู้” อันเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส”
“กิเลสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต”
"เชื้อ"ที่พาให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ถูก "ถอนพรวด"ขึ้นมาแล้วจาก “จิต”
เหลือแต่ “วิมุตติจิต” เท่านั้นที่นี่ เป็น “จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ”
เมื่อ "ดับอวิชชา" แล้ว มัน "ดับไปหมด"
"จิต" ที่นอกเหนือไปจากกฎ "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" แล้ว
นั่นคือ "ผู้พ้นภัย" ... พ้นโลกพ้นตรงนี้
"จิต" เป็น "ธรรม"... "ทั้งดวง" ...
"ธรรมกับจิต" เป็นอันเดียวกันแล้ว
ท่านจึงว่า "ธมฺโม ปทีโป ความสว่างกระจ่างแจ้งในจิต
ที่ปราศจากแล้วจากกิเลส เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลกทั้งสามนี้"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
.. ยังมีอารมณ์อิจฉาริษยาอยู่ก็อย่ามาคุย
ว่า .. เป็นนักปฏิบัติ
"มุทิตา"
.. ความอ่อนโยน มุทิตานี้จะตัดความอิจฉา
ริษยาออกจากจิตใจ พลอยยินดีในเมื่อ
บุคคลอื่นได้ดีแล้ว
.. ถ้านักปฏิบัติภาวนา ยังมีอารมณ์อิจฉา
ริษยาอยู่ ก็อย่ามาคุยว่า .. เป็นนักปฏิบัติ
"อารมณ์ริษยา" นี้
.. เป็นอารมณ์ที่ร้ายแรงมาก เช่น เห็นคนอื่น
ได้ดี ใจอยู่ไม่เป็นสุข ทนไม่ได้ เกรงเขาจะดี
เกินหน้าตาตัวไป
ดังนั้น ..
พระศาสดาเจ้าทรงสอนว่า ..
.. ถ้าบุคคลใดมีมุทิตา
ตัดอิจฉาริษยาออกไป ให้มันพ้นออกไปจาก
จิตใจ ความเร่าร้อนมันก็ไม่มี พลอยยินดีกับ
ผู้ที่ได้ดี ...
... หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
ความหลุดพ้น..ปล่อยวางแม้กระทั่งสิ่งที่ถูก...
”อย่าปล่อยวาง”...โดย...”ความยึดมั่นถือมั่น”
อย่ายึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ยอม เรื่องที่มันยอม
ถ้ามันไม่ยอม มันตั้งตัวขึ้นมาเป็นก้อน เป็นตัวอุปาทาน
นักบวชนักพรตเราโดยมากก็ชอบเป็นอย่างนั้น
เห็นว่าเราถูกแล้ว ก็เห็นว่าเราไม่ผิด
แต่ ความเป็นจริง ความผิด มันฝังอยู่ในความถูก
แต่เราไม่รู้จักนี่ ทิฐิมานะ
ทิฐิคือความเห็น มานะคือความยึดไว้ถือไว้
ถ้าเรายึดในสิ่งที่ถูก ก็เรียกว่ามันผิด ถือถูกนั่นแหละ
ยึดมั่นถือมั่นในความถูก ไม่เป็นการปล่อยวาง
เมื่อปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว....”วางทันที”...
วางตัวปัญญานั้นอีกทีเข้าสู่ความว่าง
อยู่กับความว่าง (จิตหนึ่ง)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี'''
ใจคิดวนเวียนอยู่กับความทุกข์ โกรธ เสียใจ ผิดหวัง คิดสิ่งไม่ดี ควรทําอย่างไร
ไปออกกําลังกาย ไปเดิน เดินเยอะๆ เดินแบบรู้สึกสึกตัว รู้อยู่กับกายตนเอง การเดินแบบรู้สึกตัวคือการปฏิบัติธรรม เมื่อเรารู้อยู่กับกายตน มันจะละเรื่องอื่นๆไปเอง หมั่นรู้ลมหายใจตนเองบ่อยๆ หายใจยาวๆ ให้รู้สึกตัว
หลุดมากทุกข์มากตอนไหน ให้ไปอาบนํ้า แล้วให้รู้สึกตัวไปกับสายนํ้าที่มากระทบตัวเอง ถ้ามีฝักบัวให้เปิดรดตัวเองเลย รู้สึกตัวกับสายนํ้า แล้วแผ่เมตตาให้กับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความสดชื่น รู้สึกตัวจะกลับมาที่จิตที่ใจเรานะ อย่าปล่อยให้ใจซึมอมทุกข์อยู่กับอกุศล ใจอยู่กับอกุศลมันก็ไปดึงอกุศลเข้ามาอีกไม่จบ ให้ทําตามที่บอกเพื่อให้ใจมาอยู่กับกุศลนะ ความสุขสงบแห่งใจจะบังเกิด แล้วกุศลมันจะได้กันอกุศลออกไปเหลือแต่กุศล
" เมื่อสว่างย่อมไม่มืด ความมืดย่อมแทรกเข้ามาได้ยาก "
เป็นเพราะใจเรา ใจเรานั้นเอง
จะมองให้ผ่าน หรือ จะมองให้ทุกข์ ก็เพราะเรา
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือกิเลสตนเอง มิใช่ผู้อื่นเลย
ที่ไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าใจตนเอง โลกไม่ได้เปลี่ยน
โลกยังเป็นเหมือนเดิมมันเป็นเช่นนั้นเอง
มีแต่ใจเราที่ไปยึดว่า โลกทําร้ายเรา
สุดท้ายใจเรานั้นหล่ะที่ทําร้ายใจเรานั้นเอง
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องสติปัฏฐาน
ให้ใจมาอยู่กับกายกับใจของตนเอง
ทําให้เราพ้นจากทุกข์ได้ ทุกข์ไม่มาทําร้ายใจเราอีก
จนสุดท้ายใจเราไม่ทุกข์
จนใจเราพ้นจากการเกิดการตาย
เชื่อพระพุทธเจ้าจะพ้นทุกข์
จิตสงบวันละนิด
บุคคลใดสามารถทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง จะเป็นฆราวาสก็ตาม ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม
อันนี้หมายถึงฆราวาสนะ ท่านบอกว่า ถ้าทำได้อย่างนี้
ทุกวัน วันหนึ่งสงบนิดเดียว สงบจริง ๆ ไม่นึกถึงอย่างอื่น รู้แค่ลมหายใจเข้าออกหรือคำภาวนา ท่านบอกว่าทำได้อย่างนี้ทุกวัน
มีอานิสงส์ดีกว่าพระสงฆ์ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
เฉพาะเวลาบวชถึง ๑๐๐ พรรษานะ ไม่ใช่เกิด ๑๐๐ ปี บวชนะ ๑๐๐ ปี มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท แต่ไม่เคยเจริญสมาธิ
แล้วบุคคลที่มีจิตว่างจากกิเลสทำสมาธิ มีจิตว่างจาก
กิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง มีอานิสงส์ดีกว่าพระบวชที่มีศีลบริสุทธิ์มาตั้ง ๑๐๐ ปี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะศีลจะมีอานุภาพแค่กามาวจรสวรรค์ไปพรหมไม่ได้ นี่เฉพาะศีลนะ
ไปนิพพานก็ยังไม่ได้เป็นพื้นฐานแรก ถ้าการฝึกสมาธิได้วันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว จิตจะรวบรวมกำลังอยู่เสมอ
เวลาใกล้จะตายจิตอาจจะเกิดเป็นฌาน พอจิตเป็นฌานสมาบัติ
ก็ไปพรหมโลกได้ ถ้ากำลังจิตเป็นฌานเวลานั้นเกิดมีอารมณ์เบื่อหน่ายร่างกายขึ้นมาตายวันนั้นไปนิพพานทันที
โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 3 หน้า 8
วางจิตไว้กับสภาวะแห่ง “ รู้ ”
จิตหลุดพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง มีอิสระไม่หลงยึด อยู่กับธาตุรู้
สิ่งที่ตามหลัง “ รู้ ” ไม่ว่าจะ ดี-ชั่ว, เย็น-ร้อน, สุข-ทุกข์, ไม่อาจจะมีอิทธิพลเหนือจิตได้อีกต่อไป..
หลักการปฏิบัติภาวนา หลวงพ่อพุธ
ตามรู้จิต ตามรู้ความคิด..
ท่านทั้งหลายได้ปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมน์แล้ว และได้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ก็เป็นการชำระกายวาจาของตนเองให้บริสุทธิ์ เป็นการปรับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ตรงที่มีศีล ๕ ข้อ เมื่อทุกท่านได้สมาทานศีล ๕ ข้อแล้ว และไม่ได้ละเมิดล่วงเกินข้อใดข้อหนึ่ง ท่านก็เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์และเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ จึงขอให้เตรียมตัวให้พร้อมที่จะนั่งสมาธิภาวนา ท่านจะนั่งท่าไหน อย่างไร ก็สุดแต่ที่ท่านถนัดที่สุด นั่งในท่าที่สบาย อย่าเกร็งร่างกายหรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่งให้สบาย หายใจให้สบาย
บัดนี้ท่านทั้งหลายได้เตรียมพร้อมแล้ว ขอได้โปรดประนมมือขึ้น น้อมนึกในใจว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิเพื่อปฏิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ให้จิตของข้าพเจ้าแน่วแน่เป็นสมาธิมีสติปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมตามความเป็นจริง นึกในใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตน้อมใจเชื่อมั่นลงไปว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ
อาการที่พระพุทธเจ้ามีอยู่ที่ใจคือใจรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี อาการที่มีธรรมอยู่ในใจคือการทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้นตลอดเวลา อาการที่พระสงฆ์อยู่ในใจคือความมีสติกำหนดจิตนึกบริกรรมภาวนาพุทโธไว้ตลอดเวลา ไม่ให้พรากจากกัน แล้วเอามือวางลงบนตัก กำหนดรู้ลงที่จิต นึก พุท พร้อมลมเข้า โธ พร้อมลมออกก็ได้ ถ้านึกพุทโธพร้อมลมเข้าลมออก ช่วงหายใจยังห่าง จิตสามารถส่งกระแสออกไปทางอื่นได้ ให้ปล่อยความรู้ลมหายใจเสีย นึกพุทโธเร็วๆเข้า โดยนึกพุทโธด้วยความเบาใจ
อย่าไปข่มความรู้สึก อย่าไปบังคับจิตให้สงบ นึกพุทโธๆๆเอาไว้ อย่าไปนึกว่าเมื่อใดจิตจะสงบ เมื่อใดจิตจะรู้ เมื่อใดจิตจะสว่าง ให้กำหนดรู้ลงที่จิตอย่างเดียว
นึกพุทโธๆๆพุทโธก็อยู่กับจิต จิตก็อยู่กับพุทโธ เมื่อมีการตั้งใจนึกพุทโธ สติสัมปชัญญะจะมาเอง หน้าที่เพียงนึกพุทโธๆๆไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร จิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ ให้เรานึกพุทโธไว้โดยไม่ขาดระยะเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งจิตมันคล่องตัวต่อการนึกพุทโธ ในที่สุดจิตจะนึกพุทโธๆๆเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อจิตนึกพุทโธเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แสดงว่าการภาวนาของเรากำลังจะได้ผลแล้ว
ในเมื่อจิตนึกอยู่ที่พุทโธๆๆพุทโธก็เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก ผู้ปฏิบัติตั้งใจปฏิบัติให้มากๆ กระทำให้มากๆ ในที่สุดจิตจะเกิดความสงบ มีอาการหลายๆอย่างที่จะพึงเกิดขึ้น ในบางครั้งจะรู้สึกว่าง่วงนอน มีอาการเคลิ้มๆเหมือนจะหลับ ในตอนนี้ผู้ภาวนาเกิดกลัวว่าจะนอนหลับ จึงไปฝืนความรู้สึกเช่นนั้น
เมื่อฝืนแล้วความรู้สึกก็คืนมาสู่สภาวะธรรมดา แล้วเราก็บริกรรมภาวนากันใหม่ ถ้าหากผู้ใดภาวนาแล้วมีอาการเคลิ้มๆลงไปเหมือนกับจะง่วงนอน ขอให้ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น อย่าไปฝืน ถ้าจะเกิดความหลับขึ้นมา ก็ปล่อยให้หลับอยู่ในขณะที่นั่งอยู่นั่นแหละ เพราะจิตที่จะก้าวลงสู่สมาธิในเบื้องต้นมีอาการคล้ายกับจะหลับ
สำหรับผู้หัดภาวนาใหม่ๆเมื่อภาวนามากเข้า จิตจะมีอาการเคลิ้มๆลงไป ถ้าเราปล่อยลงไปประคองให้มันเป็นไปตามเรื่องตามราวของมัน ในที่สุดจิตของเราจะเกิดอาการหลับ บางทีมีอาการวูบลงไป บางทีก็ค่อยเคลิ้มๆไป เกิดอาการหลับลงไปจริงๆ
เมื่อมีอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นจิตจะเกิดความสว่างขึ้น พอจิตเกิดความสว่าง จิตจะเริ่มบรรลุถึงความเป็น พุทธะ ผู้รู้ พุทธะ ผู้ตื่น พุทธะ ผู้เบิกบาน ในตอนนี้คำบริกรรมภาวนาจะหายไป ยังเหลือแต่จิตผู้รู้ปรากฏสว่างอยู่เท่านั้น
ในระยะแรกๆ เราจะรู้สึกว่าความสว่างพุ่งออกมาทางสายตา เมื่อกระแสจิตส่งออกไปข้างนอกตามแสงสว่าง จะเกิดภาพนิมิตต่างๆขึ้นมา เมื่อเกิดภาพนิมิตต่างๆขึ้นให้ผู้ภาวนากำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว อย่าไปเอะใจหรือตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ให้กำหนดว่านิมิตนี้เป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ และนิมิตนี้เกิดขึ้นตอนที่จิตสงบเป็นสมาธิ แล้วประคองจิตให้อยู่ในสภาพที่สงบ นิ่ง สว่างอยู่ตามเดิม
ในตอนนี้สำหรับผู้ภาวนาใหม่ สติสัมปชัญญะยังตามเหตุการณ์ไม่ทัน ในเมื่อเกิดนิมิตขึ้นมาแล้วมักจะหลง หลงติด บางทีก็เกิดความดีใจ บางทีก็เกิดความกลัว และเกิดความเอะใจขึ้นมา สมาธิถอน นิมิตนั้นหายไป แต่ถ้าสมาธิไม่ถอน จิตไปอยู่ที่นิมิตนั้น
ถ้านิมิตนั้นแสดงความเคลื่อนไหว เช่น เดินไปวิ่งไป จิตของผู้ภาวนาจะละฐานที่ตั้งเดิม ละแม้กระทั่งตัวเอง จิตจะตามนิมิตนั้นไป คิดว่ามีตัวมีตน เดินตามเขาไป เขาพาไปขึ้นเขาลงห้วยหรือไปที่ไหนก็ตามเขาไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าผู้โชคดีก็ไปเห็นเทวดา เทวดาก็พาไปเที่ยวสวรรค์ ถ้าหากว่าผู้โชคไม่ดีจะไปเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกก็พาไปเที่ยวนรก อันนี้เพราะผู้ภาวนามีสติยังอ่อน ยังควบคุมจิตของตนเองให้รู้อยู่ภายในไม่ได้ ในเมื่อเห็นนิมิตต่างๆอย่างนั้น อย่าไปสำคัญว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นของดีวิเศษ แท้ที่จริงเป็นแต่เพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเท่านั้น
นักภาวนาที่ฉลาดจะกำหนดรู้อยู่ที่จิต ถึงความรู้สึกว่านิมิตสักแต่ว่านิมิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา แล้วก็ประคองจิตให้อยู่ในสภาวะเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สมาธิจิตจะสงบนิ่งอยู่ นิมิตเหล่านั้นจะทรงตัวอยู่ให้เราได้พิจารณาได้นาน
บางทีนิมิตนั้นอาจจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ ทำให้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันเหตุการณ์ภายใน แต่แท้ที่จริงนิมิตนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่เห็นในสมาธิก็ตาม เป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เหมือนมองเห็นรูปด้วยตาภายนอกเมื่อเรายังไม่ได้กำหนดจิตทำสมาธิ จะมีค่าเหนือกว่ากันหน่อยก็ตรงที่อันหนึ่งเห็นด้วยตาธรรมดา แต่อีกอันหนึ่งเห็นด้วยอำนาจสมาธิ
แต่ถ้าไปหลงติดนิมิตนั้นก็เป็นผลเสียสำหรับผู้ปฏิบัติ บางครั้งไปเข้าใจว่านิมิตนั้นเป็นวิญญาณมาจากโลกอื่น เข้ามาเพื่อจะขอแบ่งส่วนบุญ และเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เราก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ในเมื่อคิดแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ความคิดทำให้สมาธิถอน ในเมื่อสมาธิถอนขึ้นมาแล้ว นิมิตนั้นก็หายไปหมด วิญญาณเหล่านั้นเลยไม่ได้รับบุญกุศลที่เราให้
ขอทำความเข้าใจกันอีกครั้งว่า นิมิตที่เกิดขึ้นภายในสมาธินั้น ให้ทำความเข้าใจเพียงแต่ว่าเป็นมโนภาพเอาไว้ก่อน อย่ารีบไปตัดสินว่าเป็นของจริงของแท้ ให้นึกว่าเป็นมโนภาพที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง ให้ทำความรู้สึกไว้อย่างนี้ ท่านจะเกิดความเฉลียวฉลาด
สมมติว่าเมื่อภาวนาแล้วจิตมีวิตก วิจาร ปีติ มีความสุข และมีความละเอียดสงบนิ่งลงไปถึงขั้นอัปปนาสมาธิ และผู้ภาวนาสามารถที่จะฝึกฝนอบรมกาย ทำวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ให้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ฝึกฝนจนมีความคล่องตัว นึกอยากจะเข้าฌานเมื่อใดก็เข้าได้ เมื่อเข้าฌานไปแล้วจิตจะรู้อยู่ในสิ่งๆเดียว หรือในจุดๆเดียว ความรู้อะไรต่างๆไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถึงแม้ว่าความรู้อะไรไม่เกิดขึ้น
ผู้ภาวนาก็ไม่ควรเสียอกเสียใจและไม่ควรกลัวว่าจิตของตนจะไปติดสมถะ ความจริง เมื่อจิตนิ่งสงบลงไปสู่ความเป็นสมถะในขั้นอัปปนาสมาธิ อยู่ในขั้นฌานที่ ๔ โดยธรรมชาติของจิตที่อยู่ในฌานขั้นนี้ จะไม่มีความรู้ความเห็นอันใดปรากฏขึ้น นอกจากจิตจะไปรู้อยู่ในสิ่งๆเดียว คือรู้เฉพาะในจิตอันเดียวเท่านั้น ประกอบพร้อมด้วยความเบิกบานแจ่มใส สว่างไสวอยู่ภายในจิต จิตจะไม่มีความรู้เกิดขึ้น
ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าผู้ภาวนาสามารถทำจิตให้เป็นไปดังเช่นที่กล่าวนี้บ่อยๆครั้งเข้า ถ้าต้องการให้จิตของท่านก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา โดยไม่ต้องไปหยิบยกเอาอะไรมาเป็นเครื่องพิจารณา เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิขั้นฌานแล้วจะมีความรู้สึกสัมผัสรู้ว่ามีกาย ในเมื่อกายมีปรากฏขึ้น จิตจะมีความคิด เมื่อเกิดความคิดขึ้น ผู้ภาวนารีบกำหนดรู้ ตามความคิดนั้นไป
ในตอนนี้จิตของเราจะคิดเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องกุศล เรื่องอกุศล เรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อยให้เขาคิดไปตามลำพังของเขา อย่าไปห้าม หน้าที่ของเราเพียงทำสติตามรู้ไปโดยถือเอาความคิดเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อเราหมั่นอบรมทำสติตามรู้ความคิดหลังถอนจากสมาธิแล้ว ทำจนคล่องแคล่ว ทำจนชำนิชำนาญ จนสามารถทำสติตามทันความคิด เมื่อสติตามทันความคิดขึ้นมาเมื่อใด
จิตก็จะสงบเป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข แล้วก็จะสงบละเอียดลงไปเป็นเอกัคคตา เช่นเดียวกับการภาวนาในเบื้องต้น ข้อที่ควรสังเกตมีอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อจิตถอนออกจากอัปปนาสมาธิ พอสัมผัสรู้ว่ามีกาย จิตจะมีความรู้ขึ้นมา เมื่อเราทำสติตามรู้ความคิดนั้นไป สติจะตามความคิดและตามจ้องดูกันไปตลอดเวลา จิตเมื่อยิ่งคิดมากก็ยิ่งมีความสบาย เพราะจิตคิดด้วยพลังสมาธิที่ผ่านมาแล้ว แล้วเมื่อเราทำสติตามรู้ ตามทันความคิดนั้น
ความคิดกลายเป็นตัวปัญญา ปัญญาคือความรู้ที่เกิดขึ้น ธรรมชาติของความรู้สึกนึกคิดย่อมมีเกิด มีดับ เมื่อผู้ภาวนาทำสติตามรู้ความคิดอยู่อย่างนั้น หนักๆเข้าจิตก็จะรู้ความเกิด ความดับ ..อะไรเกิด อะไรดับ ก็คือความคิดนั่นเอง จิตเป็นผู้เกิด จิตเป็นผู้ดับ ในเมื่อสติตามรู้ทันความเกิดดับของจิต จิตก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา มีความรู้ มีความสำคัญมั่นหมายในสภาวะที่เกิดดับ-เกิดดับนั้นด้วยอนิจสัญญา
คำว่าอนิจสัญญาคือความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง ในเมื่อจิตรู้สภาวะความไม่เที่ยงที่เกิดดับ จิตก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา ดังนั้น ในเมื่อผู้ภาวนาทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆจิตก็ได้รับผลจากสมาธิ ได้รับความสุขจากสมาธิ หากพอจิตออกจากสมาธิก็รีบลุกออกจากที่นั่ง ถ้าทำอย่างนี้แล้วจิตก็ไปติดอยู่แค่ขั้นสมถะ จากที่เคยทดสอบและทดลองมาแล้ว ควรจะได้ใช้สติกำหนดตามความคิดที่เกิดขึ้นหลังจากที่จิตถอนออกมาจากสมาธิแล้ว ดังที่กล่าวแล้ว
การทำสติกำหนดตามรู้ความคิด ผู้ภาวนาจะต้องมีความตั้งใจจดจ้อง เป็นการพิจารณาสภาวธรรมในแง่วิปัสสนากัมมัฏฐาน ขอให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายพึงทำความเข้าใจอย่างนี้ เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข มีเอกัคคตา มีความสงบ จิตไปนิ่ง ว่างวางเฉยอยู่ อย่าไปภูมิอกภูมิใจความเป็นเพียงแค่นั้น เดี๋ยวจิตก็ติดสมถะ ไม่ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนา เมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร ก็ทำอย่างที่ได้อธิบายมาแล้ว
คือเมื่อจิตถอนออกจากฌานมาสัมผัสรู้ว่ามีกาย ก็รีบทำสติตามรู้ความคิดนี้ทันที ความคิดจะเรื่องโลกเรื่องบาป เรื่องบุญอะไร ปล่อยให้เขาคิดไป อย่าไปห้าม ตามรู้ไปจนกว่าสติจะตามทันความคิด แม้ว่ามันจะคิดไม่หยุด ไม่เกิดความสงบอีกก็ตาม แต่ถ้าหากว่าสติตามทันกันไปเรื่อยๆเป็นอันใช้ได้
ถ้าความคิดที่เป็นจิตฟุ้งซ่าน คือจิตธรรมดาที่เราไม่มีสติ ยิ่งคิดไปยิ่งยุ่งในสมอง คิดไปเท่าไรยิ่งหนักอก คิดไปมากเท่าใดยิ่งวุ่นวาย แต่ถ้าคิดด้วยความมีสติสัมปชัญญะ โดยอาศัยพลังของสมาธิ ยิ่งคิดก็ยิ่งปลอดโปร่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเพลิดเพลิน คิดไปเสวยปีติและความสุขไปอีก อันนี้เป็นลักษณะของจิตที่เดินวิปัสสนากัมมัฏฐาน
และมีปัญหาที่จะพึงทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง นักภาวนาทั้งหลาย ในการเริ่มภาวนาในตอนต้นๆนี้ เช่น การบริกรรมภาวนา “พุทโธ” เป็นต้น ทำไปแล้วจิตมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตสงบลงเป็นสมาธิ มีความสุขสบายเหลือล้น พอทำจิตไปเรื่อยๆ แล้วภายหลังจิตไม่เป็นเช่นนั้น พอกำหนดลงไปนิดหน่อยมันมีแต่ความคิด บางท่านก็เข้าใจว่าภูมิจิตภูมิใจของตัวเองเสื่อมแล้ว เมื่อก่อนนี้ภาวนาจิตสงบ แต่ขณะนี้จิตไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน
แต่ขอให้สังเกตให้ดี ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ในเมื่อศีลดี สมาธิเกิดขึ้นแล้ว สมาธิก็พลอยดีไปด้วย เรียกว่าสัมมาสมาธิ ในเมื่อสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ เป็นอุบายให้เกิดปัญญา ดังนั้น ผู้ภาวนาซึ่งเมื่อก่อนมีจิตสงบนิ่ง ภายหลังมาทำสมาธิมากๆแล้วไม่เกิด เพียงเป็นสมาธิเพียงนิดหน่อย สงบนิดเดียวเท่านั้น แล้วก็มีแต่ความคิดเกิดขึ้นๆไม่หยุดหย่อน ก็ไปเข้าใจว่าการทำสมาธิของตนเองนั้นเสื่อมแล้ว
บางท่านก็พยายามบังคับจิตให้หยุดคิด เมื่อเกิดมีการบังคับขึ้นก็เกิดอาการปวดศีรษะ เพราะเป็นการฝืนกฎธรรมชาติที่มันจะเป็นไป เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านพึงสังเกตให้ดี เมื่อทำจิตเป็นสมาธิเมื่อใดก็มีแต่จิตสงบนิ่งเป็นสมถะ มันก็ไม่มีความก้าวหน้า กำหนดจิตพิจารณาลงไปนิดหน่อย จิตสงบ เมื่อสงบแล้วมีความคิด อาการเช่นนี้แสดงว่าจิตกำลังก้าวหน้ากำลังอยากค้นคว้าหาความจริงในความเป็นไปของสภาวธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากจิตฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องของปัญญาที่เกิดมาจากสมาธิ เพราะเราไม่เห็นว่าจิตของเรานี้ฝึกไปได้สารพัดอย่าง ไม่มีขอบเขต เพราะจิตของเราไม่ได้คิดเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราจึงสำคัญว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน แต่แท้ที่จริง การพิจารณาธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมนี้ ก็หมายถึงเห็นความคิด รู้ความคิดของตนนั่นเอง คือความมีสติสัมปชัญญะ เมื่อกำหนดจิตลงไปแล้ว เกิดความคิดขึ้นมา คิดไม่หยุด เราก็ทำสติตามรู้ความคิดดังที่กล่าวแล้ว นี่แสดงว่าจิตต้องการก้าวหน้า ต้องการเดินหน้า ต้องการพิจารณาค้นคว้า ผู้ที่ปฏิบัติรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าจิตของตัวเองฟุ้งซ่าน ก็พยายามบังคับจิตของตนเองอยู่อย่างนั้นแหละ บังคับให้มันหยุดคิด
ในเมื่อบังคับแล้วมันจะไม่คิด ไม่คิดก็กลายเป็นจิตที่โง่ คำว่าสมาธิอบรมปัญญาก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น อย่าพยายามไปบังคับจิตให้หยุดคิด หน้าที่ของเราคือทำสติตามรู้ความคิดไปทำสติตามรู้ไป ความคิดนั่นแหละคือเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ความคิดเป็นฐานที่ตั้งอันมั่นคงของสติ ตราบใดที่จิตยังมีความคิด สติยังมีความระลึก สิ่งที่เราจะพึงได้จากการภาวนาคือความที่สติมีพลังแก่กล้าขึ้นจนเป็นมหาสติ เป็นสติที่มีฐานที่ตั้งอย่างมั่นคง แล้วกลายเป็นสติพละ เป็นสติที่มีพละกำลังอันเข้มแข็ง
กลายเป็นสตินทรีย์ สติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง เมื่อเป็นสติพละ เป็นสตินทรีย์ เมื่อสติตัวนี้เพิ่งพลังแก่กล้าขึ้น จึงกลายเป็นสติวินโย จิตของเราจะมีสติเป็นผู้นำ แม้จะตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตาม จิตจะมีความสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อจิตกระทบอารมณ์อันใดขึ้นมา สติตัวนี้จะออกไปรับและพิจารณาให้เกิดรู้เหตุรู้ผลขึ้นมา เมื่อรู้เหตุรู้ผลแล้วจิตมันก็จะปล่อยวางไปเอง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย..
เริ่มด้วยความคิด แต่สุดท้ายก็ต้องวางความคิด เราศึกษาธรรมนั้นก็เพื่อให้เราเกิดปัญญา
ปัญญามี 3 อย่าง
1 ปัญญาจากการฟังการอ่าน
2 ปัญญาจากการคิดพิจารณา
3 ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาเจริญสติ(ปัญญาญาณ)
ในสภาวะสังคมปัจจุบันเราใช้ปัญญาแบบ1กับ2 แม้แต่การศึกษาธรรมก็เหมือนกัน แต่ปัญญา1กับ2 ยังเป็นปัญญาในระดับโลก ไม่อาจทําให้เราพ้นจากโลกจากภพชาติได้
จึงต้องมาเจริญสติ เพื่อเข้าถึงปัญญาในระดับ3 เพื่อเอาปัญญานี้มาละกิเลส ละภพชาติ เพื่อให้ได้มรรคผลนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อเริ่มศึกษาธรรมก็เริ่มจากคิดจากฟังกันทั้งนั้น แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง การเจริญวิปัสสนาเมื่อปฏิบัติไปมากๆ มันจะเจริญต่อเมื่อหมดความคิด จิตเราว่างๆไร้การปรุงแต่ง ตั้งมั่นเพื่อเข้าไปรู้เข้าไปเห็นความจริง ความจริงที่เห็นคือวิชชา จะไปละอวิชชาที่ใจ ต้องใจสอนใจเท่านั้นจึงเห็น
"วิปัสสนาจะเจริญต่อเมื่อหมดความคิด"
เราเพียงใช้สมมุติหรือความคิดเป็นเพียงทางผ่านไปสู่วิมุตติ หรือทางหลุดพ้นนั้นเอง ธรรมแท้ๆอยู่เหนือภาษามนุษย์ แต่ใช้ภาษาใจ
" อย่าลืม กาย ใจ ตนเอง "
เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ชัดขึ้นลึกขึ้น นี้หล่ะสติปัฏฐานทั้ง4 กําลังค่อยๆผลัดกันเสริมซึ่งกันและกันขึ้นมา จนเห็นโดยไม่ไปกําหนด ว่าเป็นฐานใดอีก
เพียรเจริญในมรรค เดินบนทางสายกลาง หนทางแห่งการพ้นตน พ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นเลย รู้กาย รู้ใจตนเอง ให้ธาตุรู้เด่นชัดขึ้นมา เป็นหนทางแห่งวิมุตติ
ทำความรู้สึกตัว ทำความตื่นตัวอยู่เสมอ
รู้ทั้ง การเคลื่อนไหว ทางรูปกายก็ให้รู้ และจิตใจมันนึก มันคิดก็ให้รู้
ทำอย่างนี้แหละ ทำบ่อยๆ ไปไหนมาไหนก็ทำอย่างนี้บ่อยๆ ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรทั้งหมดเลย
มันคิดมาแล้วก็ปัดทิ้งไปเลย เราอย่าไปรู้กับมัน
อันนี้เป็นวิธีฝึกหัด เมื่อเราฝึกหัด ความเคยชินมันมีครับ ความเคยชินมันมี
พอดีจิตใจมันไหวตัวขึ้นมา เราจะรู้ทันที
เมื่อเรารู้ทันทีแล้ว ความคิดมันก็เลยไม่ได้ปรุง มันก็เลยไม่มีทุกข์...
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ธรรมะที่รู้จากการอ่าน การฟัง ยังไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริงต้องเกิดจากการปฎิบัติ รู้กาย รู้ใจตนเอง จึงจะพบธรรมะจริง รู้แจ้งจริงๆ มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ ที่ดำเนินไป ไม่มีตัวใครของใครอยู่ในธรรมนั้นจริงๆ...
#ทิ้งธาตุรู้..สู่ความว่าง 😇สติเจริญให้มาก....
#อยู่อย่างสมมติ #แต่อยู่ในสภาวะวิมุตติ
ธรรมะให้ดูตัวเอง
《เตือนตน ไม่มีตน》
ถ้าเราภาวนาเป็น
เราจะเห็นจิตที่ไหลไปแล้วรู้ทัน
จิตไหลไปแล้วรู้ทันนี่ไม่ใช่ได้แค่สมาธิ
ตรงที่จิตไหลไป
เรารู้ทันปุ๊บเราได้สมาธิ
แล้วได้จิตผู้รู้ขึ้นมา จิตตั้งมั่นแล้ว
แล้วเราไม่รักษา
ตรงที่ไม่ได้รักษา
ให้มันตั้งตลอดเวลานี่
ตัวรู้มันก็ดับ กลายเป็นตัวคิด
ตัวหลงขึ้นมาใหม่
เราก็จะเห็นว่าตัวรู้ก็ไม่เที่ยง
ตัวหลงก็ไม่เที่ยง
เราจะเห็นว่าทั้งวัน
จิตมีอยู่ ๒ ชนิดเท่านั้นเอง
คือ จิตหลง กับ จิตรู้
จิตหลงเรารู้ทัน จิตหลงก็ดับ
จิตรู้รู้ทัน อยู่ได้ชั่วคราว
เราไม่ได้รักษาไว้มันก็ดับ
มีแต่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
Cr.หนังสือธรรมะโดนใจ หน้าที่ ๓๖
การนอน การสงบเข้าฌาน เป็นอาหารของจิตและร่างกายอย่างหนึ่ง
สมถะ ต้องพักจิตสอบอารมณ์ ส่วน วิปัสสนา จิตเดินไตรลักษณ์ให้รู้อริยสัจ
เหนื่อยแล้วเข้าพักจิต พักจิตหายเหนื่อยแล้ว จิตตรวจอริยสัจอีกดังนี้
ฉะนั้นให้ฉลาดการพักจิต การเดินจิต ทั้งวิปัสสนาและสมถะ พระโยคาวจรเจ้าทิ้งไม่ได้
ชำนิชำนาญทั้งสองวิธี จึงเอาตัวพ้นจากกิเลสทั้งหลายไปได้
เป็นมหาศีล เป็นมหาสมาธิ เป็นมหาปัญญา
มีศีลทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด พร้อมทั้งจิตเจตสิก
พร้อมทั้งกรรมบถ ๑๐ ไม่กระทำผิดในที่ลับและที่แจ้ง สว่างทั้งภายในและภายนอก
มีมหาสติรอบคอบหมด วิโมกข์ วิมุติ อกุปธรรม
จิตบริสุทธิ์ จิตปกติเป็นจิตพระอรหันต์ สว่างแจ้งทั้งภายนอกภายในสว่างโร่
ปุถุชนติเตียนเกิดบาป เพราะพระอรหันต์บริสุทธิ์
กาย เป็นชาตินิพพาน วาจา ใจ เป็นชาตินิพพาน
นิพพาน มี ๒ อย่าง นิพพานอยังมีชิวิตอยู่ ๑ นิพพานตายแล้ว ๑
พระอรหันต์รอขึ้นรถขึ้นเรือไปนิพพานเท่านั้น ...
บูรพาจารย์ โอวาทธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
บันทึกโดย พระอาจารย์หลวงปู่หลุย จนฺสาโร
นํามาจาก ลานธรรมจักร
" เห็นธรรม " หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เวลาเราไปทำกรรมฐาน
ไปเห็นสีเห็นแสง เห็นผี เห็นเทวดา,
อันนี้เป็นการเข้าใจผิด.
พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า :
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา
แม้จะจับชายจีวรเราอยู่จับนิ้วมือเราอยู่
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเห็นธรรมไม่ได้ชื่อว่าเห็นเรา.
นี้เป็นหลักที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
จะได้ไม่ปฏิบัติผิด และจะได้รับผลเป็นการเห็นธรรมที่แท้จริง
คนในสมัยนี้ บางคนไปปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
ก็นึกว่าเห็นดวงแก้วคือการเห็นธรรม,
ไปนั่งภาวนาอะไรก็ตาม ให้เห็นดวงแก้วลอยมา.
ที่หมู่บ้านหลวงพ่อมีอยู่คนหนึ่งเป็นครู
เขาไปทำวิปัสสนาที่อ้อมน้อย
ไปนั่งแล้วเห็นดวงแก้วลอยมาในหน้าอก,
เขาว่าอย่างนั้น.
นี้แสดงว่า ยังไม่เข้าใจว่าทำวิปัสสนานั้นทำอย่าไร เพื่ออะไร.
อีกคนหนึ่งเป็นคนมีการศึกษาสูงและเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
เขาไปทำกรรมฐานที่วัดหนึ่งโดยทำมาแล้ว ๑๑ ปี.
หลวงพ่อถามเขาว่า คุณทำมาแล้วได้อะไรบ้าง ทำอย่างไร.
เขาบอกว่า นั่งขัดสมาธิหลับตา ภาวนาพุทโธ-พุทโธ แล้วมีดวงแก้วลอยมา.
หลวงพ่อถามว่า คุณเห็นดวงแก้วทุกครั้งไหม, เขาว่า บางครั้งเห็นบางครั้งไม่เห็น
เขาเรียกว่าเป็น “นิมิต”
หลวงพ่อบอกว่า นิมิตอะไรกัน นั่นมันเป็นมายา,
ทำวิปัสสนาอะไรถึงไม่เห็นจิตใจตัวเอง แต่ไปเห็นดวงแก้ว.
แล้วหลวงพ่อจึงบอกให้เขาลองทำดู,
เขามีกระเป๋า ๑ ใบ แว่นตา ๑ อัน ไปด้วย วางอยู่,
พอเขานั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาลง
หลวงพ่อจึงเลื่อนเอากระเป๋ากับแว่นตาของเขาไปทางอื่นเสีย
เสร็จแล้วก็บอกให้เขาลืมตา.
หลวงพ่อถามเขาว่า กระเป๋าคุณหายไปไหน,
เขาตอบว่าไม่ทราบ. แล้วแว่นตาคุณไปไหน,
เขาก็ตอบว่าไม่ทราบอีก, หลวงพ่อจึงถามว่า
ถ้าเช่นนั้นการทำอย่างนี้มีคุณหรือมีโทษ,
เขาตอบว่า มีโทษคือของหาย.
คุณคนนั้นทำงานเงินเดือนสมัยนั้นได้เดือนละหมื่นกว่าบาท
ดูเหมือนจบปริญญา คนจบปริญญาทางโลกเขาเรียกว่าผู้มีปัญญานะ,
แต่ก็ยังไม่เข้าใจไปเจริญกรรมฐานแบบนั้นได้ประโยชน์อะไร.
วิธีปฏิบัติแบบลืมตาที่หลวงพ่อสอนนี้
ไปไหนมาไหนก็ทำได้ ใครผ่านไปมาก็เห็น
จิตใจมันนึกมันคิดก็รู้ก็เห็น,
หลวงพ่อเข้าใจเช่นนี้ เรื่อง “นิมิต” ก็เหมือนกัน,
นิมิตแปลว่า เครื่องหมาย เครื่องสัญญาหรือสิ่งที่สัญญาเรารู้,
หมายอย่างไร ก็หมายให้เรามีสติรู้สึกจับอยู่กับสิ่งเหล่านั้น
อย่างพลิกมือขึ้นรู้สึกตัว นั่นล่ะนิมิต
มันคิดมากก็เห็นก็รู้ อันนั้นเรียกว่าเป็นนิมิต.
ส่วนการที่คนไปนั่งสมาธิแล้วต้องการเห็นดวงแก้ว
เห็นพระพุทธรูป แต่ไม่เห็นจิตใจตัวเอง
จิตใจคิดแวบไปไม่เห็นเลย นั่งอยู่ที่นี่คิดลอยไปถึงไหนๆ,
อย่างนั้นไม่มีประโยชน์, มันเป็นมายา,
หลวงพ่อกล้ายืนยันกล้ารับรองได้ว่า
การทำวิปัสสนาแบบลืมตาเอาไปใช้ทำงานทำการได้
ทำอะไรอยู่ก็ทำได้, จิตใจนึกคิดจะโกงขึ้นมาก็รู้
คนจะมาหยิบของขโมยของก็เห็นก็รู้ ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เอา
จิตใจมันคิดอยากได้ความสุขก็รู้ ว่าไม่ได้ ไม่ควร
สุขวันนี้ พรุ่งนี้ทุกข์ก็มาแล้ว, มันเป็นอย่างนี้.
ดังนั้น การเห็นธรรมต้องเห็นที่ตัวเรานี้เอง,
ไม่ใช่ไปเห็นพระพุทธรูป หรือรูปพระพุทธเจ้า,
ไม่ใช่อย่างนั้น. พระพุทธเจ้านั้นท่านตายไปนานแล้ว
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าคืออะไร? พระพุทธเจ้าองค์จริงคืออะไร?
พระพุทธเจ้าคือภาวะของความสะอาด-สว่าง-สงบ.
สะอาดคือ ความที่จิตใจปกติไม่มีมลทิน,
สว่าง คือ ความที่รู้เห็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง,
สงบ คือความที่จิตใจปราศจากความคิดโลภ-โกรธ-หลง.
ความคิดโลภ-โกรธ-หลงนี้แหละคือทุกข์ ;
พุทธองค์จึงตรัสสอนเอาไว้ว่า :
มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น,
มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่,
มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป.
การทำวิปัสสนา-เห็นธรรมนั้น
จึงต้องเห็นความคิดของเรานี่เอง, ไม่ใช่ไปเห็นแสงสี ผีเทวดา.
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
หนังสือพลิกโลก เหนือความคิดหน้า 36
.. ตัด “วงกลม” (วัฏฏะ) ขาดจากกัน
ก็ลุถึงสภาพแห่งความไม่มีอะไรเป็นที่จำนงหวัง
ตั ณ ห า ที่ ไ ห ล ซ่ า น
เมื่อถูกทำให้แห้งสนิทแล้ว ก็ไหลไม่ได้
ว ง ก ล ม ถู ก ตั ด แ ล้ ว (เช่นนี้)
ก็หมุนไม่ได้อีกต่อไป ..
นั่นแหละ คือ “ที่สุดแห่งทุกข์” ละ ...
🍂🍂 บาลี อุ. ขุ. ๒๕/๑๙๙/๑๔๘
รู้สึกตัวแท้ๆนั้น เป็นสัมมาสติ ไม่ใช่การไปคิดว่ามีสติที่ไปปรุงแต่งหรือไปเพ่งให้เกิดขึ้น เพราะเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น
ทําความรู้จักความรู้สึกตัวของตัวเองก่อน ง่ายๆอย่างนี้นะ ความรู้สึกที่รู้ตัวแว๊ปแรกที่เกิดจาก เรารู้สึกที่กาย เช่นเราโดนลมพัด แล้วเรารู้สึก นั้นหล่ะที่เรารู้สึกตรงจุดนั้น เป็นความรู้สึกที่ว่างโล่งโปร่งเบา เป็นสัมมาสติ ที่ยังไม่มีการปรุงแต่ง
แต่พอเราไปคิดว่าเรารู้สึกว่าลมแรงลมเบาลมร้อนลมเย็นตรงนี้เป็นความคิดเข้าไปปรุงแต่งอันนี้จะไม่ใช่แล้ว ดังนั้นความรู้สึกตัวจะเกิดแค่แว๊ปๆแรกๆเท่านั้นนะ
หมั่นรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ นี้หล่ะธรรมแท้ๆนะ รู้สึกตรงนี้และ "คือใจเราที่รู้ตัว พอใจเรารู้ตัว มันเป็นสัมมาสติ " ตรงนี้สําคัญนะครับ เพราะเป็นสติที่กํากับใจ เราเข้าไปถึงระดับจิตใจเลยนะ ไม่ใช่การไปใช้ความคิดปรุงแต่งเอาว่ามีสติ
เราหมั่นรู้สึกตัวได้อย่างไร เราขยับกายแล้วรู้สึกทั่วๆตัวหลวมๆ นั้นหล่ะเหมือนกัน การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว แต่การขยับกายหรือการที่กายไปสัมผัสกับอะไรจะทําให้เรารู้สึกตัว ให้เราหมั่นรู้สึกตัว เป็นการสะสมสัมมาสติ
รู้สึกตัวให้ได้ให้ชัด สําคัญมากนะ ถ้าจะเอาพ้นจากสังสารวัฏให้ได้นะครับ สําคัญกว่าการทําสมาธิอีกนะ เพราะ สติเป็นตัวกํากับ ให้เกิดสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสติกํากับ จะไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิพวกเผลอเพลินนั่งไหลไปกับความคิดโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ก็ไปนั่งแช่อยู่ในอารมณ์ว่างนะ
สตินี้เกิดกับใจนะ ใจเรารู้ตัว จึงมีสัมมาสมาธิเกิดขึ้นได้นะครับ หลักเป็นอย่างนี้ แต่คนไม่ค่อยรู้ ไปพยายามนั่งสมาธิก่อน เลยยากนะ เพราะไม่มีสติ สมาธิก็ไม่มีนะ พอมีสติมากๆแล้วไปนั่งสมาธิดู จะรู้เลยว่าเราเข้าไปในฌานง่าย
มากๆ ต่อเนื่องไปยังญาณนะ ตรงนี้หล่ะเกิดปัญญาในญาณนะครับ
ลองไปนั่งตากลมจะลมอะไรก็ได้ ให้มันพัดผ่านกาย แล้วสบายๆนั่งรู้สึกตัวอยู่บ่อยๆเรื่อยๆ ทําแบบนี้ ใจให้สบายๆว่างๆอย่าไปปรุงแต่งใจอย่างใด นี้หล่ะความรู้สึกตัว ที่รู้สึกแว๊ปๆแรกนะ อย่าไปคิดว่าลมแรงลมเย็นนะ สิ่งที่ตามมาภายหลังมันไม่ใช่ มันเป็นการปรุงแต่ง แค่แว๊ปแรกที่รู้สึกตัวนั้นหล่ะ คือความรู้สึกตัวแล้ว รู้จักอันนี้ดีดีก่อน ให้ใจเราคุ้นกับความรู้สึกตัว เราจะได้รู้สึกตัวทันรู้ทันบ่อยๆ หรือเห็นความรู้สึกนั้นเอง
เห็นตรงนี้มันว่างไม่มีการปรุงแต่งอย่างใด เพราะมันแค่รู้สึกตัว หมั่นรู้ตรงนี้นะ แล้วความรู้สึกตัวจะขยายมากขึ้นบ่อยขึ้นไปเอง พอชินแล้วอีกหน่อยกายขยับใจขยับก็รู้สึก รู้ทันนะ ฝึกง่ายๆแบบนี้ครับ
เลือกการปฏิบัติธรรมที่เหมาะถูกจริตถูกใจเรา เพราะการปฏิบัตินั้นเป็นการเข้าไปสู่การกระทําทางใจ หากใจเรายังรู้สึกติดขัดกับวิธีปฏิบัติ ใจที่ติดขัดลังเล การปฏิบัติก็ไม่อาจก้าวหน้าได้แล้ว จะกลายเป็นไปเพ่งไปกดดันเพื่อบังคับใจตนเอง ใจที่ไม่อิสระ ธรรมแท้ๆไม่ปรากฏแก่ใจตนเอง
การกระทําทางกายใดๆ ไม่ว่าท่องพุทโธ เคาะนิ้ว ขยับตัว การเดิน การนั่งสมาธิ ล้วนนํามาใช้เพื่อให้เกิดสติและสมาธิ เกิดเป็นการเจริญสมถะหรือวิปัสสนา ได้ทั้งนั้น จุดสําคัญขึ้นกับการวางใจ ของเราเอง การปฏิบัติถ้าทําถูก ล้วนเป็นการเข้าถึงใจ ให้ใจมีอิสระ ที่จะเข้าไปเห็นความจริงของรูปนาม การเห็นนี้คือการเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาจะเจริญเป็นขณะๆ เป็นช่วงๆ ขึ้นกับกําลังสัมมาสติและสัมมาสมาธิ
ให้ทําที่ถูกจริตเรา ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ใจรับรู้ได้ เกิดเป็นสติ มีสติก็เกิดสมาธิ มีสมาธิก็เกิดปัญญา แบบง่ายๆสบายๆกับใจตนเอง
ก้าวหน้าไปมากๆจะไร้รูปแบบ ไม่มีการกําหนดเข้าไปรู้ มีแต่รู้
การที่เรามี สติสัมปชัญญะ
เข้ามากำหนดดูใจ ใจเป็นอย่างไร
ใจคิดนึก ใจเกิดอาการความรู้สึก
ขุ่นมัวหรือผ่องใส
ใจสบาย ไม่สบาย เป็นสภาวธรรม
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ
มากำหนดดู บ่อยๆ เนืองๆ
ด้วยความปล่อยวาง
เมื่อสติเราสะสมมากขึ้นๆ
ก็จะเกิดปัญญา
ทำให้ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรม
ในสังขาร ร่างกายตัวเอง
สังขารชีวิตนี้ เป็นธาตุธรรมชาติหนอ
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เคยรู้สึกว่า ใจนี่คือเรา ใจนี่เป็นของเรา
ก็พบว่าจิตใจ เป็นธาตุธรรมชาติชนิดหนึ่ง
มันมีความเกิด ความดับ ความหมดไป
ไม่ใช่ตัวตนของเรา
สรีระร่างกายก็เหมือนกัน
ธรรมชาติทางกาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ดับไปเท่านั้นเอง
เห็นความดับไป สิ้นไป
จิตใจก็ละวาง จิตใจก็ยอมรับ
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ก็คือ ความไม่เที่ยง
สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์
สิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่ใช่ตัวตน
จิตที่วางลงไป ก็ไม่ทุกข์
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ไม่ต้องนั่งสมาธิให้เสียเวลา
การฝึกสมาธินี่ ฝึกสติลูกเดียว เรื่องชีวิตประจำวันนี่มี ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ฝึกสติให้ตามรู้สิ่งเหล่านี้ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ไม่ต้องไปนั่งสมาธิให้เสียเวลาทำงาน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น
" หลักก็อยู่ตรงที่ว่า เราทำก็ให้มีสติ พูดให้มีสติ คิดให้มีสติ รับประทาน ดื่ม ทำอะไรต่างๆ ให้มีสติ เป็นสมาธิทั้งสิ้น "
นอนลงไป จิตมันคิดอะไร ถ้าจิตมันอยู่ว่างๆ ปล่อยให้มันว่างไป ถ้ามันคิดปล่อยให้มันคิดไป ปล่อยให้คิดไปเลย อย่าไปห้ามมัน
ถ้าสมมติว่าเราสงสัยว่าปัญหานี้เราจะแก้อย่างไร พอมันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนี้ มันเกิดมีปัญหาถามตัวเองว่า เราจะแก้อย่างไร ทิ้งมันไว้นั่น อย่าไปคิดหาทางแก้ แต่เมื่อนอนลงไปแล้ว จิตมันคิดอะไร ปล่อยๆๆๆ ไป พอไปถึงจังหวะที่มันจะแก้ได้ มันหยุดกึ๊กลง ว่าง พอไหวตัวพั๊บ
อ้อ! สิ่งนี้ต้องทำอย่างนี้
เรื่องชีวิตประจำวันทั้งหมดนี่เป็นอารมณ์สมาธิ แล้วเราจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร สติตัวเดียว ทำ พูด คิด ฯลฯ ให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ในตอนแรกๆ อาจจะสับสนวุ่นวาย แต่เราพยายามฝึกให้คล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย เรื่องได้สมาธิขั้นใด ตอนใด อย่าไปสนใจ เอาสติตัวเดียวเท่านั้น
ทำงานอะไรต่างๆ นี้ เป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น ขอให้เรามีสติลูกเดียว
เกร็ดธรรมคำสอน ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
เวทนา สุข-ทุกข์-เฉยๆ เกิดขึ้น เพราะ มีเหตุปัจจัย
เมื่อเหตุปัจจัยไม่มี เวทนาก็หายไป
สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เสื่อมสูญไปหมด
ในผลที่สุด ... ก็ไม่มีสิ่งใด ที่แน่นอนถาวร
เห็นขันธ์ ๕ เป็นของไม่แน่นอนถาวร ถึงจะวางได้
"วาง" นั้นคือ ตัวอนัตตา
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ความเป็นเช่นนั้นเอง หรือ พุทธะ มันมีได้ทุกคน
หรือ ให้ออกจากความคิด ถ้ามันคิดแล้วอย่าไปรู้กับมัน ให้ตัดความคิดมันทิ้ง ให้เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ
แล้วจะเป็นเอง
มันจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนหนักเป็นเบา เปลี่ยนดำเป็นขาว โง่เป็นฉลาด แต่ก่อนมันเอา
หลังมือเป็นหน้ามือ ความเป็นปถุชนจะหายไป
ความอริยะจะขึ้นมาแทนเป็นลำดับขึ้นไปๆ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่ได้มี
แต่เราไม่เคยเห็นชีวิตจิตใจของเรา เพราะเรา
ไปจับอวิชชา มันเลยกลายเป็นตัว สังขาร ขึ้นมา
มันเลยทุกข์ เลยหนักอกหนักใจ
อย่าไปหามรรคผลนิพพาน ที่ไหนให้หาที่ตนเอง
เพื่อจะได้เห็นดวงตาเห็นธรรม
เพราะใจมันเห็นทุกข์มันก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
คนไม่มีทุกข์นั้นแหละ เรียกว่า พระอริยะบุคคล
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
การรู้สึกตัวผ่านลมหายใจ แค่ รู้สึก สัมผัส ถึงลมหายใจ
ดูลมก็ไปจดจ้องไปกับลม มันเป็นการเพ่ง ได้สมถะ
การดูลมนั้น เป็นเพียงคําพูด ที่ใช้พูดกันให้ดูง่ายๆ แต่เวลาปฏิบัติจริงๆนั้น
เทคนิคการดูลม " เราไม่ได้ไปดู ไปรู้จดจ้องไปกับลม แต่เราแค่เอาใจ สัมผัสถึง หรือ ระลึกรู้สึก แค่รู้สึกถึงลม แค่รู้สึกถึงลมที่เกิด รู้สึกตรงนี้ รู้ได้จากใจ ไม่ใช่การเพ่งดู แค่รู้สึก แผ่วเบา สบายๆ ไม่ไปยึดจับกับลม แค่รู้สึกเบาๆ สบายๆ ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ เป็น รู้ที่ใจ เป็นการเจริญมรรคผลที่ใจนะ เพราะเรารู้สึกสัมผัสได้ที่ใจ "
เราไป รู้สึกตัว รู้สึกที่ใจ โดยรู้ผ่านความรู้สึกของลม
ทําอย่างนี้ เราไม่ไปเพ่งจองดูลมนะ ยกเว้นจะจิตใจวอกแวกมากๆ แล้วอยากจะเอาสมถะแบบเพ่ง เข้ามาช่วยให้ใจวอกแวกน้อยลง สามารถทําได้
เป็นการ รู้สึก รู้สึกถึงลม ที่เข้า ที่ออก แต่ไม่ต้องไปคิด ว่าลมเข้าลมออก การไปคิดมันเป็นการไปปรุงแต่งใจกําหนดรู้ลม เป็นความคิด วิปัสสนาไม่เกิดนะ แต่เวลาสอนกัน ก็มักพูดแบบนั้น ทําให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
อย่าไปคิด แต่ก็อย่าไปห้ามความคิด แต่ให้รู้สึก รู้สึกถึงลม ลมเข้าก็รู้สึก ลมออกก็รู้สึก แต่อย่าไปให้ความหมายว่าลมเข้าลมออก มันเป็นการปรุงแต่งความคิด ให้แค่รู้สึก แว๊ปแรกที่รู้สึก ลองสังเกตุดีดีสบายๆนะ จะรู้ได้ว่า รู้สึกนี้ เกิดที่ใจ เกิดกับจิตเรา ที่เข้าไปรู้สึก ตรงนี้หล่ะ มรรคที่จิตนะ
หากมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมและทําถูก จะต้องก้าวหน้าเห็นผลชัดเจน หากไม่เกิดความก้าวหน้าทางปัญญา แสดงว่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิดไปหมด ให้พิจารณาดูว่า " รู้สึกตัว " ถูกหรือไม่
.
ที่ผิดพลาดกันคือ " ไปคิดรู้สึกตัว " การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปห้ามความคิด แต่ไม่ใช่การใช้ความคิด
.
" มิจฉาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติผิด = ไปคิดรู้สึกตัว รู้สึกตัวผิด = การไปเพ่ง = การไปพยายามมาก = การไปตามรู้แบบยึด = การมีมานะ = การเกิดอัตตา = การหลงเพลินแช่ = ก็ล้วนเป็นการหลงในความคิดไม่จบ คิดเรื่องเดียวหรือหลายเรื่อง ก็คือความคิด = จิตผู้รู้โดนปกคลุมด้วยความคิด = จิตผู้รู้อ่อนแอ อยู่ในโลกความคิด ไม่อาจสําแดงการรู้ อย่างอิสระ = จิตไม่ตั้งมั่นไหลไป = ปัญญาญาณไม่เกิด มีแต่ปัญญาความคิด = สักว่าคิดเอาแต่คิด = ที่เข้าใจว่าปฏิบัติมานาน แล้วก้าวหน้า เกิดสภาวะธรรมแปลก ล้วนเป็นเพียงการหลงอยู่ในความคิดระดับสูงขึ้นไป หลงในสภาวะแห่งจิต จนกลายเป็นนิมิตต่างๆ สภาวะต่างๆมากมาย ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิด " เข้าใจว่าการนั่งคิด คือการปฏิบัติ " แตกความคิดออกมามากมาย ไม่รู้จบ
.
" สัมมาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง = รู้สึกตัวให้ถูกต้อง = รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย = จิตตั้งมั่น = จิตผู้รู้ อิสระ = จิตผู้รู้เด่น เข้มแข็ง = ว่างแบบรับรู้อารมณ์ความคิด = รู้ทันอารมณ์ความคิด = เกิดปัญญาญาณ = เจริญวิปัสสนา = ไม่เข้าไปยึดความคิด = ไม่เพ่ง ไม่ฟุ้ง รู้ตัว = ไม่หลงอยู่กับความคิด = ไม่เกิดปัญหาจากการคิด ตามมามากมาย = สักว่ารู้ว่าเห็น
.
หาก " รู้สึกตัว " ให้ถูกต้อง ติดกระดุมเม็ดแรกถูก รู้สึกตัว ไม่เข้าไปยึดถือความคิด รู้ทันความคิด รู้สึกตัว เกิด สัมมาสติ เกิด สัมมาสมาธิ มรรคย่อมเจริญเองอัตโนมัติ เส้นทางเดินนี้ ใจเราเองเป็นผู้นําทาง
ภพชาติไม่มีวันจบ เพราะมัวแต่คว้าเงา
เห็นกิริยาของใจ แค่รู้ทันมัน มีสติรู้สึกตัว มันวางไปเรียบร้อยแล้ว
สติจึงมีความสําคัญมาก แพ้ชนะ วัดกันที่ความไวตรงนี้ ตรงที่รู้ทันเห็นทัน ไม่ใช่เผลอเพลิน หมั่นเจริญสติรู้สึกตัว
จิตผู้รู้ที่มันมี ตัณหา สมุทัยของใจ ผู้อยู่เบื้องหลังของจิตเชื่อมโยงอยู่นั้น
มันจึงได้กลายไปเป็นคลื่นตัณหา ซ้อนจิต มันจึงได้กลายไปเป็นด่านปราการ อันมืดบอด
ปิดบัง บดบังท่วมทับ ใจอนัตตา ภายในนั้นเอาไว้ จนมืดบอด
การจะสลายอุปทาน การบดบังของผู้รู้ ที่มันมีระบบคลื่นตัณหา ผนวกไว้อยู่ในจิต ที่มันเกิดดับได้นั้น
มันก็คือการไม่ไปหลง ยึดมั่นถือมั่น ในจิตที่มันมีธรรมชาติที่มันเกิดดับได้เอง
ไม่ไปหลงยึดมั่นถือมั่นในผัสสะที่ถูกรู้ที่มันมีธรรมชาติที่มันเกิดดับได้เอง
ธรรมชาติ ของการเกิดดับไป ของมันเอง ของผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้
ู้แบบระบบของจิตใจที่มันไร้เจตนา อัตตากรรม
ในรูปนามแห่งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้นั้นแหละ
มันคือมิติแห่งการสลาย คลื่นอัตตาซ้อน ของตัณหาของจิตใจ
เมื่อใจไร้ตัณหาในการทับถมจิตเสียแล้ว
ใจอนัตตาอันว่างเปล่านี้ เขาก็จะไม่มีสิ่งใดๆมาปิดบัง มาบทบัง ใจอนัตตาได้อีกต่อไป
ใจดวงนั้นเขาจึงว่างเปล่าๆแบบถึงที่สุดในธรรมชาติของใจอนัตตา
เพราะใจมันไร้คลื่นอุปทาน แห่งความหลงเสียแล้ว
ใจมันจึงว่างเปล่า จนไร้ตัว ไร้ความรู้สึกว่า มีตนของตน มันจึงไร้การปรากฎ ในสิ่งใดๆอีกต่อไป ในใจอันว่างเปล่าดวงนั้น
เมื่อไม่มีเราในใจดวงนี้เสียเเล้ว
ก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาจิตหรือตัณหาใดๆ ไปเฝ้ารอสิ่งใดๆอีกเลย นั้นคือการหมดภาระ แห่งการหลงว่ามีตัวว่ามีตนของตนเสียที
*จอมปราชญ์*
" จบที่ใจ " ควรปล่อยวางใจ และมีสติอยู่กับตนเอง รู้ความรู้สึกตนเอง พอรู้แล้วก็ให้ทิ้ง (ไม่ว่าไม่ดีหรือดี) ให้รู้สึกตัว มีสติ อย่าไปยึดถือสิ่งที่มากระทบใจ ปล่อยวาง
อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
ยึดมั่นถือมั่นใน เบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา"
อุปาทาน 4 อย่าง
กามุปาทาน ยึดติดในกาม
ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ
สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย
อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
ใจที่อยู่กับขณะปัจจุบัน ย่อมไม่มีกาลเวลาอีกต่อไป แม้แต่เวลาปัจจุบันก็ไม่มี เวลาที่ไม่มีเวลา มีแต่รู้ รู้ที่เป็นอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งรู้ รู้ได้ทั่วทั้งจักรวาล ดังเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล พลังของจิตมีอํานาจยิ่งใหญ่มากนัก ถ้าควบคุมจิตตนเองได้ ก็สามารถควบคุมสิ่งที่เข้ามากระทบเราได้ทั่วทั้งจักรวาล...