|จิ ต ไม่ มี ตั ว ต น|
จิตเหมือนวอก (ลิง)นี่แหละ
แล้วแต่มันจะไป
บั ง คั บ บั ญ ช า มั น ไม่ ได้
แล้วแต่มันจะปรุงแต่ง
บอกไม่ได้ ไหว้ไม่ฟัง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า
ให้วางมันเสีย อย่าไปยึด
ถือมัน....
______________________
-หลวงปูขาว อนาลโย-
คติธรรม คำสอน...หลวงพ่อดาบส สุมโน
"ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่"
ถึงแม้จิต จะยังอาศัยอยู่ในกาย
แต่จิต ไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต
อย่าเอาจิต ไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ปล่อยไป เพียงแต่ ผ่านมา ผ่านไป เท่านั้น
ถ้าทรงอารมณ์อยู่ จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใคร วางเฉยไม่ทุกข์ร้อน
ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่
อารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์
เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มี สำหรับเรา
เราไม่มี สำหรับกาย
จิตจะสะอาด เบิกบาน ผ่องใส
พ้นจากความยึดมั่นในของปลอม ของทุกข์ ของร้อน
พระท่าน เรียกว่า จิตของพระอรหันต์
วิธีทำจิตให้ว่างจากกายเรา กายเขา แบบนี้
เป็นวิธีลัดแบบง่าย มีแต่พรหมวิหาร ๔
ไม่ยึดถืออารมณ์ใดๆมาไว้ในจิต
มีความจำได้หมายรู้ ก็เหมือนไม่มีความจำ
เพราะความจำอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็ลืม
ประสาทสมองลืมง่าย
ความคิด ความจำ ความฟุ้งซ่าน วิตก กังวล เป็นเรื่องของกาย ให้สลัดทิ้ง
ให้จิต เต็มไปด้วยพระธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า
จิตจะเบา บริสุทธิ์ สะอาด
จิตอันนี้ เราจะตามรอยพระพุทธบาท เมื่อกายพังแตกสลาย
ผู้เพียร ทำจิตให้ว่างจากร่างกาย หรืออารมณ์ ต่างๆ แบบนี้ เป็นแบบของพระอริยเจ้า
เป็นสมาธิ เป็นวิปัสสนาญาณ อยู่ด้วยกัน
ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน
ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียวและอยู่แบบหมู่คณะ
เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน
เป็นทางลัดตรงไปสู่จุดหมายปลายทางคือ พระนิพพาน
ยอดธรรม ยอดคาถา
เวลาจะภาวนา ให้ว่ายอดธรรม ยอดคาถานี้ก่อน ถ้าหลายคนว่าพร้อมกัน
(ยะโขธัมมัง วรังตัสสะ เยชะนาเต ชะนาวะรัง โกจิตตังสัง ขะตังมุตโต เอโสปาระโม ทุกขังขะโย)
ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล, เป็นธรรม ไม่มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
เป็นธรรมกวมทั่ว(คงที่),ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆอันจักพึงติดต้อง, เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ
วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแล, เป็นธรรมพึงประจักษ์เฉพาะตน, อันบุคคลจักพึงเห็นเอง, คือพระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด, ที่เรียกว่าฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก, เป็นธรรมประเสริฐ, อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ
เยชะนาเต บรรดามนุษย์ทั้งหลาย, ชนเหล่าใดที่เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย,
อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย,
ส่วนหมู่สัตว์ คือ ชนนอกจากนี้ๆ, ย่อมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง, คือไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ,
ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่น อยู่นั่นแหละ เหมือนหลับอยู่,
ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดประพฤติตามธรรม, ในธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว, ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
ชะนาวะรัง ก็ชนใดทำจิตของตน, ไม่ให้มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังมาไม่ถึง, ไม่ให้มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ,
ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
หรือมิฉะนั้น ชนใด, เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปอารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ,
ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง,
เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
โกจิตตังสัง ก็จิตของเรานี้เล่า, มันเพลิน เที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่ เหมือนหลับอยู่,
ขะตังมุตโต ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์, จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ
เอโสปาระโม เหตุนั้นกาลบัดนี้, เราจักทำจิตของเรา ไม่ให้มี ที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มี ที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มี ทั้งที่กำลังเป็นอยู่,
ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับฯ
ทุกขังขะโย เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น
หรือมิฉะนั้น, เราจักกำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ,
เพื่อประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง,
ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น, ซึ่งเป็นธรรมประเสริฐ, คือพระนิพพานเป็นที่หลุดรอด,
ตามที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว...นั้น นั่นแล
☇ขั้นแรกเราจะมาปล่อยวางกายวางใจไม่ได้หรอก
ค่อยๆ ฝึก #ปล่อยอารมณ์ก่อน
เวลาความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นนะ
เวลาจิตไปรู้อะไรเข้า จิตชอบไหลเข้าไปเกาะสิ่งนั้น
ไปยึดตัวอารมณ์ที่จิตรู้ ถ้าเราค่อยๆ ฝึกนะ
เราจะเห็นจิตเคลื่อนเข้าไป ยึดรูป ยึดเสียง
ยึดกลิ่น ยึดรส ยึดสัมผัส ยึดเรื่องราวที่คิด
จะเห็นจิตไหลเข้าไปยึดสิ่งเหล่านี้
ถ้าเราเห็นจิตไหลเข้าไปยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
หรือความคิดนึกทางใจ
มันจะปล่อยรูป ปล่อยเสียง ปล่อยกลิ่น ปล่อยรส
ปล่อยสัมผัสทางใจออกไปได้
สัมผัสทางกายทางใจปล่อยออกไปได้
เรียกว่า ปล่อยวางอารมณ์"
..............................................................................
...เราต้องมาพัฒนาสติพัฒนาปัญญาของเรา
จนจิตใจเรารู้ความเป็นจริง
ความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกอย่าง
ที่เกิดขึ้นในกายในใจเรา
ถ้าเห็นตามความเป็นจริง ใจจะคลายความยึดถือ
สุดท้ายจะพ้นทุกข์ไป
พ้นทุกข์คือมันหมดความยึดถือในกายในใจ
นี่เป็นศาสตร์ที่อัศจรรย์มากเลยนะ
ไม่มีใครสอนได้ ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้า
สอนให้เราเรียนรู้ เจริญสติ เจริญปัญญา
ไปจนกระทั่งเห็นความจริงของกายของใจ
พอเห็นความจริงของกายของใจแล้ว
มันไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือจิตใจ
จิตปล่อยร่างกายออกไปได้ จิตปล่อยตัวจิตเองได้ด้วย
นี่อัศจรรย์ที่สุดเลย
เวลาสภาวะที่จิตปล่อยวางตัวเองได้
ครูบาอาจารย์บางทีท่านเล่าว่า โลกธาตุสะเทือน
มันเป็นของอัศจรรย์
พวกเราค่อยๆ ฝึกไป
ขั้นแรกเราจะมาปล่อยวางกายวางใจไม่ได้หรอก
ค่อยๆ ฝึก ปล่อยอารมณ์ก่อน
เวลาความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นนะ
เวลาจิตไปรู้อะไรเข้า จิตชอบไหลเข้าไปเกาะสิ่งนั้น
ไปยึดตัวอารมณ์ที่จิตรู้ ถ้าเราค่อยๆ ฝึกนะ
เราจะเห็นจิตเคลื่อนเข้าไป ยึดรูป ยึดเสียง
ยึดกลิ่น ยึดรส ยึดสัมผัส ยึดเรื่องราวที่คิด
จะเห็นจิตไหลเข้าไปยึดสิ่งเหล่านี้
ถ้าเราเห็นจิตไหลเข้าไปยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
หรือความคิดนึกทางใจ
มันจะปล่อยรูป ปล่อยเสียง ปล่อยกลิ่น ปล่อยรส
ปล่อยสัมผัสทางใจออกไปได้
สัมผัสทางกายทางใจปล่อยออกไปได้
เรียกว่า ปล่อยวางอารมณ์
ขั้นสูงขึ้นไปมันจะปล่อยวางความยึดถือกาย
สลัดคืนกายให้โลก ไม่ยึดถือกาย
แล้วต่อไปร่างกายจะแก่ก็เรื่องของร่างกาย
ร่างกายจะเจ็บก็เรื่องขงร่างกาย
ร่างกายจะตายก็เรื่องของร่างกาย
รักษาได้ก็ให้หมอรักษาไป
รักษาไม่ได้ก็แจกสลายไปตามธรรมชาติธรรมดา
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความทุกข์
เพราะว่าเสียดายร่างกายนี้
ฝึกสุดขีดไปแล้วจะปล่อยวางความยึดถือทางใจได้
ถ้าทางใจยังไม่ยึดถือ
อารมณ์ทางใจก็จะไม่ยึดถือไปด้วย
จะสุข จะทุกข์ จะดี จะชั่ว
ไม่ทำให้จิตใจกระเพื่อมหวั่นไหวได้เลย
จิตใจพ้นจากความปรุงแต่ง
พ้นจากการเสียดแทงของสุข ของทุกข์
ของดี ของชั่วทุกสิ่งทุกอย่างไป
จิตใจเข้าสู่ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรเข้ามากระทบกระเทือนได้อีก
นี่เป็นศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
ถ้าพวกเราไม่ละเลย ไม่ท้อถอยซะก่อน
ค่อยเรียนค่อยรู้ไป
วันหนึ่งจะมาถึงจุดที่หลวงพ่อบอก
.......
⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช