5 คุณสมบัติของจิตทรงปัญญา
#พศิน อินทรวงค์
1. มองทุกสถานการณ์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ให้ค่าบวกหรือลบ แต่ตระหนักรู้ว่า สิ่งใดๆคือภาวะที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้น เมื่อมีเหตุมันก็เกิด เมื่อเหตุดับมันก็ดับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
2. ไม่แบ่งแยกตนเองจากสรรพสิ่ง โดยมองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก ดำรงชีวิตอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ของโลกเป็นสำคัญ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช้ความเป็นชาติ ศาสนา เพศ สีผิว เพื่อแยกมนุษย์ออกจากกัน
3. ออกจากโลกของความเป็นคู่ คือการมองทะลุผ่านมายาสมมุติของด้านตรงกันข้าม ขาวและดำ สุขและทุกข์ ดีและเลว ได้มาและเสียไป เมื่อวางจิตอยู่เหนือความเป็นคู่ได้แล้ว จิตย่อมเข้าสู่ภาวะความเป็นกลาง เปลี่ยนจากสุขทุกข์เป็นความเบิกบาน เปลี่ยนจากการคนดีคนชั่วเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้ง
4. ใช้ชีวิตอยู่เหนืออำนาจความคิดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอัตตาตัวตน เป็นผู้ดำรงตนโดยสัญชาติญาณว่า ในเราไม่มีเรา มีฉันอยู่แต่ไม่มีฉันอยู่ มีความรู้สึกแต่ไม่มีผู้รู้สึก
5. เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าเวลา นั่นคือตระหนักรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ตกอยู่ในมายาของอดีตและอนาคต เห็นความจริงว่าเวลาเป็นเพียงสิ่งที่เกิดดับสลับกัน นำไปสู่ความเข้าใจว่าเวลาไม่มีอยู่จริง
San Nirvana
ท่านพระ อัญญาโกณฑ้ญญะ ท่านจึงกล่าวว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายรวมตลอดเลย ว่าจะเป็นรูปหรือเป็นนามก็ช่างใช่หมดทั้งนั้น ความเห็นของท่านในขณะที่ท่านฟังเทศน์ของพระพุทธองค์นั้น เปลี่ยนขึ้นมาจนเห็นแจ้งจริง.
ออกจากที่นั่งแล้ว ก็ยังเห็นอยู่อย่างนั้น จริงอยู่อย่างนั้น อาการอย่างใดผ่าน เกิดขึ้นมา ก็เห็นความเกิด เมื่อมันดับไปแล้ว ท่านก็เห็นความดับ เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด.
ท่านก็เห็นมัน อันใดมันเกิดแล้วก็ดับ อันใดมันดับแล้วก็ดับไป เป็นอยู่เรื่อยไป สุขทุกข์ก็มากระทบจิตของท่านอยู่เสมอ แต่ว่าจิตของท่านเพียงแต่รับทราบ ไม่พลอยตกนรก ไม่พลอยไปสู่อบายไม่พลอยไปดีใจ ไม่พลอยไปเสียใจกับสิ่งเหล่านั้น จิตของท่านตั้งมั่น เด่นอยู่ พิจารณาอยู่อย่างนั้น.
นั่นเพราะท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านได้ดวงตา ดวงตาอันหนึ่งที่เห็นธรรมชาติตามเป็นจริง. ความรู้เท่าตามเป็นจริงของสังขาร สังขารมันเป็นจริงอย่างไร ก็รู้เท่าตามเป็นจริงของมันอย่าง นั้น นี่เรียกว่า ผู้รู้ธรรม ผู้เห็นธรรม รู้แล้วละ เลิก ถอน.
เมื่อมันเป็นธรรมแล้วก็หยุด สงบแล้ว ทีนี้ไม่เอาธรรมมาใช้ เพราะมันเป็นธรรมแล้ว ภายนอกก็ เป็นแล้ว ภายในก็เป็นแล้ว ผู้รู้ธรรมก็เป็นธรรม สภาวะมันก็เป็นธรรม อันที่รู้มันก็เป็นธรรม เป็นอยู่อย่างนั้น. เป็นอย่างเสรี เป็นหนึ่งเสียแล้ว.
ธรรมชาติอันนี้จึงไม่เกิด ธรรมชาติอันนี้จึงไม่แก่ ธรรมชาติอันนี้จึงไม่เจ็บ ธรรมชาตินนี้จึงไม่ตาย
ธรรมชาติอันนี้จึงไม่สุขไม่ทุกข์ ธรรมชาติอันนี้
ไม่น้อยไม่ใหญ่ ไม่หนักไม่เบา ไม่สั้นไม่ยาว ไม่ดำไม่ขาว ไม่มีเรื่องเปรียบเทียบ ไม่มีเรื่องจะเอามาเปรียบ สมมุติอะไรๆ เข้าไม่ถึง เข้าไม่ ถึงที่นั่น.
ฉะนั้น.พระนิพพาน ท่านจึงว่าไม่มีสีสันวรรณะสีเขียว สีแดง สีดำ อะไรไม่มี เรื่องสีเขียวสีดำ อะไรต่างๆ เป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องบัญญัติใน โลกีย์ เมื่อพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ไม่มีเรื่อง เหล่านี้ตามไปถึง.
ดังนั้น.จึงกล่าวว่าสิ่งนั้นเป็นโลกุตระ ธรรมะอันนั้นท่านจึงว่า เป็นปัจจัตตัง อันผู้รู้ก็ได้เฉพาะเจ้าของ ประกาศไม่ได้ มีแต่ให้อุบาย ผู้ที่เข้าไปถึงแล้วก็แล้ว จะเอาสมมุติบัญญัติมาพูดไม่ได้ มันหมด มันหมดสิ้น..
โอวาทธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท..
วิธีสังเกตว่าเราติดสมถะหรือไม่
วิสังขารจิต กุศล ญาณปัญญา
การที่ติดสมถะจะกลัวความคิด กลัวจิตปรุงแต่ง
เพราะมันจะไปรบกวนจิต รบกวนความสงบสุขที่มี
เพราะยังไม่เกิดปัญญา หรือวิชชาที่จะบริหารความคิดได้
ต้องให้โอกาสตัวเอง ในการฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
จนกว่าจิตจะเปลี่ยน เป็นวิปัสสนาได้ในวันหนึ่ง
เมื่อกุศลจิตเจริญมากพอ
การที่จิตไม่ปรุง ด้วยอำนาจของสมถะ
ไม่ถือว่าเป็นวิสังขารจิต เพราะไม่ประกอบด้วยญาณปัญญา
วิสังขารจิต จะเกิดได้ ด้วยญาณปัญญาเท่านั้น
ใครติดสมถะจะโชคร้าย เพราะกุศลไม่เจริญงอกงาม
เมื่อกุศลจิตไม่เจริญ ญาณปัญญาก็เกิดไม่ได้
Deva Nanda
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท
กรรมเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะ ผ่านทางอายตนะทั้งหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ดังนั้น การจะดับกรรมได้จึงต้องดับที่ผัสสะ
พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงอย่างยิ่ง(หรือจะว่าเป็นความลับสุดยอด)ของมนุษย์ ได้แก่ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นขบวนการของเหตุ (สมุทัย) และผล (ทุกข์) แห่งทุกข์ ตลอดถึงเหตุ (มรรค) และผล (นิโรธ) ของการดับทุกข์
ทรงเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาท หรือ วงจรกลไกการเกิดและการดับของความคิดซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ (หรือ อริยสัจใหญ่นั่นเอง)
▪ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นการอธิบายถึงการเกิด-ดับของสิ่งทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดดๆลอยๆโดยไร้สาเหตุ หรือ เกิดขึ้นเพราะมีผู้สร้างแต่อย่างใด
▪เมื่อเหตุพร้อม ผลย่อมเกิดตามมาเอง และ
▪ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามเหตุและปัจจัย
▪ไม่มีความคงทนถาวรหรือความเป็นอัตตาตัวตนที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาล จึงเกี่ยวเนื่องและนำให้เห็น “สามัญญลักษณะ” หรือ “ไตรลักษณ์” (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ในธรรมทั้งปวง
นอกจากนี้ ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นขบวนการที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของการทำงาน ของอายตนะ 6 และขันธ์ 5 ตลอดถึงการเกิดขึ้นของอัตตา และความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของความคิดปรุงแต่งที่เข้าข้างตนเอง หลงตนเอง เช่นที่พระองค์ทรงสอนไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้ว่า
》ทุกข์เกิดขึ้น เมื่อมีผัสสะหรือการกระทบสัมผัสระหว่างอายตนะภายใน 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) กับ อายตนะภายนอก 6 (แสง เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะหรือกายสัมผัส ความคิด) กระตุ้น “ภวังคจิต”หรือ “อาลยวิญญาณ” ยกขึ้นสู่ “วิถีจิต” เกิดจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ ซึ่งเป็นวิญญาณจำเพาะต่ออายตนะนั้นๆ
▪เกิด “เวทนา” (ความรู้สึก)
▪เกิด “สัญญา” (ความหมายรู้จำได้)
▪ตามมาด้วย “สัญเจตนา” (คือรู้อย่างอคติเข้าข้างตนเอง)
▪ทำให้เกิด “ตัณหา” (ความทะยานอยาก) หรือ “สมุทัย” คือเหตุแห่งทุกข์ นำไปสู่การตรึกวิตกกังวล (วิตก) มีผลให้เกิดการตรองครุ่นคิด (วิจาร) ทำให้เป็นทุกข์เพราะความคิดที่หวังผลประโยชน์ให้กับอัตตาตัวตน
“ผัสสะ”จึงมีบทบาทสำคัญมาก ดังที่หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวเตือนสั้นๆไว้ว่า เป็นเพราะ “ผัสสะโง่” ด้วยขาดสติ-สัมปชัญญะ จึงทำให้ทุกข์
และ “อย่าให้โง่ด้วยผัสสะ” พึงมีสติ-สัมปชัญญะเมื่อกระทบกับผัสสะ จึงจะเป็นผัสสะที่ฉลาด ไม่เป็นทุกข์
》จิตที่ฝึกดีแล้วด้วยจิตภาวนา เป็นจิตที่มีสติและความรู้สึกตัว(สัมปชัญญะ) จะสามารถสัมผัสรับรู้ด้วยการ “รู้ซื่อๆ” รู้อย่างเป็นกลางตามความเป็นจริง ด้วย “สัญญาบริสุทธิ์” ปราศจากการคิดปรุงแต่งต่อเติม นั่นคือ ไม่ปล่อยให้เกิด “สัญเจตนา” (มโนสัญเจตนา) ซึ่งเป็นการรู้อย่างอคติลำเอียงเข้าข้างตนเองตามมา
》ผลก็คือ เกิดความ “ไม่มี – ไม่เป็น อะไรกับอะไร” - หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ซึ่งท่านยกย่องสภาวธรรมเช่นนี้ว่า เป็น ‘มงกุฏของกรรมฐาน’
▪“ไม่มี” คือ ไม่มี “มมังการ” ว่าเป็นของเรา นั่นคือ เราไม่ได้มีขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
▪“ไม่เป็น” คือ ไม่เป็น “อหังการ” ว่าเป็นเรา นั่นคือ เราไม่ได้เป็นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
▪“อะไรกับอะไร” ก็คือ เราไม่ได้มีในขันธ์ 5 และ ขันธ์ 5 ก็ไม่ได้มีในเรา
นั่นคือ “อัตตา” ที่เรายึดถือขึ้นมาจากขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งรวมกันขึ้นมาเป็นชีวิตหนึ่งๆนั้นว่า เป็นตัวตนนั้น มิได้มีอยู่จริง (ปุคคลสุญญตา)
แม้ขันธ์แต่ละขันธ์ในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างก็ปราศจากตัวตนเช่นกัน (ธัมมสุญญตา หรือ ธรรมสุญญตา) ดังนั้น จึงเป็นภาระเป็นของหนัก เมื่อไปยึดติดในขันธ์ 5 จึงเป็นทุกข์
ต่อเมื่อจิตเห็นความจริง ยอมรับความจริงว่า ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตา เป็นสุญญตา จิตย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และหลุดพ้น
ผัสสะที่เกิดขึ้นจึงเป็นกลางๆ เป็น”ปกติ” ไม่แฝงไว้ด้วยอัตตา ตัวตน ปราศจากตัณหาและทิฏฐิตามมา จึงเป็นเพียง “กิริยา” ไม่ส่งผลให้เกิด “กรรม” ไม่เกิดทุกข์ตามมาอีกต่อไป
พระอรหันต์เมื่อเข้าถึงพระนิพพาน ก็จะตัดขาดจากกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ไม่อาจส่งผลให้กับท่านได้อีกต่อไป เพราะจิตของท่านบริสุทธิ์ ปราศจากอัตตาตัวตนที่จะพาไปเกิดอีก แต่พระอรหันต์ก่อนที่จะดับขันธ์หรือตายไปจากกายเนื้อนี้ก็ยังอาจเสวยกรรมวิบากได้อยู่ ต้องรับผลกรรมที่ตนได้เคยกระทำไว้ในอดีต เช่น พระองคุลีมาลย์ ถูกปาด้วยก้อนหิน และพระโมคคัลานะ ถูกทุบตีจนตาย ซึ่งเป็นผลจากกรรมเก่าที่เคยทำไว้ เป็นต้น
“ตราบใดที่ยังมีอัตตา ตราบนั้นก็จะยังต้องไปเกิดอีก” – พระนาคเสนกล่าวตอบพระยามิลินท ในมิลินทปัญหา
เหตุเกิดแห่งกรรม และความดับแห่งกรรม
"...ตาย เป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันกระจัดกระจายไป เขาก็เรียกว่าตาย ใช้การไม่ได้เขาก็เรียกว่าตาย จิตใจมันไม่ได้ตาย
จิตใจไม่ได้ตาย นั้นย่อมส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราว่าท่านดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว มันก็เป็นแต่ว่า ดวงจิตดวงใจของท่าน ส่วนหนึ่งร่างกายของท่านแตกดับไป แต่จิตใจเป็นของไม่ตาย
แต่จิตนี้ เมื่อละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หมดไปแล้ว ออกจากจิตใจไปแล้ว เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องใส จะอยู่ที่ใดเป็นอะไร ก็ชื่อว่าอยู่ในนิพพาน..."
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
"อย่าติดอารมณ์ หลงอุปาทาน"
.
ปกติจิตมีหน้าที่รับอารมณ์ แต่ไม่ไปให้ค่าวิตกวิจารณ์ ก่อนคิดนั้นว่าง พอคิดไปวิตกวิจารณ์ให้ค่า ทําให้ไม่ว่างเสียความปกติจิต จิตเข้าไปยึดถือกับอารมณ์ความคิด ที่ปฏิบัติธรรมนั้นเพื่อเข้าถึงความว่าง จิตผู้รู้ตั้งมั่นไม่ยึดอารมณ์ มีแต่รู้แต่ไม่ยึดถือให้ค่า เพื่อเจริญปัญญา แต่ไปทําไปยึด มันไม่ว่าง ปัญญาก็ไม่เกิด
.
ยิ่งคิดหาเหตุผลไม่เลิก เท่ากับอุปาทานไม่เลิก ธรรมชาติของจิต จะเข้าข้างตัวเอง เหตุผลที่เกิดตามมาล้วนหนุนความหลงผิดของตัวเองอีก ยิ่งเห็นว่าตัวเองถูก หลงอุปาทานโดยไม่รู้ตัว เกิดเป็นความคิดลูกความคิดหลาน สนับสนุนต้นตอแห่งอุปาทานความคิดที่เกิดจากกิเลสตน ไม่รู้ทันใจตัวเอง ก็หลงเพลินร่ำไป
.
ดูอุปาทาน รู้ทันอุปาทาน รู้ทันใจตน เห็นอุปาทานไปก่อให้เกิด การขยับใจ ขยับกาย ผลักดันเป็นความคิดการกระทํา ทําบ่อยติดก่อเป็นพฤติกรรมสันดาน เห็นตรงนี้ปล่อยตรงนี้ เห็นเองปล่อยเองไม่มีการไปกระทําเพื่อปล่อย
.
อุปาทานไม่เลิกคิดมากไม่พ้น ต้องพวกสิ้นคิด แต่ไม่ไปห้ามความคิด "ให้รู้ทัน รู้สึกตัว จะหมดอุปาทาน"
ในความเห็นของคนทั่วไป ชีวิตมีทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงเห็นเช่นนั้น
ทรงเห็นมีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ และมีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
พระองค์ทรงเห็นความจริงว่ากายและใจเรานี้เป็นทุกข์ล้วน ๆ
ความสุขที่ปุถุชนรู้สึกคือความทุกข์ที่ลดน้อยลงไปเท่านั้นเอง
ความทุกข์ที่เราเห็นได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันของเรา ก็คือ อิริยาบถ
ไม่มีใครยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถเดียวได้ตลอดทั้งวัน
ในชั่วเวลาหนึ่งเราอาจคิดว่าท่านั่งเป็นท่าที่สบายที่สุด
แต่ถ้าต้องนั่งนาน ๆ โดยไม่ลุกเลย ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นแน่ ๆ
เมื่อได้เปลี่ยนอิริยาบถ เราจะรู้สึกมีความสุขสบายขึ้น
แต่อิริยาบถนั้นอยู่ได้ไม่นาน เราก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถอีก
นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความสุขที่เรารู้สึกนั้น
แท้จริงแล้วมิได้มี มีแต่ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเอง
วันหนึ่ง ๆ เราบำบัดทุกข์ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถเป็นร้อยเป็นพันครั้งโดยไม่รู้สึกตัว
เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถโดยสัญชาตญาณ
พระพุทธเจ้าทรงเห็นประโยชน์จากการเปลี่ยนอิริยาบถ
ว่าสามารถแปลงให้เป็นปัญญาญาณได้ โดยให้มีสติเข้าไปรู้
ให้เห็นทุกข์ที่ซ่อนอยู่อิริยาบถต่าง ๆ ว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างไร
การเห็นเช่นนี้คือการเห็นไตรลักษณ์
ให้เราหมั่นเอากายเป็นที่ตั้งแห่งสติ
เมื่อดูกายบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
จะเกิดจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้น
ทำให้มองเห็นจิตเคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติด้วย
เมื่อเห็นกายเห็นจิตชัดเจนจะเห็นธรรมะ
คือเห็นชีวิตมีแต่ความทุกข์เหมือนที่พระพุทธเจ้าเห็น
เมื่อเห็นทุกข์ ก็ต้องแก้ทุกข์ที่สาเหตุ เพื่อให้ทุกข์ดับ ด้วยวิธีการที่มีสัมมาสติ
นี่คือการรู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นเอง
-พระอาจารย์มหาดิเรก พุทธยานันโท-
คติธรรมคำสอน องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
"จิตแท้คือผู้รู้" มีอยู่อันเดียว
มากมายหลายอย่างเป็นอาการของจิต
เมื่อรู้เรื่องของจิต จิตก็สงบ ที่ไม่สงบคืออาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต
ไม่รู้เรื่องของจิต ก็จะเห็นจิตกับอาการของจิตเป็นอันเดียวกัน มันก็วุ่นวายอยู่อย่างนั้น
เมื่อรู้เรื่องของจิต ถึงจะรู้วิธีดับจิตดวงสุดท้ายด้วยปัญญาญาณ ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่งของปุถุชน
ความงดงาม คือ การเห็นความจริง 😊
เห็นความจริง คือ การยอมรับความจริง
ความจริงของธรรมชาติ ที่มันต้องเป็นอย่างนี้
มันเป็นของมันอย่างนี้ อยู่เสมอๆ ซ้ำๆ
ของเดิม เกิดซ้ำๆ แต่เปลี่ยนรูปไป แต่มันอันเดิม
ไปหวังไม่ได้ ไปบังคับไม่ได้ ไปคาดเอาไม่ได้
โลก ยังมีครบทุกสิ่ง แต่ไม่ยึด ไม่อยาก ก็ไม่ทุกข์
เห็นตามจริง ยอมรับทุกสิ่งตามความเป็นจริง
ในแบบที่มันเป็น ว่ามันเป็นของธรรมดา
เมื่อเห็นความธรรมดา มันก็จะทุกข์ไม่ได้
จิตถอดถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่น
ที่ตัวกูของกู ชูคอไปกอดเอาอะไรทั้งหลายทั้งปวงมาถือไว้ แบกไว้ มันก็เห็นความจริง ที่เหนือไปจากการปรุงแต่ง ในตัวกูของกู
ยอมรับความจริง ความจริงที่เป็นไปของโลกได้ ในทุกสิ่ง ..จิตถอดถอน ออกจากความหลงยึด ..จิตเห็นแจ้งในความจริง ที่พ้นไปจากรูป เห็นความจริงเหนือรูป เหนือนาม มันก็อิสระเอง
#จิตอิสระ ขันธ์ยังต้องใช้ เพราะมันยังไม่ตายถาวร ก็ตายก่อนตาย คือทำโดยไม่แบก ชีวิตจึงไม่หนัก 😊😊
Cr.วัชระ อุตพุธ 🙏ค่ะ
ความจริง ถูกความคิดปรุงแต่ง ปิดบังไว้
ความจริง จะเห็นได้ ก็ต่อเมื่อ
รู้ทันความคิดปรุงแต่ง เป็นอิสระ
จากความคิดปรุงแต่ง แล้วรู้สึกถึงสิ่งที่รู้สึก
อยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นเคลื่อนตลอด
ไม่จมแช่อยู่นานๆ ความรู้สึกต่างๆ
ก็เปลี่ยนแปลงตลอด นี่เป็นความจริง
ที่ต้องเรียนรู้ เรียนรู้ด้วยจิต ที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง
.....................................
บางครั้งเราอาจจะท้อแท้สิ้นหวัง
บางครั้งเราอาจจะลังเลสงสัยว่าจะไปทางไหนดี
บางครั้งเราอาจจะสับสนในหนทางที่มากมาย
บางครั้งเราอาจจะไม่แน่ใจในตัวเอง หรือครูบาอาจารย์
บางครั้งเราอาจจะมั่นใจในทางและความคิดเห็นของเรา
บางครั้งเราอาจจะ .....ฯลฯ
ให้เข้าใจไว้นะว่าสิ่งเหล่านั้น
เป็นเพียงแค่อาการของจิตเท่านั้น
ให้พากันรู้ทัน ไม่ไหลไปกับมัน ให้รู้อยู่ที่รู้ก็พอ
รู้สึกอยู่ที่กาย รู้สึกอยู่ที่จิต ในปัจจุบัน
ถ้าเรารู้อย่างถูกต้องแล้ว แม้ในการรู้นั้น
เราก็ไม่ไปยึดเหนี่ยวไว้ เมื่อนั้นเราจึงไม่ต้อง
แบกความทุกข์ที่เกิดจากอาการของจิต
เพราะทุกสิ่งนั้นตกอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน
คือความไม่แน่นอน คงทนอยู่ไม่ได้
ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
คำว่ากามคุณอารมณ์หมายถึงรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่ดี
กามคุณอารมณ์เป็นตัวอารมณ์ แต่ตัวที่เข้าไปยินดีติดใจ
เป็นตัวกามฉันทนิวรณ์
ตัวอารมณ์ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าใคร่น่าปรารถนานั้นอย่างหนึ่ง ตัวที่เข้าไปยินดีติดใจนั้นก็อย่างหนึ่ง
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั้น เป็นเพียงอารมณ์
ไม่ใช่ว่าไปโทษรูปสวย เสียงไพเราะ
.
อย่างบางคนไปบอกว่านั่นคือตัวกิเลสบ้าง ไปเห็นรูปสวย ๆ บ้าง บอกว่านั่นคือตัวกิเลส ที่จริงแล้วไม่ถูก
กิเลสมันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่อารมณ์
พระอรหันต์ท่านก็เห็นเหมือนกัน
.
พระอรหันต์ท่านก็เห็นรูปสวย ได้ยินเสียงไพเราะ กลิ่นหอม
รสอร่อย สัมผัสที่ดีเหมือนกัน แต่ท่านไม่มีความรู้สึกยินดี พอใจติดใจ
.
ฉะนั้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั้น เป็นเพียงอารมณ์
ท่านใช้คำว่ากามคุณอารมณ์ มีคำว่าคุณอยู่ด้วย
จึงไม่ใช้กามโทษ ใช้คำว่ากามคุณ
ที่จริงมันมีคุณ เพราะว่ามันเป็นผลของบุญ ใคร ๆ ก็ปรารถนา ไม่มีใครเลยที่จะไม่ปรารถนา รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ทุกคนปรารถนาทั้งนั้น
.
คนที่จะได้รับก็ต้องมีบุญ ทำบุญไว้จึงมาได้เห็นภาพดี ๆ
มาได้ยินเสียงไพเราะ ได้กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสดี ๆ
ต้องมีบุญกุศลไว้ เมื่อไปรับสัมผัสอารมณ์ที่ดีนั้นแล้ว
ก็เกิดความยินดีติดใจ ความยินดีติดใจอันนี้ต่างหาก
เป็นตัวกามฉันทนิวรณ์
องค์ธรรมก็คือ โลภเจตสิก ความโลภ ความต้องการ
ติดใจในอารมณ์ เป็นโลภะแล้ว
.
ฉะนั้นก็ขอให้ทำความเข้าใจว่า ขณะที่เห็นภาพสวย ๆ
ได้ยินเสียงไพเราะแล้ว เกิดความยินดีติดใจ ขณะนั้น โลภะเกิดขึ้นแล้ว อกุศลธรรมเกิดขึ้นแล้ว
.
ถ้าไม่เรียนก็จะคิดว่าไม่ได้มีอะไร ไม่ได้เป็นอกุศล
พอเราได้ศึกษารู้ว่า อ๋อ นี่เป็นอกุศล และได้เป็นผู้เจริญสติ
ก็จะเห็นสภาวะของความยินดีติดใจนั้น จะมีความดิ้นรนอยู่ ไม่มีความสงบ ไม่มีความเป็นปกติ
.
นักปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไป เกิดกามฉันทะขึ้นมา บางทีการปฏิบัตินั้น ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ ก็สืบเนื่องมาจากความตรึกนึกคิดนั่นเอง ถ้าไม่มีการปรุงแต่นึกคิดไปเป็นมโนภาพ
เป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ความยินดีติดใจในกามคุณอารมณ์นั้น ก็ไม่เกิดขึ้น
ฉะนั้นกามฉันทะไม่ได้หมายถึง ในเรื่องของกาม ในเรื่องของเพศอย่างเดียว ความพอใจติดใจในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม นั่นก็เป็นกามฉันทะ
.
ต้องมีสติรู้เท่าทันเมื่อเกิดขึ้น อย่าปล่อยให้จิตคิดปรุงแต่งไปในเรื่องต่างๆ มิฉะนั้นกามฉันทะมันก็เกิดขึ้น
ต้องคอยระลึกรู้เท่าทัน ความคิดความตรึกนึกคิด
เมื่อเกิดกามฉันทะขึ้นมาแล้ว ก็กำหนดรู้สภาวะของกามฉันทะนั้น มันก็จะสงบตัวลง
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เรา..ก็คือก้อนอัตตาตัวตน เมื่อมีก้อนอัตตา
เมื่อใดแล้ว สุขก็ถูกเรา ทุกข์ก็ถูกเรา อะไร
ก็ถูกเราหมด.
ฉะนั้น..สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงว่าให้
ทำลายก้อนอัตตา เมื่อทำลายก้อนอัตตาคือ
สักกายทิฏฐินี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว อนัตตา
มันก็ไม่ต้องเรียก มันเป็นของมันเอง เมื่อหมด
อัตตา อนัตตาก็เกิดขึ้นเอง.
เมื่อบุคคลถือเนื้อถือตัว ก็จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่
ตน เห็นว่าเราสุข เห็นว่าเราทุกข์ เห็นว่าเราดี
เห็นว่าเราชั่ว เห็นว่าเราต่างๆ นานา.
ความจริงสิ่งเหล่านี้ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น
แต่เรากลับไปเอาธรรมชาติมาเป็นเรา เอาเรา
มาเป็นธรรมชาติ เลยไม่รู้ว่าธรรมชาติคืออะไร
ธรรมชาติมันดีก็หัวเราะกับมัน ธรรมชาติมันร้าย
ก็ร้องไห้กับมัน.
ความจริงธรรมชาติก็คือสังขาร อย่างเราว่า.
.เตสัง วูปะสะโม สุโข..ความสงบของสังขาร นั้นเป็นสุข สงบอะไรล่ะ ก็คือ ถอนอุปาทาน ออกมา เห็นธรรชาติตามเป็นจริงของมัน.
เดี๋ยวนี้ความจริงของมันมีอยู่ มันเป็นจริงอยู่ ต้นหญ้า ภูเขา เถาวัลย์ มันเป็นของมันอย่าง นั้น มันเกิดมันดับ มันดับมันก็เกิด มันเลื่อน ไหลไปมา.
ธรรมชาติมันเป็นจริงอยู่ แต่เราผู้ไม่รู้จริง ไปเห็นแล้วก็ตื่นเต้น ธรรมชาติไม่ตื่นเต้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าใครจะร้องไห้ ใครจะหัวเราะมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น.
อันนั้นมันเป็นของจริง เราไม่รู้จักของจริง เมื่อไปเห็นของจริงแล้วกระตือรือร้น ร้องไห้ หัวเราะต่างๆนานา เสียอกเสียใจ ดีอกดีใจ.
เราจะดีใจเสียใจอย่างไรก็ตาม สภาวะร่างกาย
รูปนี้ของเราก็เป็นอยู่ของมันเช่นนี้ มันเกิดมาแล้ว
มันก็แปรตามธรรมชาติ แปรไป เจ็บไป ตายไป พลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา ธรรมชาติมันเป็น อย่างนี้.
หากว่าบุคคลผู้ใดจะเอาธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ ให้มันเป็นตัวเรา เป็นของเราอย่างนี้ มันก็เป็น การแบกทุกข์ไว้.ไม่สิ้นสุด..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
เมื่อมีปัญญาเข้ามาช่วย มันจะรู้จักอารมณ์ เช่น มานั่ง อาการจิตมันมีสติ มีสัมปชัญญะ แล้วก็มีปัญญา อารมณ์ผ่านเข้ามา มันเกิดความรู้สึกคิดถึงเพื่อน “ไม่ใช่” “ช่างมัน” “หยุด” “เลิก” “พรุ่งนี้เราจะไปโรงเรียน” “อือ เลิก ไม่เอา” ตอนนี้ก็คิดถึงคนอื่น “เอ้อ ไม่ใช่” “เออ ไม่เอา” “ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น”
ปล่อยมันทั้งนั้น “ไม่เอา อย่ามายุ่งเลย” “ไม่แน่นอน ของไม่แน่นอน” ทำสมาธิอยู่ มันจะเป็นอย่างนั้น
“ไม่แน่” “ไม่แน่” ทำสมาธิอยู่มันจะรู้อย่างนี้
ให้เลิกคิด เลิกพูด เลิกสงสัย เลิกหมด อย่าเอามากวนในเวลานั้น ถ้ามันเลิกหมดแล้วมันจะเหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะกับปัญญาล้วนๆ
ถ้าหากว่ามันอ่อนเมื่อไร มันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เลิกๆ ๆ ให้เหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะเท่านั้น พยายามให้มีสติที่สุด อย่างนี้ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนตลอดเวลานั่นแหละ แล้วจะได้เห็นตัวสติ เห็นสัมปชัญญะ แล้วก็เห็นปัญญา แล้วก็เห็นตัวสมาธิ เห็นครบไปหมดทุกอย่าง
เมื่อเราเพ่งเข้าไปตรงนั้น สติเราก็จะเห็นได้ สัมปชัญญะเราก็จะเห็นได้ สมาธิเราก็จะเห็นได้ ปัญญาก็จะเห็นได้ครบในที่นั่นเลย
มีอารมณ์จรมาข้างนอก เราจะชอบใจก็ตามเถอะว่า “เออ ไม่แน่” ไม่ชอบใจก็ “อือ ไม่แน่” มันเป็นนิวรณ์ทั้งนั้น สิ่งทั้งหลายให้กวาดให้มันเตียนหมดให้เหลือแต่สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้สึกตัว สมาธิความตั้งใจมั่น ปัญญารอบรู้ ให้เข้าใจอย่างนี้ อันนี้พูดถึงการกระทำ แล้วจบแค่นี้ก่อนนะ
ทีนี้จะพูดถึง เครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะช่วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีที่เรียกว่าเมตตาธรรม ให้เป็นผู้มีเมตตาเป็นคุณธรรม เช่นว่าเรากำจัดตัวโลภะหรือ ตัวเห็นแก่ตัวออก ทางพระท่านว่าการให้ทาน การให้คือทาน คนเราถ้าเห็นแก่ตัวแล้วไม่สบาย เห็นแก่ตัวแล้วไม่ค่อยสบาย แต่คนชอบจะเห็นแก่ตัวหลาย แต่ไม่รู้สึกเจ้าของ (ไม่รู้สึกตัว)
จะรู้ได้ในเวลาไหน รู้ว่าในเวลาเราหิวอาหาร ถ้าเราได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งขนาดนี้ เราจะแบ่งคนอื่น จะแบ่งให้เพื่อนคิดแล้วคิดอีก อยากจะให้เพื่อนก็อยากจะให้ แต่ว่าอยากจะเอาลูกเล็กๆ ให้ จะเอาลูกใหญ่ให้ก็แหมเสียดายเหลือเกิน คิดยากนักหนา เอาไป เอาไปเอาลูกนี้ไป
เราก็ให้ลูกเล็ก ให้แอปเปิ้ล ลูกน้อยๆ ไป แต่เอาลูกใหญ่ไว้ นี่ความเห็นแก่ตัว ชนิดนี้อันหนึ่ง แต่คนไม่ค่อยจะเห็น เคยมีไหม เคยเป็นไหม การให้ทานนี่การทรมานจิตนะ มันอยากให้เขาลูกเล็กๆ อุตส่าห์บังคับเอาลูกใหญ่ให้เพื่อน พอให้แล้วเออสบายนะ
นี่การทรมานจิตอย่างนี้ ต้องบังคับจิตให้มันรู้จักให้ ให้มันรู้จักละ ไม่ให้มันเห็นแก่ตัว เมื่อเราให้คนอื่นเสียแล้ว มันก็สบายหรอก ถ้าเรายังไม่ให้นี่ จะให้ลูกไหนหนอ มันลำบากมากเหลือเกิน กล้าตัดสินใจว่าให้ลูกใหญ่นี่หนา เสียใจนิดหน่อยนะ แต่พอตกลงใจให้เขาแล้ว มันก็แล้วไป นี่เรียกว่าทรมานจิตในทางที่ถูก มันเป็นอย่างนี้
หลวงพ่อชา สุภัทโท
จิตจริงๆมันก็ไม่มี มันมีก็เพราะไปสมมุติมันขึ้นมา พอใช้สมมุติไปนานเลยเข้าใจว่ามันเป็นจริงมีจริง อารมณ์เนี่ยก็อาหารของจิต จิตที่มันฟูมันแฟบก็เจ้าอารมณ์นี่แหละต้นเหตุ คำว่าจิตเดิมก็คือวิญญาณที่รับรู้ความรู้สึก ฉะนั้นใครที่เข้าใจว่าจิตมี แปลว่ายังค้างอยู่กับสมมุติบัญญัติ มีคำกล่าวไว้ว่า สัพเพธรรมมาอนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนว่างเปล่าไม่มีตัวและตน ผู้ใดเข้าถึงแก่นแท้ชนิดนี้เสียแล้ว ท่านจะไม่เสียเวลาไปสร้างกระทู้ ให้วนอยู่ในกระทะอีกแล้ว นี่แหละที่มา หลงอารมณ์หลงจิต เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นจริงและมีจริง นั่นเอง..!
"ที่พึ่งอันสูงสุด"
(หลวงปู่ชา สุภัทโท)
อ่านธรรมะนี้ต่อได้ที่ http://anuchah.com/the-refuge-like-no-others/
...ธรรมะก็ดีเป็นของที่สูงสุด แต่ตัวเรานี้เป็นคนที่ไกลจากธรรมะ เมื่อเราอยากจะเห็นธรรมะ เราก็ควรดึงธรรมะเข้ามาสู่ใจเรา ให้ใจเราน้อมเข้าไปหาธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสัจธรรมจิตใจของเราเป็นต้นมันยังไม่ได้ฝึกฝนให้มันเป็นธรรมะ เป็นต้นว่า เราชอบอันนี้ อันที่เราชอบนี้มันจะดีแล้วหรือ? มันก็ยังไม่ใช่ดีก็เฉพาะจิตใจที่เราว่ามันดีที่เราชอบมัน บางทีเราชอบของไม่ดีก็เข้าใจว่าของดี ชอบของผิดๆ แต่ก็นึกว่ามันดี แต่ว่าความเห็นว่าดีน่ะ แต่จิตเราไม่รู้จัก เพราะจิตของเรายังไม่ได้ฝึกฝน จิตที่ฝึกฝนดีแล้วมันจึงเข้าสู่ธรรมะ น้อมจิตเราเข้าไปสู่ธรรมะเสียก่อน เพื่อให้จิตเรากลมเกลียวกับธรรมะ ให้จิตเป็นธรรมะให้ธรรมะเป็นจิต จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอนอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม เมื่อจิตเป็นธรรม ความคิดเราก็เป็นธรรม สภาวะที่เราคิดนั่นมันก็เป็นธรรม เป็นความจริงเป็นสัจธรรมอย่างนั้น
...เพราะฉะนั้นจิตเจ้าของบางทีมันก็เป็นธรรมะ เราก็ไปเข้าใจสิ่งที่ผิดนั้นว่ามันถูกแล้วก็ไปชอบเข้า ดังนั้นท่านจึงให้ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อให้รู้จักธรรมะ ให้รู้ให้เห็นธรรมะอยู่ที่ใจความโง่หรือความฉลาดมันก็อยู่ที่จิตใจของเรา ความมืด ความหลง ก็อยู่ที่จิตใจของเรา ความรู้ความสว่างมันก็อยู่ที่จิตใจของเรา เหมือนกันกับที่ว่าจานใบหนึ่งที่สกปรก หรือพื้นฐานที่บ้านหรือศาลาเรานี้มันสกปรก มันถูกน้ำมันหรือความสกปรกอันใดอันหนึ่ง ก็สกปรกอยู่ที่มันสกปรกนั่นแหละ เมื่อเราอยากจะให้สะอาด เราก็เอาน้ำมาล้างมันเสีย ของสกปรกมันก็หายไป พื้นศาลาพื้นบ้านก็สะอาดขึ้นมา
...เราก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่มันสกปรกนั้นก็คือจิตของเรา ถ้าหากว่าเราทำความถูกต้องดีแล้ว ของที่สะอาดมันก็ยังมีอยู่ เหมือนพื้นศาลามันสกปรก หรืออะไรต่างๆ ที่มันได้สกปรกนั้นเมื่อมาเช็ดมาล้างสิ่งที่มันสกปรกออก ความสะอาดมันก็พ้นขึ้นมาอยู่ที่นั้น ที่ของสกปรกมันปกปิดอยู่นั่นเอง ความชั่วและความดีของเราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น ความชั่วอยู่ตรงไหนความดีก็อยู่ตรงนั้น ความผิดอยู่ตรงไหนความถูกก็อยู่ตรงนั้นความสกปรกอยู่ที่ไหนความสะอาดก็อยู่ที่นั้น จิตใจเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
...ธรรมชาติจิตของเราจริงๆนั้นน่ะ มันเป็นจิตที่สม่ำเสมอเป็นจิตที่ไม่เศร้าหมอง เป็นจิตที่ผ่องใสขาวสะอาดอยู่อย่างนั้นที่เศร้าหมองนั้นเพราะมันไปพบกับอารมณ์ พบกับธรรมารมณ์ที่ไม่ชอบของเรานั่นแหละก็ทำใจของเราให้ขุ่นมัว ทำใจของเราให้เศร้าหมอง ทำใจของเราให้ไม่สะอาด ทำใจของเราให้สกปรก นี่เพราะอะไร? ไม่ใช่จิตของเรามันสกปรก เพราะจิตของเรายังไม่แน่นอน ไม่เชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายนั่นเอง เมื่อประสบกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจเราก็เศร้าหมอง ได้อารมณ์ที่ชอบใจ ใจเราก็ผ่องใส มันก็เป็นอย่างนั้น
💖 ในเรื่องของการทำบุญ ต้องมีปัญญาประกอบ รู้จักเลือกเนื้อนาบุญ อย่างท่านอังกุระเทพบุตร
💷 สร้างโรงทาน ๘๐ โรง เลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลาสองหมื่นปี ไปเกิดเป็นเทวดามีบุญน้อยที่สุดในดาวดึงส์ เทวดาองค์ไหนมาก็ต้องหลีกให้เขา เพราะว่าท่านเกิดในช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา ช่วงนั้นคนไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม
🙏 พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา อินทกะเทพบุตรและอังกุระเทพบุตร มากราบพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ท่านนั่งอยู่ซ้ายและขวา เมื่อเทวดาที่มีศักดานุภาพใหญ่กว่ามาถึง อังกุระเทพบุตรต้องหลีกให้เขา ท่านก็ถอยไปเรื่อย..ถอยไปเรื่อย แต่อินทกะเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม
💎 ท้ายสุดพอประชุมเทวดาครบถ้วน อังกุระเทพบุตรอยู่สุดขอบจักรวาลพอดี แต่อินทกะเทพบุตรยังนั่งอยู่ที่เดิม แม้แต่พระอินทร์มา อินทกะเทพบุตรยังไม่ต้องหลีกเลย พระพุทธเจ้าก็เลยถามบุรพกรรม ทั้ง ๆ ที่พระองค์รู้แต่ทรงถามให้เจ้าตัวเล่าเอง
👑 อังกุระเทพบุตรจึงได้เล่าให้ฟังว่าในอดีตชาติ ท่านเกิดมาในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี ช่วงวาระสุดท้ายบั้นปลายชีวิตตั้งโรงทาน ๘๐ โรง เนื่องจากเป็นมหาเศรษฐี ท่านเลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ก็มีบุญอยู่แค่นี้ เพราะอยู่ในช่วงโลกว่างจากศาสนา คนไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม
🏺 พอพระพุทธเจ้าถามอินทกะเทพบุตร อินทกะเทพบุตรก็เล่าว่าในชีวิตทำบุญครั้งเดียว ท่านเป็นชาวป่ามีอาชีพตัดฟืนขาย อยู่กับแม่และน้องสาว หลังคาบ้านก็รั่ว ผ้าก็ขาด วันหนึ่งมีพระธุดงค์ผ่านไป ๖ องค์ อินทกะเทพบุตรเห็นเข้าก็ดีใจ ได้ข่าวว่ามีพุทธศาสนาเกิดขึ้นมานานแล้ว มีพระสงฆ์มานานแล้ว
💖 อยากทำบุญแต่ติดด้วยเรื่องทำมาหากิน เพราะว่าท่านตัดฟืนขาย กว่าจะได้ฟืนก็หมดไปครึ่งค่อนวัน กว่าจะไปถึงตลาด กว่าจะขายฟืนหมด ไหนจะต้องซื้ออาหารกลับมาเลี้ยงแม่และน้องก็หมดวันพอดี ไม่มีโอกาสไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ไม่มีโอกาสไปกราบพระสงฆ์เพื่อฟังธรรม
🏺 พอเห็นพระเข้าก็เลยดีใจ นิมนต์พระขอถวายอาหาร อินทกะเทพบุตรก็เอาอาหารแค่ในส่วนที่มี ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าว กับข้าวก็เป็นพวกผัก ถวายอาหารแด่พระสงฆ์ ๖ รูป ถือเป็นสังฆทานเพราะว่าครบองค์สงฆ์คือเกิน ๔ รูปขึ้นไป
👑 อินทกะเทพบุตรถวายอาหารครั้งเดียวในชีวิต เกิดเป็นเทวดามีศักดานุภาพเกินเจ้านาย (พระอินทร์) เสียอีก เพราะพระทั้ง ๖ องค์นั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย
💎 ดังนั้น..ในเรื่องของการทำบุญ ถ้ารู้จักเลือกเนื้อนาบุญ อานิสงส์บุญก็จะได้มากกว่าปกติ ถ้าถามว่าทำบุญแล้วยังอยากได้บุญอยู่ ก็ถ้าไม่อยากได้แล้วทำไปทำซากอะไร? เพียงแต่ว่าอย่าหลงในบุญ เรารู้ว่าบุญนั้นดีเราก็ทำ เรารู้ว่าบาปนั้นชั่วเราก็ละ ทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ยึดเกาะทั้งดีทั้งชั่ว ท้ายสุดจะพ้นบุญพ้นบาปไปเอง อาจจะยากหน่อยแต่ว่าทำได้แน่
........................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
......................................
#รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
𝙲𝚛. สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
< สมาทานสัมมาทิฏฐิ >
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า
สัมมาทิฏฺฐิสมาทานา สัพพะทุกขา อปัจจะคา
"บุคคลจะพ้นจากปวงทุกข์ได้ ด้วยการสมาทานสัมมาทิฏฐิ"
คำว่า ทุกข์ ในที่นี้หมายถึง ความทนได้ยาก ซึ่งเกิดขึ้นแก่เราทั้งหลาย แต่ทุกข์นั้นเมื่อสรุปลงสั้นๆ พอจำง่ายก็มีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑) ความทุกข์ทางกาย
๒) ความทุกข์ทางใจ
คือเป็นของที่เราต้องอดต้องทนอยู่ตลอดเวลา
สรุปลงว่า ถ้าไฟ คือราคะ ไฟ คือโทสะ ไฟ คือโมหะ มันเผาจิตใจของเราในขณะใด ในขณะนั้นมีความร้อนเหลือทน ทำให้เราคิด เราทำ เราพูด ในทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นี้ไฟที่เกิดขึ้นทางใจ ได้แก่ ไฟคือกิเลส มันเกิดขึ้นทางใจ
ไฟ คือความทุกข์ ไฟ คือกิเลส ที่มันเผาจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เราจะทำอย่างไรจึงจะพ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงได้ องค์สมเด็จพระสุคตเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า สมฺมาทิฏฺิสมาทานา สพฺพทุกฺขา อปจฺจคา เราต้องสมาทานสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นชอบ ความเห็นถูก
คำว่า ทิฏฐิ นี่แปลว่า ความเห็น แต่ถ้าแปลตามความหมายก็จะแปลได้ ๒ อย่างคือ
๑) มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด
๒) สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกเห็นชอบ
》สรุปสั้นๆ ว่า คนเราจะพ้นจากความทุกข์ทั้งทางโลกก็ดี ทั้งทางธรรมก็ดี หรือว่าจะพ้นจากทุกข์ทั้งทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ก็ต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูก เห็นดี เห็นชอบเสียก่อนแล้ว เราจึงจะได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐินี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ จึงเป็นสิ่งที่พาให้พ้นทุกข์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสมเด็จพ่อของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสว่า
สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพทุกฺขา อปจฺจคา
การสมาทานสัมมาทิฏฐิ เป็นเหตุให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
ก็ขอให้ทุกท่านพยายามปรับใจให้ดี พยายามให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ตลอดเวลา
การดักจิตดักใจของตนเอง ย่อมเป็นภาวนาอยู่ในตัว
ทวนกระแสเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะจะได้รู้ว่า
เดี๋ยวนี้มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกหรือไม่ล่ะ
ถ้ามีหรือไม่มีจะได้รู้ เมื่อรู้ว่ามีจะละด้วยวิธีใดก็จะได้รู้ด้วยวิธีนั้น
บรรเทาหรือไม่ก็จะรู้ได้ ขาดไปแล้วไม่กำเริบด้วยวิธีใด
ก็จะได้รู้ด้วยวิธีนั้น กำเริบขึ้นด้วยวิธีใดก็จะได้รู้ด้วยวิธีนั้น
การพิจารณาจิตในจิตนี้ จะปฏิเสธไม่ได้ถ้าปฏิเสธแล้ว
การพิจารณาจิตก็ไม่บริบูรณ์จะเป็นจิตบริสุทธิ์ไปได้ยาก
เพราะขาดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานย่อมไม่สมบูรณ์
พระอรหันต์จำพวกเดียวจะไม่ลำบากกับจิต
เพราะจิตสะอาดดีพอแล้ว จิตมิได้ประกอบกับเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเหนือเหตุผลไปแล้วปราศจากโทษ มิได้รักษาจิตคุมจิตอยู่
เหมือนคนคุมนักโทษ เมื่อกิเลสคือความหลงไม่เข้าไปยึดถือเอาจิตเป็นตน ตนเป็นจิตแล้ว อุปาทาน อวิชชา ตัณหา สมุทัย ทุกข์ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ สมมุติก็ทรงสมมุติตามเคย ไม่มีใครไปจี้ปล้น ไถ่ถอนเอาเป็นเจ้าของ แม้ธรรมฝ่ายวิมุตติ ก็ทรงวิมุตติตามเคย
ไม่มีใครไปจี้ไปปล้นไปลักไถ่ลักถอนให้เป็นกรรมเป็นวิบาก
เป็นวัฏฏจักร-ฏจกอะไร ก็จบกันไปไม่มีปัญหาของอนิจจาอีก
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ถ้าไม่มี...ทุกข์
ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์
มัน มีทุกข์
จึงปฏิบัติออกจากทุกข์
เรา หนีทุกข์
หรือ ให้ทุกข์หนีจากเรา
เรา รู้เท่าทุกข์
ทุกข์ ก็หนีเอง ถ้าเรา ไม่รู้เท่าทุกข์
ทุกข์...ก็ไม่หนี."
(หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต)
“...จิตที่บริสุทธิ์แล้วจะมาเสวยเวทนาที่ไหน จิตที่บริสุทธิ์แล้วมีเวทนาที่ไหน เวทนานี้เป็นสมมุติต่างหาก จิตนั้นเป็นวิมุตติแล้วเข้ากันได้ยังไง เป็นอฐานะนี่ โดยหลักธรรมชาติ รู้ๆ เห็นๆ อยู่นั้นน่ะจะว่ายังไงถ้าเราจะเทียบก็เหมือนกับเราจ่อไฟเข้ากอไผ่ เผากอไผ่ทั้งกอ ลองดูซิ ราดน้ำมันเข้าไปเสียงกอไผ่ระเบิดนี้เหมือนฟ้าถล่ม ไฟก็ส่งเปลวจรดเมฆโน่น ปึงปังๆ ส่งเปลวจรดเมฆ เหมือนกับว่าไฟนั้นมีวิญญาณมีจิตมีใจ ฟืนคือกอไผ่นั้นก็เหมือนมีจิตมีใจมีวิญญาณ เหมือนกับต่อสู้กันความจริง แล้วไฟรู้ความหมายของมันไหมว่ามันร้อนมันหนาวมันเย็น มันเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่รู้ ไฟก็ไม่รู้ความหมายของตัวเองและไม่รู้ความหมายของไฟ แต่ก็เผาไหม้กันอย่างระเบิดเปิดเปิงให้เห็นชัดๆ อยู่ด้วยตาของเรา ได้ยินด้วยหูของเรานั่นแหละ ดูซิผู้ที่รู้จริงๆ ก็คือคนที่ยืนดูอยู่นี้ ไฟกับฟืนมันเผาไหม้กันฉันใด ขันธ์นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รูปขันธ์กับทุกขเวทนาขันธ์บีบบังคับกันก็เหมือนกันทำนองนั้น ทำให้หงิกให้งอ บางทีอาจให้เป็นเสียงร้องเสียงครางไป อือๆ อีๆ ไปก็ได้ เหมือนกับไฟระเบิดกอไผ่ปึงปังๆ นั่นแหละ
แต่จิตที่บริสุทธิ์จะมาเป็นอะไรกับอันนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่อยู่ในนั้นแหละ ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จะมีอะไรกันอันนี้มันเป็นไปได้ ทำให้งอให้หงิกให้กระตุกกระติกให้ บางทีทิ้งเนื้อทิ้งตัวไปได้ เพราะเส้นมันกระตุกมันเป็นขันธ์ เหมือนกับว่าไฟกับฟืนไหม้กันนั่นแหละ ระเบิดปึงปังๆ มันอยู่เป็นสุขได้เมื่อไร
อันนี้ก็เหมือนกัน เวลามันรัดตัวกันเข้าเต็มที่แล้วก็อาจมีกระดุกกระดิกหรือเป็นในแง่ต่างๆ เช่น นิสัยที่เคยมีครวญครางอาจเป็นได้ พระอรหันต์น่ะ แต่จิตของท่านไม่เป็น เป็น ด้วยอาการของขันธ์ที่มันกระทบกระเทือนกันนี้เวลาสุดท้ายของมันที่จะแตกกระจายออกจากกันมันเป็นได้ เรายอมรับอันนี้ แต่เรื่องจิตของพระอรหันต์ที่เข้ามาสุงสิงกับอันนี้ ให้มามั่วมาสุมมาหลงใหลอันนี้ นั่นเป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นที่หลวงปู่มั่นท่านพิจารณารู้เห็น ที่ว่าพระอรหันต์นิพพานในท่าต่างๆ กันนั้น เราจึงเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจิตของท่านไม่ได้อยู่ในอำนาจของขันธ์เหมือนสามัญชนทั่วๆ ไปนี่ท่านจึงนิพพานในท่าต่างๆ ได้ตามอัธยาศัยของผู้มีจิตใจที่อยู่เหนือโลกแล้ว…”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๘๕๓-๘๕๔