พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 9 มีนาคม 2561
ตอนที่ 293 **จุดมุ่งหมายที่หายไป**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม ในหมวดของผู้มีปัญญาธรรม จึงได้ทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
เพราะอะไรหรือเจ้าคะ บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมนั้น เขาจึงเหมือนบุคคลผู้ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว.. เพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะ จึงเป็นเช่นนั้น ?
หากว่ามีความรู้สึกเหมือนไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเป้าหมายในชีวิต มันเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลที่รู้สึกเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ? ถ้าหากว่ามันเป็นในเรื่องของทางธรรม น่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลองกล่าวความรู้สึกที่ลูกพูดมาเถิด กล่าวมาให้เข้าใจในคำถามเสียก่อน ว่าคืออะไรลูก ?
พระยาธรรม :: ก็ถ้าสมมุติว่า เรานั้นมีความรู้สึกว่า เราไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
และเราก็ไม่รู้ว่า เราต้องทำอะไร แบบไหน เพื่ออะไร.. แต่ว่าเราก็มีสติปัญญา รู้ว่าวันนี้เราต้องทำความดีสิ่งนี้ สิ่งนั้น
ควรที่จะทำอะไรบ้าง
ควรที่จะจัดสรรอะไรบ้างในแต่ละวัน
.. แล้วก็ทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น ด้วยความมีสติ มีปัญญา
.. ด้วยการรู้เท่าทันในสิ่งที่ทำ แล้วก็ทำแต่ในสิ่งที่ดี
ส่วนสิ่งไม่ดี ก็อาจจะทำบ้าง แต่ไม่ได้เจตนา มันคือสิ่งไม่ดี เล็กๆน้อยๆ เช่น กรรมวาจาเล็กน้อย หรือการกระทำเล็กๆน้อยๆ ที่ดูแล้วอาจจะไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ แบบนั้นน่ะเจ้าค่ะ
แต่พอนึกถึงจุดมุ่งหมายแล้ว มันหายไปหมดเลย แม้แต่จุดมุ่งหมายที่จะมุ่งไปสู่พระนิพพาน หรือมุ่งไปสู่หน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งที่เราจะต้องทำ.. มันไม่มี มันหายไปหมดเลย
นั่นเป็นเพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
แม้แต่จุดมุ่งหมายที่จะดับกิเลสตัณหา มันก็ยังหายไปน่ะเจ้าค่ะ
ก็ทำทุกอย่างไปแบบสักว่าทำ ทำไปแบบเฉยๆ แต่ก็ทำ
.. แบบนั้น คือความรู้สึกของอะไรหรือเจ้าคะ ?
แล้วบุคคลผู้มีปัญญาธรรม ที่เขานั้นบำเพ็ญ ปฏิบัติจนถึงระดับหนึ่งแล้ว..
ถ้าเกิดภาวะเช่นนี้ มันเกิดจากอะไร ? ลูกก็เลยสงสัย น่ะเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าหากว่า เป็นบุคคลผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนสติปัญญาในทางธรรม แล้วก็ไปเจอกับความรู้สึก คือ ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ก็อาจจะเกิดจากหลายๆสาเหตุ..
อาจจะเป็นเพราะผิดหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง
อาจจะเป็นเพราะว่าหมดแรงที่จะเดินต่อไปบ้าง
มันเป็นเพราะเหตุผลได้มากมายหลายอย่าง เป็นอารมณ์ชั่ววูบในสิ่งที่คิดบ้าง เบื่อโลกบ้าง
มันก็จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุ ได้มากมายหลายสาเหตุเลย..
แต่มันเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องธรรมดา
เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบุคคลผู้ประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่นี้ก็เลยแบ่งแยกให้ลูกมองเห็นชัดเจนก่อนว่า อาการเหล่านั้น เป็นอาการของผู้ที่ครองโลกอยู่
ส่วนอาการที่ลูกได้กล่าวมา เมื่อครู่นั้น - มันเป็นอาการของบุคคลผู้ที่อยู่ในทางธรรม หรือว่าบุคคลผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ จนรู้แจ้ง เข้าใจในเหตุ ในสิ่งที่มันเกิด ที่มันดับเหล่านั้น..จนเกิดการวางเฉย วางเฉยในทุกสิ่ง ลูก
มันก็เลยกลายเป็นความรู้สึกว่า.. ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีสิ่งที่ต้องทำ ต้องเป็น ต้องดิ้นรนขวนขวาย
ไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น..
วางทุกอย่างไว้เฉยๆ สักว่ารู้ สักว่าดูอยู่ สักว่าเห็น สักว่าเข้าใจ
แล้วก็พิจารณา ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี ตามเหตุและปัจจัย
มันก็แค่ถึงจุดของการทำความดี - จนเกิดการวางเฉยในสิ่งที่ทำนั้น.. แค่นั้นละลูก
อาการที่มันเกิดขึ้นที่ลูกกล่าวมา ก็แค่การวางเฉย ในความชั่ว - ความดี ในสิ่งที่ต้องทำ ต้องเป็นต้องไป
เพราะว่าเรารู้เหตุของมันจนแจ้งแล้ว.. เราก็เลยเฉยๆกับมัน
ทำเหตุปัจจุบันให้มันดีที่สุดละ ดีแล้ว
.. มันก็เลยเกิดอาการเช่นนั้นละลูก
มันเป็นธรรมดา และก็ถูกต้องดีแล้ว..
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร !
ก็เช่นว่า.. ถ้าเกิดว่าลูกนั้นคิดว่า จุดมุ่งหมายที่จะไปต่อนั้น คือ ดินแดนพระนิพพาน
.. ต้องไปให้ถึง ต้องทำให้ได้
ลูกนั้น ก็ยังคงเป็นผู้ที่ยังต้อง “ยังจะ..” ยังใช้ความอยาก คือพ้นทุกข์
มันก็เลยเป็นสิ่งที่ลูกนั้น มุ่งมั่นตั้งใจ เป็นจุดมุ่งหมายที่จะต้องทำให้ถึง
- มันก็เลยมีแรงที่จะชักจูงจิตใจของลูก ไปให้ถึงดินแดนพระนิพพาน
- เป็นเหตุจูงใจให้ลูกต้องทำความดี ต้องละเว้นความชั่ว
* มันเป็นระดับของการทำความดีระดับหนึ่ง *
มันก็มีอยู่ ดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น..
และก็จงทำไปเรื่อยๆเถิดลูก..
ทำไปๆ จนถึงวันหนึ่ง ที่ลูกนั้นเข้าใจคำว่า พระนิพพานได้เป็นอย่างดี
และลูกนั้นเข้าใจการที่จะไปสู่พระนิพพาน
โดยรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า..
การที่จะไปสู่พระนิพพานได้ คือ การประพฤติ ปฏิบัติ อยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
ทำเหตุปัจจุบันให้มันดีที่สุด โดยปราศจากความอยาก
ไม่ว่าจะอยากดีก็ตาม.. ก็ต้องปราศจากความอยาก ++
หากมิเช่นนั้น.. มันจะกลายเป็นความทุกข์ !
และลูกก็มองเห็นว่า มันไม่ได้ยากอะไร.. รู้ทางแล้วก็ค่อยๆทำไป
เดี๋ยวมันก็ถึง ปล่อยวางมันเสีย
จุดมุ่งหมายที่ลูกตั้งเป้าเอาไว้ มันก็เลยไม่รู้สึกว่า มีตัวมีตนในความรู้สึกนั้นอยู่ในตัวของลูก มันหายไป
เพราะลูกรู้เห็นแล้วนี่ ว่า..
ทางเส้นนั้น มันต้องไปให้ถึง
รู้แล้วว่าไป ก็จะต้องถึง
แล้วก็รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว วางเอาไว้
ประพฤติ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ
ทำความดีในปัจจุบันให้ดี
.. ค่อยๆทำไป อยู่ในกรอบของ*ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* เดี๋ยวมันก็ถึงเองนั่นละ !
ทีนี้ ความใส่ใจที่ลูกต้องไปใส่ใจว่า พระนิพพานๆนั้น - มันก็วางเอาไว้ เกิดการวางเฉย
ลูกหันกลับมาดูที่ปัจจุบันว่า ตอนนี้ เราควรทำอะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่ดี
จะทำอะไรบ้างที่เกิดกับตนและผู้อื่น โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น และตนเอง
อยู่กับปัจจุบัน อย่างมีสติ มีปัญญา
ไม่ไปนึกถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่สนใจ
เห็นแล้ว จุดมุ่งหมายที่เราตั้งจุดมุ่งหมายว่าคือนิพพาน.. เข้าใจแล้ว และก็วางเฉยแล้ว
-- ความรู้สึกมุ่งมั่นที่จะไปนิพพานนั้นก็เลยหายไป.. แต่มันก็ยังคงอยู่กับเรา --
.. เพียงแต่ว่า อยู่แบบไม่ยึดติด ไม่ลุ่มหลง ไม่อยากกับมัน ก็เลยอยู่เฉยๆ
เราก็เลยวางใจเป็นกลางๆ ปล่อยวางความอยาก ความมุ่งมั่นนั้นไป..
แต่หันมามุ่งมั่นตั้งใจ ทำในสิ่งที่ตนควรทำอย่างดีที่สุด - ตามความรู้ ความสามารถแห่งตน
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ความมุ่งมั่นที่จะไปสู่พระนิพพานก็เลยหายไป
หายเพราะว่าเราวางเฉยกับมันแล้ว เข้าใจแล้ว เห็นเป็นธรรมดาแล้ว..
ถ้าเกิดว่าลูกจะตั้งจุดมุ่งหมายของลูก ก็คือ การดับเชื้อกิเลสตัณหาในตัวของลูก
ตั้งเป้าหมายไว้ให้พุ่งชน / เป้าหมายมีไว้ ให้ไปให้ถึง..
เมื่อเราตั้งเป้าหมายไว้เช่นนั้น.. จิตเราก็จะไปจ่ออยู่กับการต้องถึง ต้องไปให้ได้
ต้องมุ่งมั่นตั้งใจ ต้องขยัน มีความเพียรพยายาม อดทน - มันก็มีเต็มกำลัง
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ลูกเข้าใจได้มากขึ้น ลูกก็จะมองเห็นเหตุของมันเองนั่นละลูก ว่า..การที่เรานั้น มีจุดมุ่งหมาย แล้วก็พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ถึง มันก็มีความอยากเจือปนอยู่ในนั้น
... แล้วก็กลายเป็นความทุกข์ / กลายเป็นตัณหาขึ้นมาในการทำความดี..
ฉะนั้น.. ความดีที่ต้องอยู่เหนือกว่านั้นอีก หรือว่าที่จะทำให้เราดับกิเลส ก็คือ การทำความดีอย่างปล่อยวาง ทำไปสักแต่ว่าทำ
มีจุดมุ่งหมาย คือดับกิเลส นั่นละ คือ กิเลสแห่งความดีที่เราหลงเข้าไปเสียแล้ว
มีจุดมุ่งหมาย คือดับตัณหา นั่นละ คือ ตัณหาที่เราหลงทางเข้าไปเสียแล้ว
เพียงแต่ มันเป็นกิเลสที่ไปในทางที่ดี / มันเป็นตัณหาที่ไปในทางที่ดี
ทีนี้ เมื่อเรารู้เช่นนี้.. เราก็ปล่อยวางมันเสีย
- ไม่มีกิเลส / ไม่มีตัณหา.. แม้จะเป็นทางที่ดีก็ตาม ++
วางเฉยกับมัน และค่อยๆประพฤติ ปฏิบัติไป.. ดูจิตของตนไป ตามเหตุของปัจจุบันนั่นละ
มีความหลงมั้ย
มีความโลภมั้ย
มีความโกรธ ความรัก
มีความอยาก ความไม่อยาก มากแค่ไหนในวันนี้
เชื้อเหล่านั้น มากน้อย ?
เราคอยควบคุม ดูตามเหตุตามปัจจัยในแต่ละวัน
ในอิริยาบถต่างๆ กาย วาจา และใจ ที่จะทำไป อย่างมีสติ ปราศจากกิเลสตัณหา
เลยกลับมาทำอยู่กับปัจจุบัน เลยกลายเป็นการวางเฉยไป
/ แม้แต่พระนิพพาน ที่มุ่งหมายจะไป
/ แม้แต่การดับกิเลส ที่มุ่งหมายจะทำในตน
/ แม้แต่การประพฤติ ปฏิบัติ ดี -ไม่ดี สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่มันบกพร่องอยู่ แล้วเรามองเห็นอยู่ เหล่านั้น
มันก็จะกลายเป็นการวางเฉย ไม่มีความอยาก หรือไม่อยาก
ไม่มีอะไรต้อง จะ.. ทั้งนั้น
ลูกก็เลยอยู่เฉยๆ แต่..
/ มีสติ รู้เท่าทัน
/ มีสติรู้ผิด รู้ชั่ว
/ มีกำลังใจที่จะทำความดีเต็มร้อย
.. แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมะจัดสรร..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือความรู้สึกที่ลูกได้กล่าวมา
เหตุผลที่ลูกเป็นเช่นนั้น หรือบุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม เขาเป็นกันเช่นนั้น ก็เพราะเหตุนี้ละลูก
เหตุก็คือ..
ไม่มีความหลงดี
ไม่มีความรักดี
ไม่มีความโลภ ในความดี
ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ในความดีเหล่านั้น
รู้ว่าดี.. ก็วางความดีนั้นไว้ ไม่ต้องไปยึดไปถือมัน ให้กลายเป็นกิเลสในทางที่ดี
เป็นตัณหาในทางที่ดี ปราศจากเชื้อเหล่านี้
ก็เลยสักว่า รู้อยู่ แล้วก็ทำเฉยๆ..
อย่างนี้ละลูก คือ ความรู้สึกที่ลูกได้กล่าวมา คือ การเฉยๆในสรรพสิ่งทั้งหลาย..
ดูเหมือนไม่มีจุดมุ่งหมาย - ทั้งที่ตนนั้น ก็ทำความดีอยู่ ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ทุกอย่างอยู่
.. แต่ทำเฉยๆ ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกลูก
เพียงแต่ว่า มันเป็น *อีกระดับหนึ่ง ของการทำความดี*
ความดีนะลูก มันเป็นธรรมดา ที่เราจะต้องเริ่มจากการ อยากที่จะทำความดี แล้วก็ยึดที่จะทำความดี
เอา “ความอยาก ความยึดดี” มาเป็นจุดมุ่งหมายที่จะพาให้เราไปให้ถึง ทุ่มเทให้ถึงที่สุด
เมื่อลูกถึงจุดที่ดีแล้ว ในระดับที่หนึ่ง ที่มันเต็ม ถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด
ลูกก็จะค่อยๆสลัดเอาความยึด ความอยากดีนั้นทิ้งไป..
จนเข้าถึงความดี ที่เป็นความดีในระดับที่สูงขึ้นอีก คือ
/ ดีแบบปล่อยวาง
/ ดีแบบเฉยๆ
/ ดีอย่างไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ก็ดีอยู่
/ ดีแบบไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีต้องจะ.. อะไรทั้งหมดทั้งสิ้น
... แต่ทำความดีไป ไม่ละการทำความดี..
-- มุ่งมั่นไปสู่การทำความดี - แบบปล่อยวาง ทำตามเหตุ ตามปัจจัย++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
หนูก็นึกว่า ทำไมถึงไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต แล้วเราจะไปยังไงต่อดี ?
เพราะมันไม่มีจุดมุ่งหมาย น่ะเจ้าค่ะ
หนูคิดแบบนี้..
แต่ทีนี้หนูเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ว่ามันไม่ใช่ว่าไม่ดี ที่มีอาการแบบนี้
มันดีแล้วที่มีอาการแบบนี้ เพราะเราจะได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างไป โดยธรรมะจัดสรร
จะได้ไม่ต้องมีความอยาก หรือไม่อยาก ความยึดติดในสิ่งที่ทำ
จะได้ไม่ต้องไปใช้ตัณหาเป็นที่ตั้ง ในสิ่งที่ทำทุกอย่าง
ก็เลยเป็นความดี ที่ไม่ต้องทุกข์ในสิ่งที่ทำด้วย
ก็จะได้เป็นความดี อันสูงขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง
และจะมุ่งมั่นทำความดีนี้ เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน.. ในที่สุด
เข้าใจว่า มันเป็นอีกระดับหนึ่งของการทำความดี..
.. เข้าใจอย่างนี้แล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม
ถ้าหากว่า เราสงสัยสิ่งใด เราก็ต้องค้นหาความจริงที่มันอยู่ในนั้น
เพราะบางที คำตอบมันอาจจะคล้ายกัน หรือเหมือนกัน..หากเรามองดูผิวเผิน
และคำตอบที่มันไม่ใช่ความจริงนั้น.. อาจทำให้เราผิดพลาด หลงทางไป ก็ได้ลูก
ฉะนั้น.. เมื่อเราสงสัยในสิ่งใด จงหาคำตอบที่แท้จริง ในสิ่งนั้นเถิด ++
เช่นวันนี้ ที่ลูกถามหาคำตอบของลูก ที่เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเช่นนั้น
อย่างน้อยก็ทำให้ลูกเจอความจริง ที่อยู่ในความรู้สึกว่า..
มันคือการทำความดีในอีกระดับหนึ่ง
มันคือ การทำความดีอย่างวางเฉย
มันคือ การทำความดี อย่างรู้แจ้งในเหตุต่างๆแล้ว..
... เพียงแต่เรายังต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจบกิจของเราเท่านั้น !
มันก็เลยทำให้เราเข้าใจเหตุของมันแล้วว่า.. เหตุที่จะไปสู่พระนิพพาน ต้องทำเช่นไร
เข้าใจแล้ว ก็วางเอาไว้
มีหน้าที่แค่ทำต่อไปเรื่อยๆ ตามเหตุ
เรามุ่งมั่นที่จะดับกิเลส เราก็มองเห็นแล้วว่า วิธีที่จะดับกิเลสแล้ว
เราก็วางไว้เฉยๆ และก็ทำไปตามเหตุ ..อย่างไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่สนใจอะไร
สนใจแค่ทำไปเถิดในความดี
- ทำอย่างมีสติ มีปัญญา - ตามเหตุของปัจจุบัน ++
เพราะเรารู้แล้วนี่ลูก ว่า ผลของมัน จะเกิดขึ้นจากเหตุ
ทีนี้ เรามาทำที่เหตุ โดยที่ไม่สนใจผล เพราะว่าผลมันย่อมมาตามเหตุอยู่แล้ว ก็เลยเกิดการวางเฉย
ไม่ใช่การเบื่อหน่ายแบบทางโลก แบบผู้ที่ครองโลกอยู่ ที่..
เบื่อหน่าย เพราะมันมีเหตุอื่นๆเข้ามาเจือปน
เบื่อหน่าย เพราะว่า มันลุ่มหลง มันทุกข์ มันทรมาน
... ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกลูก !
จงตั้งใจทำไปๆ ให้ถึงฝั่งแห่งการข้ามทะเลทุกข์
แล้วลูกนั้น ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องแสวงหา หรือทำอะไรอีกต่อไป..
-- จะเป็นผู้จบกิจแล้ว อย่างแท้จริง --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาเจ้าค่ะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่นะเจ้าคะ
วันนี้ กราบของนมัสการลาก่อน.. เจ้าค่ะ
สาธุ