“จงทำญาณให้เห็นจิต เมื่อเห็นจิตได้ ก็จะสามารถแยกรูป ถอดด้วยวิชชามรรคจิต เพื่อที่จะแยกรูปกับกายให้อยู่คนละส่วน แล้วจะเข้าใจพฤติของจิตได้ในลำดับต่อไป”
.
คำสอนเกี่ยวกับเรื่องจิตของหลวงปู่ ที่มีการบันทึกไว้ในที่อื่นๆ อีก ก็มีเช่น :-
.
“หลักธรรมที่แท้จริงคือ จิต จิตของเราทุกคนนั่นแหละ คือหลักธรรมสูงสุดในจิตใจเรา นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย
.
จิตนี้แหละ คือ หลักธรรม ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่จิต แต่จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต
.
ขอให้เลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าคลองแห่งคำพูดได้ถูกตัดทอนไปแล้ว พิษของจิตได้ถูกถอนขึ้นจนหมดสิ้น
.
จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ซึ่งมีอยู่ประจำแล้วทุกคน”
.
ด้วยเหตุนี้การสอนของหลวงปู่ จึงไม่เน้นที่การพูด การคิดหรือการเทศนาสั่งสอน แต่ท่านจะเน้นที่ การภาวนา และให้ดูลงที่จิตใจ ของตนเอง อย่าไปดูสิ่งอื่น เช่น อย่าไปสนใจดูสวรรค์ ดูนรก หรือสิ่งอื่นใด แต่ให้ดูที่จิตของตนเอง ให้ดูไปภายในตนเอง
.
“อย่าส่งจิตออกนอก” จึงเป็นคำที่หลวงปู่เตือนลูกศิษย์อยู่เสมอ
.
ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิต อย่างลึกซึ้งนี้ เป็นผลจากการปฏิบัติที่ ถ้ำพระเวสฯ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
.
จิต คือ พุทธะ
.
ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมสายพระกรรมฐานทั้งพระภิกษุและฆราวาสให้การยอมรับว่า “หลวงปู่ดูลย์ อตุโล นับเป็นองค์เดียวที่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของจิต จนกระทั่งได้รับสมญาว่า เป็นบิดาแห่งการภาวนาจิต”
.
ประจักษ์พยานแห่งสมญานามดังกล่าว จะเห็นได้จาก คำเทศน์คำสอนและความสนใจของหลวงปู่ อยู่ในเรื่อง “จิต” เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นนอกจากนั้นหาได้อยู่ในความสนใจของหลวงปู่ไม่
.
ด้วยความลึกซึ้งในเรื่องจิต จึงทำให้หลวงปู่ประกาศหลักธรรมโดยใช้คำว่า “จิต คือ พุทธะ” โดยเน้นสาระเหล่านี้ เช่น
.
“พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งนั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลย”
.
“จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย”
.
“จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า : -
.
ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา
.
ผู้ใดเห็นปฏิจฺจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
.
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต”
.
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ในหัวข้อเรื่อง "จิต คือ พุทธะ” โดยละเอียด ได้นำเสนอในภาคคำสอน ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้แล้ว พร้อมทั้งคำแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย
.
ในการสอนของหลวงปู่ ท่านจะเตือนสติสานุศิษย์เสมอๆ ว่า
.
“อย่าส่งจิตออกนอก”
.
หลวงปู่ยังสอนแนวทางปฏิบัติ อีกว่า
.
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า ?🙏
.
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า คือ การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
คนเราทุกคนเกิดมาอาศัยสมาธิเป็นหลักใจ
คนที่ทำอะไรด้วยความจริงใจ … เป็นลูกของพ่อของแม่ก็เป็นลูกด้วยความจริงใจ
เป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ก็เป็นศิษย์ด้วยความจริงใจ
จะเป็นอะไร ทำอะไร คิดอะไร เป็นไปด้วยความจริงใจ
ได้ชื่อว่า " เป็นผู้มีสัจจะ ความจริงใจ "
เมื่อมีสัจจะความจริงใจอย่างแน่วแน่
ชีวิตของเราทุกคนจึงเกี่ยวข้องกับสมาธิตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตาย
คนที่ไม่มีสมาธิย่อมมีนิสัยเหลาะแหละ ทำอะไรมีแต่จับจดไม่เอาจริงเอาจัง
สมาธิเป็นกิริยาของจิต เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรานั่งกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง "
ถ้ากำหนดรู้จิตในท่ายืน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่ายืน "
เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตในท่านอน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านอน "
เวลาเดินจงกรม เรามีสติกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่าเดิน "
ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนอิริยาบถ บริหารกาย
เพื่อมิให้ส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทรมานเกินไป
เพราะฉะนั้น สมาธิจึงมิใช่เพียงการนั่งสมาธิอย่างเดียว
แม้แต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ถ้าเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา เราก็ได้ปฏิบัติสมาธิตลอดเวลา
ถ้าหากเรายึดหลักว่า เราจะฝึกสติของเราให้รู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกๆ ขณะจิต ทุกลมหายใจ
เราก็ได้ฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง
เมื่อเราเข้าใจกันอย่างนี้ การฝึกสมาธิจะไม่มีอุปสรรค
เพราะเราจะปฏิบัติได้ทุกเวลา ทุกโอกาส
ผลที่เราจะได้จากการฝึกสมาธิ
ทำให้จิตของเราตั้งมั่น หรือมั่นคงต่อการทำธุรกิจต่างๆ
ทำให้เรามีจิตที่สงบเยือกเย็น และมีเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จะมีความเคารพ บูชา รักในบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ดีขึ้น
จะทำให้เราหมั่นขยันในการงาน ทำให้ความจำดี
มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดการงานใดจะไม่ท้อถอย
โดยเฉพาะสมาธิจะเสริมกำลังปัญญาของเราให้ปราดเปรื่อง
กฎ หรือระเบียบที่จะประพฤติบำเพ็ญตน
ให้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ที่เราจะตั้งใจปฏิบัติโดยเจตนา คือ ' การรักษาศีล '
เรามาฝึกสมาธินี้เพื่ออบรมจิตของเราให้มีพลังงาน
มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา
เพื่อให้จิตของเรานี้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยอัตโนมัติ
เมื่อจิตมีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน ก็ได้ชื่อว่า " จิตมีคุณธรรมความเป็นพุทธะ "
.
คำสอนโดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
รู้แจ้งเห็นจริง...
ความรู้ที่ผุดขึ้นว่า... นี้เป็นทุกข์
ความรู้ที่ผุดขึ้นว่า...นี้เป็นเหตุแห่งทุกข์
ความรู้ที่ผุดขึ้นว่า... นี้เป็นความดับทุกข์
ความรู้ถึงผลแห่งการปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ได้มีการอบรมให้มีขึ้นบริบูรณ์แล้ว…
ความรู้ที่ผุดขึ้นว่า นี้ทำให้แจ้งแล้ว…
ความรู้แจ้งว่าที่ผุดขึ้น...ในความทุกข์...
รู้แจ้งว่า...นี่เป็นสาเหตุแห่งความทุกข์จริงๆ
รู้แจ้งว่า..ได้ดับทุกข์นี้ได้จริงๆ
รู้แจ้งว่า...ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้พ้นทุกข์จริงแล้ว
ผู้มีความรู้ดังกล่าว เรียกว่า...พุทธะ
เป็นผู้ตรัสรู้
เป็นผู้มีปัญญาโพธิ์
เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในความจริงอันประเสริฐพร้อมสมบูรณ์แล้วทุกประการ
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
…. “จับหลักธรรมะให้ได้ เรื่องไม่มีอะไร นอกจาก ระวัง! เรื่องที่จะเข้ามาใน“จิต” ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อะไรก็ตาม และ อย่าให้เรื่องนั้นมันเข้าไป “ปรุงแต่ง” ใน“จิต”เป็น “ตัวกู ของกู” เท่านั้นเอง มีเท่านั้นเอง สูตรไหน ก็สูตรนั้น มีความมุ่งหมายอย่างนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ปริยัติ, ปฏิบัติ สำคัญที่ ดับตัวกู ของกู” วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๑ หนังสือ “ธรรมปาฏิโมกข์” เล่ม ๒
------------------------------------
.
ไม่พ้นทุกข์เพราะมัวเพลินในอายตนะ
พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้
…. “ ภิกษุ ทั้งหลาย! ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่กับตา, เพลิดเพลินอยู่กับหู, เพลิดเพลินอยู่กับจมูก, เพลิดเพลินอยู่กับลิ้น, เพลิดเพลินอยู่กับกาย, และเพลิดเพลินอยู่กับใจ ; ผู้นั้นชื่อว่าเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์. เรากล่าวว่า “ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมไม่หลุดพ้นไปได้จากทุกข์” ดังนี้.
ภิกษุ ทั้งหลาย! ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่กับรูป, เพลิดเพลินอยู่กับเสียง, เพลิดเพลินอยู่กับกลิ่น, เพลิดเพลินอยู่กับรส, เพลิดเพลินอยู่กับโผฏฐัพพะ, เพลิดเพลินอยู่กับธรรมารมณ์ ; ผู้นั้นชื่อว่าเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์. เรากล่าวว่า “ผู้ใดเพลิดเพลินอยู่ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ผู้นั้นย่อมไม่หลุดพ้นไปได้จากทุกข์” ดังนี้แล.”
.
พระบาลีไตรปิฎก สฬา.สํ. ๑๘/๑๖/๑๙, ๒๐
สำนวนแปล พุทธทาสภิกขุ จาก อริยสัจจากพระโอษฐ์
---------------------------------------
.
อายตนะหกเป็นทุกขอริยสัจ
.
…. “ภิกษุ ทั้งหลาย! อริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ควรจะกล่าวว่าได้แก่ อายตนะภายในหก. อายตนะภายในหกเหล่าไหนเล่า? หกคือ จักขุอายตนะ(ตา) โสตะอายตนะ(หู) ฆานะอายตนะ(จมูก) ชิวหาอายตนะ(ลิ้น) กายะอายตนะ(กาย) มนะอายตนะ(ใจ). ภิกษุ ทั้งหลาย ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือทุกข์.”
.
พระบาลีไตรปิฎก มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๕/๑๖๘๕
สำนวนแปล พุทธทาสภิกขุ จาก อริยสัจจากพระโอษฐ์
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม ##
จับเอา “จิตที่เป็นหนึ่ง” ให้ได้, เมื่อได้แล้วให้ "รักษาไว้" เอาอันเดียวก็พอแล้ว.
การหัดภาวนาเบื้องต้น คือ หัดให้เข้าถึง “จิตเป็นหนึ่ง” หัดเบื้องต้นก็จริง แต่มันถึง "ที่สุด" ได้ คือ “จิตที่สงบนิ่ง” เป็น “หนึ่ง” มันก็
"ถึงที่สุดแล้ว"
"การฝึกหัดจิต" หัดมากหัดน้อยเท่าไรก็ตาม ต้องการให้จิตเข้าถึงที่สุด คือ “จิตเป็นหนึ่ง” เท่านั้น ส่วน “อุบายปัญญา” ที่จะเกิดขึ้น มันเป็น “เฉพาะบุคคล”
“แก่นสาร” คือ “จิตที่เป็นหนึ่ง” จับเอา “จิตที่เป็นหนึ่ง” ให้ได้
ครั้นจับเอา “จิตที่เป็นหนึ่ง” ได้แล้ว “รักษา” เอาไว้ให้มั่น "ไม่ต้องเอาอื่นใดอีก" เอา “อันเดียว” เท่านั้นเป็นพอแล้ว
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จิตพุทธะ
ใครจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตพุทธะบังเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็จิตเมื่อในขณะนั้นมันเบิกบาน มันเบิกบานพ้นจากความเศร้าหมองความหดหู่ ร่างกายนี้เมื่อเข้าถึงธรรมอันเป็นคุณวิเศษแล้ว นั่นหมายถึงว่าอาการปวดก็ดี อาการเมื่อยก็ดี คันคันตรงใดก็ดี มีเวทนาเหน็บชาก็ดี ปวดเศียรเวียนเกล้าก็ดี โอสถแห่งธรรมนี้จะขจัดปัดเป่า ซาบซ่าน มลายหายออกไปจากขุมทวารก็ดี จากกระหม่อมก็ดี จากทางใดทางหนึ่งก็ดี จากลมหายใจก็ดี อย่างนี้เค้าเรียกว่าธาตุทั้ง ๔ มันถูกปรับสมดุลกันขึ้นมาใหม่
เมื่อมันประชุมธาตุกันแล้ว เพราะว่าธาตุมันเป็นหนึ่ง เมื่อธาตุมันเป็นหนึ่งหมายถึงว่าเมื่อเริ่มต้นใหม่แห่งโลกธาตุ เป็นการเกิดใหม่แห่งสังขารนั่นเอง คำว่าการเกิดใหม่ของสังขารไม่ได้บอกว่าสังขารจะตั้งอยู่..แล้วไม่เปลี่ยนแปลง แต่สังขารที่เกิดใหม่เป็นเอกัคคตา..หมายถึงว่าเริ่มต้นใหม่
กายที่อ่อนกำลังที่เสื่อมมันจะถูกปรับสมดุลธาตุให้มีกำลังเหมือนวัยหนุ่มสาว และจะทำให้เรามีความเพียร อยู่ในความเพียรอยู่ในบัลลังก์ได้นานนั้นเอง คำว่าบัลลังก์ก็คือที่เราอธิษฐานนั่งลงไปแล้วไม่ลุกจากความเพียร ไม่ถอดถอนละความพยายาม แม้จะมีความขยับเขยื้อนก็ยังไม่ถือว่าออกจากบัลลังก์ หากมีจิตที่อยู่ในความเพียร มีความปรารถนาจะฝึกจิตแล้วไซร้ จึงเรียกว่าบัลลังก์
ดังนั้นแล้วการจะรักษาบัลลังก์ให้ตั้งมั่นมั่นคง..เราก็ต้องมีบริวาร คำว่าบริวารคืออะไร มีการอธิษฐานจิตแห่งบุญกุศลที่เราทำมา เอามาเสริมกำลัง เมื่อจิตเราพ้นแล้วเหมือนดอกบัวที่เบ่งบานแล้ว เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็ดี ดอกมันก็จะบาน เมื่อใครพ้นจากความง่วงได้เมื่อไหร่ก็จะเข้าใจในธรรมเมื่อฟังธรรม เมื่อตรึกตรองในธรรมปัญญามันก็บังเกิด
เมื่อเราเข้าถึงอารมณ์ตรงนี้ของฌาน เรียกว่าจตุตถฌาน หรือธาตุทั้ง ๔ เสมอเหมือนเป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่ง คำว่าเอกัคคตาเป็นหนึ่งแล้ว คือไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรกนั่นเอง คือจิตที่มันว่างจากอกุศล จึงเรียกว่าจิตที่ตั้งมั่นมีกำลัง เมื่อจิตที่ตั้งมั่นมีกำลังแล้วจะทำยังไง เค้าให้เรานั้นเสวยอารมณ์นี้..ให้จิตมันมีกำลัง ให้อิ่มเอมเหมือนเราเสวยอารมณ์แห่งปิติสุขนั่นแล
แล้วเมื่ออารมณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งมั่นแล้ว ให้เรานั้นกำหนดรู้ในกาย เอาจิตเข้าไปอยู่ที่ไปพักที่สติปัฏฐาน ๔ เพื่อเอาไปใช้การงาน..จึงเรียกว่าวิปัสสนา คือเดินญาณทัศนะให้เกิดขึ้น การเดินญาณทัศนาคืออะไร ญาณคือเป็นผู้รู้ภัยแห่งวัฏฏะ เพราะรู้ว่าทุกข์นั้นที่เกิดขึ้น เพราะเกิดจากว่ามีกายสังขารจึงเรียกว่าทุกข์ ให้ย้อนกลับไปที่ต้นปฐมเหตุแห่งวัฏฏะแห่งสงสารแห่งทุกข์ ก็คือกายขันธ์ ๕ นี้ เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ คือกาย คือเวทนา คือจิต และคือธรรม
๔ อย่างที่ว่ามานี้ กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นตัวอันเดียวกันเป็นหนึ่งอันเดียวกัน ถ้ายังเป็นหนึ่งอันเดียวกันแล้ว จึงแยกกันไม่ออกได้ ดังนั้นให้พิจารณาว่าเมื่อมีกายจึงมีทุกข์ เมื่อมีทุกข์จึงเกิดความรู้สึกคือเวทนา คือความพอใจ คือความไม่พอใจ เมื่อมีเวทนาจึงมีจิตไปอาศัย..นั่นคือสังขาร เมื่อมีจิตจึงเกิดธรรม..คือสภาวะที่ทนได้ยาก ให้เราไปพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว นี่แลเราถึงจะเรียกว่าแม้เราไม่เดินจงกรม แต่เมื่อเราพิจารณาอารมณ์เหล่านี้ แห่งปฏิกูลธาตุก็ดี โทษภัยแห่งวัฏฏะในกายก็ดี คือเพียรละอารมณ์ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร อย่างนี้แล้วไซร้ เรียกว่าเราเดินจิต การเดินจิตนี่เรียกว่าเดินจงกรมอย่างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้เจริญวิปัสสนาญาณอยู่
เมื่อมีการเจริญวิปัสสนาญาณ ก็หมายเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเป็นอารมณ์แห่งฌานก็ดี เช่นอากาศก็ดี แสงสว่างก็ดี ความว่างก็ดีเป็นอารมณ์อย่างนี้ ให้มันมีกำลังแห่งฌานเข้าไป ไม่นานรูปมันก็ดับ คำว่ารูปดับเป็นอย่างไรเล่า คำว่ารูปดับจึงจะเห็นแค่ดวงจิตที่เคลื่อนไหวในกายแต่ไม่ได้ยึดกายแล้ว เรียกว่าพ้นกายแล้ว
คำว่าพ้นกายจึงจะไม่มีอารมณ์พัวพันกับกายอีก แต่จะใช้จิตนี้ที่ตั้งมั่น คือมีผู้รู้นั้นพิจารณากาย คือถอนอนุสัย คือจิตที่ยังไปพัวพันในกามคุณก็ดี ในสิ่งชั่วในดวงใจก็ดี ในอกุศลก็ดี คือพิจารณาละอารมณ์มันลงไป ลงไป ลงไป จนอารมณ์เรานั้นที่เห็นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับได้นั่นแล เรียกว่าเรากำลังเสวยเข้านิโรธอยู่
เมื่อนิโรธบังเกิดขึ้นในจิตแล้วก็สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ตลอดทั้งราตรี เอานิโรธนั้นระยะสั้นๆ ถึงแม้จะมีวิตกอยู่ในกายบ้าง ถึงแม้จะมีผัสสะมากระทบบ้าง แต่ว่าเวทนาที่มันเกิดขึ้นจะเบาบาง ขันติและสมาธิที่เราเจริญขึ้นมาได้มันจะช่วยพยุงรักษา ให้เรานี้สามารถทนต่อเวทนาได้ เมื่อจิตเรากำหนดรู้มันก็จะเท่าทัน เมื่อเท่าทันแสดงว่าจิตเราเห็น เมื่อจิตเราเห็นเป็นผู้รู้ สิ่งนั้นมันก็หายไป เมื่อมันหายไปมันดับไปเสียแล้ว จิตมันก็ว่าง กายมันก็เบา..อยู่อย่างนี้
ให้เห็นว่าจิตเกิดขึ้น จิตตั้งอยู่ จิตดับไป จิตเกิดขึ้นจิตตั้งอยู่จิตดับไป..แม้จิตก็ดีก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจิต เป็นเรา เป็นเขา เมื่อเราไปยึดว่าจิตเป็นเรา แสดงว่าอัตตามันก็บังเกิดขึ้น เวทนามันก็บังเกิดขึ้น เมื่อนั้นแล้วให้รู้ว่าแม้จิตก็ดีก็ไม่ควรยึด ธรรมก็ดีก็ไม่ควรยึด ให้รู้แล้ววางรู้นั้น แม้ตัวรู้ที่รู้ก็ไม่ควรยึด แต่ควรยกมาพิจารณาแล้วละอารมณ์นั้นเสีย..จนจิตนั้นเข้าถึงความว่าง
จิตที่เข้าถึงความว่างเป็นอย่างไร จิตที่เข้าถึงความสุข ไม่มีอารมณ์เข้ามาปรุงแต่ง จิตที่ไม่มีอารมณ์เข้ามาปรุงแต่งนั่นแล เรียกว่าจิตเสวยอารมณ์แห่งพระนิพพานอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก็เอาอารมณ์แห่งสุขนั้นแห่งจิตนั้นแลทรงไว้ให้นานเท่านาน เท่าไรก็ได้ ที่เราจะประคองจิตได้...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต