" การปฏิบัติ
เป็นเครื่องยังพระสัทธรรม ให้บริสุทธิ์
"สติปัฏฐาน"เป็นชัยภูมิคือ สนามฝึกตน
พลธรรม ๕ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
ปัญญา ใครไม่เหินห่างจากธรรม เหล่านี้
ไปอยู่ที่ไหน...
ไม่ขาดทุนล่มจม."
_______________________________________
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
รู้หลักแล้วเอาไปปฏิบัตินะ
ถ้าปฏิบัติถูกใช้เวลาไม่นานก็เห็นผล
ขั้นแรกก็หัดรู้สึกตัว
ให้จิตใจอยู่กับตัวเองก่อน
ถ้าจิตใจล่องลอยไปภาวนาไม่ได้
ใจมันหนีไปที่อื่น
ส่วนใหญ่ก็หลงไปอยู่ในโลกของความคิด
ความคิดไม่ใช่ความจริง
คิดอะไรก็ได้ เพ้อเจ้อแค่ไหนก็ได้
ถ้าไปอยู่ในโลกของความคิด
เราก็ไม่เห็นความจริง
พยายามมาอยู่ในโลกของความจริง
อะไรเป็นความจริง ?
กายนี้เป็นความจริง ใจนี้เป็นความจริง
รูปธรรม นามธรรม มันมีอยู่จริงๆ
ส่วนเรื่องราวที่คิด เป็นเรื่องสมมุติขึ้นมา
สมมุติบัญญัติ เป็นอารมณ์บัญญัติ เนี่ยไม่ได้มีจริง
งั้นอยากได้ธรรมะ
ธรรมะเป็นของจริง
ก็มาเรียนจากของจริง
มาเรียนอยู่ที่กาย ที่ใจนี้
นี้เราจะเรียนอยู่ที่กายที่ใจได้
มันต้องไม่ทำสองอย่าง
อันหนึ่งก็ ลืมกาย ลืมใจ
จิตใจหลงไปอยู่ในความคิด
อย่างนี้สิ้นสภาพแล้ว ภาวนาไม่ได้
เวลาจิตหลงไปอยู่ในความคิดเนี่ยทำสมถะได้นะ
สมถะไม่เลือกอารมณ์ ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้
ใช้อารมณ์รูป อารมณ์นาม ก็ได้
ใช้อารมณ์นิพพานยังได้เลย สำหรับสมถะ
แต่วิปัสสนานะเรียนเพื่อให้เห็นความจริง
งั้นต้องเรียนจากของที่มีจริงๆ
คือตัวรูปธรรม นามธรรม
นิพพานมีจริงๆ แต่ไม่ต้องเรียน
เข้าใจรูปธรรม นามธรรม พอจิตมันวาง
หมดความยึดถือรูปธรรม-นามธรรมแล้ว
มันก็เห็นนิพพานเอง
งั้นอย่าให้จิตใจล่องลอยไป
ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
รู้สึกอยู่ที่กาย รู้สึกอยู่ที่ใจ ไปเรื่อยๆ
เนี่ยถ้าเมื่อไหร่ลืมตัวเองแล้ว
ก็ล้มเหลวในการปฏิบัติแล้ว
อีกอย่างหนึ่งเราจะต้องการ
เรียนให้เห็นความจริงของร่างกายจิตใจ
เราก็อย่าไปดัดแปลงร่างกายจิตใจ
ให้ผิดจากความจริง
อย่างร่างกายเราเนี่ย
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตใจก็ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไม่ต้องไปฝึกที่ว่านั่งแล้วไม่ปวด
ไม่เมื่อย อะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็น
มันทำไม่ได้จริงด้วย
หรือฝึกไปเพื่อให้จิตสงบตลอดเวลา
อันนี้ไม่จำเป็น
ให้จิตมีความสุขตลอดเวลา
หรือให้มีความดีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีกิเลสเลย
พยายามฝึกที่จะไม่ให้มีกิเลส
ตรงที่อยากไม่มีกิเลส นั่นแหละตัวกิเลส
งั้นเราจะไม่เข้าไปดัดแปลงความจริงของกาย
ไม่เข้าไปดัดแปลงความจริงของจิตใจ
แต่เราจะคอยเห็นมัน
เห็นความจริงของกาย เห็นความจริงของใจ
การเห็นความจริงของกาย-ของใจนี้
เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน
(คือ)เห็นความจริงของรูปธรรม-นามธรรม
ที่มันประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเรา เป็นของเรา
เนี่ยเรามาแยกสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวเราของเรา
ออกเป็นส่วนๆ แยกได้ ๕ ส่วน เรียกขันธ์ ๕
ขันธ์ ภาษาไทยก็แปลว่าส่วนนั่นแหละ
ขันธ์ ๕ ก็คือ ๕ ส่วน
๕ ส่วน มีส่วนของสิ่งที่ประกอบกัน
แล้วเรารู้สึกว่าเป็นตัวเรา
ส่วนที่ ๑. ก็คือ (รูปขันธ์)
ตัวรูปธรรม ตัวกายนี้
ส่วนที่ ๒. ก็คือ (เวทนาขันธ์)
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ทางกาย
ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ทางใจ
ความสุข ความทุกข์ ไม่ใช่ร่างกาย
แล้วก็ไม่ใช่จิตใจด้วย
เป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นอีกขันธ์หนึ่ง
เรียกว่า เวทนาขันธ์
(ส่วนที่ ๓. สัญญาขันธ์)
ความจำได้-หมายรู้ เป็นอีกส่วนหนึ่ง
เรื่องของความจำได้-หมายรู้
(ส่วนที่ ๔. สังขารขันธ์)
เรื่องของความปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว
เป็นอีกขันธ์หนึ่งเรียกว่า สังขารขันธ์
อีกขันธ์หนึ่ง ขันธ์สุดท้ายก็คือ วิญญาณขันธ์
อะไรที่เรียกว่า วิญญาณขันธ์ ?
ก็คือ กลุ่มของจิต จิตชนิดต่างๆ
วิญญาณก็คือตัวจิตนั่นแหละ ตัวเดียวกัน
คำว่า จิต คำว่า ใจ คำว่า วิญญาณ
เป็นสิ่งเดียวกันคือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
แต่ทำไมมีหลายชื่อ ? ก็เอาไว้สำหรับแจกแจง
ว่าตอนนี้มันทำหน้าที่อะไร
ถ้าจิตมันทำหน้าที่รู้ธรรมารมณ์
ตัวที่รู้ธรรมารมณ์ก็เรียกว่าใจ หรือ มโน
เราเอาคำว่ามโนมาใช้เสียหายนะ
ทุกวันนี้มโนกลายเป็นของไม่ดี
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าบอก ...
มโน ปุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา
(ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ)
ใจมาถึงก่อนเป็นหัวหน้า เป็นประธาน
เราไปใช้มโนเสียหมดตอนนี้
เสียมาตลอดเลยนะศัพท์ธรรมะเนี่ย
ถูกพวกวิตถารเอาไปทำเสีย
อย่าง(คำว่า)เวียนเทียนเนี่ยมันทำซะเสียเลย
ทำเสียหาย
.
เวลาจิตมันทำหน้าที่รู้ธรรมารมณ์
เราเรียกจิตที่ทำหน้าที่รู้ธรรมารมณ์ว่า ตัวมโน
ถ้า(จิต)ทำหน้าที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
อะไรอย่างนี้เรียกว่า วิญญาณ
รู้ทางใจก็เรียกวิญญาณเหมือนกัน(มโนวิญญาณ)
เป็นตัวรับอารมณ์ เรียกว่าวิญญาณ
ตัวจิตก็ทำหน้าที่ได้สิบกว่าอย่าง
ทำหน้าที่ได้สิบกว่าอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย
ทำหน้าที่ได้ต่างๆกัน ที่จริงก็คือตัวเดียวกัน
จิต มโน วิญญาณ
จิต ใจ วิญญาณ อันเดียวกัน
ทำไม (วิญญาณขันธ์) เป็นกองขันธ์
เพราะไม่ได้มีดวงเดียว
จิตไม่ได้มีดวงเดียวนะ เป็นกลุ่ม
คือ จิตที่ดูรูป จิตที่ฟังเสียง จิตที่ดมกลิ่น
จิตที่ลิ้มรส จิตที่รู้สัมผัสทางกาย
จิตที่รับอารมณ์ทางใจ
จิตที่พิจารณาอารมณ์ทางใจ
จิตที่ตัดสินอารมณ์ทางใจ
จิตที่เสวยอารมณ์ทางใจ
จิตที่สะสมเก็บข้อมูล
เนี่ยมีหลายแบบจนถึงจิตที่ตาย
(จิต)มันทำหน้าที่เยอะแยะไปหมด
เวลาเราเรียน เราไม่ต้องเรียนทั้งหมด
เราจะเรียน"จิตในจิต" คือเรียนจิตบางอย่าง
ถ้าเข้าใจแล้วก็เข้าใจจิตทั้งหมด
ไม่ต้องเรียนจิตทุกชนิด
เวลาเรียนกาย ก็ไม่ต้องเรียนกายทั้งตัว
เราไม่ได้เรียนกายวิภาคแบบหมอ
ต้องเรียนทั้งตัวเลย แล้วท่องหมดเลย
กระดูกชิ้นนี้ชื่ออะไร กล้ามเนื้อมัดนี้ชื่ออะไร
ต้องท่องๆๆ อย่างนั้นยังสู้กิเลสไม่ได้
เวลาเราเรียนความจริงของรูปธรรม-นามธรรม
เนี่ย เราสุ่มตัวอย่างมาเรียน
อย่างเรียนกายบางอย่าง
ถ้าเข้าใจกายอย่างนั้นแล้วจะเข้าใจกายทั้งหมด
เช่น แทนที่เราจะต้องเรียนเหมือนหมอเรียนนะ
เรียนสารพัดเยอะแยะไปหมดเลย
เส้นประสาทก็มีตั้งเยอะแยะ
เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบโน้น ระบบนี้
เราไม่ต้องเรียนเยอะขนาดนั้น
เราจะเรียนเพื่อล้างกิเลสเนี่ยสุ่มมาเรียน
ที่พระพุทธเจ้าสุ่มมาให้เรา
เช่น ให้เห็นว่าร่างกาย
ที่หายใจออก ร่างกายหายใจเข้า
เมื่อไหร่ที่เห็นว่าร่างกายที่หายใจออก
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายที่หายใจเข้า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายทั้งหมดก็ไม่ใช่ตัวเราแล้ว
ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทั้งหมดเลย
ทั้งวันมีแต่ร่างกายที่หายใจออก
กับร่างกายที่หายใจเข้า
นึกออกมั้ย
ถ้าตอนที่หายใจออกก็เห็น
มีปัญญาหยั่งลงไป
ร่างกายที่หายใจออกไม่ใช่เรา
ตอนที่หายใจเข้าก็มีปัญญาหยั่งรู้
(ว่า)ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่ใช่เรา
(ก็จะเห็นว่า)ร่างกายทั้งหมดจะไม่เป็นเรา
หรือสุ่มตัวอย่างมาเรียนร่างกายนะ
อย่างมาเรียนร่างกายยืน ร่างกายเดิน
ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน
ส่วนใหญ่เราอยู่ในอิริยาบถแบบนี้(อิริยาบถบรรพ)
ร่างกายกระโดด ร่างกายเขย่ง
อะไรอย่างนี้มีไม่มาก
ส่วนใหญ่ของร่างกายก็คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
บางคนบอก ว่ายน้ำล่ะ
ว่ายน้ำเดี๋ยวไปอยู่อีกหมวดหนึ่ง
อีกบรรพหนึ่งคือ
ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ดูได้อีก
(สัมปชัญญบรรพ)
ถ้าเราเห็นว่าร่างกายที่นั่งอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอน ไม่ใช่เรานะ
ร่างกายทั้งหมดจะไม่เป็นเรา มันจะรู้สึกเลย
หรือถ้าเราจะมาเรียนเรียกว่า สัมปชัญญบรรพ
ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง
เฝ้ารู้ร่างกายอยู่แค่นี้
รู้แต่ร่างกายที่เคลื่อนไหว
กับร่างกายที่มันหยุดนิ่ง
ดูมันไปเรื่อยๆ
ถ้าเมื่อไหร่ปัญญาแทงตลอดลงไป
ว่าร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ใช่ตัวเราของเรา
ร่างกายหยุดนิ่งไม่ใช่ตัวเราของเรา
ร่างกายทั้งหมดจะไม่เป็นตัวเราของเรา
เพราะทั้งวันเนี่ย
ร่างกายก็เคลื่อนไหว กับหยุดนิ่ง
สองอย่างเท่านั้นเอง
ส่วนจะเคลื่อนไปอิริยาบถใด
อันนั้นไปดูเรื่องอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
ถ้าร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอน ไม่ใช่เรา
ร่างกายทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา
ถ้าร่างกายหายใจออก ไม่ใช่เรา
ร่างกายหายใจเข้า ไม่ใช่เรา
ร่างกายทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา
เนี่ยเรียกว่า.. "กายในกาย"
คือเป็นการสุ่มตัวอย่างมาเรียน
ร่างกายบางอย่าง บางแง่ บางมุม
แต่พอเข้าใจแล้วจะเข้าใจทั้งหมดเลย
เข้าใจเกิดความรู้ในองค์รวม ความรู้รวบยอด
(ว่า)กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา
มาดูความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์
(เวทนา)อยู่ในกายก็ได้ อยู่ในจิตก็ได้
แต่ขอแนะนำให้ดูสุข ทุกข์ เฉยๆ ในจิต
สุข ทุกข์ ในกาย จะดูได้ดีต้องทรงฌาน
ถ้าไม่ทรงฌานดู(เวทนาทางกาย)
ทุกทรมานมาก สติจะแตก
อย่าง เอาอย่างพวกเราอย่างนี้
อยู่ๆ จับไปนั่งสมาธิโต้รุ่งนะมันจะบ้าตาย
ทนไม่ไหว
พวกเค้าทรงฌานก็นั่งไป เจ็บปวดขึ้นมา
จิตใจกระสับกระส่ายแล้วก็เข้าฌาน
หลบเข้าไปพักในฌานนะ
รู้สึกตัวอีกทีสว่างแล้ว แหมยังไม่ทันจะดูเวทนาเลย
เนี่ยพวกทรงฌานนะจิตมันมีแรงมาก
มีที่หลบ มีที่พัก
งั้นการดูเวทนาเนี่ยมันเหมาะกับคนเล่นฌาน
นี้ถ้าเราไม่ได้ฌานนะ
หลวงพ่อแนะนำให้เปลี่ยนไปดูเวทนาทางใจ
(ดูความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ)
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ธรรมชั้นสูงของพระพุทธศาสนา เพื่อทำลาย "อุปาทาน"เพื่อทำลาย "ทิฏฐิมานะ" เพื่อทำลาย "อวิชชาความโง่"เพื่อทำลาย "ตัณหา" ความทะเยอทะยานในกองนามรูป กับทะเยอทะยานในโลกก็มีความหมายอันเดียวกัน
ทะเยอทะยานในผู้รู้ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน ก็มีความหมายอันเดียวกัน
ทะเยอทะยานในกองนามรูป กับทะเยอทะยานในโลก ก็มีความหมายอันเดียวกัน
ทะเยอทะยานในผู้รู้ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน ก็มีความหมายอันเดียวกัน
อาหารของสัตว์ทั้งหลาย "กวฬิงการาหาร" อาหารคือคำข้าว ผัสสาหาร อาหารคือ ผัสสะ มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความนึกคิด วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ สัตว์ทั้งหลายติดอาหารเหล่านี้อยู่ เพราะถือว่าอาหารเหล่านี้เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ส่วนพระอริยเจ้าชั้นสูงท่านข้ามไปแล้ว ข้ามความหลงตอนนี้ไปแล้ว ถ้าหากว่าตากู หูกู จมูกกู ลิ้นกู กายกู ใจกู มีอยู่ตราบใด รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์มันก็ของกูอยู่ทั้งนั้น อดีต อนาคต ก็เหมือนกัน ปัจจุบันก็เหมือนกัน
ท่านทั้งหลายจงปล่อยวางมือไปเสียเถิด พระบรมศาสดา มือใจ มือสติ มือปัญญา
ท่านทั้งหลายรู้จักกำแล้ว ก็จงรู้จักวางเถิด
รู้จักเขียนแล้วก็จงรู้จักลบเถิด รู้จักสมมติแล้วก็จงรู้จักวิมุติหลุดพ้นเถิด
คล้าย ๆ กับภูเขาไม่รู้ "ภู" ใครใครก็บอกว่าภูเขา "นกเขา" ก็เหมือนกัน นกเขาไม่รู้ว่านกใคร ก็มีความหมายอันเดียวกัน ครับผม ไม่รู้ว่าใครเป็นครับผม ก็สมมติกันชั่วคราว ดิฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นดิฉันแท้ หนูคุณหนู ไม่รู้ว่าใครเป็นคุณหนูแท้ เพราะสมมติกันใช้ชั่วคราว
แต่ถ้าหากว่าหลงเข้ามาท่องเที่ยวทะเลนี้แล้ว
ไม่พ้นอีกเหมือนกัน
"อนัตตาธรรม" ชัด เมื่อเห็นอนัตตาธรรมชัดแล้ว อุปาทานทั้งหลายก็วางเอง ปล่อยเอง
อวิชชา ตัณหา อุปาทานทั้งปวงก็ปล่อยวางไปเอง
สุขขึ้นมาก็รับเอา ทุกข์ขึ้นมารับเอา อุเบกขาขึ้นมาก็รับเอา ไม่มีบังสุกุลเสียเลย ไม่ยอมให้ใคร ยังหิ้วยังหาบอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างหลังหัก ของใครของมันทีนี้ ยืนก็ของกู นั่งก็ของกู นอนก็ของกู กูไป กูมา มันอยู่ต้นไม้เหยี่ยวมาเฉี่ยวเอาไปกินเลย นกเขาขันกุ๊กกรู อยู่ฟักใส่เขียงก็เถลียงขึ้นมากุ๊กกรู ๆ แหล่นกเขาที่ท่านเทศน์นั่น
ธรรมชั้นนี้เป็นธรรมชั้นสูงมาก ถ้าไม่พิจารณาให้แยบคายแล้วจะหลงไม่ใช่น้อย ความได้ความเสียไม่มีในท่านผู้ใดท่านผู้นั้นข้ามได้แล้ว ข้ามความดีได้แล้วข้ามความเสียได้แล้ว
เกิดตายไม่มีในท่านผู้ใดผู้นั้นข้ามเกิดตายไปแล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน หลับ ตื่น ไม่มีในท่านผู้ใดท่านเหล่านั้นข้ามยืน ข้ามเดิน ข้ามนั่ง ข้ามนอน ข้ามหลับ ข้ามตื่นไปแล้ว
อดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดเข้าไปแบกยึดถือท่านผู้นั้นข้ามโลกทั้ง ๓ แล้ว ข้ามทั้งโลกอดีต ข้ามทั้งโลกอนาคต ข้ามทั้งโลกปัจจุบันไปแล้ว ไม่มีรอย สมมติก็จริง ๆ ตามสมมติ ไม่ได้เอามาค้านวิมุติ วิมุตก็จริงตามวิมุติ ไม่เอาไปค้านสมมติ ทีนี้เมื่อไม่หากินทางฝ่ายค้านงานก็ไม่มี ก็จบงานกัน
ต้องการเห็นคุณพระพุทธ พระธรรมก็เห็น แต่ไม่เอายึดถือเอาเป็นเจ้าของ ต้องการเห็น แก่ เจ็บ ตาย ก็เห็น แต่ไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ต้องการเห็น อดีต อนาคต ก็เห็น แต่ไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ต้องการเห็น สุข ทุกข์ เวทนา อุเบกขา ก็เห็นแต่ไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
จะข้ามเวทนาทั้งหลายได้ด้วยความไม่ยึดถือว่าเวทนาเป็นตน ตนเป็นเวทนา จะข้ามสัญญาได้ด้วยไม่ยืนยันว่าสัญญาเป็นตน ตนเป็นสัญญา
จะข้ามสังขารได้ด้วยไม่ยืนยันว่าตนเป็นสังขาร สังขารเป็นตน
จะข้ามใจได้ด้วยปัญญาอันชัดก็เพราะไม่ยึดถือว่าใจเป็นตน... ตนเป็นใจ
......................
🌸องค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต🌸
“ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ”
ตามแบบของ...พุทธทาสภิกขุ
“ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ” ต้อง ดู ดู
ดูจนเห็นประจักษ์แจ้งว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
ไม่ใช่ “คิดไปตามความเชื่อ”
.
“เราขอเน้นว่า การเวียนเกิดแห่ง ตัวตน ตัวกู-ของกู นั่นแหละ! ตัวทุกข์ แม้แต่เกิดครั้งเดียวมันก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องพูดถึงเกิดซ้ำๆซากๆอย่างวนเวียน ฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นทุกข์
.
และ วิปัสสนากัมมัฏฐาน นั้น เป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ให้“เห็นแจ้งในความจริง” เกี่ยวกับ..การเวียนว่ายตายเกิด ( แห่ง ตัวตน ตัวกู-ของกู )
.
วิปัสสนากัมมัฏฐาน นี้ ต้องเป็น “วิปัสสนาจริง” คือ เป็น “การดู” ไม่ใช่การคิด-คำนวณ ไม่ใช่การพิจารณาโดยเหตุผล ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน แล้วเอาจิตชนิดนั้นมา ดู-ดู-ดู ลงไปที่สังขาร ( ความปรุงแต่ง ) ที่กำลังเป็นปัญหา คือความทุกข์ จนรู้ประจักษ์ในเรื่องของความทุกข์ และเหตุแห่งความทุกข์ รู้ความเป็น“เช่นนั้นเอง” เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็..ไม่ยึดถืออะไร ว่าเป็น “ตัวตน” นี่การเวียนว่ายตายเกิดก็สิ้นสุดลง
.
เราเน้น “วิปัสสนากัมมัฏฐาน” อย่างนี้
ซึ่งไม่เหมือนกันกับของคนพวกอื่น ที่เอาวิปัสสนากัมมัฏฐานไปเป็นการคิดตามเหตุผล โดยไม่ต้องดู
.
วิปัสสนานี้ต้อง..ดู-ดู-ดู จนเห็น
พอเห็นแล้วก็ประจักษ์แจ้งว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่า “เป็นตัวตน”
นี่แหละ! “ วิปัสสนา” อันแท้จริง !
.
คือ..ดู-ดู-ดู แล้วเห็น
เห็นแล้ว ก็ปล่อยวางเอง
วิปัสสนากัมมัฏฐานชนิดที่นำความคิดอย่างนั้น อย่างนี้ ให้พิจารณาอย่างนั้น อย่างนี้ นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ดู และไม่ได้เห็น แต่มันพูดไปตามความเชื่อ มันคิดไปตามความเชื่อ มันมีเหตุผลของคนที่พูดกันไปตามที่สอนสืบๆกันมา อย่างนี้ ไม่เห็นแจ้ง และไม่ดับทุกข์ได้เลย เราไม่สอน
.
ขอยืนยันว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่ดูให้เห็นจริง นั่นแหละ! เป็นทางดับทุกข์ แต่ต้องถูกต้องตามแบบของวิปัสสนากัมมัฏฐาน อย่าให้เป็นวิปัสสนาเถื่อน ซึ่งมันดับทุกข์ไม่ได้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : บรรยายธรรมในลักษณะ ถาม-ตอบ ในวาระที่ ๓ วันล้ออายุ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จากหนังสือ “ธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน”
----------------------------------------------
ความเป็น...❝ เช่นนั้นเอง ❞
.
❝ พิจารณาดูความหมาย ❝เป็นเช่นนั้นเอง❞
.
ที่นี้ ก็มาพิจารณาดูกันถึงความหมายของคำว่า "เป็นเช่นนั้น" ก็หมายความว่า มันไม่ผิดไปจากนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่น จากนั้น เพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา มันเป็นการตั้งอยู่โดยธรรมดา คือความที่มันอาศัยสิ่งนี้สิ่งนี้แล้วจึงเกิดขึ้น.
.
ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อน ว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่ ความที่มันไม่เที่ยง คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นทุกข์ คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นอนัตตา คือความเป็นเช่นนั้น ; ฉะนั้น ความเป็นเช่นนั้นก็คือ ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นจะเห็นว่าความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา นั่นแหละคือ ความเป็นเช่นนั้น นี่จำไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ที่ว่าเป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
.
ทีนี้ ถ้าว่าจะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ความเป็นเช่นนั้นมันอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร-สังขารให้เกิดวิญญาณ-วิญญาณให้เกิดนามรูป-นามรูปให้เกิดอายตนะ-อายตนะให้เกิดผัสสะ-ผัสสะให้เกิดเวทนา-เวทนาเกิดตัญหา-ตัณหาให้เกิดอุปาทาน-อุปาทานให้เกิดภพ-ภพให้เกิดชาติ-ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง. นี่ความเป็นเช่นนั้นเอง มันยาวหน่อยมันไล่ติดกันไปยาวหน่อย แต่สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เป็นเพียงคำคำเดียวว่า "เป็นเช่นนั้น" คือ "ตถตา" อีกเหมือนกัน.
.
แล้วไปดูที่อริยสัจจ์ ๔ ความทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆ ก็หมายความว่า "มันเป็นเช่นนั้น" มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้น จึงเรียกอริยสัจจ์ทั้งสี่นี้ว่า "ตถา" หรือ "ตถตา" ด้วยเหมือนกัน.
.
ฉะนั้น คำว่า "ตถาตา" จึงได้แก่พระไตรลักษณ์ ได้แก่ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่อริยสัจจ์ ๔ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมจะไม่เรียกว่า นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคำคำเดียวว่า "ตถตา" คือความเป็นเช่นนั้น แม้จะใช้คำว่า "ตถาตา" ก็ยังเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : โอวาทแก่คณะนักศึกษารวมกันหลายคณะ เนื่องในวันสิ้นปี ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม ไชยา เมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๙.๓๐ น.
# ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ - รวบรวม. ##
การทําสมาธิ รู้สึกตัวกับลมหายใจ
รู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า รู้สึกตัวกับลมหายใจออก ตรงที่รู้สึก นั้นเป็นการอยู่กับจิตผู้รู้ จิตผู้รู้จะตั้งมั่นเด่นขึ้นมา ปล่อยจากขันธ์หยาบมาละเอียด
อย่าไปอยากให้เกิดสภาวะ อย่าอยากใดๆทั้งสิ้น อย่าไปอยากหูดับ กายเบา จะไม่เกิด ให้ปล่อยกายสบายๆ วางใจสบายๆอยู่กับความรู้สึกที่ปรากฏ จิตจะปล่อยวางอารมณ์อื่นเองอัตโนมัติ ปล่อยแล้วก็อย่าไปดึงกลับมาอีก ตรงนี้อย่าพยายามไปคิดพิจารณาหรือสงสัยนะ มันจะหลุด
กาย ใจ จะหลุดออกจากการยึดถือ ปล่อยออกจากขันธ์ ยิ่งรู้สึกตัวชัด ตรงนี้รู้อยู่กับใจแล้ว กายหลุดไป หรือ กายเบา ไม่มีความเวทนาจากกายอีก เพราะความเวทนาเป็นอารมณ์หยาบ
เห็นเป็นขณะ เป็นช่วง บางทีว่างมีรู้สึกตัว , บางทีหลุดเผลอไม่รู้ตัวว่าง หรือ ไหลไปคิดหรืออยู่กับอารมณ์ , ให้ กลับมารู้สึกตัวเป็นหลัก เป็นการกลับมาอยู่กับจิตผู้รู้ ปล่อยออกจากอารมณ์
จิตตั้งมั่นเด่น ใจจะว่างๆ สังเกตุดูความว่างที่ปรากฏ อย่าเข้าไปอยู่กับความว่าง ให้เห็นเองว่าใครเป็นผู้รู้ความว่างอยู่ นั้นคือจิตผู้รู้ที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นเอง ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ที่รู้ความว่าง อย่าปล่อยใจไหลไปแช่ความว่าง
ธรรรมแท้จะปรากฏกับใจ ตามความก้าวหน้าในธรรม
หลวงปู่มั่นท่านสอน ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน สิ่งสำคัญของการปฏิบัติก็คือการมีสติในชีวิตประจำวัน ทำสมาธิมากเนิ่นช้า ติดความสงบ ติดความสุขอยู่อย่างนั้น เนิ่นช้า ไม่ได้ช้าปีสองปี อาจจะช้าถึงแปดหมื่นกัปป์ก็ได้ ทำสมาธิแล้วไปอยู่พรหมโลก เป็นอรูปพรหม อายุยาวมาก เพราะไม่มีร่างกายที่จะแก่ ที่จะเจ็บ ที่จะตาย มีแต่จิต เพราะอย่างนั้นทำสมาธิมากเนิ่นช้า (2) คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน เวลาเราพิจารณาธรรมะไป จิตต้องใช้พลังงาน ใช้ไปเรื่อยๆ จิตใจฟุ้งซ่าน ก็ต้องกลับมาทำความสงบใหม่ พอจิตใจสงบแล้วก็ออกพิจารณา หรือถ้าเราชำนาญในการทำวิปัสสนาแล้ว ไม่ต้องไปคิดพิจารณา ออกจากความสงบแล้วจิตจะทำวิปัสสนาเองเลย เดินเอง ในรูปแบบเราก็ทำสมาธิไป จิตมีแรงแล้วก็พิจารณากายก็ได้ จิตก็ได้ ให้มันทำงาน จนกระทั่งจิตมันคล่องตัวในการดูไตรลักษณ์ สามารถดูไตรลักษณ์ได้ด้วยตัวเอง สติระลึกรู้กาย ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของกาย สติระลึกจิต ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของจิต อย่างนี้จิตเดินวิปัสสนา ทำไปเรื่อยๆ ช่วงไหนควรทำสมถะก็ทำสมถะ ช่วงไหนควรเจริญวิปัสสนาก็เจริญวิปัสสนา จะต้องรู้ด้วยตัวเองว่าตอนไหนควรทำอะไร พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า ธรรมะที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง คือสมถะและวิปัสสนา — หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
การปฏิบัติแบบง่าย เพื่อเริ่มเจริญสติปัฏฐาน
- เริ่มต้นจากการมาดูกายเราก่อน เอากายเป็นฐาน ก็แค่ หายใจ แล้วรู้สึกตัวกับลมหายใจ
ขยับกาย เดิน รู้สึกตัวกับการก้าวย่าง
รู้สึกตัวกับการขยับกาย ในอริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน
แค่รู้สึก เอาเท่าที่รับรู้ รับทราบ เอาเท่าที่เห็น รู้แล้วผ่าน
ทําแบบนี้ไปเรื่อย จะเริ่มก้าวหน้า
- เริ่มเข้าไปเห็นใจ
จะเริ่มเห็น ก้อนความคิด ก้อนอารมณ์
เห็นตรงนี้เป็นการเข้ามาเห็นจิต ก็ให้แค่รับรู้ รับทราบ มันแยกออกไป
ไม่เข้าไปยึดถือ จมไปกับความคิดอารมณ์ต่างๆ เกิดเป็นความคิดอารมณ์สืบต่อ จากการหลงยึดถือ
รู้สึกตัวมันจะหลุดออก
ทําง่ายแบบนี้ คือการปฏิบัติในชีวิตประจําวัน ยืน เดิน นั่ง นอน ก็แค่ รู้สึกตัว
การปฏิบัติเจริญวิปัสสนานั้น
ไม่ต้องไปคิดอะไร
เพียงมีสติระลึก รู้เท่าทันต่อปรมัตถ์
ระลึกปรมัตถ์ที่เป็นปัจจุบันขณะ
มันก็ทำลายอกุศลธรรมลงไป
ได้ด้วยตัวของมันเอง
เมื่อกุศลเกิดขึ้นๆ อกุศลก็จางลง
กุศลมาแทนที่ในปัจจุบันธรรม
เหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียว
ที่สองคนแย่งกัน
ระหว่างกิเลสกับกุศล
ถ้ากุศลเข้ามาแทนที่
อกุศลก็ตกไปจากเก้าอี้นั้น
แต่การจะนั่งก็นั่งได้แป๊ปเดียว
ถึงจะเป็นกุศลก็นั่งได้แป๊ปเดียว
ถ้าไม่มีการเสริมมาอีก อกุศลก็เข้ามาอีก
ฉะนั้นถ้าหากว่า มีสติระลึก รู้อยู่
อกุศลก็จะละไปในตัว
เมื่อเพียรทำกุศลให้เกิดขึ้น
ก็เท่ากับว่าเพียรละอกุศลไปในตัว
อันนี้ก็เป็นการละในวิธีการของวิปัสสนา
คือมีสติรู้เท่าทันต่อ อกุศลธรรม และกุศลธรรม
แต่ถ้าเราจะละอกุศล
ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่วิปัสสนาก็ละได้
ในลักษณะที่ไม่ได้ศึกษาความเป็นจริง
ละแบบใช้อุบายวิธี
เช่น เราคิดนึกสอนจิตใจของตัวเองว่า
ไม่ควรจะไปโกรธ ไปเกลียด
โดยให้เหตุผลอย่างนั้น อย่างนี้
ก็สามารถจะทำให้กิเลสที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น
ถูกละไปได้ชั่วคราว คือ สงบระงับไปได้
แต่มันไม่ได้เป็นวิธีการของวิปัสสนา
เมื่อไม่ใช่วิธีการของวิปัสสนา
มันก็ไม่มีปัญญาในการที่จะละโดยเด็ดขาดได้
ไม่มีการสะสมเหตุและปัจจัย
เข้าไปสู่การละโดยเด็ดขาดได้
ที่เรียกว่า ประหาณอนุสัยกิเลส
การที่จะเข้าไปสู่การละโดยเด็ดขาด
หรือ ประหาณกิเลสโดยเด็ดขาด
ก็ต้องเจริญวิปัสสนา
ให้รู้แจ้งรูปนามตามความเป็นจริง
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
< ลำดับขั้นการหลุดพ้น >
ทุกข์ เป็นปัจจัย ให้เกิด ศรัทธา เข้าสู่ทางธรรม
ศรัทธา เป็นปัจจัย ให้เกิด ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ)
เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ (ความอิ่มใจ)
เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ (ปัสสัทธิ)
เมื่อมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น (สมาธิ)
เมื่อจิตตั้งมั่น ยถาภูตญาณทัสสนะย่อมเกิด (ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง )
เมื่อมีความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย (นิพพิทา)
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด (วิราคะ)
เมื่อคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น (วิมุตติ)
สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญา คือการรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูดและโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
< จบกิจสิ้นพรหมจรรย์ >
"ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" ต้องอาศัย"สมถะและวิปัสสนา" ทั้งสองอย่าง ต้องเดิน "ปัญญา" จิตรวมอยู่ในที่ "จุดอันเดียว" เรียกว่า "เอกัคคตาจิต" แลัวใคร่ครวญพิจารณา ว่า
▪อย่างนี้เป็นทุกข์
▪ว่าอย่างนี้เป็นเหตุเกิดทุกข์
▪ว่าอย่างนี้เป็นความดับทุกข์
▪เมื่อเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายตามเป็นจริงในความเป็นทุกข์ในความเป็นสมุทัยเมื่อรู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็นจริงอันเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์
▪จิตย่อมถึงความ"เบื่อหน่าย" ความคลายกำหนัด"
▪แล้วสลัดคืนในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์
▪เป็นผู้ถึงความสิ้นไปแห่งราคะ แห่งโทสะ แห่งโมหะ
▪"ความดับทุกข์" (นิโรธ ครั้งแรก) "ผู้รู้" เกิด
เมื่อ "ผู้รู้" รู้แจ้งใน "สังขารธรรม" ทั้งหลาย
▪"จิตเห็นจิต" จิตจะปล่อยวางจิต "จิต
▪"ผู้รู้จะปล่อยวาง "ผู้รู้"
▪"จิตไม่ติดอยู่ด้วยจิต"
▪"ผู้รู้ไม่ติดอยู่ด้วยผู้รู้"
▪เมื่อจิต"ไม่ติดเนื่องด้วยจิต" "ผู้รู้ไม่ติดเนื่องด้วยผู้รู้" จิตย่อมลุถึง"สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งใดๆนั้นมีอยู่"จริง" เรียกว่า"จิตหนึ่ง"
▪จิตหนึ่งไม่ได้นับรวมในความมีอะไรและในความไม่มีอะไร เป็นสิ่งที่"หมดจด"และไม่ติดเนื่องอยู่ด้วยสิ่งใด เป็นธรรมที่ถึงความ"หลุดพ้น "เป็นความดับ ทุกข์"เป็น"นิโรธ" เป็นความดับไม่มีเศษเหลือแห่ง"สังขารธรรมทั้งปวง"
จบกิจสิ้นพรหมจรรย์
เครดิต ตถตา เป็นอย่างนั้น
วิปัสสนากรรมฐานคืออะไร (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
วิปัสสนากรรมฐานคืออะไร
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต
เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการ ออกเสียจากชีวิต
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่า ชีวิตมันคืออะไรกันแน่
ปกติเราปล่อยให้ชีวิต ดำเนินไปตามความเคยชินของมันปีแล้วปีเล่า
มันมีแต่ความมืดบอด
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเรื่องของการตีปัญหาซับซ้อนของชีวิต
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงของชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเริ่มต้นในการปลดเปลื้องตัวเรา
ให้พ้นจากความเป็นทาสของความเคยชิน
ในตัวเรานั้น เรามีของดีที่มีคุณค่าอยู่แล้ว คือ สติสัมปชัญญะ
แต่เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่เป็นของมีคุณค่าแก่ชีวิตหาประมาณมิได้
วิปัสสนาฯ เป็นการระดมเอา สติ ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราเอาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
วิปัสสนากรรมฐาน คือ การอัญเชิญ สติ ที่ถูกทอดทิ้ง ขึ้นมานั่งบัลลังก์ของชีวิต
เมื่อสติขึ้นมานั่งสู่บัลลังก์แล้ว จิตก็จะคลานเข้ามา หมอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าสติ
สติจะควบคุมจิต มิให้แส่ออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก
ในที่สุดจิตก็จะค่อยคุ้นเคย กับการสงบอยู่กับอารมณ์เดียว
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว การรู้ตามความเป็นจริง ก็เป็นผลติดตามมา
เมื่อนั้นแหละเราก็จะทราบได้ว่า ***ความทุกข์*** มันมาจากไหน
เราจะสกัดกั้นมันได้อย่างไร นั่นแหละผลงานของสติละ
ภายหลังจากได้ทุ่มเทสติสัมปชัญญะลงไปอย่างเต็มที่แล้ว
จิตใจของผู้ปฏิบัติ ก็จะได้สัมผัสกับสัจจะแห่งสภาวะธรรมต่าง ๆ
อันผู้ปฏิบัติไม่เคยเห็นอย่างซึ้งใจมาก่อน ผลงานอันมีค่าล้ำเลิศของสติ สัมปชัญญะ
จะทำให้เราเห็นอย่างแจ้งชัดว่า ความทุกข์ร้อนนานาประการนั้น
มันไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเราทางช่องทวาร ๖
ช่องทวาร ๖ นั้นเป็นที่ต่อและบ่อเกิดสิ่งเหล่านี้คือ ขันธ์ ๕ - จิต - กิเลส
ช่องทวาร ๖ นี้ ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า อายตนะ
อายตนะมีภายใน ๖ ภายนอก ๖ ดังนี้
อายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอกมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (กาย ถูกต้องสัมผัส)
ธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดจากใจ)
รวม ๑๒ อย่างนี้ มีหน้าที่ต่อกันเป็นคู่ ๆ
คือ ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น ลิ้นคู่กับรส กายคู่กับการสัมผัสถูกต้อง
ใจคู่กับอารมณ์ที่เกิดกับใจ
เมื่ออายตนะคู่ใดคู่หนึ่ง ต่อถึงกันเข้า จิตก็จะเกิดขึ้น ณ ที่นั้นเอง
และจะดับลงไป ณ ที่นั้นทันที
จึงเห็นได้ว่า จิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน การที่เราเห็นว่าจิตเป็นตัวตนนั้น
ก็เพราะว่าการเกิดดับของจิตรวดเร็วมาก การเกิดดับของจิตเป็นสันตติ
คือ เกิดดับต่อเนื่องไม่ขาดสาย เราจึงไม่มีทางทราบได้ถึงความไม่มีตัวตนของจิต
ต่อเมื่อเราทำการกำหนด รูป นาม เป็นอารมณ์ตามระบบวิปัสสนากรรมฐาน
ทำการสำรวมสติ สัมปชัญญะอย่างมั่นคง
จน **จิตตั้งมั่นดีแล้ว** เราจึงจะรู้เห็นการเกิด ดับของจิต รวมทั้งสภาวะธรรมต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
การที่จิตเกิดทางอายตนะต่าง ๆ นั้น มันเป็นการทำงานร่วมกันของขันธ์ ๕
เช่น ตากระทบรูป เจตสิกต่าง ๆ ก็เกิดตามมาพร้อมกัน
คือ เวทนา เสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
สัญญา จำได้ว่ารูปอะไร
สังขาร ทำหน้าที่ปรุงแต่ง
วิญญาณ รู้ว่ารูปนี้ ดี ไม่ดี หรือ เฉย ๆ
กิเลสต่าง ๆ ก็จะติดตามเข้ามาคือ ดี - ชอบเป็นโลภะ ไม่ดี - ไม่ชอบเป็นโทสะ
เฉย ๆ ขาดสติ กำหนดเป็นโมหะ
อันนี้เองจะบันดาล ให้อกุศลกรรมต่าง ๆ เกิดติดตามมา
ความประพฤติชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะเกิด ณ ตรงนี้เอง
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเอาสติเข้าไปตั้งกำกับจิตตามช่องทวารทั้ง ๖
เมื่อปฏิบัติได้ผลแก่กล้าแล้ว ก็จะเข้าตัดต่ออายตนะทั้ง ๖ คู่นั้น ไม่ให้ติดต่อกันได้
โดยจะเห็นตามความเป็นจริงว่า
เมื่อตากระทบรูปก็จะเห็นว่า ***สักแต่ว่า***เป็นแค่รูป
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน บุคคล เรา เขา
ไม่ทำให้**ความรู้สึก นึก คิด ปรุงแต่ง** ให้เกิดความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้น
รูปก็จะ**ดับลง**อยู่ ณ ตรงนั้นเอง ไม่ให้ไหลเข้ามาสู่ภายในจิตได้
อกุศลกรรมทั้งหลายก็จะไม่ตามเข้ามา
สติ ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น
นอกจากจะคอย**สกัดกั้นกิเลส** ไม่ให้เข้ามาทางอายตนะแล้ว
ยังเพ่งเล็งอยู่ที่รูปกับนาม เมื่อเพ่งอยู่ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น
จักนำไปสู่การเห็นพระไตรลักษณ์ คือ
ความไม่เที่ยง
ความเป็นทุกข์
ความไม่มีตัวตนของสังขาร หรืออัตภาพอย่างแจ่มแจ้ง
"""""""""""""""""""""""""""""""""
จากหนังสือคู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
***จริงจังกับชีวิตเกินไป***
***เรียนธรรมยังไงถึงจะจบ***
***สภาวธรรมของจิต***
“อย่าไป “บ้ากับชีวิต” ให้มาก
เพราะมันเป็น “สิ่งสมมุติ”
เพราะชีวิตมันไม่มีจริง มันเป็นเพียง..
“การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ”
จงทำหน้าที่ให้ดี โดยไม่มีความทุกข์
ให้สงบ เย็น และ เป็นประโยชน์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้อง...
คืนให้ “กลับสู่ธรรมชาติ” ดังเดิม
แม้แต่ร่างกายที่เราเฝ้าดูแลก็ตาม”
--------------------------------
ความจริงแท้ของสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต"
"ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก นอกเหนือจากขันธ์ ๕
ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ ๕
หรือ อยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕
ที่จะมาเป็นเจ้าของ หรือควบคุมขันธ์ ๕ ให้ชีวิตดำเนินไป
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องชีวิต
เมื่อยกเอาขันธ์ ๕ ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว
ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ
ขันธ์ ๕ เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่ง "ปฏิจจสมุปบาท" คือ มีอยู่ในรูปกระแสแห่งปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน
ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไป พร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆ ไปอีก
ส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์ และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน
ในภาวะเช่นนี้ ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิตจึงเป็นไปตามกฎแห่ง "ไตรลักษณ์" คือ อยู่ในภาวะแห่ง"อนิจจตา" ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
"อนัตตตา" ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัว จะเข้ายึดครองเป็นเจ้าของ บังคับบัญชา ให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนจริงจังไม่ได้
"ทุกขตา" ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้(อวิชชา) และยึดติดถือมั่น
กระบวนการแห่งขันธ์ ๕ หรือชีวิต ซึ่งดำเนินไปพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกขณะ โดยไม่มีส่วนที่เป็นตัวเป็นตนคงที่อยู่นี้ ย่อมเป็นไปตามกระแสแห่ง เหตุ-ปัจจัย ที่สัมพันธ์แก่กันล้วนๆ ตามวิถีทางแห่งธรรมชาติของมัน"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ "#พุทธธรรม ฉบับเดิม"
------------------------------------------
“ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง”
“สิ่งทั้งหลาย
เป็น “อนิจจัง” ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา,
เป็น “ทุกขัง” คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
และเป็น “อนัตตา” ไม่เป็นตัวเป็นตนของใคร ที่จะไปสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ เราจะไปยึดถือครอบครองมันจริงไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน
สิ่งทั้งหลายที่เรายึดถือเป็น“ตัวตน”ในบัดนี้ ก็คือภาพปรากฏของ..เหตุปัจจัย..ที่เป็นไปตามกระบวนการของมัน
เมื่อเหตุปัจจัยมาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ ก็แสดงผลเป็นปรากฏการณ์ที่เราเรียก “เป็นตัวเป็นตน” แต่แท้จริงแล้วตัวตนอย่างนั้นไม่มี มีแต่เพียงภาพปรากฏชั่วคราว
ส่วนตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ #กระบวนการแห่งความสัมพันธ์กันของสิ่งทั้งหลายที่คืบเคลื่อนไปเรื่อยๆ เมื่อเหตุปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กัน แล้วคืบเคลื่อนต่อไป ภาพตัวตนที่ปรากฏนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น ตัวตนที่แท้ ที่ยั่งยืน ตายตัว ที่จะยึดถือครอบครองบังคับบัญชาอะไรๆได้จึงไม่มี (คำว่า “อัตตา” ก็คือ ตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืนตายตัวตลอดไป)
มัน(อัตตา)ไม่มี เพราะมีแต่ภาพรวมของปรากฏการณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายในกระบวนการของมัน เรียกว่าเป็นเพียง “สภาวธรรม” ไม่เป็นตัวตนของใคร...
นี่คือ ความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่อง “ไตรลักษณ์” ขึ้นไว้เป็นหลักที่เด่นว่า...
สิ่งทั้งหลายนี้
“ อนิจฺจํ ” ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย มีความเปลี่ยนแปลง
“ ทุกฺขํ ” คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อยู่ในภาวะขัดแย้ง ถ้าคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความอยาก มันก็ฝืนความปรารถนา แล้วก็..
“ อนตฺตา ” ไม่เป็นตัวตนของใครได้ ใครจะยึดถือครอบครองสั่งบังคับไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์เรื่อง “แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา” หัวข้อ "ความจริงมีอยู่ตามธรรมดา"
---------------------------------
"ยกเว้นพระโลกนาถเจ้าเสีย สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีอยู่ สัตว์นั้นว่าโดยปัญญาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งพระสารีบุตรพระอัครสาวกที่หนึ่งได้
มีปัญญามากถึงอย่างนี้ ยังถึงซึ่งอำนาจแห่งความตาย
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า.
แม้พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้น ทรงสละพระราชทรัพย์ตั้งร้อยโกฏิ ทรงเป็นผู้มีความสุขในบั้นปลาย ถึงความเป็นใหญ่แห่งวัตถุเพียงผลมะขามป้อมครึ่งผลด้วยทั้งเรือนร่างนั้นแล แม้เมื่อท้าวเธอทรงสิ้นบุญแล้ว พระองค์ก็ทรงบ่ายพระพักตร์ต่อมรณะ ก็ต้องมาถึงซึ่งความโศกเศร้า
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า.
ท่านผู้มียศใหญ่ทั้งหลาย เป็นท้าวพญาผู้ประเสริฐ เช่น ท้าวมหาสมมติ(มหากษัตริย์) เป็นต้น แม้ท่านเหล่านั้นยังถึงซึ่งอำนาจแห่งความตาย
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า"
---------------------------
ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
คิดให้เห็นชัดในขณะนั้นว่า เมื่อตายแล้วตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะหยุดนิ่ง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองข้าวของที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วยเลย จะเขยิบให้พ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้...
สามี ภริยา มารดา บิดา บุตรธิดา ญาติสนิท มิตรสหาย ทั้งหลาย ที่เคยรักห่วงใยกันนักหนา ก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยเลยแม้สักคน อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลย แม้แต่จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่มีใครยอม...
เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาหวงแหนทะนุบำรุงร่างกายของตนไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยเล่ห์ด้วยกลก็ตาม เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงร่างของตน ก็ติดกับร่างไปไม่ได้เลย เป็นจริงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า..."ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้"