"นอกจากการรู้ทุกข์แล้ว
ไม่มีวิธีอย่างอื่นที่จะเห็นธรรมได้เลย"
.................................................
☇ทุกขเวทนา ทุกขลักษณะ ทุกขสัจ☇
“ทุกข์” ในศาสนาพุทธ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งซึ่งเป็นไปได้ยากหลายอย่าง เช่น
การได้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างพวกเรานั้นยาก
เกิดมาแล้วจะได้พบสัตบุรุษ
คือคนดีคนมีศีลมีธรรมก็เป็นไปได้ยาก
พบแล้ว จะมีศรัทธาเข้าใกล้ก็ยาก
เข้าใกล้แล้วจะได้ฟังธรรมก็ยาก
ได้ฟังธรรมแล้วจะปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมก็ยากขึ้นไปอีก
หัดภาวนาใหม่ๆ มันมีความสุขมาก
ไม่ได้ทำอะไรก็มีความสุขโชยขึ้นมาแผ่วๆ
ความสุขผุดขึ้นมาทั้งวันเลย
มีสติทีไรก็มีความสุข ทุกทีเลย
ต่อไปพอสติปัญญาแก่กล้าขึ้นมา มันเปลี่ยนนะ
ใจไม่ค่อยมีความสุขหวือหวาขึ้นมาอย่างตอนแรกแล้ว มันเริ่มเห็นทุกข์มากขึ้นๆ
ยิ่งภาวนายิ่งเห็นทุกข์มากขึ้น เป็นเรื่องแปลก
พอเรารู้สึกตัวขึ้นมา จิตตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว
ทำไมมีความสุข เพราะว่าเป็นสมถะ
สมถะที่มีสมาธิ มีจิตตั้งมั่น จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
ก็มีความสุข
แต่พอถึงขั้นเดินปัญญา มันเป็นขั้นรู้ทุกข์ ไม่ใช่ขั้นมีความสุข
ถ้าเราเดินปัญญา
เราเริ่มเห็นทุกข์นานาชนิดหมุนเวียนกันเข้ามา
ในกายในใจนี้ตลอดเวลา
ไม่ได้เห็นสุขแล้ว แต่จะเห็นทุกข์
ทุกข์มีหลายแบบ มีหลายขั้น มีหลายตอน
ในทางปริยัติ จําแนกไว้ถึง ๑๐ ประการ
แต่สําหรับนักปฏิบัติ เรามาเรียนรู้ทุกข์ บางอย่างก็พอแล้ว
ทุกข์หยาบที่สุดเรียกว่า “ทุกขเวทนา”
อย่าง เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดเมื่อย หนาวไป ร้อนไป หิวข้าวก็ทุกข์นะ
มีทุกข์ ทางกาย มีทุกข์ทางใจ เรียกว่า ☇“ทุกขเวทนา”
อันนี้เป็นทุกข์ทั่วๆ ไป ใครๆ ก็มี สัตว์ก็มีทุกข์กายทุกข์ใจ
ถ้าพวกเราภาวนา เราก็จะเห็นทุกขเวทนาเยอะแยะเลย นั่งอยู่ก็เมื่อย หายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์
ถ้าสติเราเร็วพอ สติปัญญามากพอ
ก็จะเห็นเลยว่าที่พยายามหายใจอยู่ตลอดเวลา
นี่หายใจไปเพื่อแก้ทุกข์เท่านั้นเอง
ที่เปลี่ยนอิริยาบถอยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อแก้ทุกข์เท่านั้นเอง
หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ก็ทุกข์ ต้องหายใจออก แก้ทุกข์ หายใจออกไปเรื่อยๆ ก็ทุกข์ ต้องหายใจเข้า แก้ทุกข์ นั่งนานๆ มันเมื่อยมันทุกข์ ก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถไป
ขยับซ้าย ขยับขวา หรือลุกขึ้นยืน หรือลุกขึ้นเดิน
หรือนั่ง เมื่อยมากก็ ลงนอน เปลี่ยนอิริยาบถเพื่อแก้ทุกข์
ในจิตใจก็เหมือนกัน จิตใจมันมีความทุกข์เกิดขึ้นเรื่อยๆ มันก็ดิ้นรนเที่ยวหาความสุขไปเรื่อย
เวลามีความอยากเกิดขึ้นทีไร ก็มีความทุกข์เกิดขึ้นทุกที แต่เราไม่เห็นหรอก เราเห็นว่ามันไม่สบายใจ
พอไม่สบายใจ เราก็เที่ยวหาอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ มาป้อนมัน
ไปดูหนัง ไปฟังเพลง ไปคุยกับเพื่อน ไปดูโน่นดูนี่
หรือหาหนังสือมาอ่านให้เพลินๆ ไปกินเหล้า
เปลี่ยนอารมณ์ไป เรื่อยๆ
จริงๆ ก็เพื่อแสวงหาความสุข เพื่อหนีความทุกข์
ใจมันไม่มีความสุขหรอก
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปนะ
ไม่ว่าจะอารมณ์ชนิดไหนมันก็อยู่ได้ชั่วคราว
มันทนอยู่ไม่ได้สักอันเดียว
เปลี่ยนอิริยาบถมาอยู่ในอิริยาบถแบบนี้แล้ว
นึกว่าจะอยู่สบายก็ไม่สบาย ทนอยู่ไม่ได้อีก
จิตใจก็เหมือนกัน ไปกระทบอารมณ์อย่างนี้นึกว่าจะสบาย
ก็สบายแป๊บๆ เดี๋ยวก็ทนอยู่ไม่ได้อีก
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของทนอยู่ไม่ได้
ภาวะแห่งการทนอยู่ไม่ได้นี่แหละคือทุกข์อีกชนิดหนึ่ง
เรียกว่า “ทุกขลักษณะ” ไม่ใช่ทุกขเวทนาแล้ว
☇“ทุกขลักษณะ”
หมายถึงว่าสิ่งทั้งหลายนั้นมันทนทาน อยู่ไม่ได้จริง
ถ้ามันทนอยู่ได้เรื่อยๆ ไปก็ยิ่งทุกข์หนักนะ
เกิดทุกขเวทนาหนักเสียอีก
สิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนไปเรื่อย ไม่คงที่
เวลาเราภาวนา มากเข้าๆ ไม่ใช่เห็นแค่ทุกข์ทางร่างกาย เราจะเห็นเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย มีขึ้นมา แล้วก็หายไป
เช่นนั่งอยู่ รูปนั่งก็ทนอยู่ได้ไม่นาน
รูปนั่งมันถูกทุกขเวทนาบีบคั้นแล้วมันมีทุกขลักษณะ
คือมันไม่สามารถทนอยู่ได้นานในรูปนั่ง
ต้องเปลี่ยนเป็นรูปนอน นอนก็อยู่ได้ไม่นานก็ต้อง เปลี่ยนอีก
ความสุขเป็นของทนอยู่ไม่ได้
เกิดขึ้นก็อยู่ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน
ดังนั้นความสุขก็มีทุกขลักษณะ หมายถึงว่ามันทนอยู่ไม่ได้
นี่สติปัญญาของเราเริ่มแก่กล้าขึ้นมา
เห็นกระทั่งสุขเป็นตัวทุกข์
ตรงขั้นที่เห็นทุกขเวทนานั่นใครๆ ก็เห็น
อันนี้เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องโลกๆ
ตรงขั้นที่เห็นทุกขลักษณะนี่ขึ้นวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ถ้าขึ้นวิปัสสนาจะเห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
ของรูป นาม
ถ้ายังไม่เห็นไตรลักษณ์ แม้จะเห็นรูปนามก็ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
พอเราเห็นไปเรื่อยๆ
ต่อไปการเห็นทุกข์มันจะประณีตขึ้น
ตรงที่เห็นทุกขลักษณะนี่สามารถบรรลุธรรมได้แล้ว
เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
บรรลุได้เพราะมันเห็นทุกข์
โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา คนเต็มไปด้วยความทุกข์
ถ้าคนไม่มีสติปัญญาก็จะแยกไม่ออกว่า
ปัญหากับความทุกข์เป็นคนละส่วนกัน
โลกมันไม่เที่ยง มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ
ปัญหา ก็เกิดขึ้นตลอดเวลา
เช่น สุขภาพ เรารักษาเอาไว้ดีแล้ว
ไม่นานก็ ป่วยอีก เพราะมันไม่เที่ยง
ในชีวิตเต็มไปด้วยของไม่เที่ยง
ถ้าใจยอมรับความจริงได้ว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยง
ใจก็จะไม่ทุกข์
ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ส่วนปัญหา แต่ใจไม่ทุกข์
ถ้ายอมรับความจริงไม่ได้ว่าโลกมันไม่เที่ยง
เกิดปัญหาขึ้นมา ใจจะทุกข์
มันอยู่ที่ว่าใจเรายอมรับได้ หรือยอมรับไม่ได้
เรามาหัดเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานกัน
ก็เพื่อให้เห็นความจริงของโลก ความจริงของชีวิต ความจริงของกายของใจ ให้เห็นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง
ถ้าใจยอมรับได้นะกระทั่งกายนี้ใจนี้ยังไม่เที่ยง
สิ่งที่เรียกว่าตัวเรายังไม่เที่ยง
“ของเรา” มันก็ไม่มีความหมายอะไร ก็แค่เครื่องอาศัย สามีของเรา ภรรยาของเรา ลูกของเรา
บ้านของเรา รถของเรา หน้าที่การงานของเรา
มี “ของเรา” เยอะเลย ทั้งหมด ก็เป็นแค่เครื่องอาศัย
ถ้าฉลาดก็รู้ว่างานหลักของเราจริงๆ
ไม่ใช่งานทํานุบํารุงรักษาสิ่งซึ่งไม่คงที่พวกนี้
ทุ่มเทเท่าไร เหนื่อยยากเท่าไร มันก็แปรปรวน
ฉะนั้น เรามาฝึกใจของตัวเองให้ยอมรับความจริงให้ได้ ความจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่เที่ยงหรอก
ทุกสิ่งทุกอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่
ให้พาจิตพาใจของเราไปดูความจริงเนืองๆ
ดูบ่อยๆ ดูนานๆ
พอถึงพระอนาคามี จะเห็นเลยว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆ
พวกเรายังไม่เห็น
พวกเรายังเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง
พระอนาคามีท่านเห็นกายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ
เพราะฉะนั้น ท่านไม่ติดอกติดใจในกาย
อะไรที่เรียกว่ากาย ตาหูจมูกลิ้นกาย นี่เรียกว่ากาย
เมื่อไม่ติดใจในตาในหูในจมูกในลิ้นในกาย
กระทั่งตายังไม่ติดใจ ก็ไม่ติดใจในรูป ไม่ติดใจในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่มากระทบกาย)
ไม่ติดอกติดใจในรูปก็ไม่มีความยินดียินร้ายในรูป
กามและปฏิฆะ ในรูปก็ไม่มี
ไม่ติดใจในเสียงก็ไม่ยินดียินร้ายในเสียง
กามและปฏิฆะ ในเสียงก็ไม่มี ฯลฯ
ถ้าฉลาดก็รู้ว่างานหลักของเราจริงๆ
ไม่ใช่งานทํานุบํารุงรักษาสิ่งซึ่งไม่คงที่พวกนี้
ทุ่มเทเท่าไร เหนื่อยยากเท่าไร มันก็แปรปรวน
ฉะนั้น เรามาฝึกใจของตัวเองให้ยอมรับความจริงให้ได้ ความจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่เที่ยงหรอก
ทุกสิ่งทุกอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่
ให้พาจิตพาใจของเราไปดูความจริงเนืองๆ
ดูบ่อยๆ ดูนานๆ
นี่ภาวนาไปเรื่อยนะ เห็นทุกข์ไปเรื่อย
สุดท้ายใจมันเต็มอิ่ม ขึ้นมา
มันไม่หิวโหยหาอารมณ์ภายนอกแล้ว
อารมณ์ภายนอก เอามันทําไม มันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ใจไม่หิวไปหาอารมณ์ภายนอก ไม่แส่ส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน
ไปสู่อารมณ์ภายนอก เพราะมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย
พอใจไม่แส่ส่าย
ใจสงบ ใจตั้งมั่น ใจเด่นดวง
เป็นผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ ใจก็มีแต่ความสุข
เพราะฉะนั้น พระอนาคามีจะเห็นกายเป็นทุกข์ล้วนๆ
ไม่ยึดถือกาย แต่ยึดถือจิต
ที่จริงเห็นมาตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันแล้วว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา รู้ว่าเป็นของยืมโลกมาใช้ แต่ว่ามันนำความสุขมาให้
ติดอกติดใจไม่ยอมคืนโลก แล้วไม่เห็นช่องทางที่จะคืนเลย
นี่มาถึงตรงนี้นะ มันคือการปฏิบัติในขั้นแตกหักว่า
ทําอย่างไรจะปล่อยวางตัวจิตนี้ได้
ถ้าภาวนามาเรื่อยนะ จนรู้สึกว่าใจมันขาดอะไรอย่างหนึ่ง มันจึงไม่สามารถปล่อยวางจิตได้ ปล่อยไปเดี๋ยวก็หยิบขึ้นมา
ไม่ปล่อยจริง ในใจรู้แต่ว่ามันขาด แต่ขาดอะไรไม่รู้นะ ภาวนาไปเรื่อยนะ วันหนึ่งก็เข้าใจ
มันขาดความเข้าใจอริยสัจ
มันไม่เห็นหรอกว่าตัวจิต เป็นตัวทุกข์
มันเห็นว่าจิตนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง
ถ้าภาวนาดีๆ ก็เห็นจิตมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์
ไม่สามารถเห็นได้ว่าตัวจิต เป็นตัวทุกข์
เพราะว่าไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตผู้รู้
ถ้าเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตผู้รู้ถึงจะเข้าใจความจริง
ว่าจิตเองก็ตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ ตกอยู่ใต้สภาวะที่เป็นตัวทุกข์
การที่เราเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่ากายนี้เป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง
จิตนี้เป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง
อันนี้เรียกว่ารู้แจ้งใน ☇“ทุกขสัจ”
วันใดเห็นว่าจิตเป็นตัวทุกข์นั่นแหละเรียกว่า
เรา “รู้ทุกข์” แจ่มแจ้งแล้ว
เป็นภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรารู้อริยสัจแจ่มแจ้ง
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกขสัจเอาไว้ว่า
“สังขิตเตนะ ปัฐจุหาทานักขันธา ทุกขา”
โดยสรุปอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์
ขันธ์ทั้ง ๕ ย่อลงมาก็คือรูปกับนาม
เราต้องเห็นรูปกับนามเป็น ตัวทุกข์
เราถึงจะปล่อยวางรูปนามได้
ถ้าปล่อยวางรูปนามได้ ก็พ้นทุกข์ได้
เบื้องต้นเราได้ยินว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์
เราจะคิดว่า คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นทุกข์
พอเราภาวนาประณีตขึ้น
เราก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
เป็นทุกข์หรอก
ขันธ์ทั้งหลายถ้าเราเข้าไปยึดมันแล้วจะเป็นทุกข์
จะรู้สึกอย่างนี้
พอได้ยินคําว่า “ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์”
ก็คิดว่าถ้ามีอุปาทานในขันธ์ ๕ ก็จะเป็นทุกข์
มีขันธ์ ๕ เฉยๆ ไม่ทุกข์ จะเข้าใจอย่างนี้
แต่ไม่ใช่คนเป็นทุกข์แล้ว
ไม่ใช่คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้ว
ขันธ์ของเราเกิด ขันธ์ของเราแก่ ขันธ์ของเราเจ็บ
ขันธ์ของเราตาย ถึงจะทุกข์ นี่ความเข้าใจก็เปลี่ยนไป
พอภาวนาต่อไปอีก ก็เห็นว่าขันธ์นั่นแหละเป็นตัวทุกข์ จิตจะมีความอยาก จิตจะมีความยึดขันธ์หรือไม่ก็ตาม ขันธ์นั่นแหละเป็นตัวทุกข์
ท่านถึงบอกว่า
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์
คำว่า อุปาทานขันธ์ ไม่ใช่แปลว่าขันธ์ที่ถูกยึดมั่น
แต่เป็นขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นได้
คือขันธ์ที่พวกเราทั้งหลายมีกันอยู่นี่แหละ
ขันธ์บางอย่างไม่จัดเป็นอุปาทานขันธ์
เช่น โลกุตตรจิต (มรรคจิต, ผลจิต) ทั้งหลาย
ไม่จัดเป็นอุปาทานขันธ์ จึงเอามาทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะไม่ใช่ตัวทุกข์
ขันธ์ทั้งหมดไม่ใช่ตัวทุกข์
เฉพาะขันธ์ที่เรียกว่าอุปาทานขันธ์
คือขันธ์ซึ่งสามารถเอาไปยึดมั่นได้
เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นได้เท่านั้นที่เป็นตัวทุกข์
ไม่ใช่ต่อเมื่อยึดมั่นแล้วขันธ์จึงจะกลายเป็นตัวทุกข์
ในความเป็นจริง อุปาทานขันธ์ทั้งหมดเป็นตัวทุกข์
จะยึด หรือไม่ยึด มันก็ทุกข์โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ความเข้าใจจากการปฏิบัตินั้นประณีตมากเลย
อ่านๆ เอา นึกว่าเข้าใจ แต่เข้าใจไปคนละเรื่อง
ถ้าความรู้ความเข้าใจมีแค่ว่า
ถ้ามีความอยากมีความยึด แล้วก็มีความทุกข์ขึ้นมา
ไปยึดขันธ์แล้วทุกข์ เราจะมุ่งมาในจุดที่ว่า
ทําอย่างไรจะไม่ไปยึดขันธ์ จะหาทางไม่ให้ยึดขันธ์
คนศาสนาอื่นเขาก็หาทางที่จะไม่ให้ยึด
อย่างพวกที่ทรมานร่างกาย มันรักร่างกายเหรอ
ทรมานมันไปเลยจะได้ไม่รักมัน
ใจมัน อยากกินก็ทรมานไม่กิน
หาเรื่องทรมาน ไม่ตามใจกิเลส
พยายามเข้าไปจัดการกับจิตใจ
ซึ่งมันจะเข้าไปอยากเข้าไปยึดในรูปในนามทั้งหลาย
นี่เพราะว่าความเข้าใจในอริยสัจไม่แจ่มแจ้ง
ลงท้ายวิธี ปฏิบัติก็คลาดเคลื่อน
พอเราคิดว่าถ้าอยากถ้ายึดก็ทุกข์
ก็เลยคิดว่าทําอย่างไร จะหายอยาก
อยากกินก็ไม่กิน แกล้งมันซะ
ต่อไปจะได้ไม่มี ความอยาก
มุ่งไปจัดการที่ตัวความอยาก
ถ้าเข้าใจแจ่มแจ้ง ในคําสอนของพระพุทธเจ้า
จะรู้เลยว่า ขันธ์นั่นแหละเป็นตัวทุกข์
ไม่ใช่ขันธ์นี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง
แต่เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
ความอยากให้ขันธ์เป็นสุขจะไม่เกิดขึ้น
ความอยากให้ขันธ์พ้นทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้น
อยากให้มีสุขไปทําไม อยากให้โง่หรือ
มันไม่มีทางมีความสุขได้เพราะมันเป็นตัวทุกข์
อยากให้มันพ้นทุกข์หรือ อยากให้โง่สิ
เพราะถึงอย่างไรมันก็ทุกข์ ไม่มีทางพ้นเลย
ความอยากทั้งหลายแหล่มันก็มีอยู่แค่นี้เอง
ความอยากที่ว่ากิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘
จริงๆ ก็คืออยากให้ขันธ์เป็นสุข อยากให้ขันธ์พ้นทุกข์
ย่อๆ ลงมาก็คือรักสุขเกลียดทุกข์นั่นแหละ
พอเข้าใจขันธ์เท่านั้น ความอยากดับเอง
ไม่ต้องไปทรมานกายทรมานใจเพื่อจะดับตัณหา
ขอให้รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
แล้วตัณหา จะดับไปโดยอัตโนมัติเลย
ถ้าเราเข้าใจตัวนี้ ความเข้าใจมันจะประณีตมาก
จิตมันจะสลัดคืนขันธ์ให้โลกไปเลย
พอจิตมันเห็นว่าขันธ์ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
ขันธ์นี้เป็นทุกข์ล้วนๆ
กระทั่งตัวจิตก็เป็นทุกข์ล้วนๆ จิตมันก็อยู่ในขันธ์นั่นเอง อยู่ในวิญญาณขันธ์
พอมันปล่อยขันธ์ทิ้งไป ไม่มีอะไรให้ยึดอีก
มันก็พ้นจากอุปาทานขันธ์
อุปาทานขันธ์ก็กองอยู่อย่างนั้น กองอยู่กับโลกนั้นเอง ไม่ใช่ต้องไปทําลายล้างมัน
มันมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันไม่ได้
แต่ใจไม่เข้าไปยึดถือมันแล้ว ที่ใจไม่เข้าไปยึดถือมัน
ก็เพราะรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
รู้ว่าขันธ์ทั้งหลาย ทั้งปวงนี้แหละเป็นตัวทุกข์
ฉะนั้น การรู้ทุกข์นี่เป็นเรื่องสําคัญที่สุด
สําหรับการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิ
หวังว่าทําสมาธิ ไปเรื่อยๆ แล้วจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางพ้นเลย
ทําสมาธิก็ไปสร้างภพภูมิที่ละเอียดขึ้นไปอีก
นอกจากการรู้ทุกข์แล้ว
ไม่มีวิธีอย่างอื่นที่จะเห็นธรรมได้เลย
***********************************************
จากหนังสืออริยสัจเพื่อความพ้นทุกข์
ประมวลจากพระธรรมเทศนาวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔, ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔, ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
“กระจก” ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด..
จิตใจของเราก็จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก..
กระจก รับรู้.. แต่ไม่ยึดถือยึดติด.. และครอบครอง..
ดังนั้น จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือ หรืออยู่ในกระจก..
สายฝน.. ในกระจก หาเปียกกระจกไม่..
เปลวไฟ.. ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน..
ทั้งนี้ เพราะกระจกไม่ได้ให้อำนาจแก่สายฝน.. และเปลวไฟ
ดังนั้น จงทำใจของท่าน.. ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก..
อย่ายึดติด.. เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด..
หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด.. ความทุกข์ ความเศร้าหมอง
ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น..
นี่คือมรรควิธีแห่งการเพ่งพิจารณา.. และรับรู้สรรพสิ่ง..
ด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง..
เพื่อปลดปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าหลุดพ้น..
ไปจากภาพมายาธรรมต่างๆ ที่คอยฉุดรั้ง..
หลอกลวงจิตไม่ไห้เห็นถึงความจริง..
ซึ่งจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้น..
จากการยึดติดในสิ่งทั้งปวงเปรียบเหมือนกระจก ฯ..
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เมฆก็ตาม หมอกก็ตาม จิตก็ตาม
อาการของจิตก็ตาม เจตสิกก็ตาม
จะใส่ชื่อใส่นามไปสักเพียงใดก็ตาม
ถ้าเราไม่มีในที่นั้นๆ
ของเราไม่มีในที่นั้นๆ
พิษสงก็ไม่มีในที่นั้นเอง
เหตุนั้นการพิจารณา
ว่าเราไม่มีในที่นั้น
เราไม่มีในที่ใดๆ ทั้งนั้น
ของเราก็ไม่มีในที่ใดๆทั้งสิ้น
ท่านผู้อื่นก็ไม่มีในที่ใดทั้งสิ้น
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ สูญๆ ศูนย์ๆ เสียแล้ว
เรื่องก็จบกัน ณ ที่นั้นไป
ทำท่า ทำทาง ไปวาง ไปปล่อย
มันก็เป็นกิริยา ล้วนมีผู้กระทำ
ก็เป็นอันผิดทั้งนั้น
เพราะมันเป็นกิริยาย่อมมีประธาน
เป็นเหตุ เป็นกรรม เป็นวิบากในตัว
เมื่อเราไม่มีในที่ใดๆแล้ว
ก็ไม่ควรจะมีอะไรมาสร้างปัญหา
ขึ้นให้หนักใจ หนักธรรม
ชาวโลกเขา พูดอะไรก็พูดไปตามเขาซะ
ไม่ควรเอาสมมติมาเป็นสงครามกับปรมัตถ์
ไม่ควรเอาสังขารคือผู้รู้ไปเป็นสงครามกับนิพพาน
ใครเป็นผู้รู้นิพพาน
ก็นิพพานนั่นเองซึ่งนิพพาน
สังขาร และผู้รู้ จะไปทรงมิได้
จงให้เข้าใจว่า
ผู้รู้นั่นเองเป็นสังขารอันละเอียด
มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของก็เป็นเหตุ
เป็นกรรม เป็นวิบาก เป็นภพ เป็นชาติ
เป็นอุปาทาน อวิชชา ตัณหา
สารพัดจะบัญญัติใส่ชื่อ
เพราะนิพพานไม่ได้ใส่ชื่อลือนาม
ให้ท่านผู้ใดเลย และก็ไม่สำคัญตัว
ว่าเป็นนิพพานหรือไม่นิพพาน
จึงเรียกว่า วิมุติ หลุดพ้น นิพพาน
หรือ จะเรียกอะไรชั่งมัน
ธรรมอันนี้เป็นธรรมอันละเอียด
และเป็นธรรมสันทิฏฐิโกสุดท้าย
ของพระพุทธศาสนา..ละเอียดมาก
" จะเอาโลภและสังขาร
ไปเทียบย่อมไม่ได้
ก็มอบไว้ให้แก่เจ้าตัว
แต่ละราย จะรู้ตามเป็นจริง "
พระบรมศาสดา จึงยืนยันว่า..
เรารู้นิพพานตามเป็นจริง
แต่เราไม่ติดอยู่ในนิพพาน
เรารู้สังขารตามเป็นจริง
ของสังขาร แต่เราไม่ติดอยู่ในสังขาร
ถ้าเราติดอยู่ในสังขารก็ดี
ติดอยู่ในนิพพานก็ดี
ก็เท่ากับว่าเรา ไม่รู้สังขาร ไม่รู้จักนิพพาน
นกบินในอากาศวันยันค่ำ
ก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่
มีดเฉือนน้ำในที่ใดๆวันยันค่ำ
ก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่
นิพานมีอยู่ แต่ผู้บรรลุ นั้นไม่มี
เคล็ดการปฏิบัติของ หลวงพ่อเทียน
รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้ ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้ เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้ กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้ แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้ อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้ ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย
เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง
พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก
การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน
ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
การที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย
วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้ ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้ เรียกว่า ของจริง
วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
คำว่า "วิปัสสนา" นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด
การที่เราเห็นความคิดนี่เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ
การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
การทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ
ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่
หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้
คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์
.ตอนที่ ๑๓๖ อยู่เหนือทุกข์*****
การยึดติดในสิ่งใด ก็จะเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดความทุกข์ ยึดติดในความดีก็จะทุกข์ เพราะคนอื่นทำไม่ดี เมื่อยึดติดในสิ่งไม่ดี ทำในสิ่งไม่ดี ก็จะเกิดหนี้กรรมที่ต้องชดใช้ จึงเกิดความทุกข์อยู่ร่ำไป ถ้ายังไม่สลายความยึดติดและปล่อยวาง(สลายกระแสทุกข์)(ทุกข์เพราะบุคลคลสมมุติรูป สมมุตินาม สมมุติผิด สมมุติถูก)(รู้ให้ทันสมมุติตน สมมุติผู้อื่น)อย่าไปให้คุณค่ากับอะไร
...ตอนที่ ๑๓๗ ถอดถอนความทุกข์ *****
มีสิ่งกระทบเข้ามาผ่านหูตา จมูกลิ้นกายใจ ไม่ว่าจะผ่านมาทางใด มันติดอยู่ในความคิด สลัดออกไปไม่ได้ จึงกลายเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจ จะมีวิธีการอย่างไร ที่จะถอดถอนความทุกข์(นำสมาธิ)(ทุกข์เพราะความคิด ความกังวล).(อารมณ์ของสักแต่ว่า)
เป็นเพราะรู้เท่าความยินดี ในสุข
เป็นเพราะรู้เท่าความยินร้าย ในทุกข์
เมื่อใจไม่เพลินถลำไปยึดในสุขและทุกข์
จึงเห็นสุขและทุกข์ตามเป็นจริง
คือเป็นเพียงนามธรรมหนึ่งๆเท่านั้น
เหมือนลมที่พัดผ่านมาและผ่านไป
มีความเกิดขึ้นและดับไป ไม่ได้มีค่าอันใดกับใจ
เมื่อรู้ได้อย่างนี้ใจจึงเป็นกลาง
เป็นกลางเพื่อการก้าวลงสู่อริยมรรค....
ลาภ ยศ สรรญเสริญ สุข
เป็นเหยื่อของโลก
สิ่งเหล่านี้มักมาพร้อมความเสื่อมในด้านตรงข้าม
อย่าลำพองผยอง ถือตัวถือตนเมื่อมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา
แต่ให้รู้เท่าทันใจที่ฟู แฟบ รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา
มีเกิด ย่อมมีดับ เมื่อใจไม่ดิ้น เหยื่อล่อนั้น
ก็มีอยู่อย่างเก้อๆ ทำอะไรกับจิตที่คุ้มครองดีแล้วไม่ได้
เรื่อง "ลุงหวีด ฆราวาสผู้บรรลุธรรมขั้นสูง"
(คุณลุงหวีด บัวเผื่อน "จิตที่พ้นทุกข์")
ตอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แข็งแรงอยู่ หลังฉันแล้วท่านมักจะเทศน์อบรมฆราวาสและตอบปัญหาธรรมที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มีจดหมายไปกราบเรียนถาม เช้าวันที่ ๔ พ.ย. ๒๕๔๖ ท่านตอบจดหมายหน้าเดียว ซึ่งถามมาเพียงข้อเดียวว่า
“กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว กระผมจิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม ขอความกรุณาหลวงตาช่วยตอบกระผมด้วยครับ”
ผู้อ่านจดหมายกราบเรียนท่านว่า ผู้ถามนามว่า นายหวีด บัวเผื่อน มาจาก อ.เมือง จ.จันทบุรี
หลวงตามหาบัว ตอบว่า “ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา...อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน”
บางถ้อยคำในการตอบคำถามครั้งนั้นมีว่า
“ที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป”
“นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ นิยมไหมว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศหญิง เพศชาย กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ นี่เป็นอยู่ที่จิต ผู้ปฏิบัติต่อจิตเป็นอย่างนี้ และผู้ไม่เป็นอย่างงั้นก็ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ขอให้ได้รับการบำรุงรักษาเถอะ จะค่อยเป็นค่อยไปของมันอยู่นั้นละ”
หลายปีต่อมา หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”
การปฏิบัติของคุณลุงหวีด
เริ่มต้นจากการมีสติสัมปชัญญะ
ท่านว่าถึงจะออกมาจากการภาวนาแล้วก็ “ต้องมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผลอสติ (การลืมตัว) ก็พยายามทำความรู้สึกหรือรู้ตัวทั่วพร้อมกันใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาโดยมีความเพียรเป็นหลักไม่ท้อถอยอ่อนแอ ไม่ไหลไปตามอารมณ์...”
แรกๆ ก็ทำไม่ได้แต่อาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นให้จงได้ จึงมีมานะพยายามที่จะเอาชนะใจของตนเอง
ด้วยวิธีนี้ “จึงสามารถครองสติไว้ได้ยาวนานขึ้นจากนาที เป็นสองสามนาที เป็นสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เป็นวันโดยใช้เวลาไม่นานปีนัก”
ที่ทำได้เพราะท่านมุ่งมั่นโดยตั้งปฏิญาณไว้กับตนเองว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะต้องมีสติอยู่ด้วย แต่ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย เพราะถ้าเราเอาชนะตนเองไม่ได้แล้วจะเอาชนะสิ่งอื่นๆ ได้อย่างไร...คนเราถ้าอยู่อย่างขาดสติสัมปชัญญะแล้วก็เหมือนกับเรือที่ขาด หางเสือ ท่านคอยเตือนตัวเอง คอยควบคุมให้มีสติคุ้มครองจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“ให้จิตเป็นปกติ คือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นธาตุแห่งอารมณ์ดีหรือชั่วทั้งหลาย พยายามไม่พูดในจิต ไม่คิดในใจ เมื่อตาเห็นรูปให้สักแต่ว่าเห็น เช่น เห็นป้ายโฆษณาก็ไม่อ่านในใจ มีสติอยู่กับสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขา วางเฉยอยู่อย่างเบาๆ ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่มากระทบใดๆ ทั้งสิ้น
วันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา หากเผลอตัวไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ เมื่อรู้ตัวก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดแสวงหา ให้จิตใจอยู่อย่างสบาย ไม่กังวล หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”
ผลของการปฏิบัติเช่นว่า ในที่สุด จิตของก็เป็นสมาธิขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
กล่าวคือ ภายในจิตใจไม่มีสังขารความคิดหรืออารมณ์ดีชั่วใดๆ มาก่อกวนเลย...บางครั้งจะคิดเรื่องการงานบ้าง แต่จิตกลับนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกทำงานเลย ติดว่างอยู่อย่างนั้น ถึงกับต้องบังคับให้จิตออกมาคิดเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่เช่นนั้นจิตจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา...”
ท่านว่าตอนนั้นนอนใจคิดว่าที่เป็นอยู่ถูกต้องแล้ว ไม่รู้ว่า นี่คือการติดสมาธิ ผลคือ ติดความว่างอยู่ถึง ๒ ปีเต็มๆ
แม้จะส่งผลเช่นนั้น แต่คุณลุงก็ยืนยันว่า “อย่างไรก็ดีการปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธินั้นเป็นทางเดินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ท่านให้ชี่อว่า สมถกรรมฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ”
ท่านว่า การปฏิบัติต้องมีความเพียรเป็นหลัก ทุ่มเทกันด้วยชีวิตจิตใจไม่ท้อถอย ปฏิบัติดังนี้แล้ว จิตจะเกิดความชุ่มชื้นสงบเย็น ความภาคภูมิใจและความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากสมถะก็เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน คือ การพิจารณากายที่ยาววาหนาคืบนี้ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ “จิตที่ติดอยู่สมาธิจะเพลินอยู่ในสมาธิ ยากจะออกมาพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทำงานทางด้านปัญญาบ้าง โดยต้องฝืนและบังคับซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก แต่ก็จำเป็นต้องออกมาพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว...”
ท่านแก้โดย ลองเอากรรไกรตัดผมตัวเองออกมาพิจารณาดู ตัดเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสิบออกมาวางไว้กับพื้นแล้วพิจารณาดู
“พิจารณาวนเวียนไปวนเวียนมา ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้...หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมาเพื่อ เปิดเผยความจริง เหมือนเราลอกหนังเป็ดหนังไก่หรือหนังกบก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ ผีเปรต...”
ความรู้นี้แจกแจงลงไปเป็นธาตุ ๔ ค่อยๆ เห็นความจริงขึ้นว่า “...กายคือกาย จิตคือจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเองที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปยึดถือร่างกายเป็นเรา...”
ท่านพิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน “จนบางครั้งจิตเป็นคนที่เดินไปเดินมานี้เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้ม อยู่ เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมาจึงสรุปได้ว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันไม่ปะปนกัน กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ...”
ท่านว่า เมื่อถึงการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไปติดอยู่ที่การพิจารณาเวทนาอยู่นานมาก แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้ว่า เวทนาก็ไม่ใช่เรา แต่พิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกอยู่กับตัวว่า ความปวดเมื่อยจากการทำสมาธินั้น “เราเป็นผู้ปวดเมื่อยทุกครั้งไป” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังคิดว่า “เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เป็นเนื้อเดียวกันหมด”
บัดที่จะทะลุขึ้นนี้ไปได้จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นดังนี้
“วันหนึ่งขณะที่จิตกำลังสงสัยอยู่ พิจารณาใคร่ครวญวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบ เพื่อหาความจริงว่าเวทนาเป็นเราหรือไม่ ขณะนั้นเอง คล้ายกับเกิดนิมิตขึ้นในจิต เห็นเวทนาได้ลอยออกจากจิตของข้าพเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
เวทนานี้ขาดออกจากจิตโดยสิ้นเชิง รู้สึกชัดเจนมาก เหมือนเราเอามีดไปฟันต้นกล้วยขาดกระเด็นออกจากกัน เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนานั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเวทนา เพราะเวทนา ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ เวทนาจึงเป็นเพียงขันธ์ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นคนละส่วนกันกับธาตุรู้หรือจิต...”
คุณลุงจึงเปรียบเทียบไว้ว่า ธาตุรู้หรือจิตเป็น กระจก เวลาเวทนาเกิดขึ้น กระจกจะไปเจ็บได้อย่างไร เพราะธาตุรู้หรือจิตเป็นเพียงผู้เห็น แต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ กระจกกับเวทนามันคนละอัน
ท่านว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เจ็บ จิตไม่ใช่ผู้เจ็บ ความเจ็บมันมาจากสัญญาจำได้ ถ้าเราเป็นกระจก หากเวทนา เหมือนเม็ดพริกขี้หนู เม็ดพริกขี้หนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเผ็ด เพราะไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ และไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเผ็ด ความเจ็บความปวด ก็ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถทำให้ใครเจ็บปวดได้
“หากไม่เข้าใจความจริงนี้ความเจ็บความปวดนั้นก็จะเป็นเรา คือเราเจ็บ โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจความจริงนี้แล้ว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อาการเจ็บก็เป็นเพียงอาการและความจริงอันหนึ่ง และธาตุรู้หรือจิตก็เป็นผู้รู้ซึ่งเป็นความจริงอีกอันหนึ่งเช่นกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าความเจ็บความปวดเราเป็นของเราแต่อย่างใด”
สัญญา ก็ไม่แตกต่างจากเวทนา
สัญญาก็เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจเหมือนกัน เป็นของตาย คือ เกิดๆ ดับๆ แล้วจะ ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกัน สิ่งที่ติดตาติดใจ ก็คงจำได้นานหน่อยถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ติดใจก็ดับเร็วลืมเร็ว
สัญญาจึงไม่ใช่เราเหมือนกับเวทนานั่นเอง
สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง ก็เป็นอาการและความจริงของตนอีกอันหนึ่งเช่นกัน คือคิดแล้วดับไป ปรุงแล้วดับไป
ปัญหาของคุณลุงในข้อนี้ก็คงเหมือนกับนักปฏิบัติทั่วไปที่เข้าวัดแล้วบางทีก็ อดตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์อยู่ในใจ แม้จะห้ามไม่ให้คิดแล้วบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อนำปัญหานี้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยประโยคเดียวทันทีที่ครูบาอาจารย์ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกโยม เพียงแต่โยมอย่าไปคิดว่าสังขารความคิดเป็นโยมก็แล้วกัน”
คุณลุงว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกโล่งไปหมด เข้าใจได้ในทันทีว่า สังขารความคิดมีอาการและความจริงเช่นนี้ บังคับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งถูกรู้ เป็นคนละอันกับจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์อยู่อย่างนั้น”
เรื่องของวิญญาณ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้รับการสัมผัส ใจสัมผัสอารมณ์ เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะทั้ง ๖ ดังกล่าวข้างต้น อาการของวิญญาณก็จะรับทราบการกระทบนั้นเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไป กระทบครั้งหนึ่งรับทราบครั้งหนึ่งแล้วก็ดับไป รับทราบแล้วดับ รับทราบแล้วดับ ไม่ใช่ธาตุรู้หรือจิต เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า “ขันธ์ ๕ ทั้งหมดมิใช่เรามิใช่ของเรา เป็นเพียงอาการของจิต มีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ ๕ เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ และเราเป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเราของเรา
ปัญหาสำคัญตามมาคือ แล้วเราคืออะไรล่ะ?
คุณลุงว่าค้นอยู่นาน ที่สุดเมื่อถามครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบว่า
“เราคือความรู้สึกหรือธาตุรู้”
“ธาตุรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่เราเรียนมาจากหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เรา เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึงไม่ใช่ธาตุรู้
ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำเป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะธาตุรู้นี้แหละคือ"เรา" ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเรา
ธาตุรู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม”
“จากนั้นมาข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียรอย่างยิ่งของข้าพเจ้าทำให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มาก ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ได้ครบ ๑๐๐% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ท่านว่า ติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ของคุณลุงก็มาเทศน์โปรดให้ปล่อยธาตุรู้
“โยมจะจับไว้ทำไมกันปล่อยไปเสียนะโยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทำไมกัน”
พอว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร” พระอาจารย์ก็หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
แม้ครูบาอาจารย์จะช่วยโปรดหลายหนมาที่บ้านถึง ๗ ครั้ง ไปกราบที่สำนัก ๓-๔ หนก็ไม่ได้ผล เพราะปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร”
ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2536 ขณะที่คุณลุงเตรียมตัวออกจากสำนักพระอาจารย์กลับบ้านในเวลา 4 โมงเย็น โดย “คิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้ ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบเหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัว ให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
“เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียวกันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้ และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็นออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องจับ ไม่ต้องกำหนด
“ธาตุรู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสรเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนานแสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งประกาศชัยชนะเหนือกิเลสทั้งหลายอย่างขาวสะอาด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอก
“ความเป็นกลาง ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึงจิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง
“จิตที่บริสุทธิ์จึงเป็นจิตที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เรียกว่า เป็นวิมุตติ หมดภาระ หมดสิ้นการงาน หมดคำพูด จึงหยุดแล้วปล่อยคำว่าหยุดลงเสียด้วย สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็นโมฆะ’ นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิตเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป”
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน ละสังขารไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2553 โดยมีพิธีประชุมเพลิง ณ วัดเขากระแจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ทิ้ง “จิตที่พ้นจากทุกข์” ไว้เป็นหลักไมล์และป้ายบอกทางให้แก่ผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ไว้ข้างหลังได้ ศึกษา
Cr.Opas Westly