พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 269 **เข้าใจในทุกข์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ พระองค์จะทรงเมตตาแสดงธรรม เรื่องปัญญาธรรม -ในรูปแบบไหน ให้ลูกได้ฟังละเจ้าคะ
จะได้นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม และเผยแผ่ น่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม ที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ คือ ผู้ที่
มีปัญญารู้แจ้งในทุกข์
ทุกข์ของตน - ทุกข์ของผู้อื่น
และมีปัญญารู้แจ้งในวิธีดับทุกข์
เพื่อลูกนั้น.. จะได้น้อมไปพิจารณาตาม จะได้เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ตาม
และจะได้น้อมไปพิจารณาประพฤติ ปฏิบัติ - เพื่อดับทุกข์ตาม
อย่างนั้น คงจะดีนะ.. พระยาธรรม
พระยาธรรมเอย.. จงตั้งใจฟังเช่นนี้ เถิดลูก
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น - เขาย่อมรู้ดีว่า..
ทุกข์ของคนเรา มันมีอยู่ 2 อย่าง
อย่างที่ 1 ก็คือ “ทุกข์กาย”
อย่างที่ 2 ก็คือ “ทุกข์ใจ”
แล้วจะแยกความทุกข์ทั้ง 2 นี้ ออกจากกัน.. เพื่อที่จะได้หาวิธีรักษาอย่างถูกต้อง
ทีนี้เรามาหาวิธีรักษา “ทุกข์กาย” ก่อนนะลูก
การที่เรานี้ เจ็บป่วยในร่างกาย
การที่เรานี้รู้สึกไม่สบายกาย เหมือนกายนี้.. มันมีการแปรปรวนของธาตุดิน.น้ำ.ลม.ไฟ ระบบเลือดลม การทำงานในร่างกายผิดปรกติ หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง มันทำงานสะดุด ไม่ปรกติ
.. ก็จะกลายเป็นความทุกข์กาย..
.. ทุกข์กาย เพราะว่าไม่สบาย ป่วยกาย กายนั้นมันไม่ปรกติ
อันนี้ เราคงต้องหายาที่ตรงกับโรคที่เราเป็นมารักษา ดูแลรักษากายให้หายเจ็บ หายป่วย
หรืออย่างน้อย.. ก็บรรเทาให้มันดีขึ้นนิดหนึ่ง
แล้วเราก็จงมองให้เห็น *ความไม่เที่ยงแท้* ของร่างกาย
*ความเป็นธรรมดา ธรรมชาติ* ของกายนั้นด้วย
คือถ้ามันเป็นโรคอะไร มันเจ็บมันปวดตรงไหน มันควรจะรักษายังไง ?
-- เราก็ต้องรักษาไปตามเหตุ ดูแลไปตามเหตุ ขั้นต้นก่อน น่ะลูก..
แล้วเราค่อยไปนึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย..
เพราะว่าร่างกายนี้ มันอยู่ใน **กฎของความไม่เที่ยงแท้**
... ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป..
พระพุทธเจ้าสอนให้เรา เห็นความเป็นจริงที่อยู่ในกายนี้ว่า..
-- มันเป็นของไม่เที่ยงแท้
-- มันมีเกิด ก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ และมีตายไป เป็นธรรมดา..
วันนี้.. กายนี้อาจจะยังไม่ตายทั้งหมด แต่ว่าแผล หรือว่าผิวหนังตรงที่มันโดนแล้วเป็นแผล
มันได้ตายไปนิดหนึ่ง คือ ผิดปรกติในจุดใดจุดหนึ่ง
ได้เสื่อม ได้เจ็บ ได้ป่วย มันก็เลยเสื่อมตรงนั้นไป ตายตรงนั้นไป
.. เราก็เลยเจ็บ ก็เลยปวด..
อวัยวะในร่างกายทั้งนอก และใน มันมีเหตุบกพร่อง ขัดข้อง - ไม่เป็นไปตามปรกติ
มันก็เลยเจ็บ ก็เลยปวด เป็นธรรมดา
** ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป **
เราทุกคนหนีความจริง - ก็หนีไปไม่ได้
เกิดแล้ว - ก็ต้องโต
โตแล้ว - ก็ต้องแก่
แก่แล้ว - ก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตายไป..
บางทียังไม่โต.. ก็เจ็บ ก็ป่วย ก็ตายได้เหมือนกัน
มันขึ้นอยู่กับว่า กายนี้มันจะเป็นยังไง ตามเหตุที่มันจะเป็น
…ไม่ได้เป็นตามใจของเราเลย !
พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย - แล้วก็เห็นเป็นธรรมดา ++
อันนี้ก็จะช่วยให้เรารู้สึกบรรเทา ความเจ็บ ความป่วย
ความปวด ความตึงเครียด ในความทุกข์ ที่ทุกข์เกี่ยวกับร่างกายลงได้บ้าง
/ หายากินรักษาโรค ที่ตรงกับตัว
/ เห็นเป็นธรรมดา - ยอมรับความเป็นจริง
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอาจิตไปจดจ่อ กับเรื่องนั้น หรือว่าทำให้มันว้าวุ่น ให้มันเจ็บให้มันป่วย
ให้มันทรุดหนักกว่าเดิม
เห็นเป็นธรรมดาในกาย ว่าอย่างนั้นละ
-- ก็จะช่วยรักษา ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้หายทุกข์ในกาย.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราทุกข์ใจ ทุกข์ใจเพราะว่าอะไร ?
เราก็ต้องไปหาอีกนั่นละ.. พระยาธรรม
การที่ทุกข์ใจนั้น - สาเหตุมันเกิดมาจากไหน ?
มันอาจจะมีสาเหตุเยอะแยะมากมาย และมีเหตุผลของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันไป.. เป็นธรรมดา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกเอ๋ย.. สาเหตุของการทุกข์ใจ มันก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง
คือ “เชื้อแห่งความหลง เชื้อแห่งความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก”
สิ่งเหล่านี้.. มันเกาะกินจิตใจของเรา มันครอบงำจิตใจของเรา
ให้รุ่มร้อน เร่าร้อน ดิ้นรนขวนขวาย ห่วงหน้าพะวงหลัง
ให้ปรุงแต่งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ว้าวุ่น และวุ่นวายไปหมด..
-- ก็เลยทำให้จิตของเราป่วย ทำให้จิตของเราไม่สบาย ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นทุกข์
.. ก็เลยก่อให้เกิดเป็นความทุกข์ใจ - ทุกข์ใจ ทุกข์ในจิตนั่นละ
ทีนี้.. เราก็แค่หาวิธี ขจัดความหลง ขจัดความรัก ความโลภ และความโกรธ - ออกจากตัวของเราไป
เราก็แค่ขจัดความอยาก และความไม่อยาก.. ออกจากจิตของเราไป เท่านั้นเอง !
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเรารู้จักเชื้อโรคของมันแล้ว..
เราก็แค่ประพฤติ ปฏิบัติ ตาม *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
*ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* - จะช่วยถอดถอนเชื้อเหล่านี้ ออกจากจิตใจของเราได้
มันจะช่วยให้เรา รู้สึกสบายในจิตขึ้นมา
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเรารักษาศีล - ศีลก็จะ
ชำระกิเลส คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ชำระตัณหา คือ ความอยาก และความไม่อยากในตัวของเราไป
เมื่อเรามีธรรม รู้จักฟังธรรมะ แตกฉานในธรรม เข้าใจในธรรม - ก็จะทำให้เรารู้วิธี ที่จะชำระกิเลสตัณหา มากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถูกต้องตามทาง / ไม่หลงทาง
-- เราก็จะสามารถเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ได้มากขึ้น --
เมื่อเรานั้นมีสมาธิ.. เราก็ย่อมสามารถที่จะรู้และเข้าใจในเหตุต่างๆ ด้วยกำลังของสมาธิ
และสมาธิ ก็จะช่วยให้จิตของเรา สงบ- มีพลัง- มีแสงสว่างเกิดขึ้นในจิต
มองทะลุ มองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย
- เมื่อนั้น ตัว*ปัญญา* ก็จะก่อเกิด -
เมื่อตัวปัญญาก่อเกิดแล้ว.. เราก็ย่อมสามารถเอาทั้ง 4 อย่างนี้...
- มาถอดถอน เชื้อแห่งความรัก ความหลง ความโลภ และความโกรธ
- ถอดถอนเชื้อแห่งความอยาก และไม่อยาก - ในตัวของเรา ในจิตในใจของเรา
ทีนี้.. เมื่อเรารู้แล้วว่า ยารักษาความทุกข์ในใจ ในจิตนั้น คือ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
เมื่อเราเจ็บ.. เราป่วย.. เรารู้สึกว่ามันเป็นทุกข์
เราก็แค่ตั้งหลักของเราเอาไว้ ด้วยการ..
มีศีล มีธรรม มีสมาธิ ปัญญา.. ประพฤติ ปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้
ย่อมแน่นอน ลูกเอ๋ย.. ทำไปๆ เดี๋ยวเราก็หายทุกข์เอง นั่นละ !
ใหม่ๆ ก็อาจจะทำได้ยากหน่อย - แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเราหลอกลูก
มันก็เหมือนกับการกินยา นั่นละ
* มันอาจจะขมหน่อย.. แต่มันก็เป็นยาดี *
มันอาจจะไม่หวาน ไม่ได้กินง่ายๆ - แต่มันก็หายป่วย
ก็ฝืนเอา ทนเอาหน่อย ก็แล้วกัน !
ทำไป ทำมา.. อาการเจ็บป่วยของเราดีขึ้น..
มันก็จะทำให้เรามีแรง มีกำลังใจ รู้สึกชื่นชอบในสิ่งที่เรานั้นทำ
ก็จะทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ
ก็จะกลายเป็นว่า เราเป็นผู้ “มีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา” อยู่เสมอ
.. มีสิ่งเหล่านี้ เป็นเกราะป้องกันความทุกข์ให้เรา อยู่ตลอด
แล้วเมื่อเราสั่งสมการทำความดี ด้วยการ มีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา
- สั่งสมสิ่งเหล่านี้จนเต็ม -
... เราก็จะหายทุกข์ และไม่กลับมาทุกข์อีกเลย !
เรานี้.. ก็จะหายป่วยในจิตในใจ มันก็จะไม่มีการทุกข์อีกต่อไป..
เพราะเราได้ฝึกตน ให้รู้จักกินยา รักษาความเจ็บป่วยในจิต - ความทุกข์ในจิต
แล้วก็ฝึกกินบ่อยๆ จน
/ กินอยู่เสมอ
/ กินต่อเนื่องกันมาจนเป็นระยะยาว
/ กินจนมันเป็นเรื่องปรกติ
จนถึงวันหนึ่ง.. ที่เราหายป่วยในจิต
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาก็แค่รู้เหตุแห่งทุกข์ ทั้ง 2 ทุกข์นี้ - แบ่งแยกออกจากกัน
* ทุกข์กาย - ก็ดับทุกข์ที่กาย
* ทุกข์ใจ - ก็ดับทุกข์ที่ใจ
รู้แนวทางการประพฤติ ปฏิบัติ.. ว่าตนต้องรักษาตนยังไง ให้หายทุกข์
-- เมื่อไม่ทุกข์กาย /ไม่ทุกข์ใจ.. เราก็ไม่มีความทุกข์อะไรเลยลูก +
-- เมื่อทุกข์กาย ทุกข์ใจอยู่ มันก็เป็นเหตุให้เรานั้นเร่าร้อน เป็นทุกข์อยู่เสมอ +
นี่ละ พระยาธรรมเอย
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว
// เขาแบ่งแยก แสวงหาวิธีรักษา ตามเหตุและปัจจัย
// เขาก็กินยารักษากาย ปรับสภาวธรรมที่จะทำให้กายนั้นมันเจ็บมันป่วยมากกว่าเดิม ให้มันทรุดไป
// เขาก็ต้องรักษาไปตามเหตุ และยอมรับความเป็นจริง
เมื่อเขาทุกข์ใจ เขาก็ต้อง “รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ และฝึกฝนปัญญา”
- ใจของเขา ก็หายทุกข์ -
เท่านี้ละ.. พระยาธรรม
คือ ทุกข์ของมนุษย์ทั้งหลาย
คือ วิธีดับทุกข์ ของมนุษย์ทั้งหลาย
คือ หนทางที่องค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์เจ้า ใช้เพื่อดับทุกข์
ในกายในใจแห่งตน
-- จนทุกคนหลุดพ้นจาก ความทุกข์กาย ทุกข์ใจมาได้ ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง และพิจารณาตาม
... ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น วันนี้ลูกกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ