ลืมอะไรไปบ้างไหมลืมลมหายใจหรือเปล่าลืมตัวไปนานแค่ไหนขณะที่ลืมตัว ใจเราก็มืดๆ มัวๆถ้าตายตอนใจมืดก็ไปอบายแล้วเราเลือกเวลาตายไม่ได้คอยรู้สึกตัวไว้ อย่าประมาทกันนะรู้สึกตัวแต่ละครั้ง เหมือนจุดไฟท่ามกลางความมืดมิด แม้เป็นแสงสว่างสั้นๆ เล็กๆแต่เมื่อเกิดต่อเนื่องติดต่อกัน ย่อมยังความสว่างไสวให้เกิดขึ้น ขับไล่ความมืดออกไปจากจิตใจเพื่อที่จะมารู้เห็นความจริงได้
อยู่ที่ไหนในโลก ในความรู้สึกเราก็อยู่ที่นี่
อยู่เวลาไหนในโลก ในความรู้สึกเราก็อยู่เดี๋ยวนี้
เดินทางไปไหน คอยตั้งสติที่ความรู้สึกว่า ‘ที่นี่’ ‘เดี๋ยวนี้’
จะไม่เหงา ไม่งง ไม่หลง
จะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นที่พึ่ง
พระอาจารย์ชยสาโร
หากมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมและทําถูก จะต้องก้าวหน้าเห็นผลชัดเจน หากไม่เกิดความก้าวหน้าทางปัญญา แสดงว่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิดไปหมด ให้พิจารณาดูว่า " รู้สึกตัว " ถูกหรือไม่
.
ที่ผิดพลาดกันคือ " ไปคิดรู้สึกตัว " การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปห้ามความคิด แต่ไม่ใช่การใช้ความคิด
.
" มิจฉาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติผิด = ไปคิดรู้สึกตัว รู้สึกตัวผิด = การไปเพ่ง = การไปพยายามมาก = การไปตามรู้แบบยึด = การมีมานะ = การเกิดอัตตา = การหลงเพลินแช่ = ก็ล้วนเป็นการหลงในความคิดไม่จบ คิดเรื่องเดียวหรือหลายเรื่อง ก็คือความคิด = จิตผู้รู้โดนปกคลุมด้วยความคิด = จิตผู้รู้อ่อนแอ อยู่ในโลกความคิด ไม่อาจสําแดงการรู้ อย่างอิสระ = จิตไม่ตั้งมั่นไหลไป = ปัญญาญาณไม่เกิด มีแต่ปัญญาความคิด = สักว่าคิดเอาแต่คิด = ที่เข้าใจว่าปฏิบัติมานาน แล้วก้าวหน้า เกิดสภาวะธรรมแปลก ล้วนเป็นเพียงการหลงอยู่ในความคิดระดับสูงขึ้นไป หลงในสภาวะแห่งจิต จนกลายเป็นนิมิตต่างๆ สภาวะต่างๆมากมาย ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิด " เข้าใจว่าการนั่งคิด คือการปฏิบัติ " แตกความคิดออกมามากมาย ไม่รู้จบ
.
" สัมมาสมาธิ " บังเกิดเมื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง = รู้สึกตัวให้ถูกต้อง = รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย = จิตตั้งมั่น = จิตผู้รู้ อิสระ = จิตผู้รู้เด่น เข้มแข็ง = ว่างแบบรับรู้อารมณ์ความคิด = รู้ทันอารมณ์ความคิด = เกิดปัญญาญาณ = เจริญวิปัสสนา = ไม่เข้าไปยึดความคิด = ไม่เพ่ง ไม่ฟุ้ง รู้ตัว = ไม่หลงอยู่กับความคิด = ไม่เกิดปัญหาจากการคิด ตามมามากมาย = สักว่ารู้ว่าเห็น
.
หาก " รู้สึกตัว " ให้ถูกต้อง ติดกระดุมเม็ดแรกถูก
รู้สึกตัว ไม่เข้าไปยึดถือความคิด รู้ทันความคิด
รู้สึกตัว เกิด สัมมาสติ เกิด สัมมาสมาธิ มรรคย่อมเจริญเองอัตโนมัติ เส้นทางเดินนี้ ใจเราเองเป็นผู้นําทาง
Trader Hunter พบธรรม
เราไม่ได้มามองตัวเราเอง เราไม่มาแก้ตัวเราเอง*
เมื่อไม่มามองตัวเรา แล้วจะเห็นตัวเราได้อย่างไร ?
ร่างกายนี้เห็นกันได้อยู่
*****ส่วน"จิตใจ"ที่มัน"คิด"..."ไม่เป็นตน-เป็นตัว" นั้น*****
มันมองไม่เห็นด้วยสายตา-มันเห็นยาก
ดังนั้น พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
จะว่าง่าย-ก็ง่ายที่สุด จะว่ายาก-ก็ยากที่สุด
'ยาก'สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจ
'สบายที่สุด'กับคนที่สนใจ”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
“…เวลานี้ต้องการพูดเรื่อง‘ทานธรรม’
ทานธรรม ที่ชนะทานทั้งปวง
ขณะที่หลวงพ่อเดินกลับไป-กลับมา
มันปรากฏตัว รู้สึกเบาขึ้นมา
หลวงพ่อถอนผมออกจากหัว
ตอนนั้นยังเป็นโยมอยู่ ผมมันยาว
ถอนออกมาดู เห็นรากผมขาว ๆ ๓ ราก
ผมที่ถอนออกมาแล้ว เอาไปปลูกอีกไม่ได้
เอาใส่ลงไปที่เก่าไม่ได้
‘โอ! คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมลงสู่จุดนี้นี่เอง’
ถ้าหากผู้ใดศึกษาจุดที่ถูกต้อง เห็นแล้ว-เข้าใจแล้ว
นั่นแหละ‘พระ’ ผู้มีชีวิตประเสริฐ-ราบรื่นที่สุด
เรียกว่า‘มั่นคงถาวร คงที่-ไม่เปลี่ยนแปลงอีก’
เนื้อแท้มันอยู่ตรงนี้ นิดเดียวเท่านั้นเอง
แต่ต้องมีวิธีการ
วิธีการนั้น ก็คือ
'ให้ดูการเคลื่อนไหวของเราเอง ดูรูปกายนี้เสียก่อน
เมื่อเราดูรูปกายของเราอย่างแน่นอนชัดเจนดีแล้ว
จะเคลื่อนไหวโดยวิธีใด รู้ทุกอย่างแล้ว
ทีนี้ให้มาดูใจ
ใจมัน"คิด"อย่างไร ก็ให้มัน"รู้เท่าทัน"
ให้รู้จักกัน-รู้จักแก้ เอาชนะมันให้ได้'
ตอนดูใจนั่นแหละ มันเป็นเอง
จับหลักนี้ได้แล้ว มันเป็นไปเอง
เปรียบเทียบเหมือนเราเดินทางถูกสาย เป็น‘สัมมาทิฏฐิ’
‘สัมมาทิฏฐิ’ แปลว่า ‘เห็นถูกต้อง’
เห็นถูกต้อง ไม่ใช่ไปเห็นอย่างอื่น
ทีแรกนั้นให้มันเห็น"ความคิด"เสียก่อน จึงจะถูกต้อง
หรือละโทสะ-โมหะ-โลภะได้เสียก่อน จึงจะถูกต้อง
ถ้าเราไม่เห็นความคิด ไม่เห็นจิต-ไม่เห็นใจของเรา
มันก็ถูกต้องอยู่แต่เพียงคำพูด
แต่อาจจะไม่ถูกต้องทางพุทธศาสนาจริง ๆ
อาจจะถูกต้องไม่ถึง ๕%
ถ้าหากเห็นจิต-เห็นใจของเรา
คิดปุ๊บ-เห็นปุ๊บ ดับได้ทันที
อย่างนี้ถูกต้องอย่างน้อย ๖๐% หรือ ๘๐%
วิธีปฏิบัติอันนี้ รับรองว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะไปนิพพาน
‘นิพพาน’ หมายถึง ‘ความไม่มีทุกข์’
อย่างพระสงฆ์-องค์เณรที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้
จิตใจของทุกคนเป็นอย่างไร ?
(พระตอบ) เฉย ๆ ครับ
ไปทำอะไรให้มัน ?
(พระตอบ) ไม่ได้ทำอะไรครับ
แน่ะ! เพราะสภาพมันเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดมา
แล้วเมื่อใด-วันไหนเราจึงจะประพฤติปฏิบัติ
จะค้นหาให้มันพบ-ให้มันเห็น ?
จะไปรอศาสดาที่ไหนมาทำให้เราได้ ?
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
‘ทำเอง-รู้เอง-เห็นเอง-เข้าใจเอง...
ทำอย่างเรานี้แล้ว "จะรู้อย่างเรา" นี้..อันเป็น"จิตว่าง" หรือ"อุเบกขาสูงสุด"นั่นแหละ
ไม่ต้อง-ไปทำอะไรให้มัน มันเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดมา
แต่*คนเราไม่เคยสนใจชีวิต-จิตใจของเรา
เกิดมา ก็ไปมองว่าคนนั้นดี-คนนั้นไม่ดี
คนนั้นงาม-คนนี้สวย คนนั้นจน-คนนี้รวย
เราไปมองแต่อย่างนั้น
การรู้สึกตัว อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง นั้นสําคัญมาก
การทําที่ต่อเนื่อง จะทําให้ใจเกิดความคุ้นชิน ความคุ้นชินของใจเป็นสิ่งสําคัญมาก ที่เราปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้ากัน ก็เพราะเราขาดความต่อเนื่อง เดี๋ยวทําเดี๋ยวหยุด พอทําไปแล้วหยุด ใจที่กําลังจะชินเกิดเป็นความรู้สึกตัวอัตโนมัติ มันก็ไม่เกิด แล้วพอมาทําอีก ก็เหมือนกับการมาเริ่มต้นใหม่อยู่ตลอด แต่ไม่ทันจะคุ้นชินก็หยุดอีก เราวนเวียน เริ่มๆหยุดๆ อย่างนี้ มาหลายรอบ ธรรมจึงไม่ก้าวหน้าสักที ดุจดังสีไม้ให้ติดไฟ หากหยุดสีก็หายร้อน ต้องเริ่มสีใหม่อยู่ตลอด
หากปฏิบัติอย่างจริงจัง อยู่กับความรู้สึกตัว แบบไม่หลงลืมตัวได้สัก 3-4 เดือน อยู่ตลอดทั้งวัน ความรู้สึกตัวอัตโนมัติจะถูกติดตั้งอยู่กับใจเรา ทําให้เราหลงลืมตัวน้อยลง รู้สึกตัวได้มากขึ้น ชัดขึ้น จนก้าวหน้าต่อไปเพื่อเจริญปัญญาได้อย่างง่าย โดยไม่ต้องทําอะไรที่มากไปกว่านี้เลย วันนี้กล่าวอย่างนี้ให้แค่รู้สึกตัว ก็เพราะผ่านมาแล้วเห็นความจริงแล้ว แต่สมัยก่อนก็ไม่เชื่อ ว่าให้ทําแค่นี้จะเห็นผลได้อย่างไร แต่ความจริงก็คือความจริง ผู้ที่ผ่านมาแล้วก็บอกกันต่อไป ส่วนความเชื่อนั้นจะให้เชื่อได้คงต้องเห็นความจริงเองอยู่ดี
ทําให้ชิน จะเป็น สติอัตโนมัติ
♻️"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี"♻️
⚜️จากโอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงปู่ชา สุภัทโท เรื่อง บ้านที่แท้จริง⚜️
ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ หายใจออกยาว ๆ สูดลมเข้ามายาว ๆ หายใจออกไปยาว ๆ แล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่ แล้วก็กำหนดลมว่า พุทโธ พุทโธ โดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งกำหนดลมเข้าให้ละเอียด ละเอียดเข้าไปมากเท่านั้นทุกครั้ง
เพื่ออะไรเพื่อจะต่อสู้กับเวทนาเมื่อมันกำลังเหน็ดเหนื่อยก็ให้โยมหยุดความคิดทั้งหลาย ให้โยมหยุดคิดอะไร ๆ ทั้งปวงเสียให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอาจิตให้รู้จักลมภาวนาพุทโธ พุทโธ
ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับลูก อย่าไปเกาะกับหลาน อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้นให้ปล่อย ให้เป็นอันเดียว รวมจิตลงที่อันเดียว ดูลม ให้กำหนดลมเอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้น ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมาย
กำหนดให้จิตมันน้อยไป ๆ ละเอียดไป ๆ เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะมีความรู้สึกน้อย ๆ มันจะมีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด
อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้น มันจะค่อย ๆ ระงับไป ๆ ผลที่สุดเราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมเรา เราก็จะตามไปส่งญาติขึ้นรถลงเรือ เราก็ตามไปถึงท่าเรือ ไปถึงรถเราก็ส่งญาติเราขึ้นรถ เราก็ส่งญาติเราลงเรือ เขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละ
เราก็มองไปเถอะเมื่อญาติเราไปแล้ว เราก็กลับบ้านเรา เราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จัก เมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จัก เมื่อมันละเอียดไปเรื่อย ๆ เราก็มองไป ๆ ตามไปน้อมไป ๆทำจิตให้มันตื่นขึ้น ทำลมให้มันละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ ผลที่สุดแล้วลมหายใจมันน้อยลง ๆ จนกว่าลมหายใจไม่มี
มันก็จะมีแต่ความรู้สึกเท่านั้นตื่นอยู่ นั้นก็เรียกว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้ว เรามีความรู้ตื่นอยู่ที่เรียกว่า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเป็นเช่นนั้นเราได้อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้ว เราได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว เราพบความรู้แล้ว เราพบความสว่างแล้ว มันไม่ส่งจิตใจไปทางอื่นแล้ว มันจะรวมอยู่ที่นั่น
นั้นเรียกว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้าของเรา ถึงแม้ว่าท่านปรินิพพานไปแล้ว นั่นเรียกว่าพระพุทธรูป เป็นรูปกาย มีรูป
แต่พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ความรู้อันสว่างไสว เบิกบานอย่างนี้ เมื่อพบเช่นนี้เราก็มีอันเดียวเท่านั้น ให้มารวมที่นี้
ฉะนั้นให้วาง วางทั้งหมดเหลือแต่ความรู้อันเดียว แต่อย่าไปหลงนะ อย่าให้ลืม ถ้าเกิดนิมิตเป็นรูปเป็นเสียงอะไรมา ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไร
เอาแต่ความรู้สึกอันเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ห่วงข้างหน้า ไม่ห่วงข้างหลัง หยุดอยู่กับที่ จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่ยึดไม่มีที่หมาย เพราะอะไรเพราะว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเราและไม่มีของของเรา…หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราหมดอย่างนี้ ไม่ให้เราคว้าเอาอะไรไป ให้เรารู้อย่างนี้ รู้แล้วก็ปล่อย ก็วาง
โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท
" ความรู้สึกตัว เป็นอย่างไร อธิบายง่ายให้เข้าใจ "
.
ผู้รู้ เป็นผู้รับรู้ รู้สึก
.
" รู้สึกตัว " รู้สึกตัวจากรูป รู้สึกตัวจากเสียง รู้สึกตัวจากกลิ่น รู้สึกตัวจากรส รู้สึกตัวจากสัมผัสขยับกาย รู้สึกตัวจากอารมณ์ความคิดจิตใจ
.
ผู้รู้คือใคร?
.
ผู้รู้ ก็คือวิญญาณที่เข้าไปรู้ใน
.
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสขยับกาย อารมณ์ความคิดจิตใจ
.
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
.
ที่เราฝึกรู้สึกตัว เป็นการฝึกอยู่กับผู้รู้ เพื่อให้ผู้รู้เข้มแข็ง เด่นขึ้นมา หลุดจากการเพลินไปโดยไม่รู้ตัว มีสติ สัมปชัญญะ เป็นการเจริญสติปัฏฐาน
.
ก็มักจะเริ่มจากฝึก รู้สึกตัวผ่านสัมผัสขยับกาย รู้สึกตัวผ่านอารมณ์ความคิดจิตใจ
.
แต่ความจริง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสขยับ จิตใจ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ จากผู้รู้ นั้นล้วนสามารถ รู้สึกตัวได้ทั้งสิ้น
.
เริ่มจาก รู้สึกตัวผ่านสัมผัสขยับกาย ง่ายที่จะสอนให้เข้าใจและปฏิบัติ แล้วที่สําคัญ การเอากายเป็นฐานก่อน ให้ผู้รู้เข้มแข็งก่อน จะทําให้ไม่เพลินไหลไปตามอารมณ์ความคิด เพราะกายเป็นก้อนกาย ไม่ดิ้นดังจิตใจ
.
เขียนตามสิ่งที่ตนเองเห็น แต่จริตนักปฏิบัติแต่ละท่านแตกต่างกัน แม้ผมเองนั่งสมาธิมามากติดสมาธิ มีกําลังสมถะ ยกขึ้นมาเห็นอารมณ์ความคิดได้อย่างง่าย ก็ยังเห็นควรที่จะเริ่มจากกายเอากายเป็นฐานให้มั่นคงก่อน สุดท้ายจะเข้ามาเห็นจิตใจได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปกําหนดอะไร เห็นอัตโนมัติ
.
ส่วนท่านใดจะชอบดูจิตใจก่อน หากตรงกับจริตท่านย่อมได้ผลเช่นกัน ทําสิ่งที่ชอบ สบายใจ ใจที่สบายจะก้าวหน้าง่าย
.
แต่เมื่อความรู้สึกตัวเข้มแข็งเด่นชัดขึ้นมา จะสามารถเข้าไปรับรู้ รู้สึกตัว ผ่าน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสขยับ จิตใจ เป็นอัตโนมัติ ด้วยความเคยชินของใจ
.
โดยเมื่อผู้รู้เข้มแข็งมากขึ้นไปอีก จะเห็นไวมากจนเข้าไปสู่ในระดับจิตใจ เห็นตั้งแต่อาการขยับของใจ ก่อนที่จะแปรเป็นคําสั่งการกระทําต่าง ออกมายังกาย
.
ถาม มีคนบอกว่าดิชั้นมีผู้รู้แล้ว ?
.
ตอบ เราทุกคนมีผู้รู้ทั้งนั้นนะ เพียงแต่จะมีโอกาสได้ฝึกเจริญสติรู้สึกตัว ให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมารู้ทันหรือไม่ จนในที่สุดมารู้ทันตัวผู้รู้เอง หรือจะขาดโอกาสฝึก มีเพียงผู้รู้ที่อ่อนแอไม่เข้มแข็ง แล้วเพียงแค่ เป็นผู้รู้ ไหลไปตามสัญชาติญาณ หรือ ความคิดที่หลงยึดถือ ฝืนกระแสไม่ไหว อยู่แต่ในโลกของอารมณ์ความคิด หลงเกิดภพชาติสืบไปไม่จบ
.
แต่หากเราฝึก รู้สึกตัวให้บ่อย ผู้รู้จะเข้มแข็งขึ้นมา มีสติรู้ทันกาย จิตใจ ตนเอง ทําให้ใจไม่เผลอไหลสั่งออกไปเป็นการกระทําต่างๆ
.
จิตมีสภาพรู้อารมณ์ = จิตผู้รู้ = วิญญาณ = ผู้รู้
.
ตรงที่รู้สึก คือ วิญญาณเข้ามารู้ = จิตผู้รู้เข้ามารู้
.
การอยู่กับความรู้สึกตัว = เป็นการอยู่กับจิตผู้รู้ = จึงเป็นการปฏิบัติในระดับจิต เพื่อเข้าถึงสภาวะแห่งใจ
.
เข้าไปอยู่ในโลกของใจ ที่หลุดจากสมมุติ เห็นในหลากหลายมิติ เกิดปัญญาในระดับเหนือความคิดเห็นทางโลก เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ4 ความจริงแห่งใจ
หมั่นรู้สึกตัวบ่อยๆ การที่เรารู้สึกตัวนี้หล่ะ จะไปทําให้ธาตุรู้เราตื่นขึ้นมา จนเราเข้าไปเห็นความจริงแห่งรูปนาม เป็นประตูสู่นิพพาน ทําแบบนี้แล้ว เราจะเห็นธรรมได้เอง จะเห็นธรรมได้ลึกขึ้น ปัญญาสูงขึ้นจากการเห็นนี้ ที่ใจเราค่อยๆรู้แล้วปล่อยกิเลสออกไปจากใจเรา ตรงนี้สําคัญมาก
""""""""""""""""
อย่าพยายามที่จะไม่คิดนะ " ให้แค่รู้ความคิด เห็นความคิด พอรู้แล้ว ให้ละไปเลย " การไปตามดูความคิด มันทําให้เราส่งจิตออกนอก การส่งจิตออกนอกภพชาติย่อมเกิด มีตัวตนเราขึ้นมา เราไม่ได้ไปดับความคิด เพราะความคิดมันดับไปเองอยู่แล้ว แต่การมาอยู่กับความรู้สึกตัว จะทําให้ไม่ฟุ้งไปกับความคิดต่อ อยู่กับความรู้สึกตัว
การละนั้นให้เอาใจมาอยู่กับความรู้สึกตัวกับกาย เช่น รู้สึกกับลมหายใจ รู้สึกกับการขยับกาย เป็นการละไปอัตโนมัติแล้ว
คู่มือการทำความรู้สึกตัว
โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พันธ์ อินทผิว)
คำนำ
ตลอดเวลากว่า ๓๐ ปี ที่อุบาสกพันธ์ อินทผิว ซึ่งต่อมาคือ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้เที่ยวสั่งสอนคนทั้ง หลายนั้น ท่านได้พยายามชี้แนะแก่เขาเหล่านั้น ให้ได้เข้าใจสัมผัสกับแก่นแท้ของพุทธศาสนา ที่มีอยู่แล้วใน คนทุกคนไม่ยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน นับถือศาสนาอะไร ชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าหาก ปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว สามารถเห็น-รู้-เข้าใจได้เหมือนกันทุกคน
วิธีปฏิบัติก็คือ การทำความรู้สึกตัว หรือ "ให้รู้สึกตัว...ตื่นตัว รู้สึกใจ...ตื่นใจ" จนกระทั่งเกิดฌาน ปัญญาเป็นลำดับไปจนถึงที่สุด
มูลนิธิฯ และวัดสนามใน เห็นว่าควรนำคำสอนของหลวงพ่อ เฉพาะที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ ที่หลวงพ่อได้พูดไว้ในโอกาสต่างๆ มาเรียบเรียงรวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อเป็นคู่มือแก่ผู้ที่สนใจ
ในการเรียบเรียงนั้น ได้รวบรวมคำพูดของหลวงพ่อที่เกี่ยวกับหลักการ ความหมาย วิธีการปฏิบัติ ตลอดจน การแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาจัดเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกแก่การเข้าใจ สำหรับผลของ การปฏิบัตินั้น ได้กล่าวถึงเฉพาะหัวข้อ และแยกไว้ต่างหากในภาคผนวก
มูลนิธิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พันธ์ อินทผิว)
และวัดสนามใน
ข้อสังเกตสำหรับผู้อ่าน
* คำในวงเล็บ เป็นคำที่คณะผู้จัดทำเติมเข้าไป เพื่อแปลภาษาอีสาน หรือเสริมข้อความ เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
* หมายเลขใต้ข้อความแต่ละตอน คือที่มาของข้อความนั้นๆ ซึ่งระบุไว้ในบรรณานุกรมท้ายเล่ม
สารบัญ
บทนำ
๑. การทำความรู้สึกตัว
๒. การเดินทาง
๓. อุปสรรคและการแก้ไข
บทท้าย
บทนำ
๑.
ธรรมะที่ผมว่าอยู่นี้ ไม่ใช่ของใครทั้งหมด เป็นสากล เป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของศาสนาพุทธ ไม่ใช่เป็นของศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่เป็นของศาสนาคริสต์ ไม่ใช่ของคนไทย ไม่ใช่ของคนจีน ไม่ใช่ของคนฝรั่ง ไม่ใช่ของคนญี่ปุ่น ใต้หวันทั้งนั้น เป็นของผู้รู้ ใครรู้ก็เป็นของคนนั้น ใครไม่รู้ไม่เป็นของคนนั้น ไม่ว่าศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอะไรก็ตาม มันมีในคนทุกคน ไม่ใช่ว่ารู้แล้ว จะสงวนลิขสิทธิ์ไม่ให้คนอื่นทำได้ ไม่ใช่อย่างนั้น รู้แล้วทำลายก็ไม่ได้ เพราะมันทำลายไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะไปทำลายมันได้ แล้วจะไม่ให้คนอื่นรู้ มันก็ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของคนที่ทำรู้เอง เรารู้แล้ว จะทำลายมัน ทำลายไม่ได้ เพราะมันเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา
๒.
คนโบราณบ้านหลวงพ่อเคยสอนเอาไว้ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ" ใจมันอยู่ที่ไหน ? เราเคยเห็นใจเราบ้างไหม ? ไม่เคยเห็น เมื่อไม่เคยเห็น เราก็ต้องศึกษาต้องปฏิบัติให้รู้ว่า ใจเราคืออะไร
นรก คือ ความร้อนอกร้อนใจ มีทุกข์ แล้วในขณะไหนเวลาใด ความทุกข์อันนั้นมันจางคลายไป เราก็ขึ้นสวรรค์ โกรธมาเที่ยวหน้า ตกนรกอีกแล้ว แน่ะ บัดนี้เราอยู่แต่เพียงสวรรค์ ไม่ไปตกนรก แต่ว่าไม่รู้จักทิศทางออก ทำอยู่กับโลกียธรรม...เมื่อเราหาทางออกจาก โลกียธรรมไม่ได้ เราก็ต้องหมุนเวียนอยู่ในโลกียธรรม ทำดีกับโลกเป็นวิสัยของคน เป็นวิสัยของสัตว์โลก เป็นวิสัยของสัตว์ ยังไม่เป็นวิสัยของมนุษย์ ยังไม่เป็นวิสัยของพระอริยบุคคล ให้เข้าใจอย่างนั้น เมื่อเราพ้นทุกข์ได้แล้ว นั่นแหละเป็นวิสัยของโลกุตตรธรรม
๓.
อัน (ที่) เป็นพระพุทธเจ้า คือ จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว นั่นแหละคือจิตใจของพระพุทธเจ้า ก็มีในคนทุกคน ไม่มียกเว้นเลย น้ำกับตมเลนนั้นมันไม่ใช่อันเดียวกัน ตมเลนต่างหาก (ที่) ทำให้น้ำขุ่น (แต่) น้ำมันไม่ได้ขุ่น จิตใจเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้จักอย่างนั้นแล้ว เราจะค่อยๆ ตามไป พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า อันจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ ถ้าจิตใจบริสุทธิ์แล้ว ขี้ตม ฝุ่นไม่สามารถทำให้น้ำขุ่นได้อีก จิตใจเราก็ผ่องใส ขี้ตมก็จะเป็นตะกอนทะลุออกก้นโน้น จิตใจว่องไว มันก็เบา สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรมจึงอยู่ด้วยกัน ถ้าหากเรารู้โลกุตตรธรรมจริงๆ แล้ว ก็แยกกันได้หรือออกจากกันได้ (แต่) ถ้าเรายังไม่รู้จริงๆ จะแยกกันไม่ได้
๔.
ธรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นั่นน่ะ ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้า คือ ตัว ที่มันจิตใจเป็นปกติอยู่เดี๋ยวนี้นี่แหละ ในขณะนี้ ที่นั่งฟังหลวงพ่อพูดอยู่ในขณะนี้นี่ ลักษณะชีวิตจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ? มันก็เฉยๆ เฉยๆ เรามีสติรู้ไหม ? ถ้าเรามีสติรู้ ลักษณะเฉยๆนี่ อันนี้แหละที่ท่านว่า ความสงบ ทำงาน พูด คิดอะไรก็ได้ แต่ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรให้มันมาก ลักษณะ (นี้) สอนกันนิดเดียวเท่านั้น แต่คนไม่เข้าใจ...ไปทำของง่ายๆ ให้มันยาก ทำของสะดวกสบาย ให้มันยุ่งขึ้นมา ลักษณะเฉยๆ นี่ ไม่ต้องไปทำอะไรมันเลย ลักษณะเฉยๆ นี่ มันมีในคนทุกคนเลย แต่เราไม่เคยมาดูที่ตรงนี้...ลักษณะเฉยๆ นี้ท่าน (เรียก) ว่า อุเบกขา วางเฉย
๕.
ความทุกข์เกิดขึ้น เพราะเราไม่เห็นความคิดนั่นแหล่ะ ตัวความคิดจริงๆนั้น มันก็ไม่ได้มีความทุกข์ ที่มัน มีทุกข์เกิดขึ้น คือ เราคิดขึ้นมา เราไม่ทันรู้ ไม่ทันเห็น ไม่ทันเข้าใจความคิดอันนั้น มันก็เลยเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงไป เมื่อมันเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงไป มันก็นำทุกข์มาให้เรา
ความจริงความโกรธ-ความโลภ-ความหลงนั้น มันไม่มี ตอนมันมีนั้นคือเราไม่ได้ดู "ต้นตอของชีวิต จิตใจ" นี้เอง มันก็เลยโผล่ออกมา บัดนี้มาทำความรู้สึกตัว มันคิด...เห็น-รู้-เข้าใจ ตัวนี้เป็นตัวสติ เป็นตัวสมาธิ เป็นตัวปัญญา เราเรียกว่า "ความรู้สึกตัว" (เมื่อ) เรารู้สึกตัวแล้ว ความคิดจะไม่ถูกปรุงแต่งไป ถ้าหากเราไม่เห็นความคิดแล้ว มัน จะปรุงแต่งเรื่อยไปเลย อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติอย่างลัดๆ อึดใจเดียวก็ได้
๑. การทำความรู้สึกตัว
สติ หมายถึง ความระลึกได้ ไม่ใช่ระลึกชาติแล้วชาติก่อนนะ ระลึกได้เพราะการเคลื่อน การไหว การนึก การคิด นี่เอง จึงว่า สติ-ความระลึกได้ สัมปชัญญะ-ความรู้ตัว
บัดนี้เราไม่ต้องพูดอย่างนั้น เพราะคนไทยไม่ได้ (พูด) ว่า สติ
"ให้รู้สึกตัว" นี่ ! หลวงพ่อพูดอย่างนี้ ให้รู้สึกตัว การเคลื่อน การไหว กระพริบตาก็รู้ หายใจก็รู้ นี่ จิตใจมันนึกคิดก็รู้ อันนี้เรียกว่า ให้มีสติก็ได้ หรือว่า ให้รู้สึกตัวก็ได้
ความรู้สึกตัวนั้น จึงมีค่ามีคุณมาก เอาเงินซื้อไม่ได้ ให้คนอื่นรู้แทนเราไม่ได้ เช่น หลวงพ่อกำ (มือ) อยู่นี่ คนอื่นมองเห็นว่า ความรู้สึก (ของ) หลวงพ่อเป็นอย่างไร ? รู้ไหม ? ไม่รู้เลย แต่คนอื่นมองเห็นว่า หลวงพ่อกำมือ แต่ความรู้สึก (ที่) มือหลวงพ่อสัมผัสกันเข้านี่ คนอื่นไม่รู้ด้วย คนอื่นทำ หลวงพ่อก็เห็น แต่หลวงพ่อรู้นำ (ด้วย) ไม่ได้
นี้แหละใบไม้กำมือเดียว คือ ให้รู้การเคลื่อนไหวของรูปกายภายนอก และให้รู้การเคลื่อนไหวของจิตใจ มันนึกคิด
๏ การสร้างจังหวะ
การเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญานั้น ต้องมี "วิธีการ" ที่จะนำตัวเรา ไปสู่ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญาได้ การทำทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีวิธีการ จึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้
ดังนั้นการมาที่นี่ต้องพยายาม ไม่ต้องนั่งนิ่งๆ สอนกันแนะนำกัน ให้มีวิธีทำ โดยเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ทำเป็นจังหวะ
วิธีทำนั้น ก็ต้องนั่ง แต่ไม่ต้องหลับตา อันนี้มีวิธีทำ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ก็ได้ นอน ก็ได้ ยืนก็ได้ ทำความรู้สึกตัว...
พลิกมือขวาตะแคงขึ้น...ทำช้าๆ...ให้รู้สึก ไม่ใช่(พูด)ว่า "พลิกมือขวา" อันนั้นมากเกินไป เพียงแต่ว่าให้รู้สึกเท่านั้นเอง พลิกมือขึ้น...ให้รู้สึก หยุดไว้ ยกมือขึ้น...ให้รู้สึก ให้มันหยุดก่อน ให้มันหยุด มันไหวไป...ให้รู้ ขึ้นครึ่งตัวนี่...ให้มันรู้ แล้วก็เอามาที่สะดือ อันนี้มีจังหวะซ้าย-ขวา เป็น ๖ จังหวะ เวลาเอามือ ออกมาก็ซ้าย-ขวา รวมกันเข้ามี ๘ จังหวะ อันนี้เป็นจังหวะ เป็นจังหวะ
การเจริญสตินั้น ท่านว่าให้ทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ก็ทำความรู้สึกนี่เอง เมื่อพูดถึงความรู้สึกแล้ว ก็พูดวิธีปฏิบัติพร้อมๆ กันไป ทุกคนทำตามอาตมาก็ได้
เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง...คว่ำไว้
พลิกมือขวาตะแคงขึ้น...ทำช้าๆ...ให้รู้สึก
ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว...ให้รู้สึก...มันหยุดก็ให้รู้สึก
เอามือขวามาที่สะดือ...ให้รู้สึก
พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น...ให้รู้สึก
ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว...ให้มีความรู้สึก
เอามือซ้ายมาที่สะดือ...ให้รู้สึก
เลื่อนมือขวาขึ้นที่หน้าอก...ให้รู้สึก
เอามือขวาออกตรงข้าง...ให้รู้สึก
ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้...ให้รู้สึก
คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา...ให้มีความรู้สึกตัว
เลื่อนมือซ้ายขึ้นที่หน้าอก...ให้มีความรู้สึก
เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง...ให้มีความรู้สึก
ลดมือซ้ายออกที่ขาซ้าย ตะแคงไว้...ให้มีความรู้สึก
คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย...ให้รู้สึก
ทำต่อไปเรื่อยๆ...ให้รู้สึก
(โปรดดูภาพประกอบ)
อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติ เป็นการเจริญสติ เราไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนในพระไตรปิฎกก็ได้ การไปศึกษาเล่าเรียน ในพระไตรปิฎกนั้น มันเป็นพิธี คำพูดเท่านั้น มันไม่ใช่เป็นการปฏิบัติเพื่อความเห็นแจ้ง การปฏิบัติเพื่อความ เห็นแจ้ง ทำอย่างนี้แหละ
เวลาลุกขึ้นมี ๗ จังหวะ-วิธีลุก เวลานั่งลงมี ๘ จังหวะ-วิธีนั่ง แต่วิธีนอนตะแคงซ้าย ตะแคงขวา ลุกทางหงาย อันนั้นก็มีจังหวะ เช่นเดียวกัน
หรือจังหวะกราบ...เมื่อผมมาเข้าใจ คำว่า เบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง ๕ จังหวะ เมื่อรู้อย่างนี้ ก็ยกมือไหว้ตัวเอง ไหว้ตัวเองก็มี ๕ จังหวะเช่นเดียวกัน
๏ การเดินจงกรม
เดินจงกรม ก็หมายถึง เปลี่ยนอิริยาบถนั่นเอง ให้เข้าใจว่า เดินจงกรมเพื่ออะไร ? (เพื่อ) เปลี่ยนอิริยาบถ คือนั่งนานมันเจ็บแข้งเจ็บขา บัดนี้ เดินหลาย (เดินมาก) มันก็เมื่อยหลังเมื่อยเอว นั่งด้านหนึ่ง เขาเรียกว่า เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนให้เท่าๆกัน นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง อิริยาบถทั้ง ๔ ให้เท่าๆ กัน แบ่งเท่ากัน หรือไม่แบ่งเท่ากันก็ได้ เพราะว่าเราไม่มีนาฬิกานี่ น้อยมากอะไร ก็พอดีพอควร เดินเหนื่อยแล้ว ก็ไปนั่งก็ได้ นั่ง เหนื่อยแล้ว ลุกเดินก็ได้
เวลาเดินจงกรม ไม่ให้แกว่งแขนเอามือกอดหน้าอกไว้ หรือเอามือไขว้ไว้ข้างหลังก็ได้
เดินไปเดินมา ก้าวเท้าไปก้าวเท้ามา ทำความรู้สึก แต่ไม่ได้พูดว่า "ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ" ไม่ต้องพูด เพียงเอาความรู้สึกเท่านั้น
เดินจงกรม ก็อย่าไปเดินไวเกินไป อย่าไปเดินช้าเกินไป เดินให้พอดี
เดินไปก็ให้รู้...นี่เป็นวิธีเดินจงกรม ไม่ใช่ว่าเดินจงกรม เดินทั้งวันไม่รู้สึกตัวเลย อันนั้นก็เต็มทีแล้ว เดินไปจน ตาย มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เดินอย่างนั้น
เดินก้าวไป ก้าวมา "รู้" นี่ (เรียก) ว่า เดินจงกรม
๏ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
การเจริญสตินี้ ต้องทำมากๆ ทำบ่อยๆ นั่งทำก็ได้ นอนทำก็ได้ ขึ้นรถลงเรือ ทำได้ทั้งนั้น
เวลาเรานั่งรถเมล์นั่งรถยนต์ก็ตาม เราเอามือวางไว้บนขา พลิกขึ้น-คว่ำลงก็ได้ หรือเราไม่อยากพลิกขึ้น-คว่ำลง เราเพียงเอามือสัมผัสนิ้วอย่างนี้ก็ได้ สัมผัสอย่างนี้ ให้มีความตื่นตัว ทำช้าๆ หรือจะกำมือ-เหยียด มืออย่างนี้ก็ได้
ไปไหนมาไหน ทำเล่นๆ ไป ทำเพื่อความสนุก นี่อย่างนี้ ทำมือเดียว อย่าทำพร้อมกันสองมือสามมือ ทำมือขวา มือซ้ายไม่ต้องทำ ทำมือซ้ายมือขวาไม่ต้องทำ
"ไม่มีเวลาที่จะทำ" บางคนว่า
"ทำไม่ได้ มีกิเลส" เข้าใจอย่างนั้น
อันนี้ถ้าเราตั้งใจแล้ว ต้องมีเวลา มีเวลาเพราะเราหายใจได้ เราทำการทำงานอะไร ให้มีความรู้สึกตัว เช่น เราเป็นครูสอนหนังสือ เวลาเราจับดินสอเอามาเขียนหนังสือ...เรามีความรู้สึกตัว เขียนตัวหนังสือไปแล้ว...เราก็รู้
อันนี้เป็นการเจริญสติแบบธรรมดาๆ ศึกษาธรรมะกับธรรมชาติ
เวลาเราทานอาหาร เราเอาช้อนเราไปตักเอาข้าวเข้ามาในปากเรา...เรามีความรู้สึกตัวในขณะที่เราเคี้ยวข้าว...เรา มีความรู้สึกตัว กลืนข้าวเข้าไปในท้องไปในลำคอ...เรามีความรู้สึกตัว อันนี้เป็นการเจริญสติ
๏ ทำให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่
ที่อาตมาพูดนี้ อาตมารับรองคำสอนของพระพุทธเจ้า และรับรองวิธีที่อาตมาพูดนี้ รับรองจริงๆ ถ้าพวกท่าน ทำจริงๆ แล้ว ทำให้มันติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ หรือเหมือนนาฬิกาที่มันหมุนอยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ ให้มันเหมือนลูกโซ่ หมุนอยู่เหมือนกับนาฬิกานี่ ไม่ให้ไปทำการทำงานอื่นใดทั้งหมด ให้ทำ ความรู้สึก ทำจังหวะ เดินจงกรม อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาหรือ - ไม่ใช่อย่างนั้น
คำว่า "ให้ทำอยู่ตลอดเวลา" นั้น (คือ) เราทำความรู้สึก ซักผ้าซักเสื้อ ถูบ้านกวาดบ้าน ล้าง ถ้วยล้างจาน เขียนหนังสือ หรือซื้อขายก็ได้ เพียงเรามีความรู้สึกเท่านั้น แต่ความรู้สึกอันนี้แหละ มันจะสะสม เอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเราที่มีขันหรือมีโอ่งน้ำ หรือมีอะไรก็ตามที่มันดี ที่รองรับมันดี ฝนตกลงมา ตกทีละนิดทีละนิด เม็ดฝนน้อยๆ ตกลงนานๆ แต่มันเก็บได้ดี น้ำก็เลยเต็มโอ่งเต็มขันขึ้นมา
อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำความรู้สึก ยกเท้าไป ยกเท้ามา ยกมือไป ยกมือมา เรานอนกำมือ เหยียดมือ ทำอยู่ อย่างนั้น หลับแล้วก็แล้วไป เมื่อนอนตื่นขึ้นมา เราก็ทำไป หลับแล้วก็แล้วไป ท่านสอนอย่างนี้ เรียกว่าทำบ่อยๆ อันนี้เรียกว่า เป็นการเจริญสติ
๏ สรุปวิธีปฏิบัติ
ถ้าทำจังหวะให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ มีความรู้สึกอยู่ทุกขณะ ยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อน ไหว อย่าง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น
แต่เรามาทำเป็นจังหวะ พลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือไป เอามือมา ก้ม เงย เอียงซ้าย เอียงขวา กระพริบตา อ้า ปาก หายใจเข้า หายใจออก รู้สึกอยู่ทุกขณะ จิตใจมันนึกมันคิด รู้สึกอยู่ทุกขณะ
อันนี้แหละวิธีปฏิบัติ คือให้รู้ตัว ไม่ให้นั่งนิ่งๆ ไม่ให้นั่งสงบ คือให้มันรู้
รับรองว่าถ้าทำจริง ในระยะ ๓ ปี อย่างนาน ทำให้ติดต่อกันจริงๆ นะ อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่ สุดนับแต่ ๑ ถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึงเลย ความทุกข์จะลดน้อยไปจริงๆ ทุกข์จะไม่มารบกวนเรา
๒. การเดินทาง
เราต้องพยายามทำไปแต่ต้นๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้นั้น ถ้าหากเราไม่ทำอย่างนี้
ไม่แก้ตรงนี้ก่อนแล้ว...ไปยาก การปฏิบัติธรรมจะไม่ก้าวหน้า
การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้า ต้องเริ่มแต่ต้นๆ
๏ การปฏิบัติเบื้องต้น
คนใหม่นี่ต้องทำจังหวะมากๆ ทำช้าๆ นานๆ ไปพอดีมันรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่ารู้เรื่องรูปเรื่องนามนี้ บัดนี้ต้องเดินจงกรมให้มาก การเดินจงกรมนั้นก็ดี แต่ว่ามันสู้การทำจังหวะไม่ได้-คนใหม่ การทำจังหวะต้องทำช้าๆ นิ่มๆ หรือทำอ่อนๆ นี่ ถ้าทำแรง ทำไวๆ มันกำหนดบ่ทัน สติเฮาบ่ทันแข็งแรง จึงว่าทำช้าๆ อ่อนๆ ทำให้เป็นจังหวะๆ ให้รู้สึกว่ามันหยุด มันนิ่งก็ให้รู้สึก มันไหวไป ไหวมา ก็ให้มันรู้สึก
ทำให้มันเข้าใจ ทำจังหวะช้าๆ แล้วก็รู้...เบื้องต้นให้รู้จักรูป-นาม ให้เรารู้จริงๆ เรื่องรูป-นามนี้ เรื่องความคิดไม่ ต้องห้ามมันเลย ให้มันคิด...
มันเกิดปิติ...อันความปิตินี้มันดึงเราออกไป ให้มันไม่รู้รูปนามนี่เอง มันจะไปอยู่กับอารมณ์ (ของปิติ) เมื่อ มันไปอยู่กับอารมณ์ ก็เลยไม่รู้รูป-นาม เมื่อไม่รู้รูป-นามนานๆ เข้า ก็เศร้าหมองขุ่นมัวไป
บัดนี้มันคิด คิดแล้วก็แล้วไป เรามาทำความรู้สึกกับรูป-นาม ให้มันรู้รูป-นามนี่แหละ ต้องให้รู้อยู่เสมอ-วิธีปฏิบัติ อย่างนี้แต่ให้มันคิด ห้ามคิดไม่ได้...
ให้มันคิด ถ้ามันไม่คิด มันจะเป็นอันตราย หรือมันมึนหัว หรือแน่นอกแน่นใจ ให้มันคิด แต่เราทำให้มันสบาย ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ บัดนี้ เราต้องรู้กับรูป-นาม นี่มันเป็นรูป เป็นนาม เป็นรูปทำ เป็น นามทำ...ให้รู้อยู่กับอารมณ์เหล่านี้ (ทบ) ทวนกลับไปกลับมา...รู้อยู่ในวงนี้ทั้งหมด อันนี้เรียกว่า อารมณ์ รูป-นาม ให้ (ทบ) ทวนอารมณ์อันนี้ แล้วก็มันคิดก็แล้วไป เมื่อรู้สึกตัว ก็มาอยู่กับอารมณ์อันนี้ ทวนกลับไป กลับมา ไม่ต้องหลงไม่ต้องลืม นี่ ให้มันฝังแน่นหรือแนบแน่นอยู่กับความรู้สึกอันนี้
เมื่อมันคิดขึ้นมา ก็มาทำความรู้สึก เดินจงกรมมันก็จะเดินเร็ว เพราะว่ามันไปตามอารมณ์มาก ทำจังหวะ...มันก็ จะทำไว้ขึ้นเร็วขึ้น นี่ แต่เราพยายามทำให้มันรู้สึกตัว ก็ช้า (ลง) ไป บางทีก็หลงไป เข้าไปในความคิด ก็ (ทำ) ไวขึ้น มันไปเพ่ง...เราต้องทำช้าๆ ใช้เวลานานก็ช่างมัน
เราต้องปฏิบัติเรื่องๆ อย่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ถ้าเราไปนึกว่าเหน็ดเหนื่อยแล้วหยุด อันนั้นเรียกว่าไม่ ติดต่อไม่สัมพันธ์กัน มันไม่โยงกันตั้งแต่ต้นจนปลาย
๏ การเห็นความคิด เห็นจิต เห็นใจ
รู้เรื่องรูป-นามแล้ว (ดูภาคผนวก) อย่าเอาสติมาใช้รูป-นาม ให้เอาสติคอยดูความคิด
ให้ดูอยู่ตรงนี้แหละ แต่อย่าไปบังคับมัน เพียงทำเล่นๆ ดูเล่นๆ
เมื่อเราปฏิบัติรู้รูป-นามแล้ว ก็ทำจังหวะให้มันเร็วขึ้น เดินจงกรมให้มันเร็วขึ้น (แต่ไม่ถึงกับวิ่ง)
มันคิดแล้วรู้ รู้แล้วทิ้งเลย อย่าไปตามความคิด
พอดีมันคิดปุ๊บ ดีใจก็ตาม เสียใจก็ตาม ทำความรู้สึกตัว เมื่อเราทำความรู้สึกตัวแล้ว ความคิดมันถูกหยุดทันที
แต่ทีแรกเรายังไม่เคย มันก็ต้องคิดไปก่อน ลากไปเหมือนแมวกับหนูนี่เอง หนูตัวโตมีกำลัง แมวตัวเล็ก เรียกว่า ความรู้สึกตัวเรามันน้อย เป็นอย่างนั้น เมื่อหนูออกมาแมวมันไม่เคยกลัวนี่ มันก็จับหนู หนูก็ตื่นไป แล่นไปวิ่งไป แมวก็ติดหนูไป เป็นอย่างนั้น นานๆมาแมวมันเหนื่อยไป (มัน) ก็วาง (เอง) มัน ความคิดที่มันคิด ไปร้อยอันพันอย่าง มันค่อยเซาผู้เดียวมัน (มันหยุดเอง) อันนั้น เป็นอย่างนั้น
บัดนี้พอดีเฮาให้อาหารแมว เรียกว่าอาหาร ถ้าหากพูดตามภาษาภาคปฏิบัติก็ว่า เราทำความรู้สึกตัว ก็เรียกว่า เป็นอาหาร เป็นอาหาร (ของ) สติ หรือเป็นอาหารแมว (สติ ปัญญา) หรือว่าทำความรู้สึกตัว แล้ว แต่จะพูด...ให้เราทำความรู้สึกตัวมากๆ พอดีมันคิดปุ๊บ ความรู้สึกตัวมันจะไม่ไป ความคิดก็หยุดทันที...
ถ้าหากว่า (ความคิด) มันมาแรง เราก็ต้องกำ (มือ) แรงๆ กำแรงๆ กำมือแรงๆ หรือ จะทำวิธีไหน ก็ตามแหละ ทำให้มันแรง เมื่อความแรงดันเข้ามาพอแล้ว มันหยุดเองมัน...
ทำบ่อยๆ ทำมากๆ เมื่อมันคิดขึ้นมาปุ๊บ มันจะรู้ทันที เหมือนกับที่หลวงพ่อเคยพูดให้ฟังบ่อยๆ ว่า มีเก้าอี้ตัวเดียว บัดนี้เราก็มีสองคน คนหนึ่งเข้าไปมีแรงดันไว้ คนไปทีหลังก็เข้าไปไม่ได้ เป็นอย่างนั้น บัดนี้คนไปทีหลังนั่งไม่ได้ ก็คือ แต่ก่อนนั้นเรามีแต่ความ "ไม่รู้" ไปอยู่ ความ "รู้" นั้นไม่มี บัดนี้เราพยายามฝึกหัดความ "รู้" นั้นเข้าไปมากๆ แล้ว ความ "ไม่รู้" นั้นก็ลดน้อยไปๆ
ให้มันคิด มันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้มากขึ้น รู้มากขึ้น มันจะทันความคิด เอ้า ! สมมุติให้ฟัง มันคิด ๑๐๐ เรื่อง เราจะรู้เรื่อง เดียว - ทีแรก บัดนี้มันคิด ๑๐๐ เรื่องเราจะรู้ ๑๐ เรื่อง บัดนี้มันคิดมา ๑๐๐ เรื่อง เราจะรู้มันถึง ๒๐ มันก็ เหลืออยู่ ๘๐ สมมุติ เอาเป็นสิบๆ เข้าไปนะครับอันนี้ บัดนี้มันรู้ ๘๐ แล้ว เรายังไม่รู้ ๒๐ บัดนี้ ตอนนี้ต้องทำ ความเพียรให้มากนะ บัดนี้มันรู้ถึง ๙๐ ยังไม่รู้ ๑๐ เดียว มันรู้ถึง ๙๕ เรื่อง มันคิดขึ้นมาปุ๊บ..ทันปั๊บได้ ๙๕ เรื่อง ยังไม่รู้ ๕ เรื่อง อันยังไม่รู้ทันความคิดนะครับ สมมุติบัดนี้เราต้องพยายามทุ่มเทความเพียร บัดนี้ทุ่มเท จริงๆ ทำโดยไม่ท้อถอยไม่ย่อหย่อน แต่ห้ามนอนบัดนี้ กลางวันไม่ต้องนอน เด็ดขาดได้เท่าไรยิ่งดีครับ กลาง คืนต้องนอน
พอดีมันคิดปุ๊บ...ทันปั๊บ...คิดปุ๊บ...ทันปั๊บ มันไปไม่ได้ มันจะทำให้จิตใจเราเปลี่ยนแปลงที่ตรงนี้แหละ ความเป็นพระอริยบุคคลจะเกิดขึ้นที่ตรงนี้ หรือเราจะได้ต้นทางที่ตรงนี้ ได้กระแสพระนิพพานที่ตรงนี้
จิตใจของเรามืดตื้ออยู่แต่ก่อน มันไม่รู้จักทางไป บัดนี้พอดีทันอันนี้แล้ว มันจะสว่างขึ้นภายในจิตใจ แต่ไม่ใช่ สว่างที่ตาเห็นนะครับ จิตใจมันจะสว่างขึ้น เบาอกเบาใจ เรียกว่า "ตาปัญญา" อันนี้ (เป็น) ลักษณะ ปัญญาญาณของวิปัสสนาเกิดขึ้น
เราต้องทำจังหวะ เดินจงกรม ทำช้าๆ ก็ได้ ทำไวก็ได้ ทำให้มันถูกจริตครับ
ต้องทำความเพียรขึ้นให้มาก "เดินไป" เรียกว่าไม่ใช่เดินด้วยเท้า (คือ) ให้ปัญญามันเดินไป ให้ปัญญา เดินเข้าไปรู้ "อารมณ์" โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนจากครูอาจารย์ ไม่ต้องไปศีกษาเล่าเรียนจากตำรับตำราที่ไหน แล้วก็จะรู้ไป เป็นขั้นเป็นตอนไปเป็นพักๆ เรียกว่า เป็นปฐมฌาน เป็นปัญญาเข้าไปรู้นะ เป็นทุติยฌาน เป็นตติยฌาน เป็นจตุตถฌาน เป็นปัญจมฌานขึ้นไป เป็นอย่างนั้น
ปัญญาของญาณวิปัสสนา เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เรียกว่ายาน (ญาณ) จึงเป็นพาหนะขนส่ง แล้วมันจะเบาไป เป็นขั้นเป็นตอนไปครับ มันเป็นอย่างนั้น
รู้-เห็น-เข้าใจอย่างนี้แล้ว มันจะไวความคิดนะครับ นี่ "อารมณ์" มันอันนี้ เรียกว่าเป็นพักๆ ไป
มันจะเห็นว่าตนตัวเรานี่แหละ มันถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี ท่านบอกไว้อย่างนี้ "ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อม มีนะครับ มันปรากฏขึ้นมาเอง" เมื่อผมเป็นอย่างนี้ ผมก็เลยรู้ว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ผมก็เลย เห็น-เลยเข้าใจ-เป็น-มี
มัน "เป็น" แล้วนะครับ จึงจะรู้นะครับ อย่าไปรู้ล่วงหน้านะ ถ้าไปรู้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นความรู้ มันเป็นจินตญาณ มันรู้เอาเอง มันคิดเอาเอง อันนั้นไม่ใช่ "เป็น" ไม่ใช่ "มี" มันรู้นะ - อันนั้น
อันที่ผม "เป็น" ผม "มี" นี่ มันไม่รู้ครับ มันเห็น-มันเป็น-มันมี ครับ มัน "มี" มัน "เป็น" แล้ว มันจึงรู้ ญาณจะ เกิดขึ้น คือ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว มันจึงรู้ครับ
พอดีผมเห็น-รู้-เข้าใจอันนี้แล้ว โอ ! พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวนั้น ไม่ใช่ตัดผมจริงๆ คืออันนี้แหละ มัน ขาดออกจากกันครับ เลือดทุกหยดจะหวนกลับทั้งหมด เชือกที่เราผูกไว้นั้นนะครับ มันจะกลับเข้าไปสู่หลักเดิม มันทั้งหมด อันนี้แหละครับ มันจะรู้-เห็นมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ เรียกว่าอาการ ความเปลี่ยนแปลงไป เบาไม่มี อะไรหมดตัวละครับ เรียกว่า "จบ" ถึงที่สุดแล้วญาณย่อมมี มันถึงที่สุดแล้วครับ มันจึงรู้ครับ
๏ คำแนะนำ (เพิ่มเติม)
อันตัวความคิดนี้ มีอยู่ ๒ ประเภท
ความคิดชนิดหนึ่ง มันคิดขึ้นมาแวบเดียว มันไปเลย อันนั้นมันเป็นเรื่องความคิด ความคิดอันนี้มันนำโทสะ โมหะ โลภะ เข้ามา
อัน (ความคิด) ที่เราตั้ง (ใจ) คิดขึ้นมานั้น มันไม่นำโทสะ โมหะ โลภะ อันนั้นมันตั้ง (ใจ) คิด มาด้วยสติปัญญา
วิธีนี้ไม่ต้องห้ามความคิด ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้ มันคิดมากเท่าไรก็ดีแล้ว เราจะรู้มากขึ้น บางคนรำคาญ ว่าจิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ แน่ะ! เข้าใจไปอย่างนั้น ดีแล้ว จิตใจฟุ้งซ่านรำคาญมาก ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้ แต่ ทำความรู้สึกให้มากอย่าหยุดทำความรู้สึก แต่อย่าเพ่ง
ที่มันคิด เราไม่ต้องห้ามมัน แต่ก็หลบตัวมาอยู่ (กับ) ความรู้สึก ให้มันคิด พอดีมันคิด เราก็หลบตัวมาอยู่ความรู้สึก ความรู้สึกนี่แหละจะได้ทำงานความไม่รู้ตัวนี้
การดูความคิดนี่แหละเป็นหลักสำคัญ โดยมากคนมันพลาดที่ตรงนี้ เมื่อมันคิดขึ้นมา เราก็เลยเข้าไปในความคิด ไป วิพากษ์วิจารณ์อันนั้นอันนี้ บทนั้นบทนี้ นั้นเรียกว่า เราเข้าไปในความคิด ไม่ใช่ตัดความคิดได้ มันรู้คิด-อันนั้น ไม่ใช่ว่าเห็น ความคิด มันรู้เข้าไปในความคิด
เมื่อเข้าไปในความคิดแล้ว มันก็เลยปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว เขาเรียกว่าสังขารปรุงแต่ง
ถ้าเราไปนั่งเฝ้า ไม่มีการเคลื่อนไหว มันเข้าไปในความคิด พอดีมันคิดขึ้นมา มันก็เลยไปรู้กับความคิดเลย เรียกว่า รู้"เข้า" ไปในความคิด ไม่ใช่รู้"ออก"จากความคิด
อันนั้นเพราะมันไม่มีอัน (อะไร) ดีงไว้ ดังนั้นจึงมีการฝึกหัดการเคลื่อนไหวของรูป (กาย) ให้รูป (กาย) เคลื่อน ไหวอยู่เสมอ เราคอยให้มันมีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของรูป (กาย) พอดี-ใจคิดขึ้นมา เราจะเห็น เราจะรู้
วิธีนี้เห็นอันใด (อะไร) ไม่ได้ เห็นผีเห็นเทวดา เห็นพระพุทธรูป เห็นดวงแก้ว ที่สุดเห็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ถูกต้อง เพราะ จิตของเรามันคิดออกไป เราไม่เห็นความคิด มันถูกปรุง คือจิตใจมันปรุงเอง มันปรุงเพราะเราไม่เห็น "ต้นตอของความคิด" นี่เอง
ใจของเรานี่มันเร็ว เราไม่เห็นมันคิด มันคิดปุ๊บออกไปนี่ มันไปแสดงเป็นผี เป็นสี เป็นแสง เป็นเทวดา เป็นนรก เป็นสวรรค์ แล้วแต่มันจะแสดงเรื่องใด เราต้องเห็นตามภาพที่จิตใจมันแสดงนั่นเอง มันเป็นมายาของจิตใจ เราเรียกว่าเป็นกลไกของจิตใจ...
จึงว่าสิ่งที่เห็นนั้นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง มันจึงแก้ทุกข์ไม่ได้ ถ้าหากเห็นของจริงแล้ว มันต้องแก้ทุกข์ได้
อันนี้แหละลัดสั้นที่สุด มันคิดปุ๊บ...เห็นปั๊บขึ้นมา อันนี้แหละเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ๆ อันที่เราทำจังหวะนั้น เป็นวิธีการครับ เพราะ ว่าคนมีระดับสติปัญญาไม่เหมือนกันครับ ถ้าหากคนมีปัญญาจริงๆ แล้ว ดูความคิด มันคิดปุ๊บ...เห็นปั๊บ นี่เป็นการปฏิบัติธรรม
๓. อุปสรรคและการแก้ไข
การที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน แบบที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นปัญหาบางอย่าง จึงจะเล่าให้ฟัง คือแนะนำวิธีที่จะไปแก้ปัญหา ที่มันเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติธรรม
ความตึงเครียด-มึนหัว-เวียนหัว-แน่นหน้าอก ฯลฯ
ถ้าหากเราปฏิบัติเบื้องแรก เรามักจะจ้อง บางคนต้องการอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากมี อันนี้เป็นการเข้าใจยังไม่ตรงครับ เมื่อเราจ้อง อยากรู้ อยากเห็น อยากมี มันมีความตึงเครียด บางคนก็มึนหัว มึนศีรษะ แน่นหน้าอก แสดงว่าการกระทำนั้นไม่ตรง แล้วครับ
ข้อที่สอง คือ มันคิด (คิดมาก) เราบ่อยากให้มันคิด ไปบังคับกดมันไว้ บ่ให้มันคิด มันก็เลยทำพิษให้เรา
วิธีแก้มันก็ต้องทำให้มันสบาย มองไปไกลๆ แล้วก็ทำความรู้สึกเบาๆ น้อยๆ อย่าไปเพ่งมาก เราเดินให้มันสบาย ทำจังหวะ ก็ทำให้มันสบาย ทำเป็นจังหวะ ให้รู้สึกตัวสายตาต้องมองไกลๆ
๏ ความง่วง
ถ้ามันง่วงนอนมา ต้องไปหาวิธีทำการทำงาน ทำอะไรก็ได้ ถอนหญ้าก็ได้ ล้างหน้าล้างตาก็ได้ ไปอาบน้ำก็ได้ ซักเสื้อซักผ้าก็ได้ ให้เราหาวิธีแก้ว่าอย่างนั้นแหละครับ เพราะมันเป็นอุปสรรค
๏ ความสงบ (แบบสมถะ)
ความสงบแบบบ่รู้(ไม่รู้)นั้น เรียกว่าเป็นปิติ ยินดีในความสงบอันนั้น เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติ แบบนี้บ่ใช่ว่าจะให้มันสงบดิ๊ (นะ) นี่ ให้มันรู้สึกตัวอยู่เสมอ เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
๏ วิปัสสนูฯ
เมื่อรู้อันนี้ (อารมณ์รูป-นาม) ก็แปลว่า ภาคต้นจบกันแค่นี้ แล้วคนมาติดแค่นี้แหละ นึกว่าตัวเองรู้ธรรมขั้นสูง...มันเกิด ความรู้ รู้นั้นรู้นี้ รู้ไปไม่มีทางสิ้นจบ แล้วก็ภูมิใจในความรู้ตัวเอง เลยไม่ได้ดูความคิด มันคิด...ก็เลยเข้าไปในความคิด
วิปัสสนูนี้มันอยากเว้า (พูด) มันเป็นคนชอบเว้า (พูด) จิตใจมันไม่อ่อนโยนครับ
อันวิปัสสนูนั้น รู้แล้วมันหลงมันลืมครับ แล้วจิตใจมันกล้าแข็ง ไม่ลงเอยกับใครทั้งนั้น "กูพูดถูกแล้ว" "ใครจะมาดีเหนือกู" มัน เป็นอย่างนั้นครับ อันนี้เป็นความรู้ของวิปัสสนู
บัดนี้ตอนแก้ ถ้าหากไม่มีใครแนะนำ เราต้องทำจังหวะให้มันสบาย...อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้อง อย่าไปอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากมี....ให้มันมีความรู้สึกน้อยๆ เบาๆ
พอดีมันคิดปุ๊บ เราก็มาอยู่กับการเคลื่อนไหว ให้มันอยู่กับการเคลื่อนไหวให้มาก
๏ จิตนญาณ
บัดนี้มารู้ตอนนี้แล้ว (รู้อารมณ์ปรมัตถ์ - ดูภาคผนวก) มันเป็นปีติ "ใจดี" เย็นอกเย็นใจ... อันนี้เป็นจินตญาณ มันรู้ นิ่มๆ รู้นั้น รู้นี้ รู้แล้วสบายใจ
ปีติ ตามตำราท่านว่ามันดี ปีติ-ความอิ่มใจ ปีติ-ความยินดี ปีติ-ความพอใจ ท่านว่าอย่างนั้น แต่อันนี้ (วิธีนี้) ปีติต้องเป็น อุปสรรค เป็นการขัดขวางไม่ให้เราเดินทางต่อไปถึงที่สุดได้
มันจะเกิดปีติ มันจะไปอยู่กับปีติ อย่าให้มันไปอยู่ แต่มันห้ามบ่ได้ เฮาต้องมาทำความรู้สึกให้มาก บัดนี้ ทำให้แรงๆ จักหน่อย (ทำแรงๆ ซักหน่อย) เพราะเราจะดึงเอา...ออกจากปีติอันนั้น ให้มารู้สึกอันนี้ ทำช้าๆ ให้มันเป็นจังหวะ เป็นจังหวะไป ทำช้า ได้ดีมากอันนี้...พอดีรู้สึกมากเข้าๆ ปีติก็จางไปๆ มันเป็นอย่างนั้น ก็เลยมาเป็นปกติ
อันนี้ มันจะแน่นหน้าอกหรือเวียนหัว มีความตึงเครียดเข้ามาเป็นบางอย่างนะครับ-อันนี้ เราต้องมาทำให้มันสบายๆ มองไกลๆครับ วิธีแก้ก็ต้องมองไกลๆ ทำความรู้สึกเบาๆ ไม่ใช่ว่ามันเป็นแล้วจะไปหยุดไปเซามัน ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเร่งความเพียร ทุ่มเทเข้า-ความเพียรนี่ ไม่ต้องท้อถอยไม่ต้องอ่อนแอ
ทำ แต่ว่าให้นอนครับ แต่ว่าตอนนี้ต้องให้นอน แต่บางคนไม่อยากนอน อยากเร่งความเพียร ไม่ ไม่ดี อย่างนั้นครับ ถึงเวลานอน ก็ต้องนอน ถ้าหากเป็นกลางวัน-ไม่นอน
๏ วิปลาส
วิปลาส ก็แปลว่า เห็นผิดเป็นถูก เห็นนรกเป็นสวรรค์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อันนั้นตัวหนังสือ แต่ความจริง วิปลาสนี้ คือ มันไป พบเอากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรานึกว่าเราได้ เราก็เลยวางอันนั้นไว้ที่นี่ เราก็ไปอยู่ที่นั่น เราไม่ได้มามองที่ตรงนี้ เหมือนกับผู้ร้ายจะมา เอาของเรานี่ละครับ พอดีผู้ร้ายเอาไปแล้ว (เรา) ก็มาหาของ มันไม่เห็นมันไม่เจอครับ นี่ก็แปลว่า มันปิดเราไว้
เราไม่ต้องไปครับ พอดีมันถึงที่สุดของทุกข์ก็ตาม จะถึงอะไรก็ตามแหละ
มันถึงที่สุดแล้ว มันจึงรู้ครับ ก็เลยเป็นวิปลาสที่ตรงนี้ครับ แต่ผมเป็น ผมไปติดความสุขครับ เพราะไม่เคยเป็น ไม่เคยมี อย่างนี้
ผมเดินไป กำลังเดินจงกรม นึกว่ามันสูงขึ้นไปประมาณสักเมตรโน่นแหละครับหรือสองเมตรโน่นแหละครับ เหินดินคือย่าง (ลอยขึ้น เหมือนเดิน) อยู่ในอากาศนี่แหละครับ มันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงเดินบนดินนั่นแหละครับ แต่มันเป็นในใจครับ...ก็เลยติดความ สุขอันนั้น ไม่นานผมก็เลย "เอ๊ะ ! ทำไมเป็นอย่างนี้"
ผมก็เลยหวนกลับเข้ามาดู "อารมณ์" ครับ ตอนนี้ต้อง (ทบ) ทวน "อารมณ์" แต่ไม่ต้อง (ทบ) ทวนอารมณ์ของรูป-นามครับ
เมื่อมา (ทบ) ทวน "อารมณ์" เห็น "อารมณ์" เข้าใจ "อารมณ์" แล้ว ความสุขอันนั้นก็ค่อยจางไปๆ หรือลดน้อยลงๆ ก็จะมาอยู่ปกติ เองครับ ให้มันเป็นปกติครับ
๏ สรุปวิธีแก้ไข
ถ้ามันตึงเครียด เวียนหัว หนักอกหนักใจนั้น เราต้องทำเบาๆ อย่าไปเพ่ง ถ้าไปเพ่งแล้ว มันจะแน่นเข้า มันแก้ไม่ได้ ทำให้มันสบาย มองไกลๆ ถ้ามองไกลแล้ว มันคลายออกไป-ความรู้นั้น ความหนักอกหนักใจมันจะคลายออกไปเองครับ
จินตญาณก็เช่นเดียวกัน ให้แก้อย่างนั้น...
วิปัสสนูกับจินตญาณนั้น ต้องแก้ "วิธีทำ" แต่ว่า (ทบ) ทวนอารมณ์น้อยครับ แต่เรื่องรูป-นามนั้นก็ต้องให้มันแจ่มใส
ตอนวิปลาสนี่ ต้อง (ทบ) ทวน "อารมณ์" ครับ เมื่อ "อารมณ์" แจ่มใสขึ้นมาแล้ว ความตึงเครียดก็ลดน้อยไปทันที
แต่ให้มันคิดนะ ห้ามไม่ได้-ความคิดนี่ครับ แต่มันจะคิด รู้-เห็น-เข้าใจ-เป็น-มี
หากท่านทั้งหลายไปปฏิบัติธรรมะ ต้องพยายามระวังตัวเอง อย่าให้ครูบาอาจารย์ระวังให้ เมื่อผิดปกติแล้วต้องหยุด หยุดทันที หยุดอะไร ? หยุดการกระทำนั่นแหละ เมื่อเราหยุดการกระทำแล้ว สิ่งที่มันเป็นขึ้นมาภายในจิตใจนั้น มันจะค่อยลดไปลดไปเอง
บทท้าย
๑.
การปฏิบัติธรรมะ ถ้าหากเข้าใจแล้ว ไม่ยาก ที่มันยากมันเหลือวิสัยนั้น คือเราไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
ท่านพูดไว้ดีแล้ว แต่เรามันไม่เข้าใจไปทำของง่ายๆให้มันยุ่ง ทำของสบายๆ ให้มันลำบากขึ้นมา เมื่อไปทำให้ มันยุ่งมันลำบากแล้ว ก็ทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านสอนของจริงที่มันมีอยู่ในคน ไม่ใช่สอนของที่มันไม่มีจริง และก็สอน (สิ่ง) ที่คนสามารถทำได้ และพระพุทธเจ้าก็เว้นสิ่งที่คนทำไม่ได้
๒.
วิธีนี้จึงเป็นวิธีง่ายๆ ไม่ต้องไปศึกษากับตำรับตำรามาก เพราะมันมีในตัวคน เพราะว่าตัวคนทุกคนต้องรู้การเคลื่อนไหวของ ตัวเอง และการเคลื่อนไหวของจิตใจตัวเอง ถึงเรามีสติ-ต้องรู้
ในขณะที่เราไม่มีสตินั้น มันก็เคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้น รูปกายก็เคลื่อนไหว จิตใจมันก็นึกก็คิด แต่ว่าเราไม่รู้ เมื่อไม่รู้ มันสร้าง ขึ้นมาให้เราเห็น สิ่งที่ไม่จริง
ดังนั้น วิธีการปฏิบัติแบบนี้ จึงไม่มีวิธีการอื่นใด นอกจากทำความรู้สึก นอกจากทำความตื่นตัวแล้ว ไม่มีอะไร แต่วิธี อื่นนั้นมีมาก เช่น ไปรักษาศีล หรือไปทำความสงบ (สมถกรรมฐาน) อันนั้นมันไม่ใช่เกี่ยวข้องเรื่องนี้
อันนี้ (วิธีนี้) ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทั้งหมด ทำไมไม่เกี่ยวข้อง ? เพราะมันมีอยู่แล้วในตัวเรา มาศึกษาให้รู้ "ของจริงที่มีอยู่ในตัวเรา" นี่เอง
๓.
คำว่าเจริญสตินี่ ทุกส่วนให้มันทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์ของมัน ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของมัน
การปฏิบัติวิธีนี้คือ เป็นวิธีที่จะเอาไปใช้กับการกับงาน จึงว่า ไม่ได้ให้ฝืนธรรมชาติ
ตา เป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หู เป็นหน้าที่ของฟังเสียง
จมูก เป็นหน้าที่ของที่จะรู้ว่าเหม็นหอม
แล้วการเคลื่อนไหวของกายนี้ ต้องให้มันเป็นไปตามธรรมชาติหน้าที่ของมัน
ไม่ต้องฝืนมัน "แต่ให้มันรู้เท่าทัน" เท่านั้นเอง
๔.
การทำจังหวะ การทำความรู้สึกตัว มันทำให้เราเกิดปัญญา ปัญญาไม่ใช่เป็นปัญญานึกคิด (แต่) เป็นปัญญาเกิดขึ้นมาจาก กฎของธรรมชาติมันจริงๆ เรียกว่า ปัญญาญาณของวิปัสสนาภาวนา
เกิดปัญญาเป็นอย่างไร ? เกิดปัญญารู้สูตรสำเร็จสูตรหนึ่ง สูตรของมันไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนในพระไตรปิฎก
คำว่า สูตรสำเร็จ นี่ หมายถึง ความสำเร็จมาจากตัวมันเอง เหมือนกับเพชรหรือทองคำที่เจือปนอยู่กับตมเลน เรามาร่อนมาแยกออกไปแล้ว มันเหลือแต่เพชรล้วนๆ
สูตรเหล่านี้เราต้องปฏิบัติให้มันแสดงขึ้นมาเอง ยืนมั่นคงถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน
สูตรๆ นี้มีแล้วในคนทุกคนไม่ยกเว้น...เมื่อสำเร็จแล้ว ก็ต้องมีญาณเกิดขึ้นว่า "ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจอื่นไม่มี" กิจ...การศึกษาพระพุทธศาสนา จบตรงนี้
๕.
"ตัดผมครั้งเดียว" ก็หมายถึง สิ่งที่มันเป็นกฎของธรรมชาติ มันเข้าสู่สภาพของมัน รูปนี้ก็เข้าสู่สภาพเดิมของมัน จิตใจก็เข้าสู่สภาพของมัน อืมม์...อันนี้แหละ มันบ่ยาว มันบ่สั้น มันบ่ปรากฏขึ้นมา...มันรู้จัก มันจืดมันถอน เพิ่น (ท่าน) จึงว่า เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่เคารพนับถือ เป็นสิ่งที่บ่เคยมีมาก่อน เรื่อหมู่นี้จึงว่าคาดคิดบ่ได้-เรื่องธรรมะ มันต้อง ปฏิบัติให้มัน "เป็น"
นิพพาน คือ มันเข้าสู่สภาพของมัน แค่นั้นเอง ไม่มีเรื่องอะไร
มันเบาทั้งหมดเลย มันเบากาย เบาใจ เบาชีวิต เบาไปทั้งหมดเลยครับ คือมันไม่มีอันใด (อะไร) มาติดพัน มาติดมาพัน มัน ไม่มีอันใด (อะไร) มาเกาะมาข้องมันครับ คือมันเรียกว่ามันไม่มีอันใด (อะไร) ตัวชีวิตของเราจริงๆ นี่ครับ ตัว จิตใจของเราจริงๆมันเป็นอย่างนั้น
อันนี้ทุกคนต้องจำไว้ ถ้าเราไม่รู้นะ เราไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เป็น-ไม่มี เดี๋ยวนี้ เราจะประสบเอา (ตอน) จวนจะหมดลมหายใจ นี่เลย เมื่อจวนจะหมดลมหายใจ ซึ่งขณะ...หลวงพ่อเข้าใจว่าวินาที หรือ ๒ วินาที หรือ ๕ นาที เราจะประสบเรื่องนี้ล่วงหน้า แล้วจึงหมดลมหายใจลง อันนี้แหละสัจจแท้ เรียกว่า สัจจธรรม
เมื่อเฮาเห็นสภาพนี้ (อาการเกิด-ดับ) เฮาจิ (จะ) รู้จักสภาพหรือสภาวะเฮาจิ (จะ) ตายนี่แหละ มันต้องเป็นอย่างซั้น (นั้น) มัน ต้องเป็นอย่างซี้ (นี้) ฮู้ (รู้) จักวิธีตายทันที แต่ทุกคนก็ต้องมานี้ หนีจากนี้ไปบ่ได้ เพราะทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายนี่ คนเกิด มาในโลกนี้บ่ตายบ่มีจัก (สัก) คน อันนี้เรียกว่าสัจจะแท้ บ่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไปบ่ได้ ถึงจะมีผู้รู้...มันก็เป็นอย่าง ซั้น (นั้น) บ่มีผู้รู้...มันก็เป็นอย่างซั้น (นั้น)
ดังนั้น สาวกของพระพุทธเจ้า จึงรู้จัก "วิธีตาย"
คนทุกคนต้องตาย ต้องไปประสบอันนี้ที่ ถ้าเราไม่รู้จักอันนี้ เราจะไปโลกียธรรม ถ้าเรารู้จักอันนี้ มันจะเป็นทางออก ไปทางนี้...สอนกันให้รู้จัก ให้มันเห็น ให้มันรู้ ให้มันเข้าใจ
ตัวเองมั่นใจว่าจะสอนเรื่องนี้ จะพูดเรื่องนี้ ให้คนผู้ที่มีปัญญาฟัง คนที่มีปัญญายังอ่อนก็เป็นธรรมดา คนผู้ที่มีปัญญาเข้มแข็ง ก็จะสามารถที่จะรู้เรื่องนี้ได้ หากไม่รู้ในขณะนี้ (ตอน) จวนจะตายหรือหมดลมหายใจ ต้องประสบเรื่องนี้จริงๆ แต่ เรารู้ไว้วันนี้ มันจะดีกว่าบ้างไหม ?
๖.
เมื่อมาทำความรู้สึกตัว...ตื่นตัว รู้สึกใจ...นึกคิด...รู้ เป็นปกติ มันสามารถพาให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ นี้เรียกว่า ทางเดินไป คนเดียว เป็นทางเอก ทางๆ นี้ไม่ซ้ำรอยใคร
เรื่องรูป-นามนี่ หลวงพ่อ(ว่า)บ่เกิน ๕ มื้อ(วัน)หรอก ภายใน ๑๐ มื้ออย่างนาน-รู้ ถ้าตั้งใจทำแล้ว รู้จริงๆ...
จะทำให้จิตใจเปลี่ยนไปนี่ อยู่ในเกณฑ์เดือนหนึ่ง ผู้ทำจริงทำจังนี่ เดือนหนึ่งหรือสามเดือนนี่แหละ-รู้ ในเกณฑ์ทำให้จิตใจเปลี่ยน แปลงสภาพหนึ่ง เรียกว่า ขั้นต้น อันนี้
จะทำให้มันถึงที่สุดของทุกข์นั้น หลวงพ่อคิดว่าบ่เกิน ๓ ปี ถ้าเป็นคนจริงนะ ครั้นเป็นคนบ่จริง ๑๐ ปีก็บ่รู้ เป็นอย่างนั้น
หลวงพ่อเคยท้าทายคนมา บ่มากก็น้อย ต้องรู้
๏ คำเตือน
การปฏิบัติธรรมะให้มันเข้ารูปเข้ารอย ไม่ใช่ว่าจะทำไปตามอารมณ์ ทำไปตามความเห็น ทำไปตามความคิด อันนั้นใช้ไม่ได้ มัน ทำไปตามอารมณ์ตัวเองแล้วอันนั้น ทำไปตามความคิดของตัวเองแล้ว ทำไปตามความเห็นตัวเองแล้ว นั่นไม่ใช่ ท่านจึงว่าให้ (เชื่อ) ฟัง เชื่อฟังคำแนะนำของคนที่เป็น "ช่าง"
การเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญานี้ ต้องมีการงดเว้นการพูดการคุยกัน ไม่ต้องพูดต้องคุยกัน
แล้วก็ต่อไป ก็งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกประเภททีเดียว เช่น บุหรี่ หรือน้ำชา กาแฟ เหล่านี้ก็งดเว้นทั้งหมดเลย
ถ้าเราไม่งดเว้นจากสิ่งเหล่านี้ มันก็ทำให้จิตใจเราคลุกคลีกับสิ่งเหล่านั้น ก็เลยไม่รู้ตัวเอง
พวกเราถ้าหากปฏิบัติจริง ต้องพยายามทำจริงๆ อย่าเป็นคนหลอกตัวเอง
อย่าไปนั่งนิ่งๆ ให้มาทำจังหวะ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
การปฏิบัตินั้นอย่าไปเพ่งมัน เพียงทำให้มันสบายๆ มองทางโน้นมองทางนี้ ให้มันคิด อย่าไปห้ามความคิด
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ต้องเห็นอย่างนี้ ต้องรู้อย่างนี้และเข้าใจอย่างนี้ (ดูภาคผนวก) เห็นอย่างอื่น ไม่ถูกต้อง
๏ ภาคผนวก
อารมณ์วิปัสสนา
อารมณ์ รูป - นาม
รูป นาม รูปทำ นามทำ รูปโรค นามโรค
ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
สมมุติ
ศาสนา พุทธศาสนา
บาป บุญ
อารมณ์ปรมัตถ์
วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ
โทสะ โมหะ โลภะ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม
ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์
กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
การทำชั่วด้วย - กาย เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำชั่วด้วย - วาจา เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำชั่วด้วย - ใจเป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำชั่วด้วย - กาย วาจา ใจ พร้อมกันเป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำดีด้วย - กาย เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่ชั้นไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำดีด้วย - วาจา เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่ชั้นไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำดีด้วย - ใจ เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่ชั้นไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
การทำดีด้วย - กาย วาจา ใจ พร้อมกัน เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่ชั้นไหน นานกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
อาการ "เกิด - ดับ" (ที่สุดของทุกข์)
แก่นคำสอนหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
รู้สึกตัว...เห็นความคิด
@ รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้ ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้ เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้ กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้ แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้ อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้ ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย
@การเฝ้าดูความคิดโดยไม่พยายามไปทำหรือจัดการอะไรกับมัน เพียงแต่ดูมันเฉยๆ แล้วปล่อยมันไป นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์
@เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
@เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิตใจ อย่าไปบังคับจิตไม่ให้คิด อย่าไปพยายามป้องกันหรือกำจัดความคิด คนส่วนใหญ่ต้องการทำจิตใจให้สงบ เขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้จิตใจคิด นั่นเป็นความเข้าใจของคนอื่น แต่ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว เราควรปล่อยให้จิตใจนึกคิด ยิ่งมันคิดมากเราก็ยิ่งรู้
รู้ธรรม...คือรู้ตัวเอง
@ พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง
@ พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
@ การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัว
@ ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
@ การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
@ การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึกตัว
@การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ความสงบ
@ ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน
@ ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
@ ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
ธรรมะ...อยู่ที่กายใจ...ไม่ต้องไปแสวงหา
@ การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
@ ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
@ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
วิปัสสนาญาณ ...สู่ปัญญา
@ การที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย
@ วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้ ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้ เรียกว่า ของจริง
@ วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
@ คำว่า "วิปัสสนา" นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด
ต้นทางพระนิพพาน...ดับทุกข์
@ การที่เราเห็นความคิดนี่เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ
@ การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
@ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
@ การทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
@ ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
@ ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ
@ ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
@ แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่
@ หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้
@ คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์