พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 30 กันยายน 2560
ตอนที่ 189 **อานาปานสติ แบบที่ ๑**
+ +
ในเช้าของวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมพระพุทธองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 29 ในแบบที่ 1
กรรมฐานกองนี้ ได้บัญญัติเอาไว้ว่า.. ให้เราดูลมหายใจเข้า- ออกของเรา เป็นอารมณ์.. เพื่อเข้าสู่สมาธิ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วย พระพุทธเจ้าค่ะ ”
พระพุทธองค์ ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรม ถ้าอย่างนั้น ก็ตั้งใจฟัง ทำตาม
แล้วลูกนั้นจะเข้าถึงสิ่งที่ฟัง ด้วยจิต กาย และใจของลูกได้
พระยาธรรมเอย.. การที่จะรู้ และเข้าใจ สามารถนำไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง โดยเข้าใจอย่างแท้จริงได้นั้น
เราต้องเป็นผู้ปฏิบัติได้ด้วย เราจึงสามารถที่จะแนะนำได้ถูกต้อง
และถึงแม้ว่าจะถูกต้อง ในแต่ละคนที่ทำกรรมฐานไป.. ถึงแม้ว่าจะเป็นกองเดียวกัน ก็ยังมีความแตกต่างกัน เป็นธรรมดา
ตามเหตุปัจจัย ตามกำลังอารมณ์ฌานของแต่ละคน
ตามเหตุ ตามสิ่งที่ตนนั้น ได้สร้างได้ทำเอาไว้
ลูกเอ๋ย.. การที่เราจะดูลมหายใจเข้า- ออก หากว่าเรานั้น.. กดข่มตนเองมากเกินไป
มันก็จะเป็นการเกร็ง
เกร็งจนเรานั้น ไม่สามรถเข้าฌานได้ลูก..
หากว่าเราย่อหย่อนเกินไป.. กำลังใจเราก็จะไม่เข้มแข็งพอ ที่จะล็อคสมาธิของเรา เอาไว้ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกของเรา ลูก
ฉะนั้น ก่อนที่เราจะทำสมาธิ ควรทำเช่นนี้กันก่อน.. ลูกเอ๋ย
ปรับจิตปรับใจของตน ให้ว่างก่อน นั่งในท่านั่งที่สบาย
บอกตัวของเราไว้ว่า..
เราจะทิ้งทุกสิ่ง ลืมทุกอย่าง - ไปพร้อมกันกับการหลับตาของเรา
เมื่อเราหลับตาลงแล้ว.. เราไม่เห็นสิ่งใดๆทั้งหมดแล้ว
แปลว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - มันไม่มี
ทีนี้ ก็เหลือแต่ความรู้สึก ตามองไม่เห็น..
พื้น -ไม่มี
บุคคลด้านข้าง ด้านล่าง ด้านบน -ไม่มี
สิ่งของ ข้าวของ สิ่งต่างๆ -ไม่มี.. ว่างเปล่า
กายของเรานี้ - ก็ไม่มี เพราะว่ามองไม่เห็นมันแล้ว มันไม่มีแล้ว
หลับตาไป ปล่อยกาย ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก.. ให้ว่าง โล่ง เบา สบาย
ทีนี้ เหลือแต่ความรู้สึกแล้ว..สินะ
เราก็เอาความรู้สึกของเรา สลายด้วยความคิด เช่นนี้ว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความรู้สึกอื่นๆ ไม่ควรมี
เพราะสิ่งของข้าวของไม่มี - จะไปคิดอะไรเล่า
บุคคลผู้อื่น ไม่มี - จะคิดทำไมเรื่องของเขาเล่า
ตัวของเรา ก็ไม่มี - จะคิดทำไมเล่า เรื่องของเรา
กายนี้ ไม่มี - ความคิดที่เกี่ยวกับกาย จึงไม่ควรมี
สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มี
ความรู้สึกที่จะไปสุขไปทุกข์ ไปวุ่นวาย ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ สิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง
ความรู้สึกเหล่านี้ - ก็ไม่ควรมี
เอาความรู้สึกของเรา.. ค่อยๆรวมพลังวางไว้ ที่แสงขาวๆ เหลือแต่อากาศที่ว่าง ที่มีแสงสีขาว
แล้วเรา ก็จับเอาความรู้สึกที่ว่างนั้น พร้อมกับลมเย็นๆ
เรานั้น.. เหลือเพียงแค่ความรู้สึกของลมที่เย็น
หายใจเข้า หรือหายใจออก.. ก็เห็นแต่เพียงแค่ ลมหายใจ
- ไม่เห็นสิ่งอื่นใดเลย..
หายใจ- เห็นแต่ลมเข้า หายใจ- เห็นแต่ลมออก
ลมที่เข้านี้ ก็เย็น ขาวใส.. เป็นเส้นสีขาว ลงไปข้างล่าง
เส้นสีขาว ก็ขึ้นมาข้างบน
เห็นแต่ลม วิ่งเข้า -วิ่งออก วิ่งลง -วิ่งขึ้น
เห็นแต่แสงสว่าง เห็นแต่พลังของลม ที่สว่างไสวนั้น..
คล้ายกับหลอดยาว 2 อัน ที่เป็นเส้นใสๆ หย่อนลงไป แล้วก็ออกมา
ลมเข้า - ลมออก
เราอาจจะมีความรู้สึกถึงร่างกาย ที่มันมีอยู่ แต่ว่าเราไม่สนใจมัน ไงลูก
เราไม่เอามันมาเป็นอารมณ์ ไงลูก
เราไม่ยึด ไม่ถือ ไม่แบกมัน
มันมี ก็สมมุติมีไว้อย่างนั้น.. เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน น่ะลูก
เหมือนกันกับการที่มีใครอยู่ข้างๆเรา
แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนๆนั้น.. ว่าเขามีตัวมีตน
มีสิ่งของ ข้าวของอยู่ข้างเรา
... เราก็ไม่ได้ไปให้ความสำคัญกับเขา ให้มีตัวมีตนในเรา.. อย่างนั้นน่ะลูก
เราก็รู้อยู่ว่ามี - แต่เราไม่ได้สนใจเลย..
จิตของเรา ตั้งมั่นอยู่กับแสงสีขาว
พลังที่เย็น.. น้อมหายใจเข้า
เส้นพลังงานสีขาว - ลงไปสู่ศูนย์กลางกายของเรา
เส้นพลังงานสีขาว - ออกจากกายของเรา
และกายนี้ ก็โล่งๆ ว่างๆ.. ไม่ได้ใส่ใจมัน
ดูแต่ลมไปเรื่อยๆ เรื่อยๆนะ..
เส้นพลังงานสีขาว สว่างไสว.. เย็น
สูดลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
จิตตั้งมั่นอยู่กับดวงแก้วใส คลื่นพลังงานที่ขาว.. สว่างไสว
หายใจเข้า - พร้อมกับลมเย็น สบาย.. สว่างไสว
หายใจออก - พร้อมกับลมเย็น.. สบาย
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
.. ทำอยู่อย่างนี้ จำไว้แค่นี้..
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนตัวของเรานั้น.. เบาสบาย
คลื่นลมทั้งหลาย ที่ละเอียดอ่อน.. วิ่งผ่านกาย
ทะลุไปทางซ้าย / ทะลุไปทางขวา
ทะลุไปด้านหน้า / ด้านหลัง
ตัวเราก็ยังเบาสบาย ลอยอยู่กับลม กับอากาศ
เราก็ยังคงจับความรู้สึก อยู่กับลมนั้นไปเรื่อยๆ..
ตั้งมั่นอยู่กับลม นิ่งอยู่กับมัน
หายใจ.. ค่อยๆผ่อน ค่อยเบาลงๆ
คล้ายกับตอนที่เรานั้นจะหลับ
ค่อยๆหายใจ เบาลงๆ
จนตัวเรานั้น - ดับไปกับลม
สลายตัวตน ไม่มีสักสิ่งสักอย่าง..
ดับเข้าสู่ฌานไป แล้วก็ทรงฌานไว้เช่นนี้ ละนะ
ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสามารถทรงฌานได้นานเท่าไร อาจจะเป็นชั่วโมงหนึ่ง, 2-3 ชั่วโมง
ครึ่งชั่วโมง ห้านาที สิบนาที - แล้วแต่กำลังฌานของเรา
ทำอย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย.. การที่เราจะตั้งจิตให้มั่น อยู่กับลมนั้น
เราไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยการกดข่ม ลูก
- เราเริ่มด้วยการทำตัวทำใจ.. ให้สบาย
ปรับความคิดของเรา ให้มันตัดจากสิ่งอื่นไปให้หมด
ให้เหลือเพียงแต่ ลมหายใจ
จับคลื่นพลังลมนั้น เป็นอารมณ์..
จนกว่ากายของเรา และความรู้สึก จะค่อยๆสลายเข้าไป อยู่กับความละเอียดอ่อนของลม
ลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนลมภายนอก - กับลมภายใน.. รวมตัวกัน
จนเราลืมไปว่า.. ต้องหายใจ หรือว่าไม่หายใจ..
แล้วก็ดับเข้าไปสู่ ลมที่เบา ที่สบายนั้น..
ทำเช่นนี้ละ พระยาธรรม.. จะทำให้ลูกนั้น ได้สงบจิตใจ
ได้รับความสงบ - ที่ไม่ฟุ้งซ่าน
ไม่คิดเรื่องนั้น เรื่องนี้
ไม่วุ่นวาย
ได้ให้จิตของลูกนั้น.. เข้าไปนอนหลับพักผ่อน
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ - โดยไปกับลม
โดยให้ลมนั้นพาไป พาเข้าไปพักผ่อน..อยู่ในสายลม
อยู่ในความนุ่มนิ่ม ในความละเอียดอ่อนนั้น..
จิตของคนเรานะลูก ทุกข์ยากลำบาก ดิ้นรนขวนขวาย เหน็ดเหนื่อยตลอด
ทุกวินาทีของชีวิต จะมีความคิดต่างๆ เข้ามารบกวนอยู่เสมอ
-- ทำให้จิตของเรา ไม่ได้พักผ่อนเลย…
การที่เราทำเช่นนี้ ก็ถือเป็นการให้จิตของเราได้พักผ่อน หลับนอน
ให้จิตของเราพัก ให้เต็มอิ่ม
เมื่อเขาได้พักแล้ว.. เขากลับออกมา - เขาก็จะเป็นดวงจิตที่มีพลัง
เมื่อมีพลัง - เขาก็จะเหมือนจิต ที่มีแบตเตอรี่
สามารถส่องให้เขานั้นเกิดสติ เกิดปัญญา
รู้แจ้ง- ตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย
เราจงหมั่นเติมพลังให้จิตของเรา โดยการให้เขาพักผ่อนเช่นนี้.. ก็เป็นการดี
การทำสมาธิ ในแต่ละกอง ก็คือ การหยิบยกเรื่องนั้นๆมาเป็นที่ตั้ง
เพื่อที่เราจะได้มีจุดยึด ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้สิ่งนั้น พาจิตของเรา
- ไปพักผ่อน
- ไปให้รู้แจ้ง
- ไปให้เห็นตามความเป็นจริง
และกรรมฐานกองนี้ ก็สอนให้ลูกทั้งหลาย..
/ ได้พักผ่อน แบบไม่ต้องคิดอะไร
/ ได้พักผ่อนแบบเบาสบาย อยู่กับลมกับฟ้า อยู่กับอากาศ อยู่ในที่ที่นุ่มนิ่ม
จึงควรฝึกฝนทำอยู่บ่อยๆ.. ลูกเอ๋ย
กรรมฐาน เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก **
ถ้าเราขาดการทำสมาธิ.. จิตเรา ก็เหมือนคนที่หมดพลัง
เมื่อคนที่หมดพลังแล้ว.. เขาจะทำอะไรได้ลูก ?
.. นอกจากว่าต้องปล่อยให้ผู้อื่น มาทำร้ายตน ไปเรื่อยๆ
และตนก็จมอยู่ในการถูกทำร้ายนั้น - ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นสู้ ได้เลย…
ถ้าจิตของเรามีพลัง มากเท่าไร..
เหมือนคนที่มีแรง มีกำลัง ทั้งสติ และปัญญา
กำลังทั้งกาย พร้อมที่จะสู้รบกับคนที่เข้ามาทำร้ายตน
และไม่ยอมตกเป็นทาสของเขา เป็นแน่แท้ !
ลูกนั้น ย่อมเป็นอิสระ พบความสุขได้ละ.. พระยาธรรม
จงพากันปฏิบัติเช่นนี้ อย่างนี้.. ที่กล่าวมาเถิด
แล้วไว้วันพรุ่งนี้ จะสอนในแบบที่ 2 ต่อไป..
- ให้ลูกได้ฝึก ในหลายรูปแบบ -
เผื่อว่าใครชอบแบบไหน
ทำแบบไหนแล้วรู้สึกว่าง่ายกับตน - ก็จะได้นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม
-- เพื่อก่อเกิดมรรคผล..ให้แก่จิตของลูกทั้งหลาย ++
พระยาธรรมเอย.. จงตั้งใจเผยแผ่ธรรมไปเถิดลูก
เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้.. จะอยู่เป็นที่พึ่ง ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย
.. ไปจนกว่าจะสิ้นสุดศาสนา ขององค์ปัจจุบันนี้ **
ลูกจงตั้งใจ สิ่งใดที่ควรเรียนรู้ - ก็เรียนรู้ ฝึกฝนตนไปเรื่อยๆนะลูก
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง - มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน
ต้องค่อยเรียน ค่อยศึกษา ค่อยสัมผัส
เข้าถึง และเข้าใจ - ด้วยตัวของลูกเอง !
จึงสามารถถ่ายทอดได้ อย่างถูกต้อง ตามคลิปกรรมฐานนี้ละ
หากลูกไม่ได้สัมผัส เข้าใจ เข้าถึงด้วยตนเอง.. ลูกก็ไม่สามารถถ่ายทอดความจริงทั้งหมด
/ สิ่งที่มันละเอียดอ่อน ให้แก่ผู้อื่น ได้ศึกษา ทำความเข้าใจ...
เมื่อไม่มีคนบอกทาง - หนทางนั้นไม่มี
-- ก็อาจจะทำให้ดวงจิตทั้งหลาย.. พลาดพลั้งไปจากความดีได้ ลูก --
ฉะนั้น.. ให้ตั้งใจ ก็แล้วกันนะ...
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ