" ทำด้วย
การปล่อยวาง
ปล่อยอยู่ ในการกระทำ
กระทำอยู่ ในการปล่อย
เห็นสิ่งทั้งหลาย(อารมณ์)
ที่เกิดขึ้นกับ...จิต นั้น
ก็สักแต่ว่า...เป็นความรู้สึก เท่านั้นเอง
เป็นของ ไม่เที่ยง
ไม่มี ตัว ไม่มี ตน
ไม่มี เรา ไม่มี เขา (อยู่...ในความรู้สึกนั้น)
ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น อันใด อันหนึ่ง
ในสิ่งทั้งหลาย เหล่านั้น."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ
..ชีวิตนั้นว่างเปล่า..
หากยึดถือในชีวิต ชีวิตก็เป็นชีวิต..
พร้อมมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย
ตัวเรา ครอบครัว การงาน ทรัพย์สมบัติ
ความสมหวังไม่สมหวัง ความสุขทุกข์
ปราศจากการยึดถือครอบครอง..
ในอารมณ์ ความคิดปรุงแต่ง สมุติทั้งหลาย
ก็ปราศจากอดีต..ปัจจุบัน..อนาคต
จึงไม่มีใครให้สุข ทุกข์ ไม่มีใคร ยินดี
พอใจ โกรธเกลียด เครียด เหงา เศร้า
ชีวิตนั้นว่างเปล่า
มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี
" รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ปล่อยให้เขา ผ่านไป ผ่านมา
ดี ก็ตาม ไม่ดี ก็ตาม
มันมีอยู่ประจำโลก อยู่อย่างนั้นแหละ
นำออก...จากใจเสีย
ให้มัน ผ่องใส สว่าง
รู้เท่าทัน เหตุดับไป
มันก็รู้แจ้ง...มรรค
รู้แจ้ง ก็รู้แจ้งอยู่ภายใน นี้แหละ
จะไปรู้แจ้ง ที่ไหน
รู้แจ้งอันนี้ หมดแล้ว
ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันก็หมดแล้ว
รู้อย่างอื่นไม่ชื่อว่า...รู้หมด รู้ทั่ว
ต้องรู้จัก...ตนเอง
กาย - ใจของตนเอง นี้แหละ
รูป อย่างอื่นที่มีอยู่
ก็เป็นอย่างเดียว กับกายนี้(รูปนี้)
รู้ความจริง อันเป็นสัจธรรมแล้ว
ความทุกข์ ความเดือดร้อนก็...ไม่มี
อันนี้ก็คือ...ที่สุด."
_____________________________________
(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง)
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ
..ความว่างเปล่าของชีวิตนั้น
ไม่ใช่ไม่มีอะไร ไม่ทำอะไร
มีทุกอย่างอย่างที่ชาวโลกมี
และมีหน้าที่ต้องทำไปตามเหตุ
ตามปัจจัยนั้นๆ
..และมิใช่ว่างจากอารมณ์
ว่างจากความรู้สึกนึกคิด
อย่างการเข้าฌานสมาบัติ
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
ก็ทำงานปกติตามหน้าที่ของขันธ์
ที่ยังมีผัสสะอยู่
..ความว่างเปล่าของชีวิตนั้น
ปราศจากการยึดถือในการปรุงแต่ง
ทั้งการปรุงแต่งทางกาย(กายสังขาร)
และการปรุงแต่งทางจิต(จิตสังขาร)
..กายและจิตใจนั้น..(เบ็ญจขันธ์)
เป็นของชั่วคราว เป็นสิ่งสมมุติ
เป็นมายาภาพ..อย่างพยับแดด..
ไม่มีอะไรคงอยู่..ตั้งอยู่ถาวร..ได้เลย
..เป็นเพียงพลังงานธาตุ
ก่อเกิด ไหลวน ธาตุดับสลายสู่ธาตุ
..ในการก่อเกิดไหลวนนั้น
ไม่มีเรา หรือใครๆ ไปเป็นเจ้าของ
บังคับบัญชา ควบคุม สั่งการใดๆ
..ทุกอย่างเป็นธรรมชาติอย่างนั้นๆ..
..เมื่อหลงผิดว่านี่กายของเรา ใจของเรา
เรามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด อย่างนั้นอย่างนี้..
..เรา..จึงบังเกิดขึ้นในกาย..ในใจ
และในข้าวของทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรามมุติตั้งชื่อขึ้นให้สิ่งของต่างๆ
ที่นำมาใช้งาน..
..ความเข้าใจผิดนั้นเอง
เป็นเหตุให้หลงยึดในมายา..
..ตัวตนจึงเกิดขึ้น..
ความสุขทุกข์จึงมีขึ้น
ชีวิตจึงมีขึ้น..
เธอทั้งหลายจงทำความเข้าใจ
ให้แจ้งในสัจจธรรมเถิด..
พระนิพพาน” เป็น อายตนะ ฝ่าย อสังขตะ
“พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาววาหนึ่ง ที่มีสัญญาและใจ, คือร่างกายที่เป็นๆ ยังมีสัญญา มีใจ ในนั้นมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก มีความดับโลก มีทางให้ถึงความดับโลก นั่นแหละ คือมันอยู่ที่ “อายตนะ”
ในกายที่เป็นๆ ของคนเป็นๆ มี“อายตนะ” คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สามารถในหน้าที่ของมัน. อายตนะทั้ง ๖ รู้สึกต่อโลก โลกจึงมี เพราะอายตนะมันรู้สึก, นี่เรียกว่าโลกมันอยู่ในอายตนะนั้น.
ทีนี้ เหตุให้เกิดโลก คือ เกิดทุกข์ ก็เพราะอายตนะ นั่นแหละ มันทำการปรุงแต่งให้เกิดโลก หรือเกิดกิเลส และเกิดทุกข์.
ทีนี้ การดับโลก ก็เพราะควบคุมอายตนะได้, ไม่ทำให้เกิด“กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นทุกข์” ก็เรียกว่า “ความดับแห่งทุกข์” ก็เพราะว่าควบคุมอายตนะได้.
ทีนี้ ทางให้ถึงความดับแห่งโลกหรือทุกข์ ก็เพราะปฏิบัติถูกในทางอายตนะ,
ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องในเรื่องของอายตนะนั่นแหละ คือ หนทาง..ให้ถึงความดับแห่งโลก หรือ “ความดับแห่งทุกข์”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง"ความลับของอายตนะเป็นสิ่งที่ต้องเปิดเผย" เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ จากหนังสือ ชุด"ธรรมโฆษณ์" เล่ม "ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์" หน้า ๑๘๘-๑๘๙
#หมายเหตุ : ( ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ )
“อายตนะภายใน”
คือ ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้, แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน มี ๖ คือ...
๑.จักษุ-ตา ๒.โสตะ-หู ๓.ฆานะ-จมูก
๔.ชิวหา-ลิ้น ๕.กาย-กาย ๖.มโน-ใจ
เรียกอีกอย่างว่า "อินทรีย์ ๖" เพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนแต่ละอย่าง เช่น จักษุ เป็นเจ้าการ(เป็นใหญ่)ในการเห็น เป็นต้น
"อายตนะภายนอก"
คือ ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้, แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน มี ๖ คือ...
๑. รูปะ = รูป,สิ่งที่เห็น หรือ วัณณะ คือ สี
๒. สัททะ = เสียง
๓. คันธะ = กลิ่น
๔. รสะ = รส
๕. โผฏฐัพพะ = สัมผัสทางกาย
๖. ธรรมารมณ์ = สิ่งที่ใจนึกคิด,อารมณ์ที่เกิดกับใจ
เรียกอีกอย่างว่า "อารมณ์ ๖" คือ เป็นสิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง
อายตนะ ฝ่าย อสังขตะ คือ พระนิพพาน
“ภาวะแห่งความว่างจากกิเลสและความทุกข์นั้น เสมือนหนึ่งว่า..มันรอเราอยู่ตลอดนิรันดร เมื่อไรเราจะไปถึง ทีนี้ เรามัวโง่ คลานงุ่มง่ามอยู่ที่นี่ มันก็ไปไม่ถึง ความว่างหรือพระนิพพานนั้นก็รออยู่นั่นแหละ นี่มองให้เห็นว่า สิ่งนั้นมีอยู่; เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า...“อายตนะนั้นมีอยู่” ซึ่งมิใช่ ดิน น้ำ ลมไฟ, มิใช่อากาสานัญจายตนะ มิใช่อะไรหมด นั่นแหละ..ที่สุดแห่งความทุกข์ คือ "นิพพาน" เรียกว่า "อายตนะ"
ข้อนี้ อาจจะไม่เข้าใจแก่คนบางคน เพราะว่าโดยทั่วไป เราสอน เราเรียน เราบอกกันแต่ “อายตนะฝ่ายสังขตะ” อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, อายตนะ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มีอยู่ ๖ คู่นี้ เรียกว่า อายตนะ แต่อย่าลืมไปว่า นี้อายตนะฝ่ายสังขตะ ฝ่ายความทุกข์.
ทีนี้ อายตนะฝ่ายอสังขตะ คือ “พระนิพพาน” นั่นเอง ภาวะแห่งความว่างที่มีอยู่ ราวประหนึ่งว่า..รอเราอยู่ตลอดกาล นั้น เรียกว่า “อายตนะฝ่ายอสังขตะ”
ทำไมเรียกว่าอายตนะ? ก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่จิตถึงได้ เป็นสิ่งที่ติดต่อได้ อายตนะ นี้แปลว่า “ติดต่อ”
ภาวะแห่งความว่างนิรันดร หรือ พระนิพพาน นั้น เป็นสิ่งที่จิตติดต่อได้ ฉะนั้น จึงเรียกว่าอายตนะเหมือนกัน ถ้าเรียนมาแต่ครึ่งเดียว ก็จะรู้จักแต่อายตนะฝ่ายสังขตะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อย่างนี้เป็นฝ่ายความทุกข์
อายตนะ คือ พระนิพพาน นั้น แม้จะสูงสุด ละเอียด ประณีต สุขุม วิเศษ เท่าไร ก็ยังเป็นสิ่งที่จิตติดต่อได้ คือรู้สึกได้ อย่างในบาลี(พระไตรปิฎก)ว่า “ วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ” อย่างนี้จิตนั้นได้ถึงวิสังขารเสียแล้ว คือจิตนั้นถึงพระนิพพาน หรือติดต่อพระนิพพานได้ ฉะนั้น พระนิพพานจึงเป็นสิ่งที่ติดต่อได้ เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงได้ชื่อว่าอายตนะ
คนที่เรียนนักธรรมมาแล้ว แม้เรียนนักธรรมเอกอาจจะไม่ได้ยินอย่างนี้ ฉะนั้น จำไว้ด้วยว่า "อายตนะ" นั้น เขาหมายแต่เพียงว่าติดต่อได้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นชั้นอสังขตะก็ต้องติดต่อได้ด้วย"จิตที่หลุดพ้นแล้ว" ถ้าเป็นอายตนะประเภท สังขตะ ที่นี่ มันก็ติดต่ออยู่แล้วกับจิตที่ไม่หลุดพ้น จิตที่ไปพัวพันอยู่แล้ว
เรามานั่งดู ดู ดู เวลาที่จิตเป็นอิสระ มันก็ต้องถึงเข้ากับอายตนะนั้น อายตนะที่ว่างจากกิเลส อายตนะที่ว่างจากความทุกข์ หรือ ภาวะแห่งความว่างชนิดนั้น ก็รู้จักอายตนะนั้นคือพระนิพพานนั้น แม้ยังไม่เป็นการถาวร เราหวังอยู่ว่ามันจะเป็นการถาวรข้างหน้า นี่รู้จักอายตนะพวกสังขตะ และ รู้จักอายตนะพวกอสังขตะเสียทั้งสองฝ่าย ความเป็นสันทิฏฐิโกของเราก็จะมากขึ้น จะมากขึ้น เป็นที่น่าพอใจ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สันทิฏฐิกธรรมของจตุราริยสัจจ์" เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม "สันทิฏฐิกธรรม"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
" ฅนสมัยนี้...
เขาเป็นทุกข์เพราะ...ความคิด
ที่ใจเป็นทุกข์เพราะ...เกิดความยึดมั่น
แล้วมีการปรุงแต่ง ในความคิดขึ้น
และ อุบายที่จะละความทุกข์ ก็คือ...
หยุด...การปรุงแต่ง
แล้ว...ปล่อยวางให้เป็น
นี่คือ หลักการ
แต่...การจะทำเช่นนั้นได้
ต้องอาศัย...ภาวนา
ทำใจให้สงบ จึงจะเกิดพลัง
มีสติ...ปัญญามองเห็นเหตุ เห็นผล
แล้วจิตก็มีการ...ปล่อยวางได้
เมื่อละ...
ความยึดมั่นได้
ความทุกข์ ในสิ่งนั้น...
ก็...หมดไป."
_____________________________________
( หลวงปู่ดุลย์ อตุโล )
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ
หากท่านแจ้งในความจริงว่า
อดีตไม่ได้มีอยู่
อนาคตไม่ได้มีอยู่
แม้ปัจจุบันก็ไม่ได้มีอยู่จริง
ท่านจะหลุดจากกฏของเวลาทันที
ทุกข์ทั้งหลายก็ดับไปหมดสิ้น
ปัจจุบัน เป็นเพียง
ขณะหนึ่งของการรับรู้
เมื่อจิตเกิดขึ้นรับรู้ขณะหนึ่ง
ก็สร้างมายาภาพขึ้นครั้งหนึ่ง
แต่ด้วยความรวดเร็ว
จึงเกิดความต่อเนื่อง
เราหลงยึดถือในความต่อเนื่องนี้
จึงมีตัวตนเกิดขึ้น
ความมีตัวตนนี้ดูเสมือนว่า
ปัจจุบันมีอยู่จริง
เราจึงเข้าไปรองรับ หลงเชื่อ
ในมายาของจิต ว่าเป็นจริง
มันจึงไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ
จึงถูกบีบคั้นด้วยกฏของธรรมชาติ
สภาวะที่ถูกบีบคั้นนี้เรียกว่าทุกข์
เพียงปล่อยไปตามกฏธรรมชาติ
ไม่เข้าไปรองรับ
ไม่ไปหลงเชื่อในมายาจิต
ท่านจะหมดสิ้นทุกอย่าง
หมด อดีต ปัจจุบัน อนาคต
" จิตว่างในพระพุทธศาสนา
มันเห็นว่าทุกอย่าง
ไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตน
ไม่ใช่ของตน
เขาใช้คำว่า โลก
ทั้งหมดทุกๆ #โลกเป็นอนัตตา
คือ ไม่เป็นตน และ
ไม่เป็นของตน
มันเห็นเช่นนั้นเอง
มันก็เลยไม่ยึดถือ
ไปยึดถือก็ไม่ไหว
ยึดถือไม่ได้ ยึดถือไม่ลง
เพราะมัน #เป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อจิตไม่ยึดถือก็
เป็นจิตที่ว่าง เพราะ
มันไม่ได้ยึดถืออะไร
จิตที่ว่างมันก็สบาย
บุคคลนั้นเมื่อสบาย
แล้วก็ไม่ไปทำ
อันตรายใครที่ไหนได้
ไม่เอาเปรียบใครได้
สามารถทำสิ่งที่เป็น
ประโยชน์ได้ดีด้วย
ที่ลืมตา จิตที่รู้
จิตที่ตรัสรู้ จิตที่รู้
อะไรอย่างแจ่มแจ้ง
ถูกต้อง มันก็ทำ
อะไรถูกต้อง
#ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ มันได้ผลว่า
- ข้อแรก มันเป็นสุข
คนนั้นไม่มีความทุกข์
- ข้อสอง ความมีอยู่
แห่งบุคคลนั้น มันก็
เป็นประโยชน์
แก่คนอื่นด้วย.."
กราบสาธุโอวาทธรรม
ท่านพุทธทาสภิกขุ
-----------------------------;
ที่มา: ตามรอยพุทธทาส
.นิพพานัง ปัจจโยโหตุ.
อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น
"ปุพฺเพ จาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ :
แต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี เราตถาคตบัญญัติเฉพาะเรื่องทุกข์ และเรื่องความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เท่านั้น."
"สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา :
เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) นั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
พุทธพจน์ ในพระไตรปิฎก
ป้องกันทุกข์
"มีสติ เมื่อมีอารมณ์มากระทบ
อย่าเผลอสติ อย่าให้เกิดอวิชชา ปรุงสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ชนิดที่จะไปเป็นทุกข์."
ดับทุกข์
"ที่แท้จริง มีอย่างเดียว คือ เอาอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)ออกไปเสียจากขันธ์ ๕ "
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จาก"อริยสัจสำหรับคนสมัยใหม่"
----------------------------------------------
ถ้าเรารู้สึก “เป็นทุกข์” ขึ้นมา
ดูให้ดีเถอะว่า...
ได้ไป“ยึด”อะไร เข้าให้แล้ว
พุทธทาสภิกขุ
--------------------
คำว่า "ทุกข์..เพราะยึดมั่น" เข้าใจง่ายกว่า
"การพูดว่า...ทุกข์ เพราะยึดมั่น นั้นถูกกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า กว่าที่จะพูดว่า "ทุกข์เพราะตัณหา" เพราะยึดมั่นสิ่งใดก็หนักอกหนักใจเพราะสิ่งนั้น และตามกฏ "ปฏิจจสมุปบาท" ก็กล่าวว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ-ชาติ-ทุกข์ นั่นคือ ตัณหาต้องปรุงเป็นอุปาทานเสียก่อน คือยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเกิดความหนัก และเป็นทุกข์ได้ ในบทว่า "ภารา หะเว ปัญจักขันธา ภาราทานัง ทุกขังโลเก" ดังนี้."
พุทธทาสภิกขุ
--------------------
การเกิด ภพ ชาติ "ตัวกู > ของกู" ในกระแสปฏิจจสมุปบาท
"คำ ชา-ติ (ชาติ)นี้
(๑)เกิดจากท้องแม่ก็ได้
(๒)เกิดจากกิเลส "อวิชชา" นี้ก็ได้
ชนิดหลังนี้เกิดจากอวิชชา เกิดจากกิเลส เกิดจากนามธรรม เป็น"ตัวกู-ของกู"ในความรู้สึก. ข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ใน "มหาตัณหาสังขยสูตร"...ว่า
"ยา เวทนาสุ นนฺทิ" แปลว่า ความเพลินใดในเวทนาทั้งหลาย;
"ตทุปาทานํ" = ความเพลินนั่นแหละ คือ อุปาทาน.
"อุปาทานปจฺจยา ภโว" = เพราะอุปาทานแห่งความเพลินนั้นเป็นปัจจัย ภพจึงเกิดขึ้น.
ฟังดูสิ! นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย, นั้นคืออุปาทาน. เมื่อใดเรามีเวทนา คือ ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ชนิดใดชนิดหนึ่งก็ตาม เราก็มีความรู้สึกพอใจเพลิดเพลินในเวทนานั้น โดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง
ถ้ามันเป็นทุกขเวทนา มันก็ไปเพลินโกรธเพลินเกลียดอยู่นั่นแหละ;
ถ้าเป็นสุขเวทนา มันก็ไปเพลินรักเพลินหลงใหลอยู่นั่นแหละ; ก็เรียกว่า "นันทิ" ด้วยกันทั้งนั้น.
เมื่อเข้าไปเพลินในเวทนานั้น นั่นแหละ คือ ตัวอุปทาน; และ อุปทานนั่นแหละให้เกิดภพ.
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า "ภพ" จึงเกิดที่นั่น เดี๋ยวนั้น เวลานั้น คือเมื่อจิตไปเพลิดเพลินในเวทนานั้น
ไม่ใช่ "ภพ" ต่อเมื่อเข้าโลงแล้วจึงจะมีภพ,ไม่ใช่,
มันเกิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือเมื่อใดมีเวทนาแล้วมีความเพลินในเวทนานั้น ความเพลินนั้นเป็น"อุปาทาน" เพราะอุปาทานนั้นเป็นปัจจัยจึงมีภพ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้.
ทีนี้ "ภวปจฺจยา ชาติ: เพราะภพนั้นเป็นปัจจัย ชาติความเกิดจึงมี. นี่คือ ความเกิด-ชาติชนิดที่ ๒ คือเกิด ตัวกู-ของกู เร่าๆอยู่; เป็นตัวกู-เป็นของกูเต้นเร่าๆอยู่นี้ เรียกว่า "ชาติ" ต้องมีชาติอย่างนี้เสียก่อนจึงจะมีความทุกข์ต่อไปได้."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "อิทัปปัจจยตา ฉบับปฏิภาค เล่ม ๑"
--------------------------------------
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
ไม่มีภพ ไม่มีชาติ
คือ ไม่มี “อุปาทาน” นั่นเอง
อุปาทาน(ความยึดมั่น)
เป็นเหตุให้ “เกิดทุกข์”
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ที่มา : ธรรมเทศนาเรื่อง การปล่อยวาง
----------------------------
ความยึดมั่น...ภพ กรรมภพ อุปปัตติภพ
“ภพ” คือ ภาวะชีวิตที่เราเป็นอยู่ในขณะนั้น เราเกิดความยึดมั่นในสิ่งใด เราก็เกิดภาวะในจิตใจหรือภาวะแห่งชีวิตของเราในสภาพอย่างนั้น เช่น บางคนอยากเป็นเศรษฐี ยึดมั่นในความเป็นเศรษฐี ใจก็คิดถึงแต่เรื่องเงินเรื่องทอง และภาพของความเป็นเศรษฐี ภาวะของจิตของเขาที่เป็นอยู่ขณะนั้นเป็นภพหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นจากความคิดนึกของเขา ถ้าคนเราเกิดความปรารถนาและยึดมั่นอะไรก็ตาม จิตในขณะนั้นก็จะมีสภาพของมันเป็นอย่างหนึ่งๆ โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่าภพหนึ่งๆ ภพมี ๒ อย่าง คือ กรรมภพ และ อุปปัตติภพ
“กรรมภพ” เป็นตัวกรรม
หมายถึง กระบวนพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล ตามปกติบุคคลย่อมมีความยึดมั่นในความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะมีภาวะชีวิตอันหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะตามภาวะที่ยึดไว้นั้น ภาวะชีวิตจะแสดงออกในรูปของพฤติกรรมทั้งหมดของเรา เช่นบุคคลผู้ซึ่งยึดมั่นในความเป็นเศรษฐี ในความเป็นคนมีเงิน ภาวะชีวิตในรูปของกรรมภพก็คือกระบวนพฤติกรรมของเขา ซึ่งเขาจะแสดงออกในรูปแบบของความเป็นเศรษฐีตามที่เขาเข้าใจ ถ้าเขาไม่เป็นเศรษฐีจริงเขาก็จะแสดงท่าทางอาการต่างๆ ออกมา ซึ่งเป็นอาการเทียมและมักเกินความจริง ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง อันเนื่องมาจากแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึกของเขา
“อุปปัตติภพ” เป็นภาวะชีวิต ที่ไม่ใช่ส่วนพฤติกรรม แต่เป็นภาวะในทางจิต คือ การที่จิตใจของเขาได้เข้าสู่สภาพที่มีลักษณะอย่างหนึ่งตามภาวะชีวิตที่เขายึดมั่นไว้นั้น”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จาก หนังสือ “ปรัชญาการศึกษาของไทย”
" ความสงบนี้มีอยู่สอง ประการคือ
ความสงบอย่างหยาบ อย่างหนึ่ง
และความสงบอย่างละเอียด อีกอย่างหนึ่ง
อย่างหยาบนั่นคือ
เกิดจากสมาธิที่เมื่อสงบแล้ว ก็มีความสุข
แล้วถือเอาความสุข เป็นความสงบ
อีกอย่างหนึ่งคือ
ความสงบที่เกิดจากปัญญา
นี่ไม่ได้ถือเอาความสุข เป็นความสงบ
แต่ถือเอาจิต...
ที่รู้จักพิจารณาสุข-ทุกข์ เป็นความสงบ
เพราะว่า...
ความสุข-ทุกข์นี้เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน
จะไม่พ้นจากจากวัฏฏะสงสาร
เพราะติดสุข-ติดทุกข์
ความสุข จึงไม่ใช่ความสงบ
ความสงบ จึงไม่ใช่ความสุข
ฉะนั้น ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้น
จึงไม่ใช่ความสุข
แต่ เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของความสุข-ความทุกข์ แล้วไม่มีอุปาทาน
มั่นหมายในสุข-ทุกข์ ที่มันเกิดขึ้นมา
ทำจิตให้เหนือสุข-เหนือทุกข์นั้น
ท่านจึงเรียกว่า...
เป็นเป้าหมายของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง
ฅน...
ที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักทุกข์นั้น
ก็จะเห็นว่า...สุข กับทุกข์นั้น
มันคนละระดับ มันคนละราคากัน
ถ้าผู้รู้ ทั้งหลายแล้ว
ท่านจะเห็นว่าสุขเวทนา กับทุกขเวทนา
มัน มีราคาเท่า ๆ กัน."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
ที่มา : มรรคสามัคคื)
เข้าใจพระพุทธศาสนาภายใน 10 นาที
1. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?
อริยสัจ 4 คือ
ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ คือความดับทุกข์
มรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
2. พระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องอะไร ?
ทุกข์กับการดับทุกข์
3. ภาพรวมของพระพุทธศาสนา .... มีดังนี้
3.1 ให้มองโลกตามความ
เป็นจริง (จริงขั้นสมมุติ=สมมุติสัจจ์,
จริงแท้=ปรมัตถสัจจ์) อาทิ
ตัวเรามีอยู่ แต่หาใช่ตัวตน
ที่แท้จริงไม่
3.2 ให้ถือทางสายกลาง
ทางตึง (ทรมานกายให้ลำบาก) ก็ดี, ทางหย่อน (ฟุ้งเฟ้อหลงใหล มัวเมา) ก็ดี, มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา
แนวทางของพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลางพอดี ๆ
3.3 ให้พึ่งตนเอง
มิใช่พึ่งเทวดา โชคชะตาราศี หรือ ดวงดาว ฤกษ์ยาม
3.4 ไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดูฤกษ์ยาม การเจิม ฯลฯ มิใช่พุทธศาสนา
3.5 สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) มิใช่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หรือพรหมลิขิต การจะดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุ
3.6 โอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน (โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ให้ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์
3.7 สิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา
แม้พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน หาใช่อัตตาตัวตนไม่
3.8 ให้เชื่อในหลักธรรม คือ ทำดี-ได้ดี, ทำชั่ว-ได้ชั่ว
ให้ทำตนอยู่เหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน (คือเหนือกรรม)
3.9 จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน (ได้แก่สภาวะจิตที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์)
3.10 สรุปธรรมทั้งปวง รวมลงในเรื่องเดียว คือ “ความไม่ประมาท”
4. การศึกษาธรรมะ 2 สมัย
4.1 สมัยปัจจุบัน คือ รู้จัก กับ รู้จำ .... อาศัยการฟัง อ่านค้นคว้า จึงมีความรู้อยู่ในสมองและในสมุด พูดธรรมะได้คล่องแต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ จึงได้ผลน้อย
4.2 สมัยพุทธกาล คือ รู้แจ้ง ... โดยเมื่อฟังและจำแล้ว ก็จะลงมือปฏิบัติ ทำจริงในขณะนั้นทันที ทำให้เกิดผลเป็นความรู้แจ้งเรื่องชีวิต ดับทุกข์ในขณะนั้นทันที
5. วิธีศึกษาพระพุทธศาสนา
เมื่อแรกพุทธปรินิพานนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งให้ถือเอาเป็นศาสดาแทนพระองค์ มีเพียง 2 คือ ธรรมและวินัย
หลังจากนั้นมา 300 ปี จึงเกิดมีพระไตรปิฎกขึ้น (สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก และอภิธรรมปิฎก) ..... บัดนี้ล่วงกาลมาถึง 2500 กว่าปี คำสอนเดิม ขั้นปรมัตถ์ค่อย ๆ หายไป หมดไป เกิดมีคำสอนใหม่ ๆ เป็นพุทธศาสนาเนื้องอกจับใส่พระโอษฐ์ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก
ดังนั้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาพึงอาศัยหลักดังนี้
– ด้านปริยัติ (ความรู้เนื้อหา)
ให้อ่าน ฟัง คิด วิจัย ให้เข้าใจคือให้ปฏิบัติได้จริง .... หากสงสัย ให้อาศัยหลักกาลามสูตรเข้าพิจารณาตัดสิน มิใช่เชื่อไปเสียหมด
– ด้านปฏิบัติ
การปฏิบัติทุกอย่างของพระพุทธศาสนาไม่ว่าการทำทาน รักษาศีล ภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ทำเพื่อ “ละกิเลส” มิใช่เพื่อเอา หวังได้นั่นได้นี่ อันทำให้ยิ่งเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งหาใช่พุทธศาสนาไม่
ทุกวันนี้ไหว้เพื่อเอา เพื่อขอ ทำบุญเพื่อเอาสวรรค์ นิพพาน หวังผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า ซึ่งจะกลายเป็นพอกกิเลสยาวนาน
– ด้านปฏิเวธ (ผล)
ทำเพื่อละ จะพบนิพพาน (จิตบริสุทธิ์ มีความสะอาด สว่าง สงบ) แต่ถ้าทำเพื่อเอา จะพบกิเลสในตนพอกพูนยิ่งขึ้น ๆ ยาวนาน และยิ่งมีทุกข์มาก .... ดังนั้น จงมุ่งปฏิบัติเพื่อห่างไกลทุกข์โดยส่วนเดียว ให้ได้เห็นผลด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก)
6. จะศึกษาพุทธศาสนาได้
ที่ไหน ?
ให้ศึกษาในร่างกายของเราเองนี้ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิใช่จะต้องศึกษากับพระ และในวัดวาอารามเท่านั้น
จึงควรศึกษาตนเอง อย่ามัวแต่ศึกษานอกตัว หรือมัวติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือได้แต่ทำตาม ๆ เขาไป จะเสียทีที่ได้มีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ลิ้มรสแค่เปลือกกระพี้ มิได้ชิมรสอันเป็นเนื้อใน อันได้แก่ธรรมรสของความเย็นอกเย็นใจ (นิพพาน)
7. เหตุแห่งทุกข์และ
การดับทุกข์
เหตุเกิดจากอุปทาน คือ การเข้าไปยึดถือว่า นี่คือ
ตัวตนของเรา นี่ของๆ เรา
การดับ โดยละอุปทานเสีย
(โดยพยายามปฏิบัติให้ “เห็นอนัตตา”) จะโดยบังคับจิตเป็นสมาธิ (เจโตวิมุตติ) หรือโดยพิจารณาธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก็ได้
8. พุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
คำว่า “เห็นธรรม” คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือ วงจรที่ทุกข์เกิด และดับ โดยเริ่มต้นจากอวิชชา จนเกิดทุกข์
9.จุดหมายสูงสุดของ
พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน
(สภาวะจิตที่สงบเย็น)
ปราศจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวง (ชาวบ้านพูดว่า เย็นอก เย็นใจ) หาพบได้ที่ใจตัวเอง
10. สรุป ... ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต พึงรักษาจิตให้เป็นประภัสสรไว้เสมอ ระวังการกระทบ (ผัสสะ) ทางตา หู ฯลฯ ให้ดี มีสติรู้ทันว่า…เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน อย่าให้เวทนา ตัณหา เกิดได้ แล้วท่านจะพบความสงบเย็นตลอดเวลา
ความทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ... ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ... ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ
..... (จากธรรมสมโภช 80 ปี พุทธทาสภิกขุ) .....
ในการภาวนา
สิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ ' ตัวรู้ '
ในการภาวนา
เราจึงต้องมุ่งพัฒนาตัวรู้
นักภาวนาส่วนใหญ่
อยากให้จิตสงบ
.
ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักความสงบ
นึกเอาเองว่าความสงบ คืออาการผ่อนคลาย ไม่คิดอะไร ความสงบแบบนี้ก็มีเหมือนกัน หลวงปู่มั่นเรียกว่า สมาธิหัวตอ ไม่ใช่สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า
.
ในการภาวนา
สิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ ' ตัวรู้ '
ในการภาวนา
เราจึงต้องมุ่งพัฒนาตัวรู้
คือ ( จิต )
ให้พ้นจากการรู้ผิดรู้ถูก
อย่างลูบๆ คลำๆ
ให้เป็นผู้รู้ตามความเป็นจริง
สมาธิไม่ใช่อาการเฉย
เพราะไม่รับรู้สิ่งใดเลย
สมาธิ คือ
เฉยเพราะรู้เท่าทันอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง มั่นคง เพราะรู้ ตื่น เบิกบาน
.
พระอาจารย์ชยสาโร