เมื่อไม่มีเราแล้ว สรรพสิ่งนั้นไม่มี หากไม่มีเราเสียแล้ว อย่างอื่นก็จะไม่มีอีก
ให้พิจารณาร่างกายดังนี้ ร่างกายนี้ มีโครงสร้างของมัน ประกอบด้วยธาตุ ขันธ์ ทั้งหมด รวมมาเป็นร่างกาย ที่เรียกว่า * เรา *
แต่วันนี้เราจะสลายมันไปให้หมด มันจะไม่มีอีกแล้ว มันจะดับลงไปแล้ว แล้วถ้าสมมุติว่าวันไหนถ้าเราตายไป ธาตุที่เป็นขันธ์ ๕ เป็นร่างกายของเรานี้ก็จะดับสูญไป
ให้เราสมมุติว่าเรานั้นเหมือนคนตายที่ว่างเปล่า ดับสูญแล้ว ไม่มีร่างกายอีกแล้ว แล้วให้ท่องคำว่า..
** ข้างนอกว่าง **
ดับกายไปแล้วก็ยังเหลือจิต
จิต ที่เรียกว่าเป็นกายภายใน ที่จะต้องเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนไปในภพต่างๆ ยังเหลือจิตตรงนั้นอีก
หากว่าจิตตรงนั้นยังไม่ว่าง ยังไม่ดับ ยังไม่จบ เราก็ยังจะ " มีเรา " อยู่อีก
ยังจะมีที่ไปยึดเหนี่ยว ยึดติด มีที่ที่ต้องไป เมื่อมีที่ที่ต้องไป ก็ยังมีที่ที่ต้องมาอีก
ตราบใดก็ตามที่ยังมา มีอยู่นั้น ย่อมไม่มีทางที่จะหลุดพ้น
ให้ลูกพิจารณาจิตกายภายใน แล้วหาดูว่า จิตข้างในของเรานั้น เป็นลักษณะแบบไหน
อาจมีกายเป็นเทวดา เป็นดวงจิตเล็กๆ หรือจะเป็นในรูปแบบเงาใสๆ จะเป็นแบบไหนก็ดี ตามระดับฌานของแต่ละคน
ให้กำหนดไปที่จิตข้างในอีกทีว่า “ว่าง”
หากว่า ว่างของนอก แต่ไม่ว่างข้างในนั้น ก็ยังไม่ไปถึงที่สุด ฉะนั้น เมื่อตัดข้างนอกแล้ว ไม่มีกายสังขาร ทุกอย่างไม่มี..ว่างเปล่า
เมื่อ จิตไม่มี ไม่มีแล้ว ไม่มีกายภายใน ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน
ไม่มีอะไรเป็นของเราอีกแล้ว ข้างในก็มีแต่ความว่างเปล่า เราก็จะว่างเปล่าไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ท่องว่า ..
** ว่าง ข้างในก็ว่าง **
ดับกายไปแล้วก็ยังเหลือจิต
จิต ที่เรียกว่าเป็นกายภายใน ที่จะต้องเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิด วนเวียนไปในภพต่างๆ ยังเหลือจิตตรงนั้นอีก
หากว่าจิตตรงนั้นยังไม่ว่าง ยังไม่ดับ ยังไม่จบ เราก็ยังจะ " มีเรา " อยู่อีก
ยังจะมีที่ไปยึดเหนี่ยว ยึดติด มีที่ที่ต้องไป เมื่อมีที่ที่ต้องไป ก็ยังมีที่ที่ต้องมาอีก
ตราบใดก็ตามที่ยังมา มีอยู่นั้น ย่อมไม่มีทางที่จะหลุดพ้น
ให้ลูกพิจารณาจิตกายภายใน แล้วหาดูว่า จิตข้างในของเรานั้น เป็นลักษณะแบบไหน
อาจมีกายเป็นเทวดา เป็นดวงจิตเล็กๆ หรือจะเป็นในรูปแบบเงาใสๆ จะเป็นแบบไหนก็ดี ตามระดับฌานของแต่ละคน
ให้กำหนดไปที่จิตข้างในอีกทีว่า “ว่าง”
ตัดข้างนอกแล้ว ไม่มีกายสังขาร ทุกอย่างไม่มี..ว่างเปล่า
เมื่อ จิตไม่มี ไม่มีแล้ว ไม่มีกายภายใน ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน
ไม่มีอะไรเป็นของเราอีกแล้ว ข้างในก็มีแต่ความว่างเปล่า เราก็จะว่างเปล่าไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ท่องว่า ..
** ว่าง ข้างในก็ว่าง **
ไม่มีเราอีกแล้ว ญาติก็ไม่มี เพื่อนฝูง พี่น้อง ปัญหา การงาน การเงิน เจ้ากรรมนายเวร ลูกหลานทั้งหลาย ไม่มีในเราอีกแล้ว เพราะขนาดตัวของเราก็ไม่มีเรา
ข้างนอกว่าง ว่างเว้นจากสรรพสิ่ง ว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรอีกแล้ว เพราะไม่มีเรา ไม่มีของของเรา
*** หากว่าจิตของเราไม่มีแล้ว สรรพสิ่งก็ย่อมไม่มีอีก ***
ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่าง ท่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อย่าไปสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย การที่เรานั้นยังติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ
ติดอยู่กับอะไร เราก็จะเป็นทุกข์อยู่กับอันนั้น
ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ การว่างเปล่า ว่างเว้นจากความมีตัวตน ว่างเว้นจากการมีสรรพสิ่ง.. ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา **
กรรมฐานนี้จะนำพาลูกไปถึงความว่างเปล่า ความไม่มี ความดับสูญ จากการต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง
ลูกจะว่างเว้นจากการต้องการ ต้องการแล้ว ก็จะว่างเว้นจากความสุข ความทุกข์ที่จะมาปนเปื้อนกับเรา
เรานั้นก็จะมีพลังบุญที่มีความสุข เกิดมาจากจิตกายภายในอย่างแท้จริง เรียกว่า นิพพาน
หากว่าลูกนั้นฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆ จะทำให้ลูกเข้าถึง
สภาวธรรมของนิพพาน คือ การว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง
คือ การเบา สบาย ไม่มีอะไรแล้วสักสิ่งสักอย่าง ที่จะทำให้เป็นทุกข์ แล้วก็จะเกิดสติปัญญาขึ้นมาว่า
หากมีอะไร ก็ทุกข์เพราะอันนั้น
เมื่อเกิดสติปัญญาเช่นนั้นแล้ว ลูกก็จะพิจารณาไปถึงว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมีขึ้นมาเพราะว่า มีเรา
หากว่า "ไม่มีเรา" เสียแล้ว สรรพสิ่งย่อมไม่มี
เหตุเกิดอยู่ที่ไหน ดับที่เหตุนั้น
เหตุเกิดที่เรา จงดับที่เราเถิด
เราจะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ไม่มีอะไรอีกแล้ว ทุกสิ่งกำหนดไว้ที่ความว่างเปล่า แล้วหลับตาลง นึกขึ้นมาว่า
** ข้างนอกว่าง ข้างนอกว่าง **
ข้างนอกว่างนี้ หมายถึง กายที่เป็นเป็นกายเนื้อของเรา ว่างเปล่า ไม่มีร่างกาย ไม่มีชื่อ
เมื่อไม่มีเราแล้ว สรรพสิ่งนั้นไม่มี หากไม่มีเราเสียแล้ว อย่างอื่นก็จะไม่มีอีก
วันนี้...เราจะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา ไม่มีอะไรอีกแล้ว ทุกสิ่งกำหนดไว้ที่ความว่างเปล่า แล้วหลับตาลง นึกขึ้นมาว่า
** ข้างนอกว่าง ข้างนอกว่าง **
ข้างนอกว่างนี้ หมายถึง กายที่เป็นเป็นกายเนื้อของเรา ว่างเปล่า ไม่มีร่างกาย ไม่มีชื่อ
ความทุกข์ทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย หนี้สินทั้งหลาย ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ภาระทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนั้น เพราะว่า " มีเรา "
... เมื่อมีเราเกิด จึง(1)มีความทุกข์ (2)มีสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นตามเรามา แล้วจึงเป็นเหตุให้เราทุกข์อยู่อย่างนี้
"สมถะนั้น
มีวัตถุประสงค์เพื่อทำจิตที่ไม่สงบให้เกิดความสงบ
เพื่อทำจิตที่ไม่มีความสุขสบายให้เกิดความสุขสบาย
และเพื่อทำจิตที่เป็นอกุศลให้เปลี่ยนเป็นจิตที่เป็นกุศล
ส่วนวิปัสสนานั้น
ไม่ได้ฝึกเพื่อสิ่งเหล่านี้
แต่ฝึกเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
หรือฝึกเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจเท่านั้นเอง"
....................................................................................
☆ไม่ว่าเราจะทำสมถะหรือวิปัสสนา
เราก็ต้องมีสัมปชัญญะ
รู้ชัดว่าเราจะทำกรรมฐานชนิดใด
และต้องรู้ด้วยว่าเราจะทำกรรมฐานนั้นๆเพื่ออะไร
ซึ่งสมถะนั้น
มีวัตถุประสงค์เพื่อทำจิตที่ไม่สงบให้เกิดความสงบ
เพื่อทำจิตที่ไม่มีความสุขสบายให้เกิดความสุขสบาย
และเพื่อทำจิตที่เป็นอกุศลให้เปลี่ยนเป็นจิตที่เป็นกุศล
ส่วนวิปัสสนานั้น
ไม่ได้ฝึกเพื่อสิ่งเหล่านี้
แต่ฝึกเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
หรือฝึกเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจเท่านั้นเอง
กายกับใจหรือขันธ์ ๕ นี่แหละ
คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ทุกข์"
และ "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้"
เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพวกเรา
ก็คือการรู้กายรู้ใจเนืองๆ
หรือที่เรียกว่าการเจริญวิปัสสนานั่นเอง
ต้องรู้เนืองๆ จนเกิดปัญญารู้ความจริงของกายของใจ
ปัญญาชนิดนี้เรียกว่า ☄สัมมาทิฏฐิ
อันเป็นปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ
ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าเมื่อไหร่เรามีปัญญาเห็นว่ากายกับใจ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือไม่ใช่ตัวเราอย่างแท้จริงแล้ว
เมื่อนั้นจิตจะปล่อยวางความยึดถือกายและใจลงได้
แล้วประจักษ์ถึงนิพพานโดยอัตโนมัติ
คนที่หัดดูกายดูใจมากๆ จนวันหนึ่งเห็นว่า
กายกับใจไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงธาตุ เป็นขันธ์
เป็นส่วนหนึ่งของโลก ไม่ใช่ของเรา
เห็นว่าตัวเราที่แท้จริงไม่มี
อันนี้จะได้ ☄พระโสดาบัน☄
ถ้าเฝ้ารู้กายรู้ใจต่อไป
จนปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจได้
เรียกว่า ☄พระอรหันต์☄
เพราะฉะนั้น พระอรหันต์
ไม่ใช่คนที่ฝึกจิตให้ดีถาวร ให้สุขถาวร ให้สงบถาวรได้
เพราะท่านไม่ได้มุ่งเอาสิ่งเหล่านี้
ความสุข ความสงบ ความดี อะไรทั้งหลาย
เป็นเรื่องของโลก
แต่พระอรหันต์ คือท่านที่รู้ความจริงของกายของใจ
จนหมดความยึดถือกายและใจ
ฉะนั้น เราต้องเจริญวิปัสสนา
คือเรียนรู้กายและใจตนเอง
จนเข้าใจความเป็นจริงแล้วปล่อยวาง
☄ความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
อยู่ตรงที่ปล่อยวางได้นี่แหละ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
# น้ำในถ้วย..!
‘...ทิฏฐิ คือความเห็นและความนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวง เกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หลายๆ ท่านที่มาที่นี่ มีตำแหน่งการงานสูงในสังคม บางคนเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือได้ปริญญาต่างๆ ครูและข้าราชการสมองเขาเต็มไปด้วยความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ...
...เขาฉลาดเกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น เปรียบเหมือนน้ำในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรกอยู่เต็ม ถ้วยนั้นก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้นก็จะใช้ประโยชน์ได้ ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฏฐิ แล้วท่านจึงจะได้เรียนรู้ การปฏิบัติของเรานั้นก้าวเลยความฉลาดหรือความโง่ ถ้าท่านคิดว่า " ฉันเก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่คนโต ฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งทั้งหมด"
...เช่นนี้แล้ว ท่านจะไม่เห็นความจริงในเรื่องของอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน ท่านจะมีแต่ตัวตน ตัวฉัน ของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือการละตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์ เป็นความดับสนิท คือนิพพาน..ฯ’
• ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร[หลวงปู่ชา สุภัทโท]
: จากหนังสือ เหมือนกับใจคล้ายกับจิต
เวลาปฏิบัตินี่
อยากเน้นสภาวธรรมเข้าไปหาจิต
คือจริงๆ แล้ว ถ้ามันไม่เห็นความจริงนะ
มันละอุปาทานไม่ได้
ต้องมาเห็นความจริงว่า “ไม่มีเรา”
“มีเรา”
ที่เห็นว่าเป็นเรา... เป็นเรานี่
ความ-หลง-ผิด ทั้งหมด
นี่คือ "ตัวอวิชชา" ที่แท้จริง
มีอวิชชาเมื่อไหร่....
มีกิเลส มีตัณหา มีอุปาทาน
มาด้วยกันหมด
ถ้าจะแก้... ก็แก้ต้นเหตุมันตรงนี้
คือ "ความหลง" ตรงนี้
แล้วมาได้ยินได้ฟังธรรมแล้ว
จะให้มันหลุดไปเลย
ยัง... จิตนี่มันซื่อบื้อเข้าใจมั้ย
ได้ยินได้ฟังก็จริง
แต่มันเอาปัญญาของพระพุทธเจ้าเข้ามา
พอสอนได้ชั่วครั้งชั่วคราว
ไม่เป็นไร... ไม่มีเรา.... พูดได้
แต่เวลาจริงๆ ทำได้มั้ย
ไม่รู้ "ตัวกู" มาจากไหน
เพราะฉะนั้น "ทางออก"
ต้องปฏิบัติ.... รู้ความจริงให้ได้
นี่คือเป้าหมาย
รู้ความจริงสูงสุด ละตัวตนได้
ละกิเลส ตัณหา อุปาทานได้
จิตมีธรรมเต็มที่เพราะมันรู้ธรรมเต็มที่
พ้นทุกข์ได้ ถึงพระนิพพานได้
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร
ไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนสิ่งใด
ไม่ต้องหวังให้ใครมาช่วย
หนทางสายนี้ ขอให้บากบั่น
ตามรอยแห่งองค์พระสัมมา
ที่ทรงชี้ทางไว้ดีแล้ว
ทุกข์นั้นเกิดที่ใจของเรา
เพราะมีเราในใจจึงมีทุกข์
ละเราออกจากใจเสีย
ก็เหลือเพียงธรรม......
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ผู้หวังพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ปัญหาไม่มีมาก
ผู้จะอวดดีอวดเด่น ในวัฏฏสงสาร ปัญหามันก็มาก
สิ่งไหนมันไม่สมประสงค์ก็ยิ่งยุ่งขึ้นมาใหญ่
เพิ่มปัญหาขึ้นอีกพูนทวี เพราะในวัฎฎสงสาร
มันไม่สมประสงค์กับใคร นอกจากจะทำจิตทำใจ
ให้คลาย ให้เบื่อ ให้หน่าย ให้หลุด ให้พ้น ไปเท่านั้น
จะทำให้มันอยู่ในวงแขนนั้น มันไม่อยู่เสียแล้ว
มันไม่อยู่ในวงแขนของใคร
เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว
เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจัง
เห็นทุกข์ขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว
เพราะโลกเต็มไปด้วยความทุกข์
เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเขา เพียงแต่สักว่า รูปขันธ์ นามขันธ์
เกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนดับสลาย เป็นสักแต่ว่าสังขาร
เพียงแค่ขณะจิตเดียวก็เห็นโลกรอบแล้ว
ไม่ต้องสงสัยในโลกทั้งปวง
ถ้าเห็นชัด ถ้าเห็นไม่ชัดก็ไม่ตัดความสงสัย
ถ้าเห็นชัดก็ตัดความสงสัย
_________________________
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
พระยาธรรมิกราชได้มองเห็นรูปกาย ของมารทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน จึงมีความสงสัยในรูปกายของมาร จึงได้เข้าเฝ้าทูลถามต่อพระพุทธองค์
ดวงจิตที่ตั้งใจทำความดี กำลังถูกขัดขวางการสร้างบารมี จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ให้ผ่านบททดสอบ ฟังธรรมคลิปนี้ จะมองเห็นประโยชน์ของมาร (มีมาร มีเรา)
มีสิ่งกระทบเข้ามาผ่านหูตา จมูกลิ้นกายใจ ไม่ว่าจะผ่านมาทางใด มันติดอยู่ในความคิด สลัดออกไปไม่ได้ จึงกลายเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจ จะมีวิธีการอย่างไร ที่จะถอดถอนความทุกข์
ท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
นำเจริญพระกรรมฐาน
หลังทำวัตรเช้า ๒๓ กันยายน ๒๕๖๑
เรื่องทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วก็ดับหมด ไม่มีในปัจจุบัน ปัจจุบันมีอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็ให้รู้หายใจเข้า หายใจออกก็ให้รู้หายใจออก ลมหายใจที่เข้าออก หายใจเข้าก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หายใจออกก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาศัยลมเป็นเครื่องระลึกของสติ ไม่ต้องตั้งความคาดหวังอะไรทั้งปวง
ให้เจริญสติเฉพาะหน้า สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ทำความรู้สึกรู้ตัวอยู่ สงบก็ให้รู้ ไม่สงบก็ให้รู้ ทำจิตใจให้สบาย สิ่งใดเป็นความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ความคับข้อง ให้สลัดทิ้งหมด มันเป็นสิ่งภายนอกจิตหมด
ธรรมชาติจิตนั้นมีแต่รู้อยู่เฉย ๆ รู้แล้วก็ดับไป รู้แล้วก็ดับไป แต่สติปัญญาที่ไม่รู้เท่าทันมัน จึงไปนำสิ่งเหล่านั้นมาสำคัญว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา จึงหลงยินดียินร้ายไปกับตัวสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมา จริง ๆ แล้วภายนอกทั้งหมดก็ไม่มีอยู่ในใจ สิ่งที่มีอยู่ในใจก็แค่สังขารกับความรู้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ต่อเนื่องเป็นสาย ไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นตัวเราที่แท้จริง สิ่งภายนอกไม่มีอยู่ในใจ ว่างจากในใจหมด แต่ความไม่เห็นแจ้งในความจริงเหล่านี้ จึงสำคัญผิด จึงเห็นผิด จึงรู้ผิด ว่ามันมีอยู่ จิตจึงถูกย้อมด้วยความหลง ด้วยความรู้ไม่เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต จึงเรียกว่าหลงสมมติ
สมมตินั้นเป็นแค่ภาพ เป็นแค่สิ่งที่แทนให้รู้ภายนอก เป็นเครื่องหมายให้รู้ภายนอก ถ้าจะพูดภาษาอังกฤษ ก็เหมือนเป็น symbol ให้รู้ภายนอกเท่านั้น จริง ๆ สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่ในใจจริง นั้นให้ยอมรับความจริง สำเหนียกจุดนี้ให้มาก
เมื่อสำเหนียกเห็นตรงนี้แล้วก็ให้ยอมรับ ถ้ายอมรับก็เรียกว่าเคารพธรรมนั่นเอง เมื่อยอมรับแล้ว จิตนั้นจะไม่ดิ้นรน เพราะมันไม่กอบด้วยความหลง เมื่อไม่มีความหลงก็ไม่มีความดิ้นรนไปทั้งพอใจไม่พอใจ เพราะเห็นว่าสิ่งที่รู้ขึ้นมาในจิตนั้นเป็นสิ่งสมมติหมด เรื่องราวทั้งหมดเป็นสิ่งภายนอกหมด ไม่มีอยู่ในใจจริง
ตั้งสติให้ตั้งมั่น ให้ดูมัน สมาธิตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวกับความรู้ภายในทั้งหมด ถ้าสติตั้งมั่น สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็จะเห็นแจ้งความจริงของสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นแล้วดับไปหมด ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวตนของเรา เรียกว่าอนัตตาธรรม
ถ้าเห็นดั่งนี้ ความว่างจากความเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ก็อยู่ตรงนั้นนั่นเอง สมมติมีอยู่ เมื่อไม่เอามัน ก็เท่ากับว่างจากสมมติตรงนั้น ความรู้มีอยู่ ถ้าไม่เอามัน ไม่หลงมัน ก็เท่ากับว่างจากความรู้ตรงนั้นนั่นเอง จิตที่ประกอบด้วยสติสมาธิปัญญาเห็นแจ้ง จึงเป็นจิตที่อิสระ จิตที่ปล่อยวางนั่นเอง
พระอาจารย์นำเจริญพระกรรมฐาน
หลังทำวัตรเช้า ๒๓ กันยายน ๒๕๖๑
“เรื่องภายในของผู้ปฏิบัตินั้น เราก็ต้องตั้งชัยสมรภูมิเราให้มั่นคง การตั้งอยู่ในกายเวทนาจิตธรรมนั้นมันก็ถูก แต่มันต้องมีอุบายแยบคาย ถ้าเราตั้งจิตเราไว้ว่าสิ่งใดที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราจะศึกษาหาความจริงของสิ่งนั้น ไม่มุ่งไปเพื่อยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราตั้งจิตไว้อย่างนี้ก็เรียกว่าอัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ อันนี้เท่ากับชัยสมรภูมิของตัวปัญญาที่จะก้าวเดินออกมาได้ เท่ากับเราตั้งหลักไว้เพื่อรบแล้วนะ
สิ่งใดมากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจหรือต้องประสบกับเหตุการณ์ใดก็ตาม เราไม่ตั้งเพื่อยินดีเพื่อยินร้าย แต่เราตั้งเพื่อจะศึกษาหาความจริงของสิ่งนั้นให้รู้แจ้งในสภาวธรรมในจุดนั้น
ถ้าเราตั้งอย่างนี้แล้วเพียรทำอย่างนี้ มันจะดึงทุกอย่างเข้ามาโดยอัตโนมัติ คือสติก็จะมาในนี้หมด สมาธิก็จะมาตั้งมั่น ปัญญาก็จะงอกเงยออกมาได้ ความกระทบกระเทือนจากสภาวธรรมทั้งหลายที่ความหลงมันใช้งานอยู่ก็จะลดลงทันที มันจึงตรงที่เคยแนะนำไว้ว่า รู้ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย รู้ให้รู้เหตุปัจจัยจะได้ปฏิบัติให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัยนั้น
อันนี้เป็นเรื่องภายนอก การปฏิบัติให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัยนั้น อันนั้นเป็นเรื่องภายนอกที่สติปัญญาทำหน้าที่เต็มเปี่ยม แต่รู้ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้ายก็เพราะความรู้เหล่านั้นมันว่างจากสมมติสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันนี้เป็นส่วนปรมัตถ์ ส่วนที่จะปฏิบัติให้เหมาะสมนั้นเป็นส่วนของสมมติ ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้
เพราะฉะนั้นถ้าเราตั้งอย่างนี้ สภาวธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ตาม มันเป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเอาประโยชน์จากมันทุกด้าน เหมือนขี้มันเหม็น เราก็เอาประโยชน์มันไปทำปุ๋ย ไม่ได้รังเกียจมัน ฮึ ทองคำมันดี เราก็เอาประโยชน์ไปทำเป็นภาชนะ ทำแผ่นทอง ทำบันทึก ทำสร้อยคอ ทำอะไร เราก็เอาประโยชน์จากมัน สิ่งไหนขึ้นมาก็เอาประโยชน์จากสิ่งนั้นหมด แล้วก็เอาทำประโยชน์เกื้อกูลตนและผู้อื่นนั่นเอง
ถ้าเราตั้งอย่างนี้มันเป็นชัยสมรภูมิที่ตั้งของปัญญาที่จะก้าวเดินออกมา แล้วมันจะเป็นอีกตัวหนึ่งคือ อัตตนา โจทยัตตานัง ตนเตือนตน เมื่อเราตั้งอย่างนี้แล้ว สิ่งใดมาสัมผัสมันก็จะเตือนตัวเอง ถ้าเผลอไปมันก็เตือนตนเองว่ามันเผลอแล้วนะ มันไม่ใช่เจตนาที่เราตั้งที่จะศึกษาหาความจริงของมัน ทำอย่างนี้ก็เท่ากับว่าหัดยกจิตขึ้นสู่ไตรลักษณ์นั่นเอง ทำอย่างนี้ก็เท่ากับมันแยกออกจากขันธ์ ๕ นั่นเองในนัยยะนะ ทำอย่างนี้ก็เป็นตัวที่จะให้สติตั้งมั่น สมาธิตั้งมั่น ให้ปัญญาออกมาก้าวเดิน ถ้าทำอย่างนี้ได้มันก็ก้าวหน้าได้
แล้วดูอีกมุมหนึ่งเวลาความคิดนึกปรุงแต่งทั้งหมดมันเป็นตัวตัณหานะ ถ้าเราตั้งเพื่อพิจารณาหาความจริงก็เท่ากับหัดออกจากตัวตัณหา หัดออกจากอวิชชา หัดออกจากขันธ์ ๕ นั่นเอง”
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “ชัยสมรภูมิของปัญญา”
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗
“พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีภิกษุไปทูลถาม
ใครทำให้เราทุกข์พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่มี เขาทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มี เราทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มี
ทั้งเขาทั้งเราทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มี
ก็เลยถามพระพุทธเจ้ากลับใหม่ ทุกข์มีจริงไหม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ามี ก็เลยถามอีก ในเมื่อพระองค์ตอบว่าทุกข์มีจริง แล้วข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ว่าใครทำให้เราทุกข์ ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมีวิสัชนาตอบ เธอตั้งคำถามเราตถาคตผิด เธอต้องตั้งคำถามเราใหม่ว่า ทุกข์มีเหตุปัจจัยให้เกิดไหม ถ้าเธอตั้งคำถามประโยคนี้ เราตถาคตจะบอกเธอว่ามีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยที่ทำให้ทุกข์เกิดคืออวิชชา
อวิชชาคือความไม่รู้แจ้งในสภาวธรรมที่ตั้งเฉพาะหน้านั่นเอง ที่พูดให้ฟัง ไม่ใช่เขาในความรู้ ไม่ใช่เราในความรู้ เห็นไหม เพราะเขาในความรู้ก็ไม่มี เราในความรู้ก็ไม่มี มันเป็นแค่สัญญา หมายรู้ภาพ หมายรู้เสียง หมายรู้เรื่องราวภายนอกที่เป็นเขาเป็นเราเฉย ๆ เข้าใจยัง
การที่เราไม่เห็นแจ้งในสัญญาที่หมายรู้ ก็เรียกว่าอวิชชามันเกิด เราจึงสำคัญความรู้ตรงนั้นเป็นเขาเป็นเรา เราเลยไปโทษว่าเขาทำให้เราทุกข์ เราทำให้เราทุกข์ นี่ไง เราโกหกตัวเองไง เราไปเบียดเบียนตัวเอง แล้วก็ไปเบียดเบียนข้างนอกไง
การที่เราไม่เห็นแจ้งสภาวธรรมว่ามันไม่มีเขาไม่มีเราตรงนั้นนั่นล่ะ จึงไม่มีเขาไม่มีเราทำให้เราทุกข์ ที่ทำให้เราทุกข์ทั้งหมดอยู่ตอนนี้คืออะไร ก็คือตัวไม่เห็นแจ้งสภาวธรรม คือตัวอวิชชานั่นเองมันหลอกเรา นี่ นี่คือพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าแสดง อาตมามาแตกอรรถเข้าไปข้างในให้เห็นชัด ๆ นี่
เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ จึงอย่าไปโทษคนอื่น ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ ที่เราทุกข์ทั้งหมด เพราะเราไม่เท่าทันไม่รู้แจ้งสภาวธรรมที่ตั้งมั่นต่อหน้าเรานั่นเอง ปัญญาเราไม่เกิดนั่นเอง เพราะนั้นเหตุที่เราต้องทำก็คือเจริญตัวปัญญานั่นเอง เจริญตัวปัญญาได้ต้องเจริญตัวสติ ถ้าสติไม่มี ปัญญาไม่มี จะทำสมาธิละเอียดไปถึงฌานสมาบัติ ได้อภิญญา รู้เห็นหูทิพย์ตาทิพย์ แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ รู้วาระจิตคน ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ลงนรกได้หมด เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ ตัวพ้นทุกข์คือตัวปัญญา ต้องเห็นแจ้งสภาวธรรมตรงนี้
เมื่อเห็นแจ้งตรงนี้จึงเห็นว่า ไม่ว่ากายเวทนาจิตธรรมสักแต่ว่าญาณคือความรู้ สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่สติอาศัยระลึก เมื่อเห็นดั่งนี้ จึงว่างจากกายเวทนาจิตธรรมหมด เป็นแค่วิญญาณขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เวทนาขันธ์เท่านั้น เมื่อว่างหมด จึงไม่หลงไปตามความรู้ตรงนั้น เมื่อไม่หลงความรู้ตรงนั้น คำว่าทิฏฐิความเห็นจึงเกิดไม่ได้ เมื่อไม่มีเขาไม่มีเราเป็นที่รักที่ชัง ความเห็นจะยินดียินร้าย ความชอบใจจะไปยินดียินร้ายก็เกิดไม่ได้ ทิฏฐิตรงนั้นก็เกิดไม่ได้ เมื่อทิฏฐิเกิดไม่ได้ ตัณหาก็เกิดไม่ได้ ตัณหาเกิดไม่ได้ เธอย่อมไม่ถือมั่นในโลกนี้ไง เมื่อไม่ถือมั่นทั้งรูปทั้งนามหมด มันก็ไปเจอะแห่งความว่างเปล่าคือพระนิพพานนั่นเอง”
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "การฝึกจิตเพื่อให้เห็นความจริง”
เมื่อเราเจริญพระกรรมฐานอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราไปยึดไปพอใจต้องวาง..ละทุกอารมณ์ วางทุกตำรา ถ้าเราไม่วางแล้ว..มันก็ยังมีอัตตาอยู่ มีน้ำหนักอยู่ มีความพอใจไม่พอใจอยู่อย่างนี้ เมื่อยังมีอัตตาอยู่มันจะเกิดอนัตตาคือความว่างไม่ได้ เมื่อมันไม่เกิดอนัตตาแล้วมันจะไปเห็นทุกข์ เห็นความเบื่อหน่าย เห็นความไม่เที่ยงได้อย่างไร เพราะยังมีอัตตาอยู่
เมื่อมีอัตตาอยู่ย่อมมีอวิชชาอยู่ เมื่อมีอวิชชาอยู่จิตที่จะเข้าไปปรุงแต่งในอุปาทานยึดในขันธ์มันก็เกิดอยู่ มันเกิดจากความจำเวทนายึดมั่นถือมั่นอยู่..อย่างนี้จะเกิดนิโรธคือการดับของอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเราวางทุกอย่างจิตเราสงบแล้ว..ด้วยอำนาจอุบายแห่งการเจริญเมตตาจิตก็ดี ด้วยการอโหสิกรรมก็ดี อภัยทานก็ดีเหล่านี้ มันจะช่วยทำให้เรานั้นลดอัตตาตัวตนลงไป ด้วยอำนาจของจิตที่เกิดจากความเมตตาของเรา..จนเข้าถึงจิตนั้นเป็นอนัตตา..คือไม่มีตัว ไม่มีตน
อันว่าไม่มีตัว..คืออะไร..ไม่มีเรา ไม่มีตน..คืออะไร..ไม่มีมานะทิฏฐิ แต่จงเอามานะทิฏฐิตัวตนนี้ทำลายอัตตาตัวตน คือเอาชนะใจตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จงเอาชนะใจตัวเอง เอามานะทิฏฐิที่เรามีอยู่นี้แลเอาชนะตนเอง อย่าไปเอาชนะใคร ถ้าเราเอามานะทิฏฐิไปชนะคนอื่น..แสดงว่าเรานั้นกำลังสร้างศัตรู จำไว้นะจ๊ะ แสดงว่าเรากำลังบั่นทอนกุศลของเราเอง
แต่ถ้าเราเอามานะทิฏฐิของเราเองนี้เอาชนะตัวเอง แสดงว่าโยมกำลังสร้างบารมีแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมานะทิฏฐิโยมเอาชนะมันได้ โยมข้ามมันไปได้นั่นแล เมื่อโยมข้ามมันไปได้..จะไม่มีอะไรมาขัดขวางโยมได้อีก คือโยมไม่มีตน วางตนได้ โยมก็สามารถข้ามสมมุติบัญญัติแห่งตนได้ จะนิพพานก็ดี ปรารถนาอะไรก็ดี..ย่อมเข้าไปถึงได้ เพราะนิพพานไปด้วยกายด้วยตนด้วยอัตตา..มันไปไม่ได้ มันต้องไปด้วยไม่มีตนไม่มีกาย..มันถึงจะไปได้ คือการละอัตตาตัวตน ก็คือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ที่เรายังไปติดไปพอใจอยู่ นั้นเราก็ค่อยๆกำจัดและเพียรละมันลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สิ่งเหล่านี้เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆไม่ต้องไปถามว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เหมือนเรานั้นยังต้องอาศัยกายสังขารอยู่ ถามว่าเราจะหยุดกินอาหารเมื่อไหร่หยุดบริโภคเมื่อไหร่ จงจำไว้หนึ่งอย่างว่ากายเรานี้มันเป็นโรค การที่เราบริโภคอาหารเพื่อยังความหิวไม่ให้บังเกิดขึ้นมาอีกนั่นแล ก็เพราะว่ามันเป็นโรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นไม่ต้องไปถามหากิเลสว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เพราะว่ากายนี้ที่เราอาศัยนี้มันเป็นที่รังของโรค นั้นอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในทุกข์กายทุกข์ใจ..เรียกว่าโรคทั้งนั้น เรียกว่าโรคแห่งกรรม แต่กรรมอันใดเล่าที่เราทำแล้วมันอยู่ในศีลอยู่ในขอบเขตแห่งธรรม..มันเรียกว่าไม่เป็นกรรม ไม่ติดกรรมนี่เรียกว่าไร้เจตนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่เมื่อมีเจตนาทางที่ดีทางกุศลและอกุศลนั้นแล..เรียกว่ากรรมที่เจตนาและไม่เจตนา..จึงเกิดวิบากกรรมนั้นเอง ดังนั้นกรรมอันใดที่ทำไปที่ได้เจตนาที่อยู่ในขอบเขตแห่งศีลในธรรมนั่นแล..อันนี้เรียกว่าเจตนาชอบธรรม เมื่อเจตนาชอบธรรมมันจะเป็นกรรมชั่วเป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วมันจะให้ผลเป็นความเผ็ดร้อน..มันก็เป็นไปได้ยาก
ดังนั้นขอให้โยมจงรักษากาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี อะไรก็ตามที่ระลึกแล้วทำให้จิตเราสงบตั้งมั่นได้..นั่นแลชื่อว่าบารมี สิ่งที่เราเคยทำไว้ ระลึกถึงบุญที่เราทำมา ระลึกถึงจิตที่เราอบรมบ่มจิตไว้ ระลึกถึงธรรมครูบาอาจารย์ปฏิปทาคำสอน เมื่อจะระลึกถึงพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี..ให้เราหวลคิดถึงคำสอนของท่านก็ดี คำสอนนั้นแลคือศาสดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราระลึกถึงธรรมท่าน พระพุทธองค์ท่านก็อยู่ตลอดเวลา อยู่ทุกที่อยู่ทุกนภากาศ อยู่ในกายสังขารเราก็ดี อยู่ในจิตเราก็ได้ อยู่ในใจเราก็มี เพราะจิตเรานี้มีทั้งกายพรหม เทพ เทวดา ยักษ์ มาร สิงห์สาราสัตว์ อสูรกายเหล่านี้ เราจะให้อยู่ที่ใดเล่า..
จิตเมื่อเรามีศีลมีธรรมเราก็จะเห็นท่านนั่นเอง เห็นอะไร..ก็เห็นความสงบ เมื่อเห็นความสงบแล้วเราก็จะเห็นจิตที่เป็นปรกติ จิตที่เป็นปรกติแล้ว..ย่อมเห็นตามความเป็นจริง อะไรที่ยังเคลื่อนไหวอยู่แสดงว่าสิ่งนั้นไม่จริง สิ่งที่จริงต้องไม่เคลื่อนไหว ถ้ามันจะเคลื่อนไหวก็คือที่เราเอาจิตนั้นกำหนดลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นความคิดก็ดี..แสดงว่านั่นยังเคลื่อนไหวอยู่ ความจำก็ดียังยึดอยู่ในอุปาทานขันธ์..อันนั้นยังไม่จริง เพราะนั่นเรียกว่าสมมุติ เมื่อไหร่จิตเราข้ามสมมุติไปได้แห่งอารมณ์ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วนั่นแลคือความเป็นจริง เรียกว่าจิตเป็นอิสระ จิตนั้นหากยังคิดอยู่ระลึกอยู่ จิตยังส่งไปภายนอกอยู่ในอดีตก็ดี ในสัญญาก็ดี ในความจำก็ดี อันนั้นเรียกว่าไม่จริงเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่ามายา คือการปรุงแต่งของจิตอยู่ตลอดเวลา เป็นเจตสิกเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ที่จิตเราสติเราไม่เท่าทันในอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือความพลั้งเผลอ
ดังนั้น..แล้วจะให้มันเท่าทันยังไง ก็ฝึกสติให้มันเท่าทันเสีย อันไหนไม่เท่าทันก็ปล่อยไป ที่เราเท่าทันก็จับอารมณ์นั้นไว้ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เราจับได้นั้นแล เห็นอารมณ์หนึ่งเห็นอารมณ์ใดเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เราก็จะเห็นอารมณ์อื่นเช่นเดียวกัน เหมือนเห็นใบไม้ในป่าเห็นธรรมข้อหนึ่ง เห็นความไม่เที่ยงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งอื่นๆต่างๆก็เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
หากจะพิจารณาให้เห็นทุกข์ให้เห็นอยู่อย่างเดียว เพ่งโทษอยู่ในกาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ กายเราเป็นอย่างไรกายคนอื่นก็เป็นอย่างนั้น มีความโสโครกโสมมเพียงใด มีความเน่าเหม็นมีปฏิกูลมากน้อยเพียงใดไม่ว่าชายและหญิงก็ดี..ก็มีเหมือนกันหมด หากเราเพ่งได้อย่างนี้ หากเราไม่หลงตัวเองแล้ว..เราก็ไม่หลงผู้อื่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หยุดจากความพอใจจากตัวเองแล้วเราก็จะไม่พอใจใครอีก ถ้าเรายังหลงตัวอยู่เราก็ต้องหลงคนอื่นเป็นธรรมดา...
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
เมื่อมีเรา ก็มีของเรามาหมายมั่น
เหมือนกันกับฝาผนัง ถ้าไม่มีหัวตะปูแล้วห้อยเสื้อไม่ได้
ห้อยกางเกงไม่ได้ ไม่มีที่เกาะฉันใด
ถ้าภาวนาถึงที่แล้วมันก็ “ไม่ใช่เรา” “ไม่ใช่ของเรา” เป็นต้น
พระอรหันต์ท่านจึงหลุดพ้นจาก “เรา” หลุดพ้นจาก “เขา”
อาสวะทั้งหลายไม่มีที่เกาะ
อาสวะทั้งหลายไม่มีที่แอบอิง ไม่มีที่พึ่ง
ถ้ามันหมดตัวเราการกระทำทุกวัน
การประพฤติทุกวัน การพิจารณาทุกเวลา
จึงเป็นปัญหาที่จะแก้ปัญหาให้รู้จักตัวว่า เราหรือไม่ใช่ของเราออก
ถ้ายังมีตัวเราอยู่อย่างอุปาทาน ก็มีของเราตลอดไป
เมื่อมีของเรา ก็มีของหาย มีของได้ เมื่อมีได้เมื่อมีเสีย ก็มีสุขก็มีทุกข์
เมื่อมีสุขเมื่อมีทุกข์ก็มีเหตุมีปัจจัยหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่มีที่สิ้นสุดที่จบลงได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าของเราท่านจึงเน้น เน้นข้อประพฤติ
เน้นข้อปฏิบัติให้เห็นตามเป็นจริง
เมื่อเห็นตามเป็นจริงแล้วก็สบาย
หลวงปู่ชา สุภัทโท
สุข ทุกข์..คือความรู้สึกนึกคิด..
..จากจิตปรุงแต่งวูบๆวาบๆ
เกิดๆดับๆ..เหมือนพยับแดด..
หาสาระแก่นสารอะไรมิได้..
..เมื่อไปยึดเอาความรู้สึกนึกคิดนี้
ว่าเป็นตัวเป็นตน..จึงมีเราเข้าไปรับเวทนา
..เราจึงสุข จึงทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ยามจิตสัมผัสรับรู้สิ่งใดๆภายใน ภายนอก..
..อวิชชา..การไม่รู้แจ้งนั้นแล
คือเหตุเกิด..
..เมื่อรู้แจ้งในจิตสังขาร(จิตคิดปรุงแต่ง)..
ภพชาติดับ..จบสิ้นการเกิด
พระพุทธองค์สอน"พระพาหิยะ"
"พาหิยะ..เธออย่าสนใจในรูป"
พระพาหิยะ..ตรับฟังแล้วก็สำเร็จ
เป็นพระอริยะเจ้าเบื้องต้น..
..รูปที่พระพุทธองค์ตรัสนั้น หมายถึง
รูปที่เห็นทางตา
รูปที่ได้ยินทางหู
รูปที่ได้กลิ่นทางจมูก
รูปที่ได้รสทางลิ้น
รูปที่สัมผัสทางกาย
..คืออายตนะภายนอกทั้งห้า..
..อย่าสนใจ..
คือ..สักแต่ว่ารับรู้สัมผัส..
ไม่ให่ค่า..ไม่ยินดี ยินร้าย..
ไม่ยึดหน่วงไว้..รู้แล้วผ่านไป
..จิตจึงไม่หลงเข้าไปเป็นตัวเป็นตน..
ไม่ไปปรุงแต่งสร้างภพ..
..จิตมีสภาวะแค่รู้..ไม่แปดเปื้อนอารมณ์..
เหมือนน้ำบนใบบอน..บริสุทธิ์เช่นนั้น..
รู้..สักแต่ว่ารู้
เห็น..สักแต่ว่าเห็น
ได้ยิน..สักแต่ว่าได้ยิน
รู้รส..สักแต่ว่ารู้รส
รู้กลิ่น..สักแต่ว่ารู้กลิ่น
รู้สัมผัส..สักแต่ว่ารู้สัมผัส
รู้สึกนึกคิด..สักแต่ว่ารู้สึกนึกคิด
..สักแต่ว่า..นั้นแค่ รับรู้สัมผัส..
ไม่สำคัญ..มั่นหมาย..
ไม่คิดต่อ ปรุงต่อ ไม่ไปชอบ ไปชัง
..หากคิดต่อ ปรุงต่อ ก็ให้รู้ทัน..
เมื่อรู้ทัน อารมณ์คิดนั้นดับไป..
..อุปาทานไม่เกิด..
..สักแต่ว่า..ไม่มีตน..ไม่มีอุปาทาน
จึง..ว่าง จากกิเลส
......ว่าง จาก กรรม
......ว่าง จาก วิบาก
..ตัดกระแสการสร้างภพ หยุดวงจรทุกข์..
วิสุทธิ..วิมุตติ..หลุดพ้นขณะนั้น..
"เมื่อเรามีสัจจะ มีความตั้งมั่นปรารถนาความพ้นทุกข์ สัจจะตัวนี้ล่ะมันจะเป็นเหมือนเกราะให้เราอยู่ในกายใจเรา ไม่ไปข้างนอก การไม่ไปข้างนอกก็คือการไม่ส่งจิตออกนอกนั่นเอง การไม่ส่งจิตออกนอกนั้นคือการละสมุทัยนั่นเอง เพราะจิตที่ส่งออกนอกไปหาเรื่องหาราวทั้งหลาย นั้นคือสมุทัย ผลแห่งจิตที่ส่งออกนอกได้รับความกระทบกระเทือนเกิดขึ้น เป็นความหลงเกิดขึ้นนั้นเป็นทุกข์
เมื่อเห็นแจ้งในจิตนั้น ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของเรา เกิดขึ้นแล้วดับไป แม้แต่ตัวเรา แม้แต่รูป แม้แต่นาม ขันธ์ ๕ นี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไปตามเหตุปัจจัย เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งนั้นมิใช่ของเรา ก็จึงไม่มีความดิ้นรนที่จะแสวงหาเกินความจำเป็น เท่ากับละตัวตัณหานั่นเอง
เหตุนั้นตัวสัจจะนั้นล่ะเป็นกรอบเป็นรั้วกั้นให้อยู่ในการวิจัยกายใจนี้ ไม่ออกนอก จะไปทำกิจกรรมภายนอก ทำเพื่ออะไร ตามเหตุตามปัจจัยที่ตรงต่อธรรมก็ทำ ถ้าไม่ถูกต้องไม่ตรงต่อธรรมก็ไม่ทำ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ สิ่งใดเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ก็ทำ สิ่งใดไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ก็ไม่ทำ จึงมีสัลเลขธรรม ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสทุกเมื่อ
เพราะตัวสัจจะที่ตั้งไว้เพื่อความพ้นทุกข์นั่นเองเป็นรั้วกั้น ไม่ให้จิตนั้นท่องเที่ยวออกไปเหมือนสัตว์ ออกไปหากินในที่ต่าง ๆ เข้าไร่นาเรือกสวนเขา ก็ถูกเขาตีเขาฆ่า ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะไม่รู้ที่ไป ที่ควรไปหรือมิควรไป ฉันใดฉันนั้น จิตเมื่อส่งออกนอกไปเข้าไร่นาไร่สวนเขา ก็เลยถูกเขาตีเขาฆ่านั่นเอง ก็คือทุกข์เกิดนั่นเอง
อันนี้สัจจะตัวตั้งมั่นนั้น เมื่อเราปรารถนาพ้นทุกข์แล้ว ให้เจริญสติ สมาธิ ดูกาย ดูใจเรา ศึกษากายเวทนาจิตธรรมอยู่อย่างนี้ ไม่เอาภาระภายนอก นอกขอบเขต นอกสิ่งที่เรารับผิดชอบ มายุ่งมาเป็นภาระของใจ เมื่อใจไม่มีภาระจากสิ่งภายนอก ลดละภาระลงแล้ว ก็จะเห็นเกิดความวิเวกนั่นเอง ก็จะเห็น เห็นความจริงในขันธ์ ๕ นี้ มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เมื่อไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มันตั้งอยู่ก็เพราะมีเหตุให้ตั้งอยู่ เมื่อเหตุนั้นดับ มันก็สลายไป เหมือนลมดับ มันก็เน่าเปื่อยผุพังไป เผาไฟฝังดินไปเป็นเถ้าถ่าน สูญไปหมด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร แล้วจะไปเอาอะไรกับสิ่งเหล่านี้
ก็เลยอยู่ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านในขอบเขตในหน้าที่ของเรา อยู่ด้วยความสงบ ทำเพื่ออาศัย เพราะธาตุยังต้องการ อย่างปัจจัย ๔ นี้เป็นเครื่องอาศัย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย อาศัยเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ ยารักษาโรคเมื่อเจ็บป่วยขึ้น อาศัยเพราะธาตุยังต้องการ แต่ไม่ดิ้นรนไม่แสวงหาแล้ว ไม่ได้หามาเพื่อความสวยความงาม ไม่ได้หามาเพื่อความหล่อเหลา ไม่ได้หามาเพื่ออะไรทุกอย่างจนเกินความจำเป็น แค่ความจำเป็นพื้นฐานเพื่อดำรงชีพอยู่เท่านั้น เพื่อจะได้ศึกษากายใจ เพื่อจะได้ปล่อยวางภาระทั้งหลายออกจากใจนั่นเอง"
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “สัจจะเป็นหลักของใจ”
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๓
เธอผู้ใฝ่รู้ในธรรม
เพื่อการพ้นทุกข์
พึงเจริญสติรู้เห็นดังนี้..
ตื่นนอนตอนเช้าในทุกๆวัน
ไม่ว่าเป็นวันทำงานหรือวันหยุด
เฝ้าดูการขยับเขยืัอนเคลื่อนของร่างกาย
เฝ้าดูการขยับเขยื้อนของความคิด
ลืมตาตื่นแล้วร่างกายขยับลุกขึ้นนั่ง
ขยับลุกขึ้นยืน เดิน ไปเปิดประตู
ไปเข้าห้องน้ำ ถ่ายเบาถ่ายหนัก
แปรงฟันล้างหน้า ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำ
เช็ดตัว ใส่เสื้อผ้า กินข้าว เดินไปเดินมา
ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน..
..ให้เห็นว่า..
อริยบทหนึ่งหายไปเกิดอริยบทใหม่ขึ้นมา
เกิดดับๆ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา..
"นี้เห็นความไม่เที่ยง"
..ให้เห็นว่า..
อริยบทหนึ่ง ตั้งทนอยู่ไม่ได้นาน..
ต้องสลับไปเป็นอริยบทหนึ่ง เสมอๆ
"นี้เห็นความเป็นทุกข์ของกาย"
..ให้เห็นว่า..
การเคลื่อนไปของร่างกาย
ในทุกๆท่วงท่า อริยบท ทั้งหมด
ไม่มีเราเข้าไปควบคุมสั่งการ
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ
"นี้เห็นอนัตตา"
เราลองตั้งใจสั่งร่างกาย
ให้ทำตามในบางอย่างดู
เช่นมันปวดอุจจาระ
บอกว่าอย่าเพิ่งออกมา
เราจะกินข้าวก่อน ร่างกาย
มันฟังเราหรือเปล่า มันไม่สนหรอก
นี้เห็นไหม ร่างกายเป็นของเรา
หรือเปล่า..
ทีนี้สังเกตุดู..
อะไรมันสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว
จากอริยาบทหนึ่ง ไปอริยบทหนึ่ง
พอลืมตาตื่น..
ความรู้สึกเมื่อยมันเกิดแว้ปขึ้น
เพราะนอนมาหลายชั่วโมง
ความคิดก็ปรุงขึ้นให้ขยับลุกนั่ง
แล้วจากนั้น ความคิดก็หลั่งไหล
มาเป็นสายน้ำ..ให้ทำโน้นนี่นั่นทั้งวัน
ตามสัญญาเดิมๆ ซึ่งกระตุ้นความคิด
ตลอดเวลา
..ให้เห็นว่า..
ความคิดผุดขึ้นมาแล้วดับไป
เรื่องใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก
เป็นหมื่นแสนล้านเรื่องในหนึ่งวัน
"นี้เห็นความไม่เที่ยง"
..ให้เห็นว่า..
ในความคิดมีความชอบ ไม่ชอบ
ชอบแล้วใจฟู ยิ้ม ร่าเริง เบิกบาน
ไม่ชอบแล้วใจแฟบ อึดอัดคัดข้อง
"นี้เห็นความเป็นทุกข์ของใจ"
..ให้เห็นว่า..
ความคิดที่ผุดขึ้นเป็นสายน้ำนั้น
ไม่มีเราเข้าไปควบคุมสั่งการ
มันเกิดขึ้นมาเอง แล้วดับไปเอง
ด้วยเหตุแห่งการกระทำ
ด้วยสัญญาเก่าๆ ที่กระตุ้นให้คิด
"นี้เห็นความเป็นอนัตตา"
พึงเจริญสติให้เห็นอย่างนี้อย่างนี้
ตั้งแต่ลืมตาตื่นตอนเช้า
จนกระทั่งเข้านอนยามค่ำคืน
..จะรู้แจ้งว่า..ร่างกายจิตใจนี้
เป็นเพียงธาตุรู้ ธาตุสี่ ก่อเกิด
ไหลเวียน เชื่อมโยง พึ่งพาอาศัยกัน
ด้วยความไม่แน่นอน แปรเปลี่ยน
ดับสลาย..ก่อเกิด..หมุนวน..
เป็นธรรมชาติไหลสู่ธรรมชาติ
ไม่มีภาชนะรองรับ
ไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา ไม่มีเรา..
" มิต้องไปวัด ไปป่าไปเขา
ไปธุดงธ์ที่ไหนหรอก..
..ทำอยู่ที่บ้าน ก็พ้นทุกข์ได้"
อาจารย์ ปู่
..ไม่คาดหวัง..
..ไม่ตั้งใจ..
..ไม่ให้ค่า..
ทำหน้าที่ไปตามเหตุปัจจัย
สัมผัสรับรู้..มีเราอยู่..
..จึงมิพ้นหลง..
แค่มัน มีเหตุ... แล้วก็ "เกิดขึ้น"
ธรรมะอาศัยกันแล้วก็เกิดขึ้น
เมื่อมีอะไรมากระทบ ปั๊บ! มันก็จะรู้สึกขึ้นมา
มันเป็นธรรมชาติเลยนะ ตรงนี้นะ
มันไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวเรานะ มันเกิดเองโดยธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติ แก่นแท้จริงๆ น่ะ ตัวจิตนี่
ก็คือ ธาตุรู้เฉยๆ มันเป็นธาตุ ธาตุรู้
คำว่าธาตุรู้ ในทีนี้ ก็หมายความว่า
มันรู้อารมณ์ได้เอง มันไม่ใช่เรานะ! มันรู้ได้เอง
ธาตุ มาจากคำว่า ธา-ตุ หมายความว่า
มันทรงตัวเองอยู่ได้โดยธรรมชาติของมัน
มันจึงแค่รู้อารมณ์เฉยๆ
แต่เวลากระทบแล้ว "มันมีเรา"
เนื่องจากว่าการปฏิบัติของเราอินทรีย์มันยังอ่อนอยู่
"มันมีเรา" เพราะมันเคยหลงมานานแล้ว
เราก็จำเป็นจะต้องเอาจิตดั้งเดิมเนี่ย ยกมันขึ้นมา
เอามาตั้งไว้ เอามาเป็นบรรทัดฐาน
ท่านถึงว่าจิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิมเนี่ย
มันคือไม่เป็นอะไร เป็นธรรมชาติ
แต่มันรู้อารมณ์ได้ นี่คือความอัศจรรย์ของมัน
ธรรมชาติอันนี้รู้อารมณ์ได้ นึกคิดปรุงแต่งอารมณ์ได้
เพราะนั้นอะไรมา มันรู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา
มันก็จะเริ่มปรุงแต่งแล้ว
มันจะเอาสุข มันไม่อยากมีทุกข์
คือมันอยากให้สมอยาก อยากให้ได้ดั่งใจ
เวลาทุกข์ มันไม่อยากเป็นทุกข์ มันอยากให้ทุกข์ดับ
เวลาสุข มันจึง "ยึด"
จึงอยากจะเอาสุข ไม่อยากเอาทุกข์
ผลักต้านความทุกข์ ปฏิเสธความทุกข์
นี่ในจิตเรามันเป็นอย่างนี้ "กริยาของมัน"
เพราะนั้นอาการ อากัปกิริยาของคนเรา
มันก็จะเป็นไปตามความรู้สึกในจิตนี้
มันรู้สึกขึ้นมาแล้วมันก็ฮึดฮัด เพราะอะไร?
ถ้าจิตใครมันหยาบมาก ก็ฮึดฮัดมาก
ปากก็พูดไป กายก็ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด
กระทืบเท้า ตีโน่น ตีนี่ ขว้างปานั่น นี่ โน่น
ทั้งสาปแช่ง ด่า กร่นด่า บ่นพึมพำ ระบายออก
ที่มาของมันก็คือ "ไม่เห็น" ตรงที่มันเกิดเองดับเองนั้น
จริงๆ แล้วมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง คนมีจิตเนี่ย
เวลากระทบ มันก็จะต้องมีอาการระคายเคือง
เขาเรียก "เวทนา" ทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง
แล้วมันก็จะปรุงแต่งเป็น "ความคิด"
เวลาทุกขเวทนามา มันก็ไม่พอใจ
ไม่พอใจ ก็แสดงออกทางกาย
ทางคำพูด บ่น ด่า นินทาว่าร้าย ว่าไป มันก็เลยลุกลามไป
แต่เนื้อหาจริงๆ มันก็คือ "เกิดดับในจิต"
#ตัวเรื่องราวทั้งหลายก็มาจากการที่มันไม่เห็น
ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน มันไม่มีอะไร
มันเกิดแล้วก็ดับ แต่ตัวเองไม่เห็น
นี่จึงเรียกว่า "อวิชชา" ไม่รู้
ไม่รู้ว่ามันเกิดมันดับ ไม่รู้ว่ามันไม่มีตัวไม่มีตน
หรือไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์
คำว่าทุกข์ในทีนี้ก็คือมันเกิดดับ มันเปลี่ยนแปลง
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอะไร
#แต่เราไม่เห็นตรงนี้อวิชชามันก็เลยครอบงำจิต
กลายเป็น "ความหลง"
ความหลงก็เลยแสดงออกมา
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่า
ความทุกข์ของคนในโลกเราเพราะตรงนี้เอง
นี่จึงเรียกว่ามีอวิชชา คือไม่รู้ตรงนี้
เมื่อไม่รู้.... มันก็เลย "มีตัวเรา"
มีตัวเรา...มันก็อยากให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
อยากได้นั่น อยากได้นี่
ก่อเกิดมาจากจิตที่ไม่รู้อารมณ์ ไม่รู้แจ้งในสัจธรรม
ในความจริงว่าจิตจริงแท้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นธรรมชาติอันนึง.....
แต่เราจะดับมันได้...ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร
"จิต"นั่นเอง ! กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมาน
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี"ตัวเรา" คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี"ตัวเรา"สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่าตัวตนเท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆก็เห็นมีแต่ "จิต".นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป. ไม่ต้องมี"ตัวเรา"อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์."
พุทธทาสภิกขุ
"...ร่างกายของเรานี้ ทีแรกมันก็เป็นปฏิกูล ทีแรกไม่ได้พิจารณาเลยมันก็สวยก็งาม พอพิจารณาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าไปที่เรียกว่า
“ปฏิกูล” มันก็เห็นชัดคล้อยตามซึ้งเข้าไปเป็นลำดับๆ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย มีความขยะแขยง เกิดความสลดสังเวช น้ำตาร่วงพรูๆ ใน
ขณะที่พิจารณาเห็นประจักษ์ภายในใจจริงๆ
โอ้โห! เห็นกันแล้วหรือวันนี้ แต่ก่อนไปอยู่ที่ไหน ร่างกายทั้งร่างอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันเกิด ทำไมไม่เห็นทำไมไม่เกิดความสลดสังเวช วันนี้ทำไม
จึงเห็น อยู่ที่ไหนถึงมาเจอกันวันนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันมา นั่น! รำพึงรำพันกับตัวเอง พอเห็นชัดเข้าจริงแล้วเกิดความขยะแขยง เกิดความสลด
สังเวชแล้วใจเบา
ไม่มีอะไรจะบอกให้ถูกได้ เพราะความหนักก็ได้แก่ความยึดความถือพอเข้าใจสิ่งเหล่านี้ชัดเจนประจักษ์ใจในขณะนั้น จิตมันก็ถอนออกมา
จิตเบาโล่งไปหมดจากนั้นกำหนดลงไปทลายลงไปจนแหลกเหลวไปหมด กลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
จิตปรากฏเป็นเหมือนกับอากาศ อะไรๆ เป็นอากาศธาตุไปหมด จิตว่างไปหมด! นี่เป็นอุบายของสติปัญญาทำให้คนเป็นอย่างนี้ ทำความรู้ความเห็นให้เป็นอย่างนี้ทำผลให้เกิดเป็นความสุขความสบาย ความเบาจิตเบาใจอย่างนี้!
เมื่อกำหนดเข้าไปนานๆ จะมีความชำนาญละเอียดยิ่งไปกว่านี้ แม้ที่สุดร่างกายที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อนี้มันหายไปหมด จากภาพทางรูป กลายเป็นอากาศธาตุ ว่างไปหมดเลย ดูต้นไม้ก็มองเห็นเพียงเป็นรางๆ เหมือนกับเงาๆ ดูภูเขาทั้งลูกก็เหมือนกับเงา ไม่ได้เป็นภูเขาจริงจังเหมือนแต่ก่อน เพราะจิตมันแทงทะลุไปหมด ร่างกายทั้งร่างก็เป็นเหมือนเงาๆ เท่านั้นเอง
ปัญญาแทงทะลุไปหมด จิตว่าง ว่างเพราะวางกายด้วย เพราะจิตทะลุร่างกายทั้งหมดด้วย ความเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นท่อนเป็นก้อน เป็นอะไรอย่างนี้ ทะลุไปหมดหาชิ้น หาก้อนไม่มี กลายเป็นอากาศธาตุไปทีเดียว นี่หมายถึงร่างกาย !..."
(grateful) เมื่อยึดมั่นในสังขารก็เป็นทุกข์
หลวงพ่อชา สุภัทโธ
* * * * * * * * *
ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ความเป็นจริง พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ไม่มีตัว ไม่มีตนอยู่นี้ เราก็มายึดสังขารก้อนนี้ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขาแน่นอนเข้าไป
ทีนี้สังขารจะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่อยากให้เปลี่ยน บอกเท่าไรก็ไม่เข้าใจ พูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ บอกจริงๆ ก็ยิ่งหลงจริงๆ อันนี้ไม่ใช่ตัว ว่าอย่างนั้น ก็ยิ่งหลงใหญ่ ยิ่งไม่รู้เรื่อง เรามาภาวนาให้มันเป็นตัวเป็นตน
ฉะนั้น คนโดยมากไม่เห็นตัวตน ผู้ที่เห็นตัวตนจริงๆ ก็คือ ผู้ที่เห็นว่า "มิใช่ตัว มิใช่ตน" คือเห็นตนตามธรรมชาติ ผู้ที่เห็นตัวด้วยอุปาทานนี้ว่า นี่เป็นตัวเป็นตน ผู้นั้นไม่เห็น มันก้าวก่ายอยู่อย่างนี้นะ จะทำอย่างไร มันไม่เห็นง่ายๆก้อนนี้ "อุปาทาน" มันยึดไว้
"ถ้าเข้าใจหลักแล้ว การภาวนาง่ายมาก
ดีก็ได้ ร้ายก็ได้ สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ อะไรก็ได้
เพราะทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น "
.......................................................
☄สติปัฏฐานเป็นเครื่องถอดถอนความยินดียินร้ายในโลก
สภาวะรู้ก็เกิดทีละแวบเดียว
คือมหากุศลจิต ญาณสัมปยุต อสังขาริกัง
ตัวโน้นก็เป็นโมหมูลจิต มีอุทธัจจะ นี่มันคิดต่อ
ดูไปเพื่อให้เห็นว่ามันเกิดดับ ไม่ได้ดูเอารู้นานๆ
หลายคนตั้งเป้าผิดนะ
คิดว่าทำอย่างไรจะรู้ตลอดเวลา
รู้ตลอดเวลาแล้วจะได้บรรลุเร็วๆ
ไม่บรรลุหรอก
ฉะนั้นเรารู้ ไม่ใช่เพื่อจะรู้
แต่รู้เพื่อให้เห็นความจริงว่าทั้งรู้ทั้งเผลอ
เกิดแล้วก็ดับ บังคับไม่ได้ อย่างนี้ต่างหาก
ถ้าเข้าใจหลักแล้ว การภาวนาง่ายมาก
ดีก็ได้ ร้ายก็ได้ สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ อะไรก็ได้
เพราะทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น
ถ้าใจไม่ยอมรับความจริง ใจก็เกิดยินดียินร้ายขึ้นมา
ไม่ยอมรับความจริง ไม่เห็นความจริง
ฉะนั้นภาวนาไป
วันหนึ่งใจก็พ้นจากความยินดียินร้ายในใจ
ฉะนั้นสติปัฏฐานท่านถึงบอกว่า
เป็นเครื่องถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสีย
"วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง"
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
" ถ้าอะไร มันกระเทือนขึ้นในใจ
ให้ดูหัวใจ เจ้าของทันที
เพราะ...เรามาแก้ใจ
มาระงับดับกิเลส ที่ใจ
กิเลส แสดงออกมาหือ ออกมาแล้วหรือ ?
ให้ว่างั้นซิ
สมมุติ ไม่พอใจคนนั้น ความไม่พอใจนี้
คือ เรื่องของเราเอง เป็นผู้ก่อขึ้นมา
นี่ จับตัวก่อนี้ก่อน ฟาดตัวนี้ให้มันพังลงไปซิ
นั่นจึงเรียกว่า...
ผู้มาแก้กิเลส ต้องดูตัวนี้ซิไปดูอะไร ข้างนอก
ต้นเสานี่ไปโกรธมันได้ ถ้าใจเลวเสียอย่างเดียว ต้นเสา ก็ไปโกรธให้เขาได้
ภูเขาทั้งลูก ดินฟ้าอากาศโกรธให้เขาได้
ถ้าใจเลวเสียอย่างเดียว ว่างั้นเลย
ถ้าใจเป็นนักปฏิบัติ มีสติสตังกำจัดกิเลส
ที่แสดงฤทธิ์เดช แห่งความเลวทราม
ขึ้นมาในใจขนาดไหน จับปุ๊บ จับปุ๊บ
นั่นจึงเรียกว่า...ผู้มาแก้ตัวเองซิ
อย่า...ไปถือภายนอกนะ
ให้ดูตัวนี้ ตัวกระเพื่อมนี่
นี่ละ การปฏิบัติธรรมต้องเป็นอย่างนั้นนะ
ต้องดูจุด ต้นเหตุ
มหาเหตุ มหาอยู่นี่
อย่างพระอัสสชิ เทศน์ให้พระสารีบุตรนั่นละ
ธรรมทั้งหลาย เกิดแต่เหตุ
คือใจ มันจะดับ ดับที่ตรงนี้ก่อน
พระสารีบุตรบรรลุธรรมพระโสดาขึ้น ทันทีเลย
เห็นไหมล่ะ
ท่านจ้อเอาตรงนั้นเลย ไม่เอาที่อื่น
" เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺจ นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ "
เป็นบาลี ว่าอย่างนั้น
" ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุนี้ดับ
มันก็ดับ พระมหาสมณะแสดงอย่างนี้."
แปลออกแล้ว."
______________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.รองเท้า..ที่ดี ต้องมี กันสึก...รถยนต์ก็มีกันชน ขัางหน้า ข้างหลัง..
...การศึกษาปฏิบัติ ธรรม นั่นคือ ศึกษา ปฏิบัติ เพื่อกันชน กัน กระทบกระแทก ตั้งแต่ข้างนอกๆ ตา รูป หูเสียง จมูก กลิ่น ลิ้น รส กาย สัมผัส จนถึงในจิตใจตน ที่เป็น ห้องเครืองที่ขับเคลื่อน..ทุกๆ อารมณ์ ในบรรดาที่ จะเกิดจะเป็นได้
...เห็นตามเป็นจริง...คือ กันชนของจิต เห็นว่า สักแต่ว่า...ที่เห็นได้แบบนั้น เพราะเห็นซึ่งความเป็นจริง..ความเป็นจริง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..ดังดำรัส ของพระศาสดา ว่า โลกเป็นของ ว่าง...รวมหมดเลย ยกทิ้ง ทั้งโลกเลย ..หาเอาใหม่..เริ่มจากทาน...โลกนี้มันว่าง..อย่างยึดติดมากเลย ทำที่สุดแห่งทุกข์เถอะ..ถ้าทำยังไม่ได้ ก็ละออกสละออกบ้าง ไว้เป็นทุน ในโลกหน้าท่านจึง สอนทาน...ศิล...ภาวนา...พอได้มีเสบียง เป็นอุปนิสสัยต่อๆไป...
....จดจำดีๆ...โลกนี้มันว่าง..ใจมันเร่ๆร่อนๆ พยายาม..ละออก สละ ออก ถ้าหนัก มันก็จม จิตนี้แหละจม..ได้รับทุกข์อันสุดแสนทรมาร...กิเลสเป็นของหนัก...พระธรรม เบา สูงในสิ่งดีๆ ที่จะรอต้อนรับ จนกว่าจะละโลกได้..
(โลกมันว่าง จะมีเราได้อย่างไร)