//.. เกิดกิเลส!
สิ่งใด เข้ามา ทางอายตนะ ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และสัมผัสทางใจ) เกิดกระทบ(ผัสสะ)..
จิตดวงแรก วิ่งมารับรู้ก่อน เรียกว่า “มโนธาตุ” พร้อมปรุงแต่งด้วย “วิญญาณขันธ์” ให้รับรู้ชัดขึ้น เรียกว่า “มโนวิญญาณธาตุ”(จิตวิญญาณ)
พร้อมปรุงแต่งด้วยอาการของจิต (เจตสิก) เรียกว่า “อภิสังขารมาร” ทำให้เกิด “สังขาร”
สังขาร ก่อเกิด กลายเป็น “นาม” เกิด “เวทนา” สุข, ทุกข์ หรือเฉยๆ
การรับสัมผัส โดยขาดสติ มีการติดเพลิน ไหลตามอารมภ์ ทำให้เกิดความหวั่นไหว และเกิดกิเลส ณ ที่นั้นเอง
นิวรณ์ ๕ จัดเป็นกิเลสชั้นกลาง หรือชั้น ปริยุฏฐานกิเลส เป็นระดับเดียวกับ อุปกิเลส ๑๖
ถ้ากำจัดนิวรณ์ ๕ (และอุปกิเลส ๑๖) ได้ ... หรือทำให้มันหายไปชั่วคราว จิตก็จะรวมลงเป็นฌานหรืออัปปนาสมาธิ
กิเลส มี ๓ ชั้น
๑. ชั้นนอกสุดหรือชั้นหยาบ เรียกว่า วีติกกมะกิเลส ได้แก่การทำผิดศีล ๕ และทำผิดกุศลกรรมบถ ๑๐ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการสมาทานรักษาศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐
๒. ชั้นกลาง ลึกลงไปในใจระดับหนึ่ง เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ได้แก่ นิวรณ์ ๕ และ อุปกิเลส ๑๖ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการฝึกสมาธิจนได้จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ หรือ ฌาน
๓. ชั้นลึกสุด กบดานนิ่งในใจส่วนลึก เรียกว่า อนุสัยกิเลส ได้แก่สังโยชน์ ๑๐ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการฝึกจิตภาวนาระดับสูงจนได้วิปัสสนาญาณครบทั้ง ๑๖ ขั้น เกิดอริยมรรคประหารกิเลสชั้นนี้ได้ตามลำดับของอริยมรรคนั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล (หรือเรียกอีกชื่อว่า พระอริยะเจ้า) ระดับใดระดับหนึ่งจากจำนวน ๔ ระดับ คือ อาจจะได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
{...ที่จริง อุปกิเลส ๑๖ ก็คือ นิวรณ์ ๕ ที่แปรตัว หรือขยายตัวปรุงแต่งบานเบ่งออกมา นั่นเอง ...}
กิเลส (ราคะ โทสะ โมหะ) มันเกิดขึ้นทีหลังจิตเรา
จิตจริงๆ มันบริสุทธิ์ กิเลสไม่ใช่จิตเรา
มันมาปรุงมาแต่ง มันเกิดมาทีหลัง
เราจะยอมให้มันมาเป็นใหญ่กว่าจิตเราได้อย่างไร
มันมาทำฟอร์มเป็นเพื่อนเรา เพื่อนกินเพื่อนกัน
เพื่อนรู้ไม่ทันเพื่อนกัน เอาไปกิน รู้ทันมันเอาครึ่ง
รู้ไม่ถึงมันเอาหมด ให้รู้ทันมัน เมื่อมันเกิดให้รู้ให้ทัน
เมื่อเขาด่าเรา ทำเราโกรธ จริงๆ มันก็ตัวเขาไม่ใช่เรา
จิตเรายังเป็นหนึ่ง ยังนิ่งเป็นหนึ่งดังกับเขาตบมือข้างเดียว
เราไม่เอามือไปรับมันก็ไม่ดัง มันก็ไม่ถึงเรา
กิเลสมันไม่ใช่เรามันไม่ใช่ของเรา มันเกิดขึ้นไม่นาน
มันก็ดับ เราเคยโกรธมาตั้งมาก เดี๋ยวนี้มันไปไหนหมด
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
1040...นักปฏิบัติ..กับ..บ่วงกาม
นักปฏิบัติ ผู้ถือศีล บางช่วงเวลา ความคิด จะคำนึง โลดแล่น ซัดส่ายไปหา ชาย และ หญิง แม้แต่ครูอาจารย์ที่สอนธรรม ถ้าไม่แก้ไข ย่อมพ่ายแพ้ต่อกิเลสแน่นอน
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า เมื่อเจอ "มาตุคาม" ซึ่งเป็นเนื้อคู่บุพเพสันนิวาสมาแต่ชาติปางก่อน จะเกิดความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านที่รุนแรงร้ายกาจ รบกวนจิตใจตลอดเวลา อยากเห็นหน้า อยากสนทนา ได้ยินเสียง.จิตหวั่นไหว
แม้จะเร่งภาวนา จิตอาจสงบระงับไป เผลอเมื่อใด ความคำนึง ยิ่งภาวนาจิตสงบมาก คล้ายกับจิตมันยอม สยบราบคาบ ไอ้ กิเลสกาม ที่สงบนิ่ง ยิ่งต่อต้าน เพิ่มพลังของกิเลส ให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม..เหมือนเอาเชื้อไปใส่ไฟ
บางท่าน ทั้งใช้อุบาย นอน น้อยลง เดินมากขึ้น จิตมันจะโลดทะยานไปหา เพศตรงข้ามเสมอ
บางท่าน เพ่งเอาร่างกายของหญิง ชาย ที่ชอบ มาพิจารณากายคตาสติ แยกอาการ ๓๒ ถลกหนังที่ห่อหุ้มเนื้อออก เหลือแต่เนื้อแดง ๆ เยิ้มด้วยน้ำเหลือง เพ่งจนกระดูก แตก สลายลงดิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป..กิเลสกามก็แสดงตัวตนออกมาอีก เพราะปัญญา ยังไม่แก่รอบ
แต่ถ้า"ตัวรู้" ปัญญาแก่รอบ ปัญญาจะถาม จิตจะตอบ จิตจะบอกว่า เรา "หลง" อยู่ตรง "หนัง ปัญญา จะตั้งคำถามหาความจริงไปเรื่อย เมื่อจิตโดนปัญญาซักฟอกอย่างหนัก จิตมันก็อ่อนลงเพราะ จนด้วยเหตุผลของปัญญา จิตจึงยอมรับความเป็นจริง
จิต ที่แส่ส่าย ก็พลันถึงความสงบ ไม่กำเริบร้อนเร่าอีก
จิตคงทรงอยู่ในความสงบ เพราะได้เห็นความเป็นจริงของธรรมแล้ว
**.ยิ่งนักปฏิบัติธรรม ชุดขาว ที่รวมกลุ่มกันทำความดี หรือกลุ่มจากเฟสบุค ก็ตาม..พึงระวังกิเลสในจิตตนเอง..ที่ซัดส่าย อยากเจอหน้า อยากพูดคุย อยากได้ยินเสียง ของเพศตรงข้ามที่เราชอบ หรือ ศรัทธา..อย่าทำตามใจ ตามกิเลส เมื่อสมาธิปัญญา
เมื่อเรายังไม่แก่รอบ **ให้ปิดปะตู ** ช่องทางการติดต่อซะ..อย่าให้กิเลสหลอกตนเองว่า..”เราเพียงอยากฟังธรรม อยากสนทนาธรรม คงไม่เป็นไรหรอก..เรามีศีลกำกับอยู่...นั่นกิเลสมันหลอกแล้ว..มันจะทำให้เราถลำติดในบ่วงกาม..
.เราจึงมักได้ยินข่าวว่า
*..หลวงพ่อองค์นั้น ท่านแพ้สีกา สีกไปแล้ว ชุดขาวสองคนนั้น ต่างเลิกจากครอบครัวตนเอง แล้วมาอยู่ด้วยกัน..โดยมีคำย้อมใจตนเองว่า.”เพราะเรามีศีลเสมอกัน ชอบธรรมเหมือนกัน”..
....นั่นแหละ อำนาจของกิเลสมาร กิเลสกาม..
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านให้ปล่อยวาง "เบญจขันธ์"
ท่านก็ปล่อยวางไปตามสภาพของเขา เป็นของเกิดดับของเขา
"ธาตุ" ทั้งหลาย "สู่สภาพธรรมชาติ" ของเขา
เป็น "ธรรมชาติ" เป็น "อมตะ"
"ท้อง" ไม่รู้จักว่ารลชาติของอาหารเป็นอย่างไร
"ลิ้น" ก็ไม่รู้รสชาติอะไร
เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งที่จะสัมผัสให้ "ธาตุรู้" ให้ "จิตรู้"
ลิ้นจริงๆเขาไม่รู้จักว่าเป็นรสอะไร
"ตา" สัมผัสรู้ตาไม่รู้อะไรหรอก ผู้ที่รู้ก็คือผู้รู้ จิตที่รู้นั้น
หูที่สัมผัสเสียงหูไม่รู้ มีแต่จิตเท่านั้นรู้
"จมูก" สัมผัสกลิ่นก็เช่นเดียวกัน กลิ่นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
จมูกก็ไม่รู้ แต่ “จิตรู้”
ดูชัดๆลงไป ไอ้ที่ “มันรู้”..”รู้”..มันรู้อยู่ตรงไหน
“รู้” อยู่ตรงจมูกหรือว่า “รู้” อยู่ตรงที่รู้
ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เผ็ด เค็ม เปรี้ยว หวาน
“ลิ้นก็ไม่รู้” ว่าเจ้าของเป็นลิ้น แล้วลิ้นจะไปรู้รสรู้ชาติได้อย่างไร
ท้องก็เช่นเดียวกัน เมื่อรู้ความจริงเป็นอย่างนี้
อย่าไปให้ความสำคัญกับ “รสชาติ” มากไป
กิเลสยิ่งให้ความสำคัญมากเท่าไร
เขายิ่งทำให้เราเสียหายมากเท่านั้น
อะไรก็ช่างต้องเอามาพิจารณา
หลวงปู่แบน ธนากโร
การฝึกสติในเบื้องต้น...
สามารถช่วยบำบัด ดีท็อกซ์อารมณ์ต่างๆ
ปรับระบบร่างกายให้สมดุลแข็งแรง
มีสุขภาพจิตที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
.
เมื่อเราเริ่มฝึกสติอยู่เสมอ ๆ
ก็คือกระตุ้นความตื่นรู้ขึ้นมา...
จะช่วยชะล้างอารมณ์ ความคิด ความกังวลต่าง ๆ
ที่ค้างคาให้คลายออกไป ....
เราจะรู้สึกได้ถึงความสงบ ผ่อนคลาย
เบาสบาย ผ่องใสอยู่ภายใน
.
และเพราะความสบายใจที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ นั้น
เราจึงพบว่าที่จริงแล้ว ความสุขที่แสวงหานั้น
ไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหนเลย ...
.มันอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
.
เราจะสัมผัสได้ว่า... ภายในปราณีตมากขึ้น
เป็นความสุขจริงที่เข้าถึงได้
แม้แต่เงินทองที่หามาทั้งชีวิตก็หาซื้อไม่ได้
.
เมื่อเข้าถึงความสุขที่ปราณีตลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มสัมผัสความผ่องใสความตื่นรู้อยู่ภายในได้แล้ว
... เเม้เราจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
.
" มันคือพลังของการตื่นรู้ "
.
เมื่อเราพัฒนาสติ
จนเกิดความตื่นรู้เบิกบาน ได้เสมอๆ...
สรรพสิ่งจะเกิดการหลุดคลายออกจากกัน
เกิดการแยกรูปแยกนาม เป็นของใครของมัน
มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน
แล้วแต่จริตของเแต่ละคน
.
จึงเข้าสู่ขั้น... " วิปัสสนาญาณ "
คือรู้สภาวะอาการตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ซึ่งไม่ได้มาจากความคิดหรือเหตุผล
.
....จิตจะกว้างขึ้น จนเข้าถึงเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
ว่างจากตัวตนความยึดมั่นถือมั่น
ปราศจากการปรุงแต่งใดๆทั้งปวง
.
เมื่อฝึกพัฒนาสติมาถึงสภาวธรรมขั้นนี้...
เราจะพบกับความสงบสุขเบาโปร่งโล่งจากสมาธิ
ซึ่งไม่มีความสุขใดในโลกนี้เทียบได้เลย
.
....แต่ว่าการเข้าถึง
เนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์พ้นจากการปรุงแต่ง
มันบริสุทธิ์กว่านั้นมาก
มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระ ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
เพราะเป็นสภาวะที่มีความมั่นคงที่แท้จริง
.
ถึงเราจะมีสิ่งต่าง ๆ เพียบพร้อม
ก็ยังขาดชีวิตที่เป็นอิสระ ยังตกเป็นทาสอารมณ์ความคิด
ต่อให้ท่องเที่ยวหรือหนีไปสุดขอบโลก
ก็ยังทุกข์ใจห่วงหาอาลัยอยู่
เพราะว่ากรงขังที่เหนียวแน่นที่สุด... ก็คือใจของเราเอง
.
" การพัฒนาสติเป็นทางสายเดียว "
ที่จะทำให้เราหลุดออกจากโลกของความปรุงแต่ง
หลุดจากความหลงยึด ทุกข์จากความเร่าร้อนทั้งปวง
เข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
เข้าถึงความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิต
.
ที่เราต้องสะสมเงินทอง มีบ้าน มีรถ มีหน้าที่การงาน
ก็เพื่ออยากมีชีวิตที่มั่นคงใช่หรือไม่ ?
สิ่งเหล่านี้มันใช่ความมั่นคงที่แท้จริงหรือเปล่า ??
มันจะอยู่กับเราไปตลอดกาลไหม ???
.
....ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่กับเราไปตลอดกาล
ต้องมีพลัดพรากสูญเสีย แม้แต่ร่างกายที่เราหวงแหน
.
" การเข้าถึงสภาวธรรมที่บริสุทธิ์ คือความมั่นคงที่แท้จริงและตลอดกาล "
ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมตรงนี้ได้... เราจะพบกับคำตอบ
... ว่าเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
.
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ
ที่จะนำทางให้พวกเราทุกคน เข้าถึงความหลุดพ้น
เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริงของชีวิตได้
....นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราพบกับแก่นแท้ของตัวเราเอง
.
" การทำจิตว่างจากกิเลส...
เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยเราใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
สามารถฝึกฝนเองง่ายๆในชีวิตประจำวัน
....ซึ่งมันอาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาลเลยก็ได้ "
จิตเดิมแท้เหมือนดั่งพระอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่ความยึดถือในปัจจุบันขณะด้วยความดิ้นรนค้นหา ความอยาก อยาก ๆ ๆ ในทางโลก หรืออยากในทางธรรม ล้วนเอาเมฆมาบังพระอาทิตย์พระจันทร์หมด
ความอยากนั้นแหละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล
สิ้นความอยาก “เหตุ” แห่งความทุกข์ก็ดับ ให้รู้เท่าทันเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุแห่งความทุกข์ คือความอยาก ๆ ๆ เมื่อสิ้นความอยาก ความทุกข์ทั้งหลายก็ดับไป
เราต้องทำเหตุด้วยตัวเอง เห็นว่าความอยากความยึดถือนั้นคือเมฆ เป็นของจรมา มันไม่ได้เป็นของที่อยู่ในจิตเดิมแท้ เหมือนกับเมฆ มันไม่ได้อยู่ในดวงอาทิตย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อุปกิเลส” กิเลสเป็นของจรมา เหมือนเมฆมาบังพระอาทิตย์
จิตเดิมแท้ "ปภัสสรังจิตตัง" มีความเป็นประภัสสรเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) มีความอยาก ความยึดถือ ก็เลยไปเอาเมฆมาบังใจ มันแค่บังเฉย ๆ พอรู้เท่าทันปุ๊ป! เมฆทั้งหลายก็ละลายไป จิตเดิมแท้ก็คงเป็นจิตเดิมแท้ แต่เพราะความไม่รู้มันก็ยึดเมฆไว้นั่นแหละ แต่พอรู้เท่าทันซะแล้ว เมฆนั้นก็ไม่มีความหมายต่อใจ
สิ่งใดเมื่อมันจรมาเอง มันย่อมไปของมันเอง ไม่ใช่เราเป็นคนไปขับไล่ไสส่งมัน เพราะเราไม่ได้เอามันเข้ามา แม้แต่ความยึดความอยาก "กิเลส" เราก็ไม่ได้เอาเข้ามา แต่มันเกิดขึ้นเอง เมื่อไรที่เราเห็นว่ากิเลสมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง มันจรมาเอง เมื่อมันจรมาเอง มันก็มีหน้าที่ต้องดับไปเอง
เหมือนเมฆที่ลอยมา ก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปกวาดเมฆให้มันออกไปจากพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ เมื่อมันจรมาเอง ไม่มีใครต้องไปทำลายเมฆ ให้มันออกไปจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เมฆนั้นมันก็ต้องผ่านไปของมันเอง
ด้วยความรู้สัจธรรมอันนี้ สิ่งใดเกิดเอง จรมาเอง แม้แต่เป็นกิเลส สิ่งนั้นมันก็ย่อมดับไปของมันเอง
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
ถ้าเห็นสัจธรรมอันนี้ปุ๊บ! บรรลุอรหันต์เลย
"ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ทำดับ
ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ เราก็ไม่ได้ทำเกิด และตอนเราจะตาย เราก็จะไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตาย เพราะตอนเราเกิดมาเราก็ไม่ได้ทำตัวเราเกิดมา
เมื่อมันเป็นธรรมชาติที่เกิดของมันเองด้วยเหตุปัจจัย สิ้นเหตุปัจจัยมันก็ดับไปของมันเอง
นี้คือ "เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ
ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ
เมื่อเหตุดับผลก็ดับ เมื่อเหตุเกิด ผลยังเกิด เมื่อเหตุมี ผลก็ยังมี เมื่อสิ้นเหตุ ผลก็ไม่มี
กิเลสทั้งหลายเมื่อเราเห็นว่า เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด พอเกิดมาเราไม่ได้เป็นผู้ตามใจมัน แล้วเราก็เห็นว่า มันจรมา เกิดเอง มันก็ดับไปของมันเอง ไม่มีใครไปทำให้มันเกิด และไม่มีใครไปทำให้มันดับ
ไม่มีคำพูด ไม่มีทั้งโง่และทั้งฉลาด ไม่มีทั้งปัญญาที่รู้แจ้ง เพราะไม่เหลืออะไรไว้เลย แม้แต่ปัญญาที่รู้แจ้งมันก็หายไป แต่มันก็เกิดขึ้นครั้งเดียว แล้วมันก็นิพพานตลอดกาล มันจึงไม่ต้องใช้ปัญญากันอีก
มันเพียงแต่ฟ้าผ่าลงใจครั้งเดียว "ปัญญาวิมุตติ"
ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ลงที่กลางใจครั้งเดียว ปัญญานั้นก็ดับไป แต่ใจบรรลุนิพพานไปแล้ว
ตรงที่ไม่มีคำพูด ไม่มีเหตุผล ไม่มีสมมุติและวิมุตติ
ไม่มีทั้งปัญญาที่ฉลาด และไม่มีทั้งความโง่ ไม่มีโลก ไม่มีธรรม
มันเป็นความรู้ ออกมาจากใจที่ไร้คำพูด ไร้สมมติ ไร้โลก ไร้ธรรม มันไม่มีสมมติว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่มีทั้งผู้ยึดถือ และไม่มีทั้งผู้ปล่อยวาง
เพราะมันไม่มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ของ ๆ เรา
... อนันตกาล ...
มีแต่ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้อันเดียวคือรู้ว่า .....
บัดนี้สิ้นผู้เสวยแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
*** ภพชาติใหม่ไม่มี
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
" ตัณหา
มัน เกิดขึ้นจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน
เหตุมันเกิดจาก อายตนะภายใน และอายตนะภายนอก มาสัมผัสกัน ตา เห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูก ดมกลิ่น
ลิ้น ลิ้มรส กาย ถูกต้องสัมผัส ใจ รู้ธรรมารมณ์
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน ให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง๖
คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้เพียรสำรวม เพียรละ
ไม่ให้เกิดความยินดี ยินร้าย
"ทำจิตให้เป็นกลาง วางเฉยต่ออารมณ์"
นี่เรียกว่า...การดับตัณหา."
_______________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า..
มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า..คนโดยมากไม่ชอบมาร..เกลียดมาร..ไม่อยากจะให้มีมารมาขัดคอ..คนอย่างนั้นแหละมันจะต้องเป็นคนโง่.เป็นคนไร้สมรรถภาพ.
คนโง่เขาเกลียดมาร..คนฉลาดเขาไม่เกลียดมาร..เขาต้อนรับเอาเป็นคู่ต่อสู้บ้าง..เอาเป็น ครูบาอาจารย์บ้าง..เอาเป็นผู้สอบไล่บ้าง.
ดังนั้นเขาจึงก้าวหน้าโดยเร็ว..มีบารมีแก่กล้าโดยเร็ว..
เพราะมารมาสอบไล่..กระทั่งมาชี้ทางสวรรค์ให้..ให้มันอดกลั้นอดทน..ให้มันรู้จักสร้างสมรรถภาพให้แก่ตนเอง..
ถ้าว่าที่แท้แล้ว..มาร.ก็คือกิเลสนั่นแหละ มารที่แท้จริงควรจะระบุไปยังกิเลส..มารอื่นๆ.เป็นของเด็กเล่นทั้งนั้น..
มารแท้จริงคือกิเลส..แล้วมีอยู่ข้างใน..เกิดข้างใน..มารนี้เราจะต้องต้อนรับในฐานะเป็นบทเรียน..ถ้ามันได้เกิดขึ้นแล้ว..เราจะต้อนรับเป็นบทเรียน..สำหรับจะไม่ให้มาเกิดอีก
ไม่ให้เกิดได้.
ถ้าคนไม่รู้จักกิเลส..คนนั้นก็โง่ตาย..ไม่รู้จักกิเลสของตน..
คนนั้นโง่ตาย..
ถ้าใครรู้จักกิเลส..คนนั้นก็จะรู้ว่าจะต่อสู้กิเลสกันอย่างไร..
จะต่อสู้กิเลสกันอย่างไร.
ฉะนั้น.เราต้องเผชิญหน้ากันกับมาร..มารยิ่งมีมา.ยิ่งทำให้บารมีแก่กล้า.ยิ่งทำให้เราเจริญก้าวหน้า..ในทางของพระธรรม.
ขอให้ยินดีเผชิญหน้ากับมาร..อย่าขี้ขลาด.ขี้กลัว..หลีกหนี..แล้วอ้อนวอน.ขอมารอย่ามีมา.
นี้ทำให้เป็นคนอ่อนแอ..เป็นคนไม่มีสมรรถภาพ..มารยิ่งมีบารมียิ่งแก่กล้า..ยิ่งก้าวหน้าในทางธรรมะ..ถือหลักปฏิบัติว่า มาๆ ขึ้นชื่อมารแล้วก็มาๆ กวักมือมาๆ มาต่อสู้กัน..มาฟัดเหวี่ยงกัน..เอาชนะให้ได้.
เพราะว่ามีเครื่องมือสำคัญ..คือ.ธรรมาวุธ.
อาวุธคือธรรมะ..ใช้ธรรมะเป็นอาวุธ..แล้วก็ฆ่ามารนั้นตาย..
“ละทิฏฐิละสมมติ”
...พระพุทธเจ้าตรัสไว้
“ภารา หะเว ปัญจักขันธา” ปัญจขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระจริงๆ
“ภาระหาโร จะ ปุคคะโล” แต่บุคคลก็ยังยึดถือภาระไว้
“ภาราทานัง ทุกขัง โลเก” แท้จริงการยึดภาระไว้เป็นความทุกข์ในโลก
อันนี้ท่านก็บอกตรงๆว่า ทุกข์นั้นน่ะเกิดจากอุปาทานในขันธ์ ๕ นั่นเอง
ขันธ์ ๕ หรือปัญจขันธ์นั้นก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
วิญญาณนั้นก็แยกเป็นอีก ๖ คือ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
วิญญาณนั่นเกิดขึ้นได้ เมื่ออายตนะภายนอกคือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และก็ธรรมารมณ์ สัมผัสอายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหตุนั้นวิญญาณ ๖ นี้มีเหตุเป็นแดนเกิด คืออายตนะภายนอกสัมผัสอายตนะภายใน จึงเกิดวิญญาณ ๖ เกิดขึ้น
สิ่งใดมีเหตุมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เมื่อเหตุนั้นดับผลนั้นก็ดับ สิ่งใดมีเหตุมีปัจจัยเกิดขึ้น สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ทีนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้อีก “อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง” ผู้มีปัญญาไม่ควรทำสิ่งที่ล่วงไปแล้วให้มาตามในจิต ไม่ควรพึงหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะสิ่งใดล่วงไปแล้วก็พ้นไปแล้ว ไม่มีนั่นเอง ดับไปหมด สิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ยังไม่ประสบ ก็คือไม่มีนั่นเอง ผู้มีปัญญาควรทำปัจจุบันให้แจ้งชัด อันไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน เป็นผู้มีราตรีเดียวอันเจริญฉะนี้
นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็สอนอีก ให้อยู่ที่ปัจจุบันธรรมนั่นเอง ให้มีสติตั้งมั่นที่ปัจจุบัน สมาธิตั้งมั่นที่ปัจจุบัน ปัญญาตั้งมั่นที่ปัจจุบันนั่นเอง ไม่ให้เข้าไปสู่อดีตหรืออนาคต เพราะอดีตพ้นไปแล้วไม่มีแล้ว
เมื่อระลึกขึ้นมามันก็แค่สัญญา เมื่อยินดียินร้ายคือหลงในสัญญานั้น ก็ย่อมเกิดความยินดีเมื่อสัญญานั้นชอบใจ เกิดความยินร้ายเมื่อสัญญานั้นไม่ชอบใจ จริงๆแล้วสัญญาก็แค่ขันธ์อันหนึ่ง ที่หมายที่จำให้จิตรู้เฉยๆ แต่ที่ชอบใจไม่ชอบใจเพราะสมมติที่อาศัยสัญญานั้นเกิด หรือเรื่องราวนั่นเอง
เหตุนั้นเมื่อจิตเมื่อสติ ไม่อยู่ที่ปัจจุบันธรรม จึงหลงเข้าไปในเรื่องราว คือสมมตินั่นเอง จึงไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ นั้นเป็นภาระ อุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ เพราะเมื่อไม่อยู่ปัจจุบันจึงไปอยู่ในอดีต ไปอยู่ในอนาคต ในเรื่องราวนั่นเอง มาอยู่ในเรื่องราวในสมมติตรงนั้น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นเราเขา
จึงเป็นเรื่องราวเกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะจริงหรือไม่จริง เรื่องราวนั้นเกิดแล้วก็ดับไปหมด มันไม่มีอยู่จริงในขณะที่จิตรู้นั้น มันมีแค่สัญญาขันธ์ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัยนั่นเอง
เหตุนั้นเมื่อสติความเพียรสมาธิไม่ตั้งมั่นไม่อยู่ที่ปัจจุบัน ปัญญาย่อมไม่เห็นแจ้งในขันธ์ ๕ คือสัญญาขันธ์นั่นเอง
เหตุนั้นสมมติจึงก่อเกิดให้จิตนั้นหลงไปตามสมมติ ไม่เห็นความจริงว่าสัญญาอนิจจัง สัญญาอนัตตา ว่างจากของเรา ว่างจากเรา ว่างจากตัวตนของเรา สังขาราอนิจจา สังขาราอนัตตา สังขารคือความคิดว่างจากของเรา ว่างจากเรา ว่างจากตัวตนของเรา วิญญาณังอนิจจัง วิญญาณังอนัตตา ความรู้นั้นว่างจากของเรา ว่างจากเรา ว่างจากตัวตนของเรา เพราะอะไรจึงไม่เห็น เพราะไม่มีสติที่ปัจจุบันธรรม หลงอยู่ในสมมติหมด ก่อเกิดเป็นทิฏฐิความเห็น หลงอยู่ในทิฏฐินั่นเอง
เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ “ตัณหาทิฏฐิมานะเป็นธรรมที่เนิ่นช้า เราตถาคตไม่มีตัณหาทิฏฐิมานะ เธอทั้งหลายจงเจริญธรรมที่ไม่เนิ่นช้า จงละธรรมที่เนิ่นช้าเถิด นี้เป็นอนุสาสนียะคำสอนของเราตถาคต”
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ มันเกิดปิติมาก แบบเช่นเวลาเห็นรูปองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราเกิดปิติมากอย่างนี้ค่ะ หรือว่าเห็นคนทำความดีแล้วเราก็เกิดปิติมากอย่างนี้..เราต้องดูให้มันหยุด..
หลวงปู่ : ดูกิเลสให้มากๆจ้ะ ไอ้พวกปิติมากสุขมาก..กิเลสทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ กิเลสเข้าข้างตัวเอง นั้นเราจะดูอย่างไร เราต้องละวางปิติและสุขนั้น แม้เค้าจะทำดีเพียงใด..เราก็ต้องละ เอามาเป็นกำลังใจให้เราทำความดีให้มันถึงอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าเราดีแล้ว..เราจะไม่ยึดดี ปิติก็เหมือนกัน เมื่อปิติเกิด..สุขมันก็บังเกิด ถ้ามันเกิดมากๆเข้ามันก็ไปหลงอีก เราให้รู้..ปิติและสุขนี้ให้มันเป็นกำลังใจเป็นเบื้องบาท เพื่อจะเอาสติปัญญามาพิจารณาธรรม..ให้เราละ ให้เรานั้นไม่ติดในตัวรู้ เมื่อติดในตัวรู้มันยึดรู้..ความถือดีถือตนมันก็จะบังเกิดได้อีกคือความหลง
รู้..เรารู้แล้ว..แต่เรายังไม่ทิ้งรู้..เพราะเรายังไม่ได้ละในสิ่งที่เรารู้ คือยังไม่เอาตัวรู้ไปพิจารณาให้เป็นธรรม..คือให้เป็นปัญญา "ตัวรู้"กับ"ตัวปัญญา"มันต่างกัน ตัวรู้เพราะเราจำมา เราศึกษามา เราฟังมา แต่ไม่ได้เอาตัวรู้ไปพิจารณาเพื่อน้อมเข้ามาในกายสังขาร ในไตรสรณคมณ์ ในกฎแห่งไตรลักษณ์ว่าทุกขัง อนิจจัง อนัตตาในกายตัวเรานี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จึงเรียกว่าเราสะสมกิเลสโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจะเป็นปิติหรือสุขที่เกิดขึ้นมาก็ขอให้รู้ แล้วเมื่อจิตมันปิติเบิกบานแล้วนั่นแล ไม่เศร้าหมองแล้ว..น้อมจิตน้อมกายเข้ามาสู่ดูกายดูจิตเรา ดูซิว่ากายเราเป็นอย่างไร ความชั่วของเราที่เราทำอยู่ จิตนั้นที่เรายังมีความพอใจ..
แม้จิตที่มันสงบนั้น..ที่มันสงบได้เพราะฌานไปข่มอยู่ ดังนั้นเราอยากจะเลือกสิ่งนี้ เราต้องไม่ยึดไม่ติดในอารมณ์ของฌานในปิติสุข เราต้องยกจิตขึ้นมาแล้วน้อมจิตเข้ามาหาในกายเพ่งโทษในกายอีก หาจนที่ไม่มีอะไรจะผุดขึ้นมาอีกแล้วนี่แล..จึงรู้ได้ว่าจิตนั้นพ้นแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นอย่าไปติดอยู่ตรงนั้น นั่นเค้าเรียกว่าพวกเสพฌาน หลงสมาธิ ไม่นานจะเป็นมิจฉาทิฏฐิพวกนี้ เพราะหลงดีว่านั่นมันเป็นสุข จริงแล้วมันไม่ใช่สุข..ถ้าสุขจริงต้องไม่ยึดสุข ต้องวางสุข ละสุข ต้องไปพิจารณาในกายเพ่งโทษให้มาก ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้ตัวอกุศลมูลนี้แล มันจะหอบหิ้วกลับมาแทะกินเราได้ถ้าเราเผลอ
เพราะเมื่อเราออกจากสมาธิมา..ฌานมันไม่ได้ข่มอยู่ เหมือนหินทับหญ้าเมื่อมันโดนน้ำค้าง โดนเชื้อมากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีอารมณ์รูปเวทนา หรือรูป เสียง กลิ่น รส ไอ้พวกกามคุณ ๕ มาสัมผัสอีก..มันก็เสวยอีก เห็นมั้ยจ๊ะ นี่อารมณ์เค้าเรียกอารมณ์เบื่อๆอยากๆ ภวตัณหา วิภวตัณหา..สุดท้ายก็ไปตกอยู่ที่"กามตัณหา" คือความอยากความพอใจเหมือนเดิม
สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณาละ เราจะได้ถึงหัวใจของพระกรรมฐาน ใครได้หัวใจของกรรมฐานแล้วเป็นผู้ที่ปิดอบายภูมิ เป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ มีอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ละรูปในความไม่พอใจ..เพ่งโทษในกายอย่างนี้ เวทนาคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจเหล่านี้ ชอบใจก็ยังเป็นเวทนา แสดงว่าสุขก็ยังเป็นเวทนา ยังไม่ใช่สุขที่แท้จริงเพราะชื่อว่าเวทนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ สัญญามันยังเป็นความจำอยู่..ยังไม่ใช่ความรู้ ความรู้..มันก็ยังไม่ใช่ปัญญา อะไรที่เราคิดมันนั่นแหล่ะ..มันคือตัวรู้ แต่ไม่ใช่ปัญญา
ถ้าตัวปัญญา..จะเกิดโดยไม่ต้องคิดและไม่ต้องนึก เพราะไอ้ตัวนึกมันเรียกว่าวิปัสสนึก..มันไม่ใช่วิปัสสนา ถ้าตัวรู้มันเกิดจากวิปัสสนามันจะไม่นึกและไม่คิด มันจะไม่เกิดจากสัญญา วิปัสสนามันต้องไม่เกิดจากสัญญา เพราะวิปัสสนามันเหนือกว่าสัญญาแล้ว เพราะมันเป็นปัญญาล้วนๆแล้ว เห็นตามความเป็นจริงที่ฝึกแล้วในจิตนั้น
ดังนั้นโยมไปพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่งั้นก็หลงอยู่อย่างนี้ หลงดีหลงว่าข้านั้นรู้ หลงว่าข้านั่งได้นาน โอ้..นั่งทับมันอยู่อย่างนั้นกิเลส กลัวกิเลสมันจะตาย นี่ไอ้พวกหลง หลงสมาธิ..ข้านี้นั่งได้นาน เค้าถึงบอกว่านั่งนานไม่นานไม่เกี่ยว ขอให้นั่งแป๊บเดียวแล้วเห็นธรรม..ใช้ได้
"เห็นธรรม"คืออะไร เห็นการเกิดดับของจิตของอารมณ์ของความไม่เที่ยง นี่สภาวะความไม่เที่ยงนี้แลโยมจะเห็นกฎแห่งไตรลักษณ์ ถ้าโยมยังไม่เห็นกฎแห่งไตรลักษณ์ก่อนเห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาแล้ว โยมจะไปพิจารณาอริยสัจธรรม ๔ ประการไม่ได้ เพราะโยมจะไม่เห็นจริง..
มันต้องน้อมจิตเข้าก่อน ถ้าน้อมจิตยังไม่ถึงแล้วโยมจะพิจารณาอะไรถึงได้ ดังนั้นโยมจะพิจาณาธรรมอะไร จะเจริญธรรมอะไร จะพิจารณาความดีอะไรไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆกินไปค่อยๆเคี้ยวไป เดี๋ยวมันอิ่มเอง ถ้าโยมรีบกินมันจะสำลัก ธาตุมันจะวิปริตหมด ไม่นานจิตก็เกิดนิวรณ์ สัญญาความผูกพันก็คิดมาแล้ว..ทีนี้ปรุงแต่งหมดทีนี้ ทุกอย่างต้องมีความพอดีของมัน
เค้าบอกไม่ต้องนั่งนานแต่ทำบ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำบ่อยๆ บางคนสมาธิไม่ต้องนั่งหลับตาเลย เดินอยู่สงบจิตอยู่ก็เป็นสมาธิ เมื่อสมาธิบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิด..ฌานมันก็บังเกิด..ญาณบังเกิดหมด มันไม่จำเป็นต้องมานั่งหลับตาอย่างเดียวการเจริญสมาธิ เมื่อคนได้สมาธิ..คือจิตเค้าตั้งมั่น จิตไม่ส่งออกไปภายนอก เค้ากำหนดจิตด้วยความสงบที่เค้าเคยฝึกมา สำรวมจิตภายในกาย ในวาจา ใจแล้ว สมาธิมันก็บังเกิดก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติของมัน จะเดิน นั่ง ยืน นอนที่ใดแล้วมันก็เกิดหมด
เค้าเรียกว่ากำหนดจิตเป็นสมาธิ..ก็เป็นสมาธิ กำหนดฌาน..ก็เป็นฌาน แม้เพ่งอารมณ์เดียวอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง..จิตมันก็รวมเป็นหนึ่ง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจจะถูกตัดออกไปหมด เพราะอะไรเล่า เพราะเค้ารู้จักฝึกการข่มจิตข่มใจอยู่บ่อยๆนั่นเอง มันจึงเกิดความละอาย เกิดโอตัปปะคือความยับยั้งชั่งใจได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
" คัมภีร์ มหามุทรา กล่าวว่า
เรา ไม่ควรให้เกิดกิเลสขึ้น ในจิต
แต่หากว่า...มันเกิดขึ้น ก็ไม่ต้อง วิตกกังวล
เหมือน...ฅนเดินทาง ก็จะเห็นทิวทัศน์มากมาย หลากหลาย เขาไม่จำเป็นต้องยุติการมองดูสิ่งเหล่านั้น
หรือ ไม่ต้องตื่นตระหนก ในสิ่งที่เห็น การเดินทาง...ต้องดำเนินต่อไป
เรามักจะไปยึดถือว่า...สิ่งต่าง ๆ(ที่พบเจอ)บนเส้นทาง
ที่เรา กำลังดำเนินไปนั้น เป็นของเรา
แต่...อันที่จริง การเดินทางนี้ คือการ เดินทางของจิต
เพื่อ เฝ้าสังเกต สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต เช่น กิเลสของเรา
ดู...ให้เห็นธรรมชาติ และเเก่นแท้ ของมัน
แล้วกิเลส เหล่านี้ จะไร้กำลัง
เพราะ...เราไม่ให้โอกาสมัน ครอบงำจิต...ของเราได้."
---------------------------------------------------------------
( ธรรมธิเบต ของ : ท่านองค์กรรมาปะ )
โอวาทธรรม
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ.
พวกท่านทั้งหลาย อย่าได้พากันนั่งเฝ้า
ร่างกายอยู่เฉยๆ มันไม่เกิดปัญญา.
ปัญญามันเกิดจากการภาวนา คือการอบรม
จิต..เพื่อจะทำลายกิเลสให้หลุดหายไปในที่
สุด.
แต่ถ้าจะทำลายกิเลสจริๆ จังๆ นั้นจะต้องดำ
เนินตามหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม
พุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนพวกเราเอาไว้เพื่อให้
ดำเนินตาม.
ไม่มีหลักอันใด จะวิเศษเหมาะสมยิ่งไปกว่า
หลักโอวาทของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้แล้ว
ไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส ท่านสอนให้รู้บ้างแล้ว
ลงมือปฏิบัติตามทันที.
และอุบายวิธีที่พระองค์สอนไว้นั้น ล้วนแต่เป็น
อุบายวิธีเพื่อที่จะถอดถอนกิเลส ให้หลุดหาย
ไปทั้งนั้น แต่เราไม่ค่อยจะศึกษาสำเหรียกกัน
เท่านั้นเอง.
ยกอัตภาพร่างกายของเราขึ้นมาบ้างสิ อย่า
นอนกอดขี้กอดเยี่ยวเอาไว้เฉยๆ เราอยู่ในโลก
นี้เราต้องอยู่ให้ฉลาดประกอบด้วยปัญญา
ตัวเรารู้ว่า เราปฏิบัติผิดไม่ถูกต้องตามหลักคำ
สอนของพระพุทธเจ้า ต้องพยายามแก้ไขที่
ตัวเรา .
คือเราต้องหาอุบายวิธีอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร
ตัวเอาจึงจะอยู่ให้เป็นสุขไม่วุ่นวายใจ อันนี้
สำคัญมากทีเดียว สิ่งทั้งปวง พระพุทธเจ้าสอน
พวกเราว่า..ถ้าใครละความโลภ ความโกรธ
ความหลง หรือ กำจัดความโลภ ความโกรธ
ความหลงเสียได้ ผู้นั้นจะพบเห็นพระนิพพาน
พระนิพพานอยู่เหนือความโลภ โกรธ หลง
ท่านว่าอย่างนี้.
ความโลภ โกรธ หลง เป็นรากเหง้าของโลก
ชาติใด ภาษาใด ก็มีสิ่งทั้งสามนี้ทุกคนหนีไม่
พ้น มีปัญหาอยู่ว่า ถ้าทุกคนมีกันแล้วอย่างนี้
จะทำประการใดดี ไม่คิดจะละสิ่งเหล่านี้บ้าง
หรือ.
บางคนถ้าจะละมันออกไป ก็ยังเสียดายมันอยู่
ถือว่ามันเป็นมิตรที่ดีต่อเราอยู่ ไม่ยอมให้มันตี
ตัวจากเราเลย อันนี้ก็ได้ชื่อว่า เราโง่กว่ากิเลส
ปล่อยให้กิเลสเป็นนายเรา.
ต่อนี้ไปขอให้พวกเรามาร่วมใจกันต่อสู้กับกิเลส
อันเป็นรากเหง้าของโลก พวกเราอย่าพากัน
ประมาท เผลอเมื่อไรมันเล่นงานเราเมื่อนั้น
จงมีสติรักษาจิตให้ดี ตามรู้จิตตลอดเวลา อย่า
พากันขี้เกียจ มักง่าย เห็นแก่กินแล้วนอน.
อันจะเป็นการเลี้ยงกิเลสอยู่โดยไม่รู้ตัว เมื่อมัน
สมบูรณ์มีกำลังพร้อมเมื่อใด มันจะเล่นงานเรา
ฉะนั้น เราต้องเล่นงานมันเสียก่อน..
นิวรณ์ ๕ จัดเป็นกิเลสชั้นกลาง หรือชั้น ปริยุฏฐานกิเลส เป็นระดับเดียวกับ อุปกิเลส ๑๖
ถ้ากำจัดนิวรณ์ ๕ (และอุปกิเลส ๑๖) ได้ ... หรือทำให้มันหายไปชั่วคราว จิตก็จะรวมลงเป็นฌานหรืออัปปนาสมาธิ
กิเลส มี ๓ ชั้น
๑. ชั้นนอกสุดหรือชั้นหยาบ เรียกว่า วีติกกมะกิเลส ได้แก่การทำผิดศีล ๕ และทำผิดกุศลกรรมบถ ๑๐ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการสมาทานรักษาศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐
๒. ชั้นกลาง ลึกลงไปในใจระดับหนึ่ง เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ได้แก่ นิวรณ์ ๕ และ อุปกิเลส ๑๖ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการฝึกสมาธิจนได้จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ หรือ ฌาน
๓. ชั้นลึกสุด กบดานนิ่งในใจส่วนลึก เรียกว่า อนุสัยกิเลส ได้แก่สังโยชน์ ๑๐ ..
》กำจัดกิเลสชั้นนี้ ด้วยการฝึกจิตภาวนาระดับสูงจนได้วิปัสสนาญาณครบทั้ง ๑๖ ขั้น เกิดอริยมรรคประหารกิเลสชั้นนี้ได้ตามลำดับของอริยมรรคนั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล (หรือเรียกอีกชื่อว่า พระอริยะเจ้า) ระดับใดระดับหนึ่งจากจำนวน ๔ ระดับ คือ อาจจะได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
{...ที่จริง อุปกิเลส ๑๖ ก็คือ นิวรณ์ ๕ ที่แปรตัว หรือขยายตัวปรุงแต่งบานเบ่งออกมา นั่นเอง ...}
San Nirvana
" อันตรายภายนอกนั้น เรา ไม่กลัว
เรา กลัวอันตรายจากกิเลสภายในใจ ของตนเอง เท่านั้น
ใจฅนเรา ที่ฟุ้งซ่านหงอยเหงา
เกิดจาก...กิเลสสามกองภายในใจ
(ราคะ โทสะ โมหะ) ของตนเอง บั่นทอน
"ใจฟุ้งซ่าน" ไม่ได้ เกิดจากสิ่งภายนอก สัตว์ บุคคล
มัน เกิดจาก"ใจเรา" เข้าไป"ยึดถือ" ให้เป็น"ธรรมมารมณ์" ทั้งนั้น."
________________________________________
(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
ธรรมะปฏิบัติ
มันไม่ใช่เรื่องง่าย หรือยากหรอกนะ
มันเป็นเรื่องของการรู้จัก สิ่งที่เรียกว่าตัวเอง
คือกายกับใจนี้เท่านั้นเอง
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาไปครุ่นคิดให้วุ่นวาย
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มีสิ่งกระทบเข้ามาแล้วรู้สึกอย่างไร
ให้เรียนรู้ความรู้สึกนั้น คอยรู้เสมอๆ
ไม่ไปคอยปรุงแต่งเพิ่ม ไปทางชอบหรือชัง
เมื่อรู้บ่อยๆเข้า ก็จะเห็นว่า ความรู้สึกต่างๆนั้น
เมื่อจะเกิดก็เพราะมีเหตุ ไปบังคับไม่ได้
เมื่อจะดับก็เพราะหมดเหตุเท่านั้นเอง บังคับไม่ได้
ให้รู้เห็นอย่างนี้ จนเกิดปัญญาที่จะตัดสินความรู้นั้น
ว่า มีเพียงสิ่งบางสิ่งเกิดและดับไปเท่านั้นเอง ไม่มีตัวตนที่ถาวรเลย
เมื่อไหร่หยุดได้
ก็ถึงพระ
เมื่อใดละได้
นั่นแหละธรรมะ
เวลาโยมเดินโยมนั่งมีจุดหมายมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีครับ) ไหนมีอย่างไร ลองว่ามาหน่อยซิจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ให้มีสติค่ะ ฝึกสติค่ะ) อ้าว..ฝึกยังไงที่โยมบอก (ลูกศิษย์ : ก็ภาวนาค่ะ เวลาเดินก็ภาวนาให้จิตมันตื่นรู้ค่ะ) แล้วทำไมถึงง่วงอีกล่ะจ๊ะขนาดเดินภาวนาอยู่ การฝึกสติโยมต้องรู้ในจุดมุ่งหมายในหลัก..ว่าที่โยมเดินอยู่นี้เดินไปทำอะไร นั่งนี่นั่งไปทำอะไร การภาวนานี่ถ้าสติมันยังไม่ตั้งมั่นมาก ตัวนิวรณ์ที่มันมีมันก็ไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ นั้นจะนั่งจะเดินก็ดีมันต้องมีเป้าหมายว่าเราจะนั่งไปทำอะไร เดินไปทำอะไร
นั่นก็หมายถึงว่าในขณะนี้เราเดินอยู่ก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้อย่างนี้ ถ้าโยมนั่งภาวนาไปเรื่อยๆแล้ว แต่สติโยมไม่เท่าทันในตัวองค์ภาวนา ไม่นานนักความเพียรโยมก็ขาดหายไป ดังนั้นต้องรู้..รู้อะไร เรานั่งอยู่ก็รู้ เราต้องไปรู้ที่กายว่าสังขารเรานั้นเสื่อมไปเพียงไร ถ้าเราไม่พิจารณาอย่างนี้ เรียกว่าจิตนั้นยังไม่เข้าถึงกรรมฐานในการงาน เมื่อจิตไม่มีที่ตั้งของการงานแล้ว ไม่นานนักจิตเรานี้ก็จะมีความเคลิบเคลิ้มใจ เพราะมันมีต้นทุนของนิวรณ์ในความง่วงอยู่แล้ว
นั้นในการที่เรานี้จะข้ามพ้นนิวรณ์ไปได้ เราต้องรู้เสียก่อนว่าเรานั้นในขณะนี้ เดินอยู่นั่งอยู่ในขณะนี้..เราเดินเรานั่งไปเพื่ออะไร เมื่อเรานั่งแล้วที่ตรงนั้นมันไม่สามารถเจริญโมกขธรรมให้เกิดได้ เราก็อย่าไปฝืนนั่งอีก แสดงว่ามันไม่ใช่ทรัพย์ของเรา เรียกว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของ เราก็ต้องลุกไปเดิน..
เดินนี้แม้เราจะเดินเราก็รู้ในการเดินของเรา เดินทำอะไรอยู่ แม้จะมีองค์ภาวนาก็ตาม ก็ต้องรู้ว่าในขณะนี้จิตของเรานี้มีอาการอย่างไรเกิดขึ้น นี่ก็หมายถึงว่าดูจิตในจิต เพราะว่าในขณะนั้นเรายังไปดูกายไม่ได้ เพราะว่ากายสังขารเรามันอ่อนล้าแล้ว เราก็ต้องดูจิตของเรา ว่าจิตตอนนี้เสวยอารมณ์ใด อารมณ์ใดมันเข้ามากระทบมาผัสสะ มันให้ผลเป็นอย่างไร
ดังนั้นแล้วเมื่อจิตเรารู้ว่าอาการของจิตเป็นอย่างไร มันมีความง่วงมีความเคลิบเคลิ้ม..เราก็ต้องเดินให้มาก ดูท้องฟ้า ดึงใบหู ทำอย่างไรก็ได้ทำให้จิตเรานั้นคลาย นี่ก็เรียกว่าสติตั้งมั่นอยู่ในฐานทั้ง ๔ เป็นการเจริญสติอย่างแท้จริง นั้นการดูกายเราจะดูอย่างไรบ้างให้รู้..ดูกายในกายมีอะไร อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าระลึกถึงกายทุกครั้งก็ให้รู้ว่ากายนี้เราเสื่อมไปเพียงใดแล้วในขณะนี้ อีกนานเท่าไรว่ากายสังขารนี้จะไม่มีลมหายใจ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อีก
ยิ่งเรามีโรคภัยไข้เจ็บก็ดี สังขารอ่อนล้าอ่อนแรงมากแล้วก็ดีนี้ เราต้องตระหนักให้มาก คือต้องรีบขวนขวายสร้างบุญกุศลให้มากๆ ทางใดทางหนึ่งก็ตามพยายามเจริญความเพียรให้มากๆ ไม่ใช่ว่าร่างกายสังขารเราไม่ไหว เราก็ห่วงแต่พักแต่ผ่อนอยากจะหลับจะนอน ใครที่อยากแต่จะพักจะผ่อนอันนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้เจริญความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
การนอนอย่างน้อย ๔-๕ ชั่วโมงนี่ก็ถือว่าสมควร กำลังมันกำลังดีแล้ว ไม่ใช่เป็นการทรมานกายสังขารไม่หลับไม่นอนเลยก็ใช่หาว่าเป็นอย่างนั้นไม่ แต่ถ้าโยมนอนแล้วไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม นี่แหล่ะเค้าเรียกว่ากิเลสมันไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม นอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม เหมือนอาหารที่เราจะบริโภคไปก็เช่นเดียวกันไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม นั้นเราต้องรู้จักกาลรู้จักเวลา ว่าเวลานี้ในขณะนี้เรามาทำอะไร
เมื่อเรารู้ว่าในขณะนี้เราทำอะไร เราเดินอยู่เราก็ตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาออกไปได้ ว่าเราในขณะนี้เราได้สละเรือน สละกายสังขารมาอุทิศ มาเป็นตัวแทนของบรรพชนของบิดามารดา เป็นทายาทแห่งกรรมที่ได้จะมาตอบแทนคุณบิดามารดา บรรพชนวีรบุรุษทั้งหลายผู้มีคุณ ที่ทำให้เรามีจิตวิญญาณมีลมหายใจ มีกายสังขารได้อยู่ทุกวันนี้ ก็ตั้งจิตอธิษฐานแผ่ออกไป ให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณที่เค้ามีบุพกรรมมีวาสนาเค้าได้มาโมทนากับเรา ถ้าโยมทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เค้าเรียกว่าโยมจะเข้าถึงบารมี..บารมีอะไรที่จะเข้าถึง ก็บารมีทั้ง ๑๐ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าใครเข้าถึงบารมีทั้ง ๑๐ ได้..การตัดสังโยชน์ก็ดี สักกายทิฏฐิก็ดี..มันก็เป็นได้โดยง่าย นั้นโยมพิจารณาดูศีลก็ดี พุทธบารมีทั้ง ๑๐ ก็ดี เรานี้ได้เจริญเข้าถึงบ้างหรือยัง บางคนยังไม่มีสัจจะ เมื่อสัจจะมันบกพร่องแสดงว่าศีลโยมก็บกพร่อง อ้าว..มันผิดตรงข้ออะไร มุสารึเปล่าจ๊ะ..สัจจะนี้ มันไม่มีความจริงใจ แม้กระทั่งตัวเราเองมันยังหลอกได้ แล้วคนอื่นเล่าจะไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างไร ใช่รึเปล่าจ๊ะ
นั้นการที่ว่าโยมจะทำอะไรเป็นอิสระ หรือว่ากิเลสตัณหาอุปาทานในการประหารหรืออะไรก็ตามที่โยมรู้อยู่แก่ใจแล้ว แต่ในสิ่งที่รู้นั้นการเจริญทำความดีแม้จะเป็นที่ลับหรือที่แจ้งก็ดี เราก็ควรมีความละอายมีสัจจะมีความจริงใจต่อพระรัตนตรัย คือนอบน้อมว่าวันนี้เรานั้นได้มาทำอะไร อย่างนี้แลก็เรียกว่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ยังต้องสรรเสริญกับผู้นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ..นี่คุณของเทวดา เรียกว่าแม้โยมจะเกิดตายมาอีกกี่ภพกี่ชาติโยมก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่ได้มาเจริญศีล ละโลกนี้ไปแล้วก็ได้ไปอยู่เสวยเทวโลก พรหมโลก เป็นเทพเทวดาเจ้าก็เพราะว่าโยมมีหิริโอตัปปะ มีความจริงใจ
แต่สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นบันไดเพื่อให้โยมนั้นได้สะสมพุทธบารมีให้มันเต็มขั้นเต็มภูมิ ไปเรียกว่าถึงขั้นที่เรียกว่าปรมัตถ์บารมี บารมีสูงสุดก็คือการทำเจโตวิมุตติให้มันหลุดแจ้งแก่ทุกข์ทั้งหลาย นั่นก็เรียกว่าทำปัญญาให้มันเกิดขึ้น นั้นขันติธรรมที่เรานั้นจะก้าวล่วงก้าวผ่านในวัฏฏะนี้ ในการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ถ้าจิตเรายังมีความอ่อนแอ มีความโทมนัสอยู่ อาลัยอาวรณ์ขี้เกียจคร้านอยู่ ก็ไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบีฑาได้
นั้นโยมต้องรู้ว่าเราเข้ากรรมฐานแล้ว เรารับกรรมฐานไปแล้วในเวลาเที่ยงคืนในราตรีนี้ เราจักไม่มีการหลับนอน แม้ร่างกายสังขารเราจะอ่อนล้าอย่างไรก็ตาม ก็เอาโรคภัยไข้เจ็บเวทนาที่เกิดขึ้นแล ให้เราพิจารณาหยิบยกมาเป็นอารมณ์..มันก็เกิดฌาน เมื่อฌานมันบังเกิดไปข่มอารมณ์ไปเพ่งอารมณ์อยู่อย่างนั้น มันก็เรียกว่าทรงอารมณ์นั้นได้ แม้มันจะมีความเมื่อยล้าอ่อนล้าอ่อนแรงหรือปวดท้องอะไรก็ตามที ตัวนี้แลมันจะทำให้โยมนั้นจิตมันตื่นรู้ในเวทนาในทุกข์นั้นได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นแลเรียกว่า"การเจริญสติเจริญปัญญา"
นั้นการเจริญฌานเพ่งรู้ดูอารมณ์นั้นเห็นอารมณ์นั้นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เมื่อเห็นสภาวะความไม่เที่ยงต่ออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ตามที เหล่านี้แลเมื่อเราเพ่งดูอยู่บ่อยๆก็จะเห็นชัด เมื่อเห็นชัดมันจะเป็นอย่างไร มันก็จะเกิดความเบื่อหน่าย นี่เราต้องเพ่งโทษในกายนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อมันเห็นความเบื่อหน่ายก็พิจารณาลงไปว่าให้มันละกายนี้ ให้เห็นโทษเห็นภัยในกายนี้ ก็เรียกว่าเป็น"การเจริญวิปัสสนาญาณ"
ถ้าเราไม่เห็นโทษเห็นภัยในการเกิด ยังมีความพอใจอยู่ในกายนี้ อย่างนี้เรียกว่าเจริญกรรมฐานทั้งชาติมันก็พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะกรรมฐานหัวใจของเค้าคือการเพียรละ ไม่ได้ยึด ถ้าโยมยังยึดอารมณ์อยู่ ยังยึดกายอยู่ ติดอยู่ในสุขอยู่ ยังไม่ได้ละสุขยังไม่ละความเพลิน แม้มีอาจารย์ดีเป็นร้อยล้านพันล้านแสนพันโกฏิก็ตามที่จะผ่านมาให้ธรรมโยม..โยมก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
" อย่า ไปเอาอภิญญาเลย
พอจิตสงบแล้ว พิจารณาร่างกาย
สังขาร(ความปรุงแต่ง)ให้เอาวิปัสสนา
ดู...มันเกิด - ดับ ตรงนี้ มันก็ไปได้ เท่านั้น
ความเป็นจริงแล้ว ไม่ต้องย้ำอะไรมันมากมาย
คนที่มีปัญญาแล้ว
พอเรา เพิกถอนสมมุติ ที่เขาสมมุติกันนี่
เพิกถอนมันออกซะ ให้มันหมด
ให้มันเป็นวิมุติ
วิมุติ...
คือ มันพ้น มันว่าง สิ่งสมมุตินั้น
สิ่งสมมุติว่า...มัน เป็นนั้น แต่เราเพิกถอนสิ่งสมมุติ
ที่มันเห็นอยู่ ให้เป็นตัววิมุติอย่างงั้น
ให้มัน พ้นจากสิ่งทั้งหลาย เหล่านั้น
นี่ ให้มันรู้จุดของ เจ้าของ
ไม่ต้อง ตามอะไรมันไปมากมาย
เท่านี้ ก็พอแล้ว
ปัญหาอันนี้ มันยุ่งหลายบางคน ก็ทำยาก
คือ คิดจนเกินไปซะ เลยไม่ถูกเรื่องเลย
คิดว่า จะทำมาก ๆ มันดี
อะไรมันดี ?
มันมากอย่างไร จนไม่รู้จักว่ามากน้อยมันเป็น
อย่างไร
ก็เหมือนกะเศรษฐี กับคนจน
เศรษฐีมันดี มันดียังไง ? คนจน มันจนยังไง ?
ผลที่สุด เมื่อดูแล้ว มันก็เท่ากัน
ที่สุดแล้ว มันก็เป็นอย่างงั้น
อันนี้ ก็เหมือนกันฉันนั้น
คิดชั่ว - คิดดี
ไม่ใช่ ทั้งนั้น ถ้าใช่ มันจะหมดหรือ ?
ถ้า ถึงที่สุดแล้ว อันนี้ ไม่เหลือ
อย่า ตามสังขาร
อย่า ตามความปรุงแต่ง
เรา ตามสังขาร(ความปรุงแต่ง)ว่า...
มัน เป็นปัญญาไอ้ความรู้นั่น ก็ไม่ใช่
ทิ้ง...
มัน เหมือนกัน."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ชีวิตไม่เป็นทุกข์ เมื่อมี “ความถูกต้อง” เป็นพื้นฐาน
ความคงที่อยู่ในความถูกต้องเรียกว่า “อตัมมยตา”
.
“เดี๋ยวความบ้ารักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นกัด เดี๋ยววิตกกังวลทางอนาคตกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์ข้างหลังกัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด จนถึงฆ่ากันตาย
สิ่งเหล่านี้ที่กัดเจ้าของทำให้กลายเป็นชีวิตที่โง่ เจ้าของชีวิตที่โง่เขลานั้นจึงหาสันติภาพไม่ได้ จึงต้องทำให้มันถูกต้อง จนไม่กัดเจ้าของนั่นแหละ พื้นฐานของธรรมะ พื้นฐานชีวิต ก็คือ “ความรู้ที่ถูกต้อง” ที่นำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว แต่ว่าเห็นแก่ความถูกต้อง ซึ่งช่วยให้เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ความถูกต้องจึงรักผู้อื่น ถ้ามันเห็นแก่ตัวมากมันก็จะเอาตามกิเลสของมันเสมอไป ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฝนการจับกิเลสกัน
.
เมื่ออยู่ที่บ้านเป็นฆราวาสก็มีการกำจัดกิเลส มาบวชเป็นนักบวชที่วัดก็มีการกำจัดกิเลส จึงจะเข้ารูปเข้ารอยของพระศาสนา ที่จะทำให้ชีวิตนี้มีพื้นฐานอันถูกต้องไม่เห็นแก่ตัว ศึกษาวิปัสสนาให้เห็นว่าความจริงของธรรมชาติทั้งหลายเป็นอย่างไร และก็...ไม่โง่ ไม่ไปหลงในสิ่งใดให้เกิดเป็นกิเลสขึ้นมา
.
กิเลสนั้นมี ๓ ประเภท
ประเภทหนึ่ง เป็นกิเลสบวก ทำให้ต้องการ ต้องเอาเข้ามายึดครองไว้ นี่คือกิเลสบวก ได้แก่ โลภะ
กิเลสอีกประเภทหนึ่ง มันเป็นลบ ต้องการจะฆ่า ต้องการจะทำลาย ก็คือ โทสะ
และ กิเลสหมวดที่ยังไม่แน่ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ มันก็โง่สงสัยอยู่นั่น มัวเมาในสิ่งที่ไม่รู้จัก นี่เป็นกิเลสประเภท โมหะ
.
เรามีกิเลส ๓ หมวดด้วยกัน หมวดโลภะมันจะเอา หมวดโทสะมันจะทำลาย หมวดโมหะมันจะวิ่งตามอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน นี้คือ กิเลส คือศึกษาเห็นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง มันก็ไม่เกิดความเป็นบวกไม่เกิดความเป็นลบ
.
เพราะฉะนั้น เราต้องมีความฉลาดอยู่เหนือความเป็นบวก เหนือความเป็นลบ ของปัจจัยที่มาปรุงแต่ง ประโยคนี้ขอให้ช่วยจำให้ดีว่า พื้นฐานที่ถูกต้องของชีวิตนั้น คือความมีจิตชนิดที่ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ไปตามสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่ง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้มันจะมีสิ่งเข้ามาปรุงแต่งจิตใจให้เป็นบวกและเป็นลบ ทำให้มีความทุกข์ทรมาน
การมีความคงที่อยู่ในความถูกต้องเรียกว่า “อตัมมยตา” คงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่ไปโง่ให้เป็นบวก ไม่ไปโง่ให้เป็นลบ นั่นคือมาตรฐาน หรือพื้นฐานอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” มันมีความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ไม่ถูกหลอกให้เป็นบวก ไม่ถูกหลอกให้เป็นลบ”
.
พุทธทาสภิกขุ
สิ่งที่เรียกว่า กาม..
กาม กา-มะ หรือกามนี้..ชึ่งเป็นปัญหา
หนักของในหมู่มนุษย์นี่.
ถ้าหมายถึง ความรู้สึกที่อยู่ในใจคน
เขาเรียกว่า..กิเลสกาม.
ความรู้สึกที่ทำให้กระสันหรือใคร่ไปใน
ทางกาม นั่นแหละ.เขาเรียกว่ากิเลสกาม.
กามกิเลส..คือตัวกิเลสในฐานะที่เป็นตัว
กาม.
นี่ถ้ามันเป็นวัตถุที่จะเป็นเหยื่อของกิเลส
นั้น เขาเรียกว่า.วัตถุกาม หรือกามคุณ.
มันก็อยู่ข้างนอก.เช่น.รูป.เสียง.กลิ่น.รส.
สัมผัส นี่มันเป็นกามคุณ..กามข้างในก็คือ
ตัวกาม ตัวราคะโดยตรง.
กา-มะ โดยตรงอย่างนี้.มีอยู่เป็น ๒ กาม
คือ กิเลสกาม.กับ วัตถุกาม..คือวัตถุแห่ง
กาม.
กิเลสกาม ก็มาจากผัสสะ..ไม่มีผัสสะ ไม่มี
เรื่องของผัสสะมาก่อนแล้วเกิดกิเลสไม่ได้
จะเกิดความใคร่ในสิ่งใดขึ้นมาไม่ได้.
เคยรู้รส.รู้อัสสาทะของอารมณ์ก่อนๆ แล้ว
มันก็มีความหวัง มีความอยากที่จะได้ต่อไป
อีก..อันนี้ก็เรียกว่ากิเลสกามนั้นเกิดขึ้นและ
ถูกหล่อเลี้ยงไว้..เพราะว่าเคยมีผัสสะในสิ่ง
นั้น.
ก็แปลว่า..กิเลสกามก็มาจากผัสสะ มีราก
ฐานอยู่บนผัสสะ..แล้วก็เจริญ จะมีอยู่ต่อ
ไปข้างหน้าก็ต้องอาศัยผัสสะ.
คนที่มีผัสสะต่อสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก..แล้วก็
ทำความหมายให้เกิดขึ้นต่อสิ่งนั้น และตัว
เองก็มีความยึดมั่นเพราะผัสสะนั้น.อยาก
ได้ผัสสะชนิดนั้น..หรืออยากได้กามนั้นก็
เพราะมันมีผัสสะชนิดนั้น.เพราะว่าสิ่งนั้น
มันมีอัสสาทะ.
อัสสาทะ แปลว่าเสน่ห์.ที่ยึดเหนี่ยวดึงดูด
จิตใจ..
นี่บาลีเรียกว่าอัสสาทะ ทุกอย่างจะมีอัสสา
ทะตามแบบของตัวไม่มากก็น้อย.
ในกามคุณทั้งหลายก็มีอัสสาทะเป็นที่ตั้ง
แห่งผัสสะ..แปลว่ากามคุณทั้งหลายก็ต้อง
อาศัยผัสสะ..ก็ต้องออกมาจากผัสสะ เกิด
ความหมายขึ้นมาด้วยอำนาจของผัสสะ.
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า..นิทานสัมภวะ
ของมันคือ.ผัสสะ.มูลเหตุเป็นที่เกิดขึ้นมา
ของกามนั้นคือผัสสะ.
กามทั้งหลายเป็นอย่างนี้..เราจะลองเอาไป
คิดนึก ศึกษา.ว่าตัวเราก็ดี ไม่ยกเว้น.เพื่อน
มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี มีปัญหาในเรื่อง
นี้.มีสิ่งนี้มารบกวน. เป็นส่วนตัวเหมือนกับ
ตกนรกอยู่ตลอดเวลา.