ถ้ายอมรับความไม่สงบได้
จะเข้าถึงความสงบยิ่งกว่า
ญาณ ๖
ภยญาณ (ภยตูปัฏฐานญาณ)
ปัญญาหยั่งเห็นโทษภัย ความน่ากลัวๆ
"เห็นนามรูป โดยธรรมชาติว่า น่ากลัว"
หรือจิตญาณนั้น กำลังเห็น ทุกขสัจจะ
เป็นปัญญาที่ โสดาปฏิมรรคขึ้นมาเห็น
และหยั่งเห็นสัจธรรมจากสิ่งนั้นทุกมิติ
ทั้งที่เมื่อก่อนตนเองเคยละเลย ไม่เห็น
แต่มาให้ในภยญาณ ญาณจักเพ่งโทษ
เห็นทุกขสัจจะขณะละกำหนัดนั้นแล้ว
ปัญญาขั้นโลกุตระ ขณะละสมุทัย
เพ่งนาม-รูป หรือขันธ์๕
● ขันธ์๕ นั้นบังคับไม่ได้ ควบคุมไม่ได้,
ขันธ์๕ ที่บังคับได้บ้าง ก็ไม่ใช่ทั้งหมด,
ขันธ์๕ ควบคุมได้ หรือไม่ ก็ไม่ใช่
● ขันธ์๕ ไม่ใช่ตัวตนของตน
หยั่งเห็นนาม-รูปตามธรรมชาติของมัน
นาม-รูปจะแตกสลายเองตามกาลเวลา
เมื่อถึงเวลาตาย ความตายเป็นแน่นอน
ไม่มีใครหนีสัจธรรมไปได้
จิตญาณ หรือปัญญาญาณที่เบื้องหลัง
กำลังสอดส่อง เฟ้นธรรมต่างที่ตนเห็น,
หรือกำลังพิจารณาธรรมนั้นๆ รูป-นาม,
บางรูป อาจจะรู้ละเอียด, บางรูปสำนึก
มารู้เข้าใจตนเองได้ เมื่อภายหลัง
👁🗨เห็นรูปธรรม...
เห็นรูปธรรมว่า รูปขันธ์เป็นทุกข์, โทษ,
และภัย สะสมรวมด้วยธาตุ๔ ปะปนอยู่
ลักษณะมีร่างกาย น้ำเลือด, น้ำเหลือง,
ปัสสาวะ, น้ำมูก, น้ำย่อย, อุจจาระ ฯลฯ
หรือแยกแยะเป็นธาตุ ที่รวมอยู่ใน รูปฯ
🔄ธาตุดิน
🔄ธาตุน้ำ
🔄ธาตุลม
🔄ธาตุไฟ
👁🗨เห็นนามธรรม
จิตญาณเห็น เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์,
สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์ ว่า การเกิด
เป็นเหตุแห่งทุกขสัจจะ, มีโทษมากกว่า,
เป็นภัยมากกว่าการดับอย่างสงบ
รู้เป็นความน่ากลัว รู้สึกกลัวๆ ภัยขันธ์นี้
เพราะฅนไร้มรรค๘ คล้องใจ คงก่อเวร
ก่อกรรมขาว-ดำปะปนอยู่ใน สังสารวัฏ
ยากที่จะมีผู้ใดช่วย หรือช่วยตนพ้นภัย
สังสารวัฏ เปรียบคุกที่ยาวนานที่สุด
เวทนาขันธ์
เวทนา หรือความรู้สึกของตนเองนั้นแล
แต่หลายฅน ไม่ค่อยรู้ทันความรู้สึกจริง
รู้อีกทีมักจะสนองเวทนา ทุกข์ สุข เฉย
สังขารขันธ์
สังขารแปรปรวนๆ ยากเกินจะต้านทาน
สุขภาพกายแปรปรวนๆ บางครั้งฉุกคิด
สุขภาพจิตแปรปรวนๆ บางครั้งฉุกคิดๆ
สิ่งควรคิด ก็ไม่ค่อยคิด, คิดแต่ที่ไม่ควร
ฮาๆๆๆ มนุษย์หนอมนุษย์
ถ้าสังขารแตกดับ ปัญญาจึงเห็นภัยนั้น
ภยญาณ จึงเป็นประโยชน์ก่อนจักตาย
ฅนสำนึกก่อนตายจริงๆ แล้วลืมสำนึกรู้
ฅนลืมตัวนี้ น่าสงสารที่สุด ถ้ามีผู้อื่นนำ
หรือชี้ทางชี้ให้ ย่อมถือว่า ชีวิตยังมีบุญ
ฅนชี้แนะเพื่อมนุษย์ ถือว่า มีบารมีมาก
เพราะยากมากจักช่วยเหลือมวลมนุษย์
เพื่อให้พ้นจากสังสารวัฏ, หรือเมืองมาร
ตนจะต้องยอมเสียสละวันเวลาชีวิตตน
เพื่อช่วยฅนส่วนมากขณะที่โดนใส่ร้าย
นินทา ทำลาย ทำร้ายทางตรงทางอ้อม
ขณะที่ตนเองกำลังช่วยฅนเหล่านั้นอยู่
ช่วงชีวิตผู้บำเพ็ญบารมี ก็เป็นแบบนี้
ไม่ได้สวยงาม เหลือพวกเสแสร้งอวดดี
สร้างภาพพจน์ สร้างภาพลักษณ์ต่างๆ
ด้วยสมุทัยเป็นงบประมาณจำนวนมาก
ขณะที่ผู้รู้ ละสมุทัย สมถะ สันโดษ
สรุป ภยญาณ
เป็นโลกุตรธรรมหยั่งเห็นด้วยวิปัสสนา
เป็นภาวนามยปัญญา หรือย่อ "ภาวนา"
เกิดจากจิตญาณ ที่ระลึกรู้ และสำนึกรู้
ขณะเห็นสัจธรรมนั้นว่า ทุกข์ โทษ ภัย
หรือบางท่านกล่าวหาว่า "การเพ่งโทษ"
ขณะบางฅน กำลังกล่าวสัจธรรม
ขณะกำลังจะสะสมเบื่อหน่ายมากขึ้นๆ
เพื่อเข้าถึงนิพพิทาญาณที่อนาคตกาล
แต่ผ่าน อาทีนวญาณ เห็นภัยจากทุกข์
จนกระทั่งนิพพิทาญาณ แจ่มชัดต่อไป
เจริญพร
นิโรธ ๓ รอบ ๑๒ อาการ
สภาวธรรม ผลปฏิบัติรับรองวิธีปฏิบัติ
จิตจะเห็นเท่าทัน นิโรธ ณ ขณะจิต
🔔ผลสมาบัติ
🔔นิโรธสมาบัติ
ผลสมาบัติ (นิโรธ รอบแรก)
ดับนานไม่เกิน ๗ วันชื่อว่า ผลสมาบัติ
บุคคลบรรลุนิโรธ เข้าถึงความเป็น...
♤ โสดาปฏิผล
♤ สกิทาคามีปฏิผล
ละสังโยชน์ ๓ สิ้นแล้ว ได้แก่...
👁️ละความลังเลสัยในพระรัตนตรัย
👁️ละความเห็นผิดว่า "ตัวตน ของตน"
ละตัวตนว่า เรา เป็นเรา ของเรา...
หรือละความเห็นแก่ตัว
👁️ละการถือศีล แบบผิดๆ ลูบๆ คลำๆ
ข้อสังเกต...
ขึ้นอยู่ที่... กิเลสมาก หรือน้อยกว่ากัน
ความเห็นแก่ตัว คือ สักกายทิฏฐินั้นไง
ที่ขัดขวาง ปิดกั้น จึงไม่สามารถบรรลุ
อีกส่วน สมาธิ ยังไม่ถึงญาณสมาบัติ๕
อย่างหนึ่งอย่างใด ปิดกั้น จึงไม่บรรลุ
นิโรธรอบที่๑ มีอาการ๔
👀เห็นทุกข์ว่า สังโยชน์ที่เหลืออีก ๗
👀เห็นสมุทัยว่า สังโยชน์ที่ละแล้ว ๓
👀เห็นนิโรธรอบแรกว่า ผลสมาบัติ
👀เห็นมรรค๘ วิธีการเลิกเห็นแก่ตัว
》》》》》♤《《《《《
.....
นิโรธสมาบัติ
ดับนาน ๗-๑๕ วัน ชื่อว่า นิโรธสมาบัติ
ละสังโยชน์ได้ ๕-๑๐ ประการ
ละสังโยชน์ ๕
บรรลุนิโรธสมาบัติ (นิโรธรอบที่ ๒)
บุคคลบรรลุนิโรธ เข้าถึงความเป็น...
♤ อนาคามีปฏิผล
ละสังโยชน์ ๕ สิ้นแล้ว ได้แก่...
👁️ละกามราคะ ละเด็ดขาดกามคุณ๕
👁️ละปฏิฆะ ละกระทบกระทั่ง ภายใน
รวมจากที่เคย ละสังโยชน์ ๓ เป็น ๕
👁️ละความลังเลสัยในพระรัตนตรัย
👁️ละความเห็นผิดว่า "ตัวตน ของตน"
ละตัวตนว่า เรา เป็นเรา ของเรา...
👁️ละการถือศีล แบบผิดๆ ลูบๆ คลำๆ
นิโรธรอบที่๒ มีอาการ๔
👀เห็นทุกข์ว่า สังโยชน์ที่เหลืออีก ๕
👀เห็นสมุทัยว่า สังโยชน์ที่ละแล้ว ๕
👀เห็นนิโรธรอบสอง นิโรธสมาบัติ
👀เห็นมรรค๘ วิธีตัดตัณหาเด็ดขาด
》》》》》♤《《《《《
ละสังโยชน์ ๑๐
บรรลุนิโรธสมาบัติ (รอบ ๓)
♤ อรหันตผล
จากที่ อรหันตมรรค หรืออนาคามีผล
ละกามสุขเด็ดขาดท่ามกลางฌานสุข
และนิพพานสุข ชื่อว่า ชีวิตทรงฌาน.
ละสังโยชน์ ๑๐ สิ้นแล้ว ได้แก่...
👁️ละรูปราคะ ละความพอใจ รูปฌาน
👁️ละอรูปราคะ ละพอใจ อรูปฌาน
👁️ละมานะ ละตัวตน ไม่ถือคุณสมบัติ
👁️ละความฟุ้งซ่านรำคาญใจเด็ดขาด
👁️ละอวิชชา ดับความไม่รู้เป็น วิชชา
ข้อนี้อาศัยปัญญาขั้นสูงกำจัดสันดาน
วิเวกธรรม กำจัดกิเลสที่ละเอียดอ่อน
รวมจากที่เคยละสังโยชน์ ๕ เป็น ๑๐
👁️ละกามราคะ ละเด็ดขาดกามคุณ๕
👁️ละปฏิฆะ ละกระทบกระทั่ง ภายใน
ละเพิ่มจากที่เคยละ สังโยชน์ ๓
👁️ละความลังเลสัยในพระรัตนตรัย
👁️ละความเห็นผิดว่า "ตัวตน ของตน"
ละตัวตนว่า เรา เป็นเรา ของเรา...
👁️ละการถือศีล แบบผิดๆ ลูบๆ คลำๆ
นิโรธรอบที่๓ มีอาการ๔
👀เห็นทุกข์ รูป-นามรอความแตกดับ
👀เห็นสมุทัยว่า สังโยชน์๑๐ สิ้นแล้ว
👀เห็นนิโรธรอบสาม นิโรธสมาบัติ
👀เห็นมรรค๘ วิธีตัดตัณหาเด็ดขาด
.....
ญาณ ๓ ระดับ
🔶สัจจญาณ (ปริยัติ)
🔸รู้ทุกข์ปัจจุบัน
🔸รู้สาเหตุแห่งทุกข์นั้น
ญาณนี้ พอจักรู้ได้ ในระดับปุถุชนๆ
🔶กตญาณ (ปฏิเวธ)
🔸รู้ผล หลังดับทุกข์ ทบทวนรู้สำนึก
รู้ด้วยปัญญา รู้ระดับวิปัสสนาญาณ
ญาณนี้ จะเกิดหลังเป็น อริยบุคคล
🔶กิจญาณ (ปฏิบัติ)
🔸รู้วิธีการดับทุกข์ สำนึก รู้วิธีปฏิบัติ
รู้ด้วยปัญญา รู้ระดับวิปัสสนาญาณ
ญาณนี้อริยบุคคล สามารถสอนตน
ให้กรรมฐานผู้อื่นสอนตนถูกวิธีได้
อนุโมทนาบุญทุกรูปนาม สาธุๆๆ
รู้แล้วนะ (^^ ) ปฏิบัติเถิด.
เรื่อง อธิปัญญา
มี ๕ เหตุผล ที่ยังไม่สมควรคิด
⭕พอใจ
⭕ไม่พอใจ
⭕ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
⭕ลังเล สงสัย
⭕ขี้เกียจ ง่วงหาวนอน
สมควรคิด หากสมาธิสมบูรณ์
เพราะเกื้อกูล อธิปัญญา
วิธีต่างๆ ฝึกทำสมาธิ สมบูรณ์
📌กลั้นลมหายใจนานที่สุด
แล้วจิตจักรวม เป็นหนึ่งเดียว
📌ดูจิต ตามดูจิตรู้ผัสสะไหน
จิตเท่าทันผัสสะ ดับภพทันที
📌ดูเวทนา ตามดูเวทนารู้ชัด
จิตเท่าทันเวทนา ก็ดับภพ
📌ฝึกเพ่งลมหายใจเข้า-ออก
จนเพิกเฉยจากความคิด
📌จะเพ่งอาการท้องพอง-ยุบ
จนเพิกเฉยจากความคิด
แต่อย่าเอาแต่ ดับความคิดล่ะ
อย่าหนี อย่ากลัวความคิด
บางเวลา... จิต สมาธิสมบูรณ์
สมควรคิด หากสมาธิสมบูรณ์
เพราะเกื้อกูล อธิปัญญา
ปัญญา อันเกิดจากจิตภาวนา
หรือจิตญาณจาก วิปัสสนา
สาธุครับ
ปีเก่าผ่านไปแล้ว ปีใหม่ผ่านเข้ามา
อะไรเป็นประโยชน์ตนจริง พิจารณา
จะเสียสละได้เป็นประโยชน์ส่วนรวม
ประโยชน์ตนจักบังเกิด ทำลายกิเลส
ความเห็นแก่ตัวลดละลงสู่ ธรรมแท้
อาตมาภาพให้ธรรมทานเป็น มรรค๘
เชิญอ่าน และเชิญนำไปปฏิบัติได้
.....
จิตตนุปัสสนากรรมฐาน
ดูจิต ถ้าเห็นจิตในจิตตนจะเห็นกิเลส
⭕ถ้าไม่เห็นเพราะเป็นพระอรหันต์
⭕ถ้าไม่เห็นเพราะอวิชชาบังจิตอยู่
ฉะนั้น ดูจิตกลายเป็นปุถุชนจึงหลาย
เพราะไม่รู้ในสิ่งที่รู้ว่า กิเลส
ทิฏฐิวิบัติ อันตรายมาก
กิเลสหนาแน่นขึ้นเพราะหลงว่า กู กูรู้
เช่น รู้พุทธวจนะ, รู้พระไตรปิฏก ฯลฯ
เหมือนฅนตาบอดกอดสากกะเบืออยู่
หลงนึกว่า ไฟฉาย จะช่วยฅนอื่นๆ
ความคิดไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย
มีที่น่ากลัวจริงๆ คือ ความไม่รู้จักคิดๆ
ความไม่รู้วิธีคิดๆ อย่างไร, อวิชชาดับ
เตือนว่า ทำใจให้สงบสู่สมาธิสมบูรณ์
จิตจดจ่อแน่วแน่กับ สิ่งที่รับรู้ รู้จึงดับ
ณ ขณะจิตอวิชชาดับไป มรรคญาณ
⭕โสดาปฏิมรรค
ข้อสังเกต...
ถ้ามรรคญาณไม่บังเกิด เพราะผิดวิธี
จิตเองวางจิตไว้ผิด เป็นไฉนหนอ
🙈ใหลหลงตามอารมณ์อื่นขณะรับรู้
เช่น บุคคล, คำพูดที่ผิดใจ-ถูกใจตน,
และรูปธรรมอื่นๆ ณ ขณะจิตนั้นๆ
🙉ความไม่รู้จักคิด จนคิดไปเองก่อน
ความคิดปิดกั้น จึงไม่สามารถเข้าถึง
🙊ความไม่รู้จักคิดมัวแต่ดับความคิด
จิตมี ความสงบ-ความว่างจนยึดติดนี้
แต่ไม่เข้าถึงธรรมสูงสุดเพราะไม่คิด
ขาดสัมมาสังกัปปะ
.....
ผู้ใด ตัดสังโยชน์๓ มีสมาบัติ๕ ขึ้นไป
บังเกิดผลสมาบัติ อริยบุคคลชั้นต้น
⭕พระโสดาบัน
⭕พระสกิทาคามี
ผู้ใด ตัดสังโยชน์๕ พร้อมมี สมาบัติ๘
จะได้ นิโรธสมาบัติ อริยบุคคลชั้นสูง
⭕พระอนาคามี
ผู้ใด ตัดสังโยชน์๑๐ ได้นิโรธสมาบัติ
⭕พระอรหันต์
บุคคล๙ จำพวกถึงกิเลสเหลืออยู่บ้าง
แต่ไม่ตกนรกอีกแล้ว
🌑๕จำพวกเป็นพระอนาคามี ๕ระดับ
ตามที่กิเลสหลงเหลือน้อย หรือมาก
🌑จำพวกเป็นพระสกิทาคามี ๑ระดับ
🌑๓จำพวกเป็นพระโสดาบัน ๓ระดับ
ตามที่กิเลสหลงเหลือน้อย หรือมาก
พระสงฆ์ มักจะเจริญสมาบัติอย่างใด
อย่างหนึ่ง ก่อนออกบิณฑบาตเสมอๆ
เป็นเนื้อนาบุญตอบแทนข้าวสุก
ตอบแทนคุณพระรัตนตรัย แผ่นดินนี้
เป็นความกตัญญูบรรพบุรุษ ธรรมดา
ธรรมชาติ เกื้อกูลสร้างผู้รู้ฅนต่อไป
สมาธิสมบูรณ์จะบังเกิดมีขึ้น อย่างไร
เปรียบรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์
🛵เบรค เมื่อสมควรเบรค
🛵เร่ง แล่นไปเมื่อสมควรแล่นไป
🛵ไม่เร่งตลอด ก็ไม่เบรคตลอดเวลา
แต่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ สถานการณ์
สมาธิจิต เช่นเดียวกัน จึงได้จิตญาณ
สาธุครับ
การรักษาศีล๘
⭕ละเว้นการฆ่าชีวิตทั้งปวง
⭕ละเว้นการผิดทรัพย์ของตน ของผู้อื่น
หรือต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน
งดพนันที่ผิดกฎหมาย-และที่ถูกกฎหมาย
⭕ละเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
หรือผู้เจริญเนกขัมมะ รักษาพรหมจรรย์
⭕ละเว้นจากการการมุสาวาจา
หรือกล่าวเฉพาะ ความจริง, ไม่จริงไม่พูด
หรือกล่าวสัมมาวาจาเป็นอุปนิสัย
⭕ละเว้นสิ่งเสพติดทั้งหลาย ไม่ค้า ไม่เสพ
⭕ละเว้นการบริโภคอาหารหลังเที่ยงวัน
กระทั่งถึงเช้าวันใหม่ (ยกเว้นว่า แพทย์สั่ง)
⭕ละเว้นการละเล่น, เพลิดเพลิน, สบายๆ
ขับร้อง, ดนตรี, เกมส์ ก็งดเว้น
⭕ละเว้นการนั่งนอนกับที่นุ่มสะดวกสบาย
หรือการอยู่อย่างสมถะ มีชีวิตเรียบง่ายๆ
สาธุครับ
สติปัฏฐาน ๔ (จิตภาวนา)
วิธีการเห็นสภาวปัจจุบันทันทีที่เกิดขึ้น
วิธีเพื่อสังเกตเห็นธรรมชาติที่สืบเนื่อง
มองความสัมพันธ์ต่อสิ่งนั้นๆ แยกแยะ
อย่างนี้ๆ จึงจักเข้าใจลักษณะมากขึ้นๆ
ไม่งั้นจะกลายเป็นปฏิบัติย้ำๆ อยู่ที่เดิม
เผลอจะไปนอนอมยิ้ม ที่ไหนได้...
"บอด ขโมยควาย เดินวนในคอกควาย
เดินจูงควายวนๆ อยู่ในคอกค่ำยันเช้า"
เช่น แยกแยะขันธ์๕, ธาตุ๖ เป็นต้น.
ฝึกพัฒนาสติจนเห็นตนออกจากตัวตน
หรือฝึกกระทั่งจิตละทิฏฐิต่างๆ เองเด้อ
เช่น… เห็นลักษณะรูปนาม, หรือขันธ์ ๕
● รูป
● เวทนา
● สัญญา
● สังขาร
● วิญญาณ
การปฏิบัติแบบผู้ไม่รู้
หรือปฏิบัติแบบเพิ่งปฏิบัติใหม่ทุกครั้ง
แล้วเรียนรู้ลักษณะ ณ ปัจจุบันขณะๆ
อาจดีกว่าปฏิบัติแบบผู้รู้ที่จินตนาการ
โดยไม่รู้ตัวว่า ที่ตนรู้นั้น จิตก็ ไม่รู้
การบริกรรม
เห็นอย่างใดกล่าวอย่างนั้น ถอนกิเลส
ถ้าไม่มีอะไรๆ ใช้สมาธิที่มี สติที่มี เพ่ง
สติปัฏฐานทั้ง ๔ (เพ่งฐานใดฐานหนึ่ง)
การบริกรรมจักเป็นการเร่งฝึกมรรค๘
เร่งมรรค๘ นอนเนื่อง และสามัคคี
● กาย
● เวทนา
● จิต
● ธรรม
คำบริกรรมเป็นสัมมาวาจา สัมมาทิฏฐิ
เห็นอย่างใดกล่าวอย่างนั้น ถอนกิเลส
ขณะทำลายทิฏฐิ, ตัณหา, อวิชชา
เมื่ออวิชชาดับไปจะระลึกได้ สำนึกได้
คำบริกรรมเปรียบ คือ เรือจ้างช่วยตน
ที่นำตนข้ามโคตรปุถุชน, ละจิตปุถุชน
พอสติพัฒนาเป็นสติปัฏฐาน๔ ก็สบาย
นั้นแหละครับ จิตภาวนา
สติ คอยสอดส่องใจตนเอง เป็นระยะๆ
เพ่งมองเฉยๆ สำรวจมันทีจุดๆ เรื่อยๆๆ
⭕ส่วนใดลักษณะอาการ(สภาวธรรม)
⭕ส่วนใดจิตคิดเอง สงบ สุขุมนิ่งดูไป
⭕ถ้าฟุ้ง สงสัยๆ ตัณหา ตั้งสติสักครู่ๆ
จิตได้เห็น รู้ความจริง รู้แจ้งแทงตลอด
ดีกว่าฟังใคร๑๐๘ ที่เห็นพ้องตรงใจกัน
แต่พวกเขารู้เห็นๆ ในสิ่งที่ตัวเอง ก็ไม่รู้
นั้นเอง สัตว์ทั้งหลาย ส่วนมากที่ว่ายวน
ตายแล้วซ้ำๆ ติดใจอยู่ใน สังสารวัฏ
นั้นแหละ ใครระลึกได้ หรือจะสำนึกได้
หรือจะระลึก และสำนึกได้ด้วย ก็ดี
รู้แล้วปฏิบัติเถิด ฝึกบริกรรมบ่อยๆ เถิด
จนกระทั่งเป็น จิตภาวนา(สติปัฏฐาน๔)
สาธุครับ
ความจริงมีทุกแง่มุม ถ้าเห็นจริง
ไม่ว่า แง่ดี, หรือแง่ร้าย ก็เห็นถูก
ไม่ใช่ที่ ถูกใจใคร หรือไม่
ถูกต้องตรงตามธรรมชาติที่จริง
สัมมาทิฏฐิ
ธรรมของ พระพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฏกแล้ว
พระอรหันต์ถ่ายทอดไว้ ต้นฉบับดีที่สุดแล้ว
เฉยๆ ไม่สุข-ไม่ทุกข์ คือ ฌาน๔
เพราะจิตละความสุขสบายแล้ว
เห็นทุกข์จริงๆ ก็ละกำหนัดเอง
สาธุ สาธุ สาธุ
ธรรมใดสอนตนปฏิบัติถูก ทำลายล้างกิเลสได้นั้นแล
พูดธรรมสาธารณะเองได้ โลกุตรธรรม
อุปกิเลส๑๖ เปรียบตัวตนของตน
อุปกิเลส๑๖ นี้นะ ถึงตนหมดแล้ว (อรหันต์)
หรือตนเองเบาบางลงแล้ว บุคคล ๙จำพวก
🙏เป็นพระอนาคามี ๕จำพวก
🙏เป็นพระสกิทาคามี ๑จำพวก
🙏เป็นพระโสดาบัน ๓จำพวก
บุคคล ๙จำพวกเป็นอริยบุคคล
แต่การอยู่ร่วมกันอาจจะงงๆ กิเลสเหลืออยู่
ผู้ยังมีอุปกิเลสเหลืออยู่ อาจจำแนกไม่ออก
เพราะอุปกิเลส๑๖ ของตนเอง ปิดกั้น
แม้มีกิเลสเหลืออยู่ แต่ตนเองไม่ตกนรกอีก
เพราะศีลสมบูรณ์ เป็นต้น
อุปกิเลส แสดงไว้ ๑๖ ประการนั้น
อุปกิเลส ๑๖ประการ ดังนี้
👿👿👿 ควรใจเย็นๆ ก็ค่อยๆ อ่านเถิดนะ
❎ความเพ่งเล็ง หรือมีความอยากได้ต่างๆ
ภาวะตัณหาอยากได้อยากมี อยากจะเป็น
ภาวะจิตมีความติดข้อง อยากๆ ไม่เลือกที่
เพราะต้องการผลประโยชน์ของเขาเอง
❎ความตระหนี่ ที่สนองตัณหาของตัวเอง
อาการคิดเข้าข้างสิ่งใดตัวเองพอใจยินดี
❎ความผูกใจเจ็บ ขณะกระทบกระทั่งจิต
❎ความผูกใจโกรธที่ผิดใจ ที่ข้องใจนั้นๆ
❎ความพยาบาท ต่อต้านจากแรงอาฆาต
ภาวะตัณหา ขณะไม่สมดั่งใจที่ปรารถนา
ภาวะคาดหวังแล้ว แต่ดันไม่สมที่คาดหวัง
ภาวะจิตมีความติดข้องไม่พอใจต่างๆ
✴️✴️✴️
อาการหนัก-หรือเบา ตามแต่ สนองกิเลส
ซึ่งเป็นเอง ขณะตนเองไม่รู้ตัวหรอกครับ
❎ความลบหลู่บุญคุณขณะลำเอียงดูผิด
จึงไม่ใช่ดูฅนออก แต่ตนมองฅนไม่ออก
❎ความตีเสมอ หากอะไรดีๆ ก็หาว่า กรูดี
หาว่า ตนเองถูก สิ่งใดที่ไม่เหมือนตน ผิด
หาว่า ตนเองถูก แต่สิ่งอื่นๆ เปล่า
เข้าข้างตนเอง ไปเปรียบเทียบฅนที่ว่า ดี
❎ความริษยา เป็นภาวะตัณหาละเอียดๆ
กิเลสเบาบางลงมากใน พระอริยเบื้องต้น
กิเลสเบายิ่งกว่าใน พระอนาคามี
กิเลสหมดแล้วหลังบรรลุ พระอรหันต์
เพราะการฝึก เตือนตนทำลายกิเลสหมด
✴️✴️✴️
ภาวะตัณหา แต่ปฏิฆะไม่สมดั่งปรารถนา
ภาวะปฏิฆะคาดหวังแล้ว แต่ยังไม่สมหวัง
ภาวะปฏิฆะจิตมีความติดข้องไม่พอใจ...
ขณะปฏิฆะมีสติวิปลาสหนักบ้าง เบาบ้าง
❎ความเจ้าเล่ห์ มักจะใช้เพื่อสนองโลภะ
หรือสนองโทสะ เป็นโมหะครอบงำจิตอยู่
ฅนเจ้าเล่ห์นี้ อันตราย (ฮาๆๆๆ)
❎ความโอ้อวด มุสา อย่างไม่ทันรู้ตัวมุสา
โอ้อวดตนเองผิดๆ เพี้ยนๆ มั่วแบบปุถุชน
ไม่พอใจใคร เมื่อไหร่ มักจะใส่ร้ายป้ายสี
บางท่าน พูดแบบเห็นแก่ได้เลย ก็มี
❎ความหัวดื้อ หรือถือรั้น ทั้งเถียง ทั้งแถ
ฅนแบบนี้ มักจักคิดอะไรโง่ๆ ทำอะไรโง่ๆ
แต่ใครว่า โง่ ตนกลับทนรับฟังไม่ได้ครับ
เป็นกิเลสละเอียดอ่อนจริงๆ
❎ความแข่งดี บางฅนท่านเปรียบ อึ่งอ่าง
อึ่งอ่างเบ่งตัวพองเวลาเห็นอะไรใหญ่โตๆ
แต่ว่า มันเป็นอึ่งอ่างเหมือนเดิม นั้นแล
❎ความถือตัว เช่น พวกผู้ดีตีนแดงด่าฅน
หรือพวกผู้ถือศีลแต่ปาก วางท่าทีดีทำชั่ว
แต่จริงๆ ไม่มีคุณสมบัติที่ดีเลย ก็มีแบบนี้
❎ความดูหมิ่น การดูฅนผิด ปรามาสผู้อื่น
หายนะเอง เพราะตนคิดผิดเองอย่างนั้นๆ
พูดแบบไม่สำรวม เสียสติพูดเท็จเอง โง่ๆ
❎ความมัวเมา เป็นภาวะจิตหลง ที่ไม่เห็น
เช่น ภาวะจิตเพลิน จิต ไม่เห็นจิต เจตสิก
หรือไม่เห็นกิเลสว่า กิเลสเป็นอย่างไร
❎ความประมาทเลินเล่อ สติวิปลาส
....
วิธีแก้ไข ง่ายนิดเดียว...
เจริญสติไว้เนืองๆ ดูจิต ช่วยสำนึกได้ง่าย
ย่อมเห็นธรรมแท้เปรียบดั่งมีตาเห็นธรรม
สมาธิจักพัฒนาดีขึ้น สติจะพัฒนาไวขึ้นๆ
อินทรีย์พละอื่นๆ จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เจริญพร
เรื่อง เห็นกรรม (กรรมดี-กรรมชั่ว)
ความเห็นกรรม คือ เหตุสู่ความสิ้นกรรม
ข้าพเจ้าอ่านมาแล้ว ขออธิบายสรุปดังนี้
.....
พระพุทธเจ้า เคยตรัสไว้ มีใจความ ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย
กรรม๔ อย่าง เหล่านี้เรากระทำแจ่มแจ้ง
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศทั่วกัน
กรรม๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า
ภิกษุทั้งหลาย
⭕กรรมชั่ว มีวิบากชั่ว ก็มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย
⭕กรรมดี มีวิบากดี ก็มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย
⭕กรรมทั้งชั่ว-ดี มีวิบากทั้งชั่ว-ดี ก็มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย
⭕กรรมไม่ชั่ว-ไม่ดี มีวิบากไม่ชั่ว-ไม่ดี
เหตุ-ปัจจัย เพื่อความสิ้นกรรม ก็ยังมีอยู่
.....
ภิกษุทั้งหลาย
🌑กรรมชั่ว มีวิบากชั่ว เป็นไฉนหนอ
ภิกษุทั้งหลาย
บุคคล บางฅนกรณีนี้ตกแต่งกายสังขาร
อันเป็นไปกับด้วย ความเบียดเบียน
ย่อมจะปรุงแต่ง วจีสังขาร ที่เป็นไปด้วย
ความเบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่ง มโนสังขาร อันเป็นไปด้วย
ความเบียดเบียน
.....
ครั้นใครปรุงแต่งสังขารดังกล่าวนั้นแล้ว
บุคคล เลยเข้าถึงโลกอันเป็นไปกับด้วย
ความเบียดเบียน
ผัสสะทั้งหลาย
เป็นไปกับด้วย ความเบียดเบียนเหล่านั้น
ย่อมถูกต้อง ของเขา ผู้โดนโลกครอบงำ
อันเป็นไปกับด้วย ความเบียดเบียน
บุคคล อันผัสสะ
ที่เป็นไปด้วยความเบียดเบียนนั้น ใช่แล้ว
ย่อมเสวยเวทนา
อารมณ์ที่จะเป็นไปด้วยความเบียดเบียน
อันเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว
เช่น พวกสัตว์นรก พวกเดรัจฉาน เป็นต้น
ภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้เอง ที่เรียกว่า กรรมชั่ว มีวิบากชั่ว
.....
ภิกษุทั้งหลาย
🌑กรรมดี มีวิบากดี เป็นไฉนหนอ
ภิกษุทั้งหลาย
บุคคล บางฅนกรณีนี้ตกแต่งกายสังขาร
อันเป็นไปกับด้วย ความไม่เบียดเบียน
ย่อมจะปรุงแต่ง วจีสังขาร ที่เป็นไปด้วย
ความไม่เบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่ง มโนสังขาร อันเป็นไปด้วย
ความไม่เบียดเบียน
.....
ครั้นใครปรุงแต่งสังขารดังกล่าวนั้นแล้ว
บุคคล ย่อมเข้าถึงโลกอันเป็นไปกับด้วย
ความไม่เบียดเบียน
ผัสสะทั้งหลาย
เป็นไปกับด้วย ความเบียดเบียนเหล่านั้น
ย่อมถูกต้อง ของเขา ผู้โดนโลกครอบงำ
อันเป็นไปกับด้วย ความไม่เบียดเบียน
บุคคล อันผัสสะ
ที่เป็นไปด้วยความไม่เบียดเบียน ใช่แล้ว
ย่อมเสวยเวทนา
อารมณ์ที่เป็นไปด้วยความไม่เบียดเบียน
อันเป็นสุขโดยส่วนเดียว
เช่น พวกเทพสุภกิณหา, บัณฑิต เป็นต้น
ภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้เอง ที่เรียกว่า กรรมดี จะมีวิบากดี
.....
ภิกษุทั้งหลาย
🌑กรรมทั้งชั่ว-ดี, มีวิบากทั้งชั่ว-ดี
เป็นไฉนหนอ
ภิกษุทั้งหลาย
บุคคล บางฅนในกรณีนี้
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ครั้นใครปรุงแต่งสังขารดังกล่าวนั้นแล้ว
บุคคล ย่อมเข้าถึงโลก
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ผัสสะทั้งหลาย
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ย่อมถูกต้องเขา ผู้เข้าถึงโลก
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
…
บุคคล อันผัสสะ
เมื่อเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ถูกต้องแล้ว
ย่อมเสวยเวทนา
อันเป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
และไม่เป็นไป ด้วยความเบียดเบียนบ้าง
อันเป็นเวทนาที่เป็นสุข และทุกข์เจือกัน
ดังเช่น พวกมนุษย์
เหล่าเทพบางพวก, พวกวินิบาตบางพวก
ภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า กรรมทั้งชั่ว-ดี มีวิบากทั้งชั่ว-ดี
.....
ภิกษุทั้งหลาย
🌑กรรมไม่ชั่ว-ไม่ดี มีวิบากไม่ชั่ว-ไม่ดี
กรรมที่เป็นไปเพื่อความสิ้นพ้นกรรมนั้น
เป็นไฉนหนอ
อริยมรรค๘
✳️✳️✳️ อ่านแล้ว พยายามทบทวนดีๆ
👁สัมมาทิฏฐิ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความเห็นตรงตามจริง ทุกๆ แง่มุม เช่น
เห็นว่า ดี ดียังไง เกิดขึ้นดับไปอย่างไร
หรือจะเห็นชั่วว่า ชั่วยังไง เช่นเดียวกัน
ไม่ใช่อย่างที่ปุถุชน เถียงกันเราพูดถูก
ไม่เหมือนเรา ก็หาว่า ผิด แต่ไม่รู้ตัว บ้า
ไม่รู้ตัวว่า ถูกใจตนเอง คือ ทิฏฐิวิบัติ
👁สัมมาสังกัปปะ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความรู้จักคิดเกื้อกูลความเห็นจริงนั้นๆ
เกิดความสำนึกรู้ ทบทวนรอบครอบ
👁สัมมาวาจา
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
วาจาอันเป็นจริง ย่อมส่อเสียดอวิชชา,
เสียดสีต่อกิเลสทำลายล้างกิเลสในใจ
สัมมาวาจา จึงไม่มีทั้งกรรมดี-กรรมชั่ว
เพราะทำลายล้างทิฏฐิ ตัณหา อวิชชา
ด้วยตัวมันเอง
👁สัมมากัมมันตะ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความประพฤติต่างๆ นั้นไม่ผิดศีลธรรม
ไม่ใช่แบบปุถุชนแปลว่า ประพฤติชอบ
แต่ปุถุชนชอบไม่เหมือนกัน เถียงกัน
👁สัมมาอาชีวะ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
อาชีพ, หรือวิธีเลี้ยงชีพ ไม่ผิดศีลธรรม
👁สัมมาวายามะ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความเพียรถูกวิธี หรือสมาธิสม่ำเสมอๆ
ทำอะไรๆ พยายามมีสมาธิขณะกระทำ
คือ ความเพียรเผากิเลส (สติปัฏฐาน๔)
อยู่ในชีวิตประจำ ขณะมีสติระลึกรู้เห็น
รู้อยู่ในกาย, เวทนา, จิต, ธรรม
👁สัมมาสติ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความระลึกรู้ จนสมาธิเป็น โลกุตรฌาน
สติปัฏฐาน๔, และอานาปานสติ เป็นต้น
เพราะเป็นมรรคที่เกื้อกูลอธิปัญญา
👁สัมมาสมาธิ
✳️ข้าฯ ข้ออธิบายว่า
ความตั้งมั่นของจิตที่ถูกวิธี สมาธิถูกวิธี
ขณะมีสมาธิเห็นขันธ์๕ แล้วบรรลุที่สุด
เพราะขณะจิต มีสัมมาสติ, มีมรรคอื่นๆ
นอนเนื่องเกื้อกูลกันอยู่
ภิกษุทั้งหลาย
นี้แลกรรมไม่ชั่ว-ไม่ดี มีวิบากไม่ชั่ว-ไม่ดี
เหตุ-ปัจจัย เพื่อความสิ้นกรรม ก็ยังมีอยู่
.....
ภิกษุทั้งหลาย
กรรม๔ อย่าง เหล่านี้เรากระทำแจ่มแจ้ง
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศทั่วกัน
(บาลี –จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๒๐-๓๒๑/๒๓๗ )
เรื่อง สัมมาวาจา
เรื่อง การกล่าวสัมมาวาจา ใน อริยบุคคล
มี พระพุทธเจ้า เป็นต้น สังเกตว่า ไม่มุสา
ที่ย้อนแย้งว่า...
จึงย้อนแย้งที่ การรักษาศีลข้อ มุสาวาจา
ที่แปลผิด จึงใช้งานผิดจนไม่บรรลุธรรม
ให้ดูลักษณะสัมมาวาจา พระพุทธเจ้า
เตือนสติว่า...
เพราะความเป็น ปุถุชน ไม่ถ่องแท้ธรรมะ
แม้นปุถุชนจะฟังเอง จะอ่านเอง แปลเอง
ก็เกินวิสัยปุถุชน ในเรื่อง โลกุตระธรรม
เตือนสติย้ำ...
ปุถุชนอ่าน พุทธวจนะ ยังสอนตนเองผิด
พึงอาศัยอริยบุคคล ชี้แจงธรรมเดียวกัน
ทำให้เห็นความหมายที่ปกปิดได้
ลัทธิอ้างพุทธวจนะ เขาใช้ในเจตนาผิดๆ
ย่อมเป็นบาป เป็นสังฆเภท จึงรอตกนรก
อาตมาภาพขอชี้แจง ธรรมะ
เรื่องการกล่าวสัมมาวาจา อีกครั้งนะโยม
เพราะช่วงนี้ ธุดงค์ ไม่สะดวกเท่าไร
สาธุครับ
.... 🙈🙉🙊
ลักษณะการพูดของ อริยบุคคล
มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ยกมาว่า...
ราชกุมาร !
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น.
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ ท่านไม่โป้ปด, ไม่มุสา, ไม่เพ้อเจ้อ)
.....
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด จริง วาจาใด แท้
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ จะไม่กล่าวไร้สาระ, ไร้ประโยชน์)
.....
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้
ประกอบด้วยประโยชน์
แต่ไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
✳️ตถาคตย่อม เลือกกล่าวให้เหมาะกาล
เหมาะสมส่วนรวม เพื่อกล่าววาจานั้น.✔️
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ กล่าวสัมมาวาจา มีมรรค๘ รองรับ
สัมมาวาจา เสียดสี กิเลสในใจ
สัมมาวาจา ส่อเสียด กิเลสในใจ
สัมมาวาจา กระทบกระทั่ง กิเลสในใจ
สัมมาวาจา ก็ทำลายมิจฉาทิฏฐิ, อวิชชา)
.....
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ พระพุทธเจ้า ไม่สอนผู้ใดตอแหล,
สัมมาวาจา ไม่ใช่สร้างภาพลักษณ์อะไร
สัมมาวาจา ไม่ใช่พูดแง่ดี กุศลแง่เดียว
สัมมาวาจา ไม่ใช่นินทา ไม่ใช่พูดยกเมฆ
สัมมาวาจา ไม่โป้ปดเพื่อเสียดสี เพื่อด่า)
.....
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่ก็เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ พระพุทธเจ้า ไม่สอนนินทาใครๆ,
สัมมาวาจา ไม่ใช่การใส่ร้าย ยุยงทำร้าย
สัมมาวาจา ไม่นินทา ไร้สาระประโยชน์,
แต่ถ้ายกขึ้นต้นเป็นประโยชน์ได้ ก็กล่าว
สัมมาวาจา จึงเน้นที่จริง, และประโยชน์)
.....
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้
ประกอบด้วยประโยชน์
และเป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
✳️ตถาคต ย่อมเป็นผู้ รู้จักกาละที่เหมาะ
ประโยชน์ส่วนรวม เพื่อกล่าววาจานั้น.✔️
✳️ความเห็นส่วนบุคคล อาตมา ชี้แจงว่า
(ข้อนี้ พระพุทธเจ้า ให้กำลังใจ ตามควร,
หรือท่านกล่าวรับรองบุคคล ตามสมควร
เช่น เคยรับรองอริยบุคคล พระโสดาบัน
มีนางสิริมา, นางวิสาขา เป็นต้น)
ม. ม. ๑๓/๙๑/๙๔.
ภาพเก็บตก อ.เชียงคำ จ.พะเยา
ถ้าถึงจิตหนึ่ง จิตญาณจะรู้
ผิดว่า ผิด, ถูกว่า ถูก, ตรงๆ
ไม่อัตตาว่า ตัวตน เรา เขา
รู้ทุกข์, ตัดสมุทัย, พ้นทุกข์
เรื่อง นิวรณ์๕ กับ ฌาน๔
นิวรณ์๕, อุปสรรคปิดกั้น ไม่ให้บรรลุธรรม
นิวรณ์๕ เปรียบเสมือนมาร๕ ตัวในตนเอง
😈 ความติดข้อง เพราะสนองชอบใจ
😈 ความติดข้อง เพราะสนองไม่ชอบใจ
😈 ความติดข้อง เพราะสนองขี้เกียจๆ
😈 ความติดข้อง เพราะสนองฟุ้งซ่าน
😈 ความติดข้อง เพราะสนองสงสัย
__________________________ 🙈🙉🙊
ฌาน ๑
■วิตก~วิจารณ์, เป็นลักษณะเด่นฌาน ๑
ขณะสนองตามความคิดเอง, ปรุงแต่งเอง
จิตจึงไม่ตั้งมั่น เมื่อใดเลิกคิดแล้ว ถึงสงบ
▪วิตก คือ อารมณ์นั่นๆ ที่เคยคั่งค้างอยู่
เป็นอดีตต่างๆ ปรากฏให้เห็นเอง🎶
▪วิจารณ์ คือ ดั่งความฝัน เพ้อเจ้อต่างๆ
เผลอใจฉุกคิดอะไรๆ ไปเองก่อน🎶
ถ้าวางเฉยจากอุปาทานนึกคิดแล้วจะสงบ
เพราะถ้าสมาธิไม่ดี ก็ไม่ควรวิตก-วิจารณ์
ส่วนที่สมาธิดีแล้ววิตก-วิจารณ์ ได้ปัญญา
✳️ขณะมีสมาธิ วิตก = สัมมาทิฏฐิ
✳️ขณะมีสมาธิ วิจารณ์ = สัมมาสังกัปปะ
__________________________ 🙈🙉🙊
วางเฉยจาก วิตก-วิจารณ์ สู่ฌาน ๒
จิต หรือนามธรรม เรียกว่า นาม
จิต มีหน้าที่๔ ประการทำหน้าที่ปกติ
👁️เวทนาขันธ์ มีหน้าที่รู้ความรู้สึก
จำแนกอาการเป็นเวทนา๕ ลักษณะ
🌏สุขกาย
🌏ทุกข์กาย
🌏ไม่ทุกข์ ไม่สุข
🌏สุขใจ
🌏ทุกข์ใจ
👁️สัญญาขันธ์ มีหน้าที่จำได้หมายรู้
👁️สังขารขันธ์ มีหน้าที่คิด พิจารณา
👁️วิญญาณขันธ์ มีหน้าที่รับรู้อารมณ์
เช่น รับรู้ผััสสะต่างๆ เป็นต้น
ผู้ปฏิบัติ มีหน้าที่ปฏิบัติเรียนรู้เหล่านี้
จึงไม่ควรฝืนข่ม เพราะจักเข้าใจผิดๆ
แล้วความเข้าใจจะดับด้วยปัญญา...
...
มาฟังธรรมต่อกันเถิด
เจริญพร
เมื่อมีการปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นแล้ว จึงมีผล
เมื่อศีลสมบูรณ์ จึงมีสมาธิ เป็นผลตามมา
เมื่อสมาธิถูกวิธี จึงมีปัญญาขั้นภาวนา
แต่หากมัวเพ่งอารมณ์เดียวสมาธิมากเกิน
จะไม่มีปัญญาขั้นภาวนา แต่จะอับปัญญา
จึงเป็นบุคคลจำพวกจิตวิญญาณพิการ
แต่ถ้าใครสมาธิอ่อนไปจนนิวรณ์ครอบงำ
จะไม่มีปัญญาขั้นภาวนา แต่เป็นวิปัสสนึก
จึงไม่รู้ว่า ที่คิด ที่กล่าว ไม่ใช่สัจธรรม
เจริญพร
ปิติ, ลักษณะอารมณ์จิตที่กำเริบตามสมาธิ
ปิติจะลักษณะมหัศจรรย์กว่าวิตก~วิจารณ์
ปิติมักปรากฏลักษณะแปลกๆ ใหม่ๆ ล่อใจ
เพราะพลังสมาธิมากขึ้นตามหน้าที่🎵🎶
ถ้ามีปิติอยู่ แสดงว่า ไม่เกินฌานสูง
เช่น
▪หรือขนลุกซู่บ้าง น้ำตาไหลบ้าง
▪หรือรู้สึกคล้ายว่า ตัวเบาๆ ตัวลอยๆ
▪หรือตัวโยกเองบ้าง, ขยับกายเองบ้าง
แต่เพราะแปลกใหม่, ก็อาจฌานเสื่อม
ถ้ากลับไปวิตก~วิจารณ์ถอยสู่ฌาน ๑
ขณะรู้เท่าทัน วางเฉยได้แล้ว, จักสงบเอง
__________________________ 🙈🙉🙊
วางเฉยจากปิติ สู่ฌาน ๓
สุข เป็นอารมณ์สมาธิที่สงบขึ้นแทนที่ ปิติ
กิเลสเบาบางแล้ว ก็เริ่มอารมณ์สุขขึ้นเอง
ความรู้สึกสุข จิตละเอียดประณีตวิจิตรขึ้น
ขณะจิตรู้เท่าทัน จักเห็นโทษภัยสิ่งมี เป็น
เท่าทันสิ่งที่จิตติดข้องอยู่จะคลายลงเอง
▪ถ้าความดีเป็นเหตุ, ความสุข ก็คือ ผล
▪แต่ความลำเอียงพอใจ, ถือเป็นสมุทัย
เพราะขณะพอใจดี, บุญ, สุข ข้างหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง คือ ความต่อต้าน, ปฏิฆะ
ขณะจิตเลิกกระทบกระทั่งจึงสงบฌาน ๔
__________________________ 🙈🙉🙊
วางเฉยจากความสุข สู่ฌาน ๔
อุเบกขา, จิตตั้งมั่น จิตเป็นกลางๆ พร้อมรู้
จิตแนบแน่น เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนา
ฌาน ๔ จิตสงบ ตั้งมั่น, และพร้อมตรัสรู้
▪ขณะจิตกระทบกระทั่ง ก็จะเสื่อมฌาน
สุข~หรือทุกข์ จักทำให้ถอยสู่ฌาน ๓
หรือระวังเสื่อมวิตก~วิจารณ์ฌาน ๑
▪ขณะจิตปล่อยวาง, แต่อย่าละเลยครับ
ถือศีล ไม่ถือสา (ลดกระทบกระทั่ง)
__________________________ 🙈🙉🙊
สาธุๆๆ ธรรมทาน อุทิศแด่ทุกจิตวิญญาณ
เรื่อง สมาธิ
สมาธิแบ่งเป็น ๓ ระดับ
ขณิกสมาธิ สมาธิเพียง ณ ขณะจิต
อุปจาระสมาธิ แน่วแน่รองจากฌาน
อัปปนาสมาธิ แน่วแน่ ฌานสมาบัติ
สมาธิระดับ สมาบัติ จักมี ๒ จำพวก
โลกีย์ฌาน, โลกุตรฌาน
สัมมาสติ✔️
สัมมาสมาธิ✔️
สัมมาวายามะ✔️
⛵โลกียฌาน
สมาธิจดจ่อจมแช่แค่ อารมณ์เดียว
จนจิตใจตั้งมั่นจิตแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่ข้อเสีย ที่ฅนส่วนใหญ่ไร้ปัญญา
เพียรจมแช่อยู่ในฌาน ติดฌาน
⛵โลกุตรฌาน
สมาธิขณะมีสติ ในการพูด, คิด, ทำ
เพียรเจริญสติอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ
ไม่ได้จดจ่อจมแช่แค่อารมณ์เดียว,
จึงเป็นเรื่องยากที่จะสำเร็จโลกุตระ
ไม่ง่ายที่จะเข้าถึง โลกุตรฌาน
รู้สึกขณะเดิน, ยืน, นั่งจับความรู้สึก
ขณะกล่าว ขณะฟัง ไม่เพ่งมากเกิน
ไม่น้อยเกินจนเสียสมาธิ
โลกุตรฌานจักสามารถเนสัจชิกได้
คล้ายๆ ชีวิตมนุษย์ปกติ แต่ไม่นอน,
ไม่หลับ ความเพียร และสมาธิสูง
การท่องบ่นจนเป็นอุปนิสัย พูดซื่อๆ
พูดซื่อๆ กำจัดสันดานมุสา, ตอแหล
ดูจิตรับรู้อะไรๆ ก็บริกรรมตามนั้น
จนถึงจุดที่ กาย วาจา และใจ เป็น๑
แค่จิตรู้ ก็จะละไปเองบ้าง ถ้าเข้าใจ
ก็จะลบล้างกิเลสไปเองอยู่อย่างนี้
จิตที่ฝึกดีแล้วจะสามารถทรงสมาธิ
ขณะยืน, เดิน, นั่ง, คิด, พูด, ฟัง, ทำ,
และหรือทรงสมาธิอริยาบถต่างๆ
ซึ่งจะยากมากในการฝึกตนตอนต้น
แต่จะมีผลดีมากกว่าถ้าในระยะยาว
สามารถเข้าวิมุตติ หลุดพ้นได้ง่ายๆ
🙏วิมุตติ ไม่ว่า สุข, หรือไม่สุข,
🙏วิมุตติ ไม่ว่า ทุกข์, หรือไม่ทุกข์
เจริญพร
จิต กับ อารมณ์จิต
จิต กับ อารมณ์จิต ทั้งสองมันก็เนียนอยู่ด้วยกัน
แต่มันสิ่งเดียวกัน หรือไม่ ก็ไม่ใช่ 🙈🙉🙊
■จิต...
จิต หรือสภาพรู้ ที่รับรู้อะไรได้เอง ปรุงแต่งเอง
หากจำแนกตามลักษณะการทำงานต่างๆ ได้ ๔
หรือขันธ์ทั้ง ๔ ที่เป็นนามธรรม
⏹เวทนา ความรู้สึก
⏹สัญญา ความทรงจำ ความจำ
⏹สังขาร ความนึกคิด ใคร่ครวญ
⏹วิญญาณ สภาพรู้ที่รู้อารมณ์เองได้
■เจตสิก...
เจตสิก เป็นอารมณ์ของจิต, หรืออาการของจิต
หรือกิริยาของจิต, "อาศัยจิตมี จึงมีเจตสิก" 🤗
......................................................🙈🙉🙊
หลงอารมณ์ตั้งนาน คริๆ หายแล้วจึงรู้ 😅😅
ขณะเห็นรูป แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทันผัสสะกันเอง
เปรียบแมลงวัน เห็นกองอุจจาระ, กลิ่นอุจจาระ
มันเห็นทันผัสสะแค่นี้, จนเข้าไปกินอุจจาระเอง
ทั้งที่นั้นเป็น อุจจาระ 💩💩💩
ขณะรู้รูปว่า รูป จริงหรือ ⁉
ขณะจิตเห็นรูป, รู้รูป รู้ว่า รูปธรรมเป็นอย่างไรๆ
ถ้าเราไม่เห็นความรู้สึก เราจะไม่เห็นเราว่า เรา
หรือขณะจิต สัตว์ทั้งหลายกำลังลืมตัว
●ลืมตัวติดข้องสนองพอใจ โลภะ
●ลืมตัวติดข้องสนองไม่พอใจ โทสะ
●ลืมตัวติดข้องสนองลังเลสงสัย โมหะ
ลักษณะ คือ จิตรู้ไหลตามรู้ เช่น รู้รูป ไม่รู้สึกตัว
เลยหลงตามรู้ขณะที่จิตเป็นอวิชชารู้ดักรู้นั้นแล
หรือรู้รูปเพลินตามรูปอย่างสืบเนื่องแล ☻☹
ยกตัวอย่าง ขณะหลงโกรธ 😈😈
เช่น โกรธตั้งนาน ไม่รู้... ถ้าหายโกรธแล้ว ถึงรู้
......................................................🙈🙉🙊
หลงรูปอยู่ตั้งนาน...
หลงรูปโฉมของตน ว่าสาว ว่าสวย แก่แล้ว ถึงรู้
อาจจะรู้อีกทีขณะเห็นเทวทูต ๔
■ความแก่
■ความเจ็บ
■ความตาย
■ความสำรวม (ไตรสิกขา)
เทวทูต ๔ เหล่านี้แลเตือนสติ ปัญญาเห็นธรรม
......................................................🙈🙉🙊
วิธีแก้ปัญหาอาการหลงรู้ 💡💡
วิธีแก้ปัญหาจิตบกพร่อง ให้ฝึกจิตย้อนดูจิตตน
ย้ำว่า ดูจิตตนเอง, ดูลักษณะจิต ด้วยความสงบ
ขณะจิตแบบนี้มีสมาธิโดยไม่เพ่งข่มเกินไปนัก
■ถ้าสงบเกินไป อาจเลิกเพ่งข่มจิตขณะนั้นๆ
หรือลักษณะอาการบางฅนเอาแต่ข่ม จะดับรู้
■ถ้านิวรณ์เกินไป ก็หันมาเพ่งขณะนั้นๆ เลย
เป็นวิธีประคับประคองจิต ให้จิตสมาธิเนืองๆ
ช่วยให้สติมั่นคงขึ้น ณ ขณะจิตนั้นๆ ไม่ดักรู้
■เปรียบนักขี่ม้า คอยเตือนม้าควบ 🏇🏇🏇
นักขี่ม้า ต่างคอยกระตุ้นม้าวิ่งควบไปเรื่อยๆๆ
ผู้ปฏิบัติควรคล้องใจตนเองด้วยสติปัฏฐาน๔
หรืออานาปานสติ ก็ดี ดีกว่าใหลรู้ แต่ไม่รู้ตัว
ดูจิตจากความสงบนะครับ ถ้าขาดสงบ ก็ไม่ชัด
แต่ไม่ใช่ข่มจนสงบอย่างเดียว, จักไม่เห็นอะไร
ศีล สมาธิ ภาวนา (ปัญญา) มีตลอดสายตรัสรู้
......................................................🙈🙉🙊
ความสำรวมกาย, วาจา, ใจ จะกลายอุปนิสัยดีๆ
ด้วยความเพียรปฏิบัติธรรมถูกวิธี ย้ำถูกวิธี
ธรรมทานแด่ทุกจิตวิญญาณ, นำสู่พระนิพพาน
ญาณ ๑๔
มรรคญาณ
ปัญญาปหานกิเลสนั้นสมุทเฉทปหาน
ขณะจิตนั้นๆ ทรงนิพพาน เป็นอารมณ์
หรือที่ว่า ขณะจิตมีมรรค จึงมีผลทันที
ขณะจิต นั้นแล ฌานสุข นิพพานสุข
ทว่า ทรงฌานถูกวิธี มีจิตสำนึกเนืองๆ
แยกแยะผิด-ถูก ดี-เลว เห็นธรรมคู่ๆ
ญาณรับรองความเป็น พระอริยบุคคล
สงบ สงัด สำรวม ยิ้มๆ เบิกบานเนืองๆ
พูดอะไรตรงๆ ไม่ติดใจอะไรในอะไร
มรรคญาณ-ผลญาณ
บุคคลที่ทราบในตนว่า ตนทำอย่างไร
แล้วทราบได้ผลอย่างไรๆ (ผลญาณ)
จึงทราบชัดว่า ตนทรงคุณธรรมใดอยู่
จึงทราบชัดว่า ตนขาดคุณธรรมใดๆ
เช่น ถ้าตนทำตัวแบบนี้, วางจิตแบบนี้
ผลจึงกลายเป็นแบบนี้ๆ อย่างนี้ๆ
.....
ญาณ ๑๕
ผลญาณ
ปัญญาอันผลสืบเนื่องจากมรรคญาณ
ขณะจิตปหานกิเลส จิตไม่ติดข้องใดๆ
ขณะจิตนั้นๆ พระนิพพาน เป็นอารมณ์
บุคคลบรรลุเป็นอริยบุคคลตามขั้น...
👆 พระอรหันต์ ละสังโยชน์๑๐
👆 พระอนาคามี ละสังโยชน์๕
👆 พระสกิทาคามี ละสังโยชน์๓
👆 พระโสดาบัน ละสังโยชน์๓
มรรคญาณ-ผลญาณ
บุคคลที่ทราบในตนว่า ตนทำอย่างไร
แล้วทราบได้ผลอย่างไรๆ (ผลญาณ)
จึงทราบชัดว่า ตนทรงคุณธรรมใดอยู่
จึงทราบชัดว่า ตนขาดคุณธรรมใดๆ
เช่น ถ้าตนทำตัวแบบนี้, วางจิตแบบนี้
ผลจึงกลายเป็นแบบนี้ๆ อย่างนี้ๆ
.....
ญาณ ๑๖
ปัจจเวกขณญาณ
ปัญญาเห็นผลจิต ก็ยอมรับความจริง
ก่อนจิตสุดท้ายจะดับไปส่งสัญญาณ
ไปยังจิตดวงใหม่ ที่จักเกิด จึงรู้สำนึก
เห็นว่า จิตก่อนหน้าดับไป
พิจารณากิเลสที่ตนเองละลดลงแล้ว
ย่อมเห็นสังโยชน์ที่ตนยังเหลืออยู่
ขณะละขาด สังโยชน์ ๓
ผลรอบแรกที่ นิโรธ คือ ผลสมาบัติ
รับรองบุคคลสำเร็จ พระโสดาบันผล
หรือพระสกิทาคามีผล
รอบแรก นิโรธ คือ ผลสมาบัติ
■ ทุกข์ คือ สังโยชน์ ๑๐
■ สมุทัย ตัวการ คือ สักกายทิฏฐิ
■ นิโรธ รอบแรกบรรลุ ผลสมาบัติ
▪ละสังโยชน์ ๓ เหลืออีก ๗
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๓
▪ความเห็นผิดว่า กู เป็นตัวกู ของกู
▪เลิกถือศีลแบบผิด ไม่ละเลยทำชั่ว
▪ความสิ้นสงสัยในพระรัตนตรัย
ขณะละขาด สังโยชน์ ๕
ผลรอบสองที่ นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
รับรองบุคคลสำเร็จ พระอนาคามีผล
รอบสอง นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
■ ทุกข์ สังโยชน์ ๗
■ สมุทัย ตัวการ คือ ตัณหา
■ นิโรธ รอบ ๒ บรรลุ นิโรธสมาบัติ
▪ละสังโยชน์ ๕ เหลืออีก ๕
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๕
▪ลดละความติดข้องราคะ
▪ลดละความติดข้องปฏิฆะ
ขณะละขาด สังโยชน์ ๑๐
ผลรอบสามที่ นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
รับรองบุคคลสำเร็จ พระอรหันต์ผล
รอบสาม นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
■ ทุกข์ สังโยชน์ ๕
■ สมุทัย ตัวการ คือ อวิชชา
■ นิโรธ รอบ ๒ บรรลุ นิโรธสมาบัติ
▪ละสังโยชน์ ๑๐ ไม่เหลืออีก
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๑๐
▪ลดละความติดข้องรูปฌาน
▪ลดละความติดข้องอรูปฌาน
▪ละความสำคัญตนเด็ดขาด
▪ละความฟุ้งซ่านรำคาญใจได้
▪ละอวิชชาเด็ดขาดแล้ว
สาธุครับ
จิตตนุปัสสนา… ( จิตรู้ เห็นจิต อาการจิต )
จิตเห็นจิตในจิต…
จิตเห็นจิตคิด แต่เห็นชัดขึ้นว่า จิตคิดหนึ่ง!
แท้จริงจิตคิดเป็นแค่อารมณ์ เจตสิกเท่านั้น
จิตคิดนั้นเป็นภาวะ เป็นกิริยาจิต ไม่ใช่จิต
จิตเห็นมโนจิต ความเห็นนั้นเป็น สัมมาทิฐิ
จิตจะละเลิกอกุศลได้ ถ้าจิตเท่าทันจิตอกุศล
จิตเห็นรูปนามดับไป เมื่อใด ภพนั้นก็ดับ
จิตจะหยั่งเห็นสภาวธรรมรูปนามเกิดดับได้
อาการนั้นๆ เสมือนเห็นนิโรธขณะหนึ่งๆ
เมื่อนั้นเข้าถึง อุทยัพพยญาณ
บรรลุจูฬโสดาบันเรียบร้อย ปิดอบาย 1ชาติ
……………
เจริญสติต่อไป… เพื่อบรรลุนิโรธ อริยสัจ ๔
บรรลุผลสมาบัติ บรรลุอริยบุคคลชั้นต้น
นิโรธสมาบัติ บรรลุอริยบุคคลชั้นสูง
จิตฝึกฝนดีแล้ว สติตั้งมั่น ว่องไวเท่าทันขึ้น
ยิ่งสติต่อเนื่อง บริสุทธิ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้…
ผลการเจริญสติถูก จิตพัฒนาขึ้นเป็นลำดับๆ
ยกสมมุติ… ตัวอย่าง… เช่น…
ถ้าเกิดนิมิตๆ จิตก็หยั่งรู้ว่า กำลังเกิดนิมิตอยู่
เห็นอารมณ์แล้ว รู้ทันไม่ใหลตามอารมณ์
เมื่อใด จิตมิคล้อยตามอารมณ์ ย่อมหลุดพ้น
จิตใจเป็นอิสระจากอารมณ์บีบรัดทั้งปวงได้
ย่อมหยั่งเห็นจิตอิสระหลุดพ้นขณะหนึ่งๆ
หรือแม้กระทั่งกำลังมีความทุกข์ ก็หลุดพ้น!
เพราะคลายความกำหนัดแล้ว… สาธุ
นอกจาก ธาตุ๔ ที่เป็นรูปขันธ์
เป็นรูปธรรม ที่แสดงลักษณะของตัวมันเอง
และปะปนผสมผสานกันอยู่ เป็นร่างกายนั้น
เช่น สัตว์, บุคคล, วัตถุ, สิ่งของต่างๆ ฯลฯ
⏹ธาตุดิน
⏹ธาตุลม
⏹ธาตุน้ำ
⏹ธาตุไฟ
.....
ธาตุรู้, ธาตุว่าง เป็นนามธรรม
มีลักษณะเป็นรูปธรรมอยู่ภายในนามธรรม
แสดงลักษณะสัมพันธ์ที่สืบต่อๆ กันภายใน
เป็นเรื่องเกินวิสัยปุถุชนจะถ่องแท้ได้
แต่สามารถทำความเข้าใจ ด้วยมรรค๘ ถูก
และสุดทาง (วิปัสสนากรรมฐาน)
สาธุครับ
ผู้ใดจะเรียกสิ่งนี้ว่า จิต
หรือใครจะเรียกสิ่งเดียวกันว่า นามธรรม ก็ได้
ถ้าหมายถึง สิ่งเดียวกัน ก็ไม่ถือว่า ใครผิด-ถูก
เพราะว่า อาตมาภาพกำลังจะกล่าวถึง สิ่งนี้...
นามธรรม หรือจิต
เป็นสิ่งที่มีสภาพรู้ในตัวเองได้ มีอาการเกิดดับ
มีอาการ หรือแสดงลักษณะอาการของตนเอง
ซึ่งอาการของมัน, อารมณ์มัน, ไม่ใช่ตัวมันเอง
แต่อาการของมัน บางทีจะรู้ทุกอย่างที่ตัวมันรู้
อาการของมัน ชื่อว่า เจตสิก, แต่ไม่ใช่จิต
หน้าที่ของนามธรรม แบ่งเป็นขันธ์ ๔ ลักษณะ
เป็นอยู่ และแสดงอาการออกในตัวมันเอง
✳️เวทนาขันธ์ หรือความรู้สึก
✳️สังขารขันธ์ หรือความคิดปัจจุบันปรุงแต่ง
✳️สัญญาขันธ์ หรือความจดจำ, ความทรงจำ
✳️วิญญาณขันธ์ หรือสภาพรู้,ที่ รู้อารมณ์นั้น
.....
อีกขันธ์ คือ รูปธรรม ชื่อว่า รูปขันธ์, หรือกาย
เป็นขันธ์ที่มีรูปร่างลักษณะจับต้องได้ ๔ ธาตุ
ผสมผสาน ประกอบกันเป็นร่างกาย ให้อาศัย
เมื่อรวมเข้ากับจิต เป็นนาม-รูปที่มีจิตครอง
⏹ธาตุดิน
⏹ธาตุน้ำ
⏹ธาตุลม
⏹ธาตุไฟ
ด้วยเห็นนี้ ถ้าบุคคลไม่เข้าใจตนเองจะไม่เห็น
แม้ว่า ตนเองมีขันธ์๕ และด้วยความไม่รู้ในตัว
เปรียบเหมือนตน กำลังกักขังตน ในเมืองมาร
หรือเรียกเมืองมารว่า สังสารวัฏ
สังสารวัฏ หรือเมืองมาร
เป็นเมืองมายา ที่ฉาบทาสิ่งต่างๆ จยสัตว์หลง
พอใจ ติดใจติดข้องสนองความอยากของตน
ข้อนี้พึงระวังเถิด
ทางสายกลาง เป็นไฉน 🙈🙉🙊
วิธีรักษาจิตเป็นกุศล บริสุทธิ์ใจ
นิโรธแล้ว ย่อมจักเห็นรู้วิธีการลดละสมุทัย
วิธีการ ๘ ประการ เรียกว่า มรรคมีองค์ ๘
ถ้ามรรค๘ ย่อเหลือ ๓ ก็เรียกว่า ไตรสิกขา
⏺ศีลบริสุทธิ์ ถูกวิธี ลดความเห็นแก่ตัวได้
⏺สมาธิถูกวิธี จิตบริสุทธิ์ ก็ทำลายตัณหา
⏺ปัญญาถูกวิธี สติจะมั่นคง ละอวิชชาได้
ไตรสิกขา เป็นเรื่องที่ตนสามารถฝึกตนได้
บุคคลดีได้ด้วยการฝึก ดังนี้
การกำหนดรู้อย่างถูกวิธีเป็น… อริยมรรค๘
เป็นวิธีการเจริญสติ, ควบคู่การเจริญสมาธิ
สัมมาทิฐิ เป็นความเห็นถูกต้อง ธรรมชาติๆ
เป็นความเห็นลักษณะธรรมชาติแบบทั่วถึง
หรือความเห็นแจ่มแจ้งใน อริยสัจ๔
อริยสัจ๔
🔔ทุกข์สัจจะ
เห็นว่า ลักษณะแห่งทุกข์นั้น เป็นอย่างไร...
รู้เห็นอย่างหยาบๆ ทุกข์เป็นอย่างไร...
เห็นว่า สิ่งที่ปรากฎชัดขึ้นๆ ที่เห็นอย่างไรๆ
รู้เห็นอย่างละเอียดๆ นั้นแล ทุกข์สัจจะ
เห็นว่า ทุกข์เป็นความจริง
หรือเห็นว่า ทุกข์นั้น ทำให้ลดความกำหนัด
ทำให้ละความทะยานอยากไปเอง ก็ทนได้
🔔สมุทัยสัจจะ
สิ่งแอบแฝง อยู่เบื้องหลังทุกข์ เป็นอย่างไร
รู้เท่าทันสาเหตุๆ เห็นว่า สมุทัยมีลักษณะ...
รู้เห็นต้นเหตุ ทำให้เกิดทุกข์นะเป็นอย่างไร
เช่น...
หากใครเห็นทันความพอใจ ก็สามารถชนะ
ละความพอใจโลภมากนั้นเสีย ก็ดีได้เอง
หรือ...
จะเห็นว่า กิเลสเป็นสาเหตุ เห็นละเอียดขึ้น
จึงเห็นว่า เพราะมีสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ครอบงำ
ถ้าละสังโยชน์ ๑๐ ก็พ้นทุกข์อย่างถาวร
ที่เหลืออยู่ที่ ตนขวนขวายเพื่อลดละสมุทัย
🔔นิโรธสัจจะ
รู้ลักษณะความดับสนิทของทุกข์เป็นยังไง
จิต ก็รู้เท่าทันลักษณะสืบเนื่อง ด้วยจิตเอง
จิต แสดงอาการรูปนามเกิด-ดับ อริยมรรค
จิตเองจะแสดงอาการดับขันธ์๕ อริยผล
👁️ผลสมาบัติ อริยบุคคลชั้นต้น
👁️นิโรธสมาบัติ อริยบุคคลชั้นสูง
บุคคลบรรลุธรรม เสมือนผู้รับรอง อริยสัจ
รับรองคำสั่ง-คำสอนของพระพุทธเจ้าจริง
เป็นผู้ต่ออายุพระพุทธศาสนา
🔔มรรคสัจจะ
ความรู้เห็นอย่างเป็นลำดับๆ (ลำดับญาณ)
รู้วิธีการ เพื่อเห็นความดับทุกข์ว่า อย่างไร
รู้วิธีเดินทางสายกลาง สู่ นิโรธ ทำเช่นไร..
ทางสายกลาง หรืออริยมรรค๘
🔎สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกตามธรรมชาติ
🔎สัมมาสังกัปปะ ความคิดเกื้อกูลให้ถูก
🔎สัมมาวาจา พูดความจริง ไม่มุสา
🔎สัมมากัมมันตะ ปฏิบัติตนไม่ผิดศีล
🔎สัมมาอาชีวะ การงานอาชีพไม่ผิดศีล
🔎สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกวิธีการ
🔎สัมมาสติ เจริญสติเนืองๆ ไม่ประมาท
🔎สัมมาสมาธิ เจริญสมาธิเนืองๆ ควบคุม
.....
สัมมาทิฏฐิ (แบบโลกีย์)
เป็นความรู้เห็นเกื้อกูลโลก เห็นตามวิถีโลก
เป็นความรู้เพื่อเกื้อกูลกันอยู่ในโลก, สังคม
เป็นความรู้ที่วกวน ก็เพื่อแก้ปัญหาทางโลก
เกี่ยวข้องด้วยกิเลส ย่อๆ ๓ ลักษณะ
⭕ทิฏฐิ เป็นความยึดถือมั่นหมาย
⭕ตัณหา เป็นความติดข้อง ยินดี, ยินร้าย
⭕อวิชชา เป็นความไม่รู้จริง ในสิ่งที่ตนรู้
ใครใช้เป็นเครื่องมือ ขึ้นอยู่ที่ศิลปะการใช้
ถ้าใช้ไม่เป็น ก็มีโทษแก่ตน, ผู้อื่น, ส่วนรวม
ข้อนี้พึงระวังเถิด ที่ว่าจริง แต่ไม่จริงไม่สุด
หรือความรู้ไม่สุดทาง ยังไม่ล้ำลึกพอ...
.....
สัมมาทิฏฐิ (แบบโลกุตระ)
เป็นความเห็นเกื้อกูลโลก เห็นตามสัจธรรม
เป็นความเกื้อกูลกัน จนพ้นจากโลกธรรม๘
พ้นจากความวกวน เพื่อแก้ปัญหาทางโลกๆ
เกี่ยวข้องเพื่อละกิเลส ย่อๆ ๓ ลักษณะ
⭕ละทิฏฐิ ละความเห็นแก่ตัว
⭕ละตัณหา ละความติดข้อง ยินดี-ยินร้าย
⭕ละอวิชชา ละความไม่รู้จริง ในสิ่งที่ตนรู้
โลกุตรธรรม คือ สัจธรรมความหมายล้ำลึก
เกินกว่าวิสัยมนุษย์ทั่วไปส่วนใหญ่ไม่เข้าถึง
จึงต้องอาศัย อริยบุคคล แปล และอธิบายๆ
เรื่องที่เคยเข้าใจยากๆๆ ก็จะเข้าใจง่ายขึ้น
สาธุครับ
เรื่อง สมาธิ
สมาธิแบ่งเป็น ๓ ระดับ
ขณิกสมาธิ สมาธิเพียง ณ ขณะจิต
อุปจาระสมาธิ แน่วแน่รองจากฌาน
อัปปนาสมาธิ แน่วแน่ ฌานสมาบัติ
สมาธิระดับ สมาบัติ จักมี ๒ จำพวก
โลกีย์ฌาน, โลกุตรฌาน
สัมมาสติ✔️
สัมมาสมาธิ✔️
สัมมาวายามะ✔️
⛵โลกียฌาน
สมาธิจดจ่อจมแช่แค่ อารมณ์เดียว
จนจิตใจตั้งมั่นจิตแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่ข้อเสีย ที่ฅนส่วนใหญ่ไร้ปัญญา
เพียรจมแช่อยู่ในฌาน ติดฌาน
⛵โลกุตรฌาน
สมาธิขณะมีสติ ในการพูด, คิด, ทำ
เพียรเจริญสติอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ
ไม่ได้จดจ่อจมแช่แค่อารมณ์เดียว,
จึงเป็นเรื่องยากที่จะสำเร็จโลกุตระ
ไม่ง่ายที่จะเข้าถึง โลกุตรฌาน
รู้สึกขณะเดิน, ยืน, นั่งจับความรู้สึก
ขณะกล่าว ขณะฟัง ไม่เพ่งมากเกิน
ไม่น้อยเกินจนเสียสมาธิ
โลกุตรฌานจักสามารถเนสัจชิกได้
คล้ายๆ ชีวิตมนุษย์ปกติ แต่ไม่นอน,
ไม่หลับ ความเพียร และสมาธิสูง
การท่องบ่นจนเป็นอุปนิสัย พูดซื่อๆ
พูดซื่อๆ กำจัดสันดานมุสา, ตอแหล
ดูจิตรับรู้อะไรๆ ก็บริกรรมตามนั้น
จนถึงจุดที่ กาย วาจา และใจ เป็น๑
แค่จิตรู้ ก็จะละไปเองบ้าง ถ้าเข้าใจ
ก็จะลบล้างกิเลสไปเองอยู่อย่างนี้
จิตที่ฝึกดีแล้วจะสามารถทรงสมาธิ
ขณะยืน, เดิน, นั่ง, คิด, พูด, ฟัง, ทำ,
และหรือทรงสมาธิอริยาบถต่างๆ
ซึ่งจะยากมากในการฝึกตนตอนต้น
แต่จะมีผลดีมากกว่าถ้าในระยะยาว
สามารถเข้าวิมุตติ หลุดพ้นได้ง่ายๆ
🙏วิมุตติ ไม่ว่า สุข, หรือไม่สุข,
🙏วิมุตติ ไม่ว่า ทุกข์, หรือไม่ทุกข์
เจริญพร