ถ้าท่านไปหาจิต เจอจิตแล้ว จบทุกอย่าง
ถ้ายังไม่เจอจิต ก็ไม่จบ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา
ญาณ มี 7 อย่างคือ
บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้
จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร
เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์
อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์
ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร
อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด
ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด
อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง
เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่
อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้
ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง
จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ
เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ
อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง
ฌาน
ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน
ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่
วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก
ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)
สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์
เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์
ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์
ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้ ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง
อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มี
ให้อยู่กับความรู้สึกตัว " พอจะคิดปุ๊บ ให้รู้สึกตัว ให้มันชิน จนเป็นสันดาน " แรกๆมันจะเผลอ ไม่เป็นไร เผลอก็ให้รู้ว่าเผลอ นั้นหล่ะ รู้ว่าเผลอคือรู้สึกตัวแล้ว
แล้วเวลาที่เราเห็นใจเราขยับ หลงเข้าไปยึดความคิดอารมณ์ เทคนิคที่ผมใช้นะ ผมจะบอกตัวเองว่าใจเราโง่อีกแล้ว ที่หลงเข้าไปยึด แค่ตรงที่รู้ตัว ว่าหลงเข้าไปยึด นั้นรู้สึกตัวแล้ว " ทุกครั้งที่ใจเราเข้าไปยึด บอกตัวเองเราโง่แล้ว ไม่ว่าร้ายหรือดี " ใจเราจะปกติมากขึ้นอัตโนมัติ เกิด สติ สมาธิ ปัญญา มรรค ครบที่ใจเป็นปกติ
ทําอย่างนี้อย่างจริงจัง จะปล่อยผู้กระทําออก เป็นธรรมที่เข้าถึงระดับจิตใจ
เพิ่มเติมว่า
ในส่วนที่บอกว่าใจเราโง่อีกแล้ว ไม่ได้คิด เพื่อจะบอก แต่สิ่งที่ปรากฏ ใจมันสอนเรา จะเห็นเอง ว่าการที่เราเผลอเข้าไปยึด หรือแม้แต่เพียงแค่ส่งใจออกไป เป็นความโง่ของเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมากระทําเรา พอใจมันรู้อย่างนี้ ใจมันบอกตัวเอง ว่าเรานี้โง่เหลือหลาย แค่พอจิตจะขยับเข้าไปยึด ใจมันก็บอกแล้ว ว่าโง่อีกแล้ว (ไม่มีความคิด) " จิตอบรมจิต จิตสอนจิต " แต่เริ่มต้นตอนแรกๆ มันจะยังไปบอกเองหรอกว่าโง่ และมันจะเป็นการที่เข้าไปคิดบอกมากกว่า แต่การเหนี่ยวนําตรงนี้เอาไว้บ่อยๆ อีกหน่อย ใจมันจะบอกได้เองอัตโนมัติเลย ว่าใจเราโง่อีกแล้ว " เริ่มด้วยความคิด แต่สุดท้ายมันจะเหลือแต่ใจเราที่บอกเราเอง "
Trader Hunter พบธรรม
หัวใจของวิปัสสนานั้น ผมกำลังจะบอกว่า...
"จับความรู้สึกตัวสดๆบนฐานของการเคลื่อนไหวทางกาย และดูความคิด"
สองสามประโยคดูมากความ แต่ถ้าปฎิบัติเป็นขั้นตอนแล้วจะรู้ว่า เมื่อรู้สึกตัวได้ดี จะดูความคิดเอง พอจิตเริ่มปรุงแต่งมันจะรู้ บางทีมันปรุงสามสี่เรื่อง พอรู้ มันหยุด ลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ดูจิตใจ ดูความคิดก็ไม่มีอะไรให้ดู มันเงียบไปเลย แต่พอเราเผลอๆ มันก็คิดเท่านั้น
ขณะนี้ฟังผมพูด เป็นความคิดทั้งนั้น มันทำงาน อุปมาเหมือนภาพยนตร์ เมื่อเราดูเรื่องที่ฉายบนจอ เราเข้าไปในเนื้อเรื่องเลย เรามีแต่อารมณ์ สุข โศก กลัว รัก ไปตามท้องเรื่องโดยไม่เห็นจอ ทั้งๆที่เรื่องดำเนินไปบนจอ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเข้าไปในความคิด เราจะไม่รู้จักความคิด
แต่สมมติว่า เราไม่ได้ดูเนื้อเรื่อง เราค่อยๆทวนลำแสงสวนทางไปในทาง ที่เครื่องฉายทำงาน ในที่สุดเราจะเห็นเหตุ เรื่องทั้งหมดออกมาจากเครื่องนี้ เมื่อเราคุ้นเข้าๆ เราก็จะเห็นเบื้องหลังของเครื่องฉายเครื่องนั้นด้วย ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถเล็ดลอดออกจากวังวนของความเวียนว่ายตายเกิดได้
สรุปว่า..ความทุกข์ทรมานของมนุษย์เรา ไม่ว่าโดยอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เกิดจากสภาพไม่รู้จักตัวเองให้ถึงแก่น ไม่รู้ถึงพลังความสามารถต่างๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ ไม่เปิดเผยความจริงในส่วนลึกจนกระทั่งทะลุปรุโปร่งในตัวเอง..
ท่านเขมานันทะ (อ.โกวิท เอนกชัย)
จากหนังสือ "รุ่งอรุณแห่งความรู้สึกตัว"
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
"การภาวนา" นี้จะต้องกำหนด "สติ" ให้เป็นไปได้พร้อมกันทั้ง ๓ อย่าง
คือ ขณะที่มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ต้องมี ๑.ลม ๒.คำภาวนา ๓.จิต ควบคู่กันไปทุกๆ ขณะ และมี "สัมปชัญญะ" กำกับไปด้วยเสมอ
จึงจะเรียกว่า ตั้งอยู่ใน "องค์ภาวนา" ซึ่งเป็นตัว "บุญกุศล"
"สติ" เป็นตัว "บุญ" คือ ความไม่ประมาท ,
"ความประมาท" เป็นตัว"บาป" คือ "เผลอ"
"สัมปชัญญะ" คือ ตัวสำรวจ ที่คอยตรวจตราผลการกระทำ ว่าส่วนใดดี ส่วนใดไม่ดี แล้วก็แก้ไข
เช่น ถ้าลมหายใจของเรายังไม่เป็นที่สบาย ก็ต้องขยับจิดเสียใหม่ คือเปลี่ยนการหายใจ
เหมือนกับเปลี่ยนที่นั่ง ถ้าเรานั่งตรงไหนไม่สบาย เราก็ต้องลุกไปหาที่นั่งใหม่
ตรงไหนสบายเราก็รักษาที่นั่งตรงนั้นไว้ให้นานๆ และไม่ต้องเปลี่ยนอีก
"สติ" อยู่กับ "ลม" เรียกว่า "อานาปานสติ" ,
"สติ" อยู่กับ"กาย"เรียกว่า "กายคตาสติ"
ถ้ามี "สติ" อยู่กับ "กาย" และ "จิต" อยู่เสมอ
เรียกว่า "เจริญกัมมัฏฐาน"
อย่างเรานั่งภาวนากันอยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่า เรานั่งทำงาน คือ "ทำกัมมัฏฐาน"
เหตุของบุญกุศลในองค์ภาวนา
การที่เราจะเข้าเจริญสมาธิ เจริญภาวนาจิตนั้นเพื่ออะไร เมื่อเรามี"จุดหมาย"เราย่อมเห็น"ทางเดิน" ก็ทางเดินนั้นแลที่เราเดินแล้ว ประพฤติแล้ว กระทำแล้วอยู่บ่อยๆเนืองๆ ก็เพื่อให้จิตเรานั้นได้เกิดการตื่นรู้ ให้เกิดการชำนิชำนาญ ให้เข้าถึงตัวปัญญา
ตัวปัญญาจะเกิดได้ก็คือ เมื่อฌานบังเกิด จิตเห็นจิตนั่นแล จิตมันเห็นอารมณ์ใด จิตเป็นแบบใดต้องกำหนดรู้ คือระลึกรู้ ให้อยู่ในกายตน ให้เกิดสติปัฏฐาน หรือกายานุสติก็ดี ให้อยู่ในนี้ คือให้รู้ทุกข์ ให้รู้อารมณ์แห่งการเกิดเวทนา คืออย่าส่งจิตไปภายนอก เมื่อเรากำหนดรู้ได้อย่างนี้ก็ให้พิจารณาให้เห็นโทษภัย คือเพ่งโทษ เอาจิตนั้นไปตั้งอยู่ในฐานทั้ง ๔ คือในกาย ในเวทนาคือความรู้สึก
ความรู้สึกนี้แลที่มันเกิดขึ้น เพราะเกิดจากใจไปดำริ ไปพอใจ ให้รู้สภาวะจิตอารมณ์ของตัวเอง เมื่อกำหนดรู้แล้วก็พิจารณาอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเราจะเห็นความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงเกิดจากอะไร เกิดจากเราไปเห็นทุกข์นั่นแล สิ่งไหนที่เราเข้าไป"ยึด"แล้วเกิด"ความพอใจ" ในความพอใจนั้น หากเราไม่น้อมจิตสติเราให้เกิดปัญญาแล้ว ก็ย่อมเกิด"ความหลง"
เพราะความหลงตัวนี้เราไปยึดไว้ ไปปรุงแต่งไว้ เพราะอำนาจของกิเลส เรามีกิเลสมากเท่าไหร่ เราก็คิดว่าสุขนั้นมีมากเท่านั้น แท้ที่จริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ในความสุขนั้นแลมันมีความทุกข์ปนอยู่ จะบอกว่าทุกข์และสุขนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ย่อมได้ แต่ใครเล่าจ๊ะที่จะแยกมันออก
เหมือนกายกับจิต เหมือนรูปกับนาม เมื่อเราแยกมันออกแล้วให้เข้าถึง ยกมาให้พิจารณาย่อมเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างนั้นได้แค่"อาศัย"ให้เกิดเป็นแบบนั้น เป็นขั้นนั้นเป็นขั้นนี้ด้วยอำนาจของสมาธิ แต่ไม่ได้บอกให้โยมนั้นไปยึดในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เอาแค่อาศัยเป็นทางเดินผ่าน แต่ไม่ได้ให้โยมไปยึด
เพราะว่าสภาวะที่โยมไปยึดนี้แล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม ถ้าไปยึดแล้ว สิ่งนั้นแลมันย่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สู่ความ"ดับสลาย"ไป โยมก็จะจับตัวนั้นสิ่งนั้นไม่ได้ เมื่อมันหายไปแล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นคงไม่มี ที่มีเพราะเรานั้นไปยึดไปปรุงแต่งขึ้นมา ดังนั้นทางเดินของโยมที่จะเดินต่อไปคือต้องเดิน"ปัญญา" เข้าใจมั้ยจ๊ะ
บุคคลที่เดินปัญญาอยู่นั้นแล เรียกว่าจะพบอาจารย์ดีคือในกายตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นโยมต้องเดินปัญญา เพราะฌานนั้นเป็นเบื้องบาทแห่งการเจริญจิตภาวนา เมื่อโยมเจริญจิตภาวนาแล้ว ภาวนานั้นแลที่จะไปหล่อหลอมให้ดวงจิตของโยมนั้นเกิดสภาวะนิ่งสงบ ทำให้เกิดใจของโยมนั้นตั้งมั่น เกิดอำนาจแห่งสมาธิ คือความสงบ
เมื่อกาย วาจา ใจ ของโยมสงบแล้ว ธรรมย่อมบังเกิด คำว่า"ธรรมบังเกิด"ธรรมบังเกิดอย่างไรเล่า ก็ต้องเกิดจาก"เหตุ" เพราะโยมเกิดจากเหตุเช่นเดียวกัน เกิดจากโคลนตมก็ดี เกิดจากความไม่รู้คืออวิชชา โยมถึงได้เกิดขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เกิดจากเหตุทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อฉันว่าธรรมบังเกิด นั่นแลเหตุจักบังเกิด
เหตุเกิดจากที่ใดที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ ก็เกิดจาก"รูป"ไงจ๊ะ จากขันธ์ ๕ คือกองทุกข์ ในรูปที่โยมไปติด ในกายที่โยมไปหลง ไปยินดีพอใจว่านั่นตัวกูของกูนั่นแลจึงทำให้เกิดทุกข์
เวทนาคือความรู้สึกนั้นแล ความพอใจ เพราะไปยึดมั่นถือมั่นไว้ จึงเกิดการปรุงแต่งของสังขาร ดังนั้นโยมต้องไปพิจารณาสิ่งเหล่านี้ นั่นคือการไป"ละอารมณ์ "
หัวใจของกรรมฐานคือ"เพียรละ" ละอารมณ์ แล้วไปละที่ไหน ไม่ได้ให้โยมไปละอารมณ์ภายนอก อารมณ์ภายนอกนั้นมันเป็นมายา โยมจะเอาสิ่งที่เป็นมายานั้นมาพิจารณาธรรมให้เกิดธรรมโดยแท้..เป็นไปไม่ได้ แต่มายาทางโลกของโยมนั้น เพียงให้เห็นทุกข์โทษภัยแล้วน้อมเข้ามาสู่ภายใน แล้วโยมจะเห็นของจริงนั้นแล แบบนั้นเรียกเป็น"อุบายธรรม"ได้
ดังนั้นโทษภัยแห่งวัฏฏะที่แท้จริงแล้ว คืออยู่ในกายตน คือการหลงตน ถือตน ยึดตน นี้แล เมื่อโยมครองกายนี้ คิดว่ากายนี้เป็นสรณะแล้ว สิ่งอื่นที่ยิ่งกว่านี้คงเข้าหาโยมไม่ได้ เพราะโยมนั้นไม่ได้เปิดทาง เปิดโอกาสและน้อมรับสิ่งอื่น ก็เรียกว่ายังถือดี ถือตนอยู่อย่างนี้ นั้นเรียกว่าต้องเดินปัญญา
บุคคลที่เดินปัญญาเจริญจิตภาวนาอยู่จึงเกิดตัวรู้ ตัวรู้นั้นคือเกิดจากสติไประลึกและไปกำหนด เมื่อจิตไปกระทบกำหนดนั้นแล มันถึงจะเกิดสภาวะเกิดขึ้น สภาวะตัวรู้ ไปรู้อะไร ถ้ารู้ภายนอกยังไม่ใช่ธรรมที่แท้จริง เพราะนั่นเรียกปัญญาทางโลก คือมันไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการปรุงแต่งแห่งจิต แต่ถ้าโยมเห็นภายในในกายนี้แล เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ เห็นว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง เห็นว่าสิ่งนั้นเป็น"อนัตตา"
คำว่าอนัตตานั่นคือการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนที่สุดมันไม่มีอะไรจะให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา สิ่งนั้นแลเรียกว่าความว่างเปล่า คือไม่มีตัวมีตน ไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา เป็นแค่สภาวะหนึ่งที่เราไปยึดว่ามันมี ว่ามันใช่ เมื่อโยมคลายความยึดมั่นถือมั่นเสียได้ในสิ่งนี้โยมจักเห็นความเป็นจริง ตลอดถึงตัวปัญญา..นี่เรียกว่า"ตัววิมุติ"
คำว่าวิมุตินี้ก็เรียกว่าโยมจะข้ามพ้นในทุกข์ ในอารมณ์ที่โยมไปติด คำว่าวิมุติตัวนี้ถ้าโยมทำให้มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ นั้นเรียกว่าเดินข้ามสมมุติบัญญัติ บัญญัติแห่งมนุษย์ที่ว่าโลภ โกรธ หลง มนุษย์ทั้งหลายย่อมมีกันเป็นพื้นฐาน เป็นกรรมที่ติดมา ไอ้โลภ โกรธ หลงนี้ต้องทำอย่างไร นี่แลคือไฟสามกองที่จะลุกโชนเผาไหม้โลกใบนี้และมนุษย์ทั้งหลาย
ก็เพราะเหตุนี้แลมันจึงมีผลมีปัจจัยตามมา ว่าด้วยกรรมเมื่อกระทำแล้วย่อมให้ผล หากกรรมชั่วเมื่อทำไป ย่อมให้ผลเป็นทางที่ต้องทนทุกข์ ถ้ากรรมดีย่อมให้ผลเป็นสุขได้
ดังนั้นโยมต้องเดินปัญญา สตินั้นให้ไปอยู่ในฐานแห่งกาย แห่งความเป็นจริง แล้วโยมจะได้ปัญญา เมื่อโยมได้แล้วแม้ว่าโยมจะอยู่ ไม่ได้หลับตาก็ตาม ไม่ได้นั่งก็ตาม โยมจะทำอะไรในอิริยาบถใดก็ตาม เมื่อจิตที่โยมฝึกดีแล้ว กำหนดสิ่งใดอยู่ภายในกาย กำหนดรู้ลมก็ตาม เมื่อลมสงบนิ่งธรรมก็ย่อมบังเกิด เขาจึงบอกว่าต่อหน้าธรรม ต่อหน้าพระพุทธ ต่อหน้าพระปฏิมากร จงสำรวมกาย วาจา ใจ ให้เกิดศีล แล้วโยมจักได้ธรรม...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
".....ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ความสงบระงับของสังขารเป็นสุข ความไม่กังวล ความไม่ห่วงใย ความไม่เสียดาย ความไม่อาลัย ความไม่ยึดถือ ความสงบระงับอาสวะกิเลสเป็นบุญยอดยิ่ง....."
เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ( ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ )
มาดูความแตกต่างของ สมถะ และ วิปัสสนา กันครับ
มีคำกล่าวว่า...
"การปฏิบัติธรรม ต้องมีทั้งสองอย่าง
เปรียบเสมือนเท้าซ้ายกับเท้าขวา
จะต้องเดินสลับกัน จนถึงเส้นชัย"
นี่เป็นรูปแบบหนึ่งในการปฏิบัติ ที่ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กัน
สมถะ เพ่ง อารมณ์เดียวที่เป็นบัญญัติกรรมฐาน เช่น กสิณ 10, อานาปานสติ เป็นต้น
วิปัสสนา มีอารมณ์คู่ คือ รูปและนาม
จุดสูงสุดของการปฏิบัติ:
- สมถะ: ได้ฌาน, อภิญญา ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม
- วิปัสสนา: ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ตัดภพชาติที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ให้ไม่เกิน 7 ชาติเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก คือ พระโสดาบัน... จนสุดท้ายไม่ต้องเกิดอีก เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ละตัณหาและอวิชชาได้อย่างเด็ดขาด จึงหมดเหตุปัจจัยให้เกิดอีกนั่นเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
#การไปเที่ยวกรรมฐานก็คือ
กรรมฐานภายในอวัยวะ 32 นี้
เป็นที่ท่องเที่ยวกรรมฐาน
นับแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ
ลงไปถึงอาการ 32 ก็เป็นกรรมฐาน
ภายใน
เที่ยวกรรมฐานภายนอกไปอยู่ตามป่า
ตามเขา ก็เพื่อจะพิจารณากรรมฐาน
ภายในของเราให้สะดวกราบรื่นต่อไป
เพราะไม่มีอะไรรบกวน
การปฏิบัติธรรม มรรคผลนิพพานอยู่กับ
ผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ
ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง อยู่กับการปฏิบัติ
ของเรา
ถ้าเรามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ที่ไหน
ก็เป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกๆ
ฝีก้าว
ถ้าปราศจาก"สติ"เป็นเครื่องควบคุม
ความเพียร ให้ห่างไกลไปแล้วนั้น
เรียกว่าห่างเหินจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว
ผู้ที่มีสติติดแนบอยู่กับความเพียร
เป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกอิริยาบถ
ให้พากันจำเอาไว้
สติเป็นของสำคัญมาก
"สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา"
สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง
ไม่มีคำว่ายกเว้นที่สติจะไม่ติดแนบกับตัว
มีสติติดตัวอยู่เสมอ การงานทั้งหลายก็
ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติได้ห่างจากตัว
เมื่อไหร่แล้ว ภายในก็ผิดพลาด ภายนอก
ก็ผิดพลาด ให้พากันระมัดระวังเกี่ยวกับ
เรื่องสติเป็นสำคัญ...
สตินี้เป็นเครื่องรับรองยืนยันมรรคผล
นิพพาน คำว่าสติๆ นี้ ตั้งแต่พื้นที่ล้มลุก
คลุกคลาน ตั้งสติ ตั้งแล้วล้ม ขึ้นไปจน
กระทั่งถึงสติติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับ
ลำดา
จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ
แล้วกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา นั่นคือ
ทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพานไม่สงสัย
ท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มีสติติดแนบอยู่กับความเพียร
อย่าสักแต่ว่าทำ ทำภายนอกก็ดี ภายในก็ดี
ถ้าสติไม่ดี ดูงานการภายนอก เหลวไหล ผิดๆ พลาดๆ ไปไม่ค่อยถูกต้อง แม่นยำ
ถ้าสติอยู่กับตัว การงานภายนอกก็
เรียบร้อยดีงาม ไม่ค่อยผิดพลาด
การงานภายในก็คือสติกับจิต ก็จับกันติด
สนิทไม่ผิดพลาด เป็นการตั้งฐานเพื่อความ
สงบเย็นใจไปโดยลำดับ
สติเป็นของสำคัญ สตินี่ตั้งได้ไม่สงสัย
ขอให้มีสติเถอะ ผู้มีสตินั่นแหละ เป็นผู้จะ
ตั้งรากตั้งฐานแห่งความสงบเย็นใจ ตั้งแต่
พื้นๆ คือ ความสงบเย็นใจเรียกว่าสมถะธรรม
คือความสงบใจ
จากนั้นก็ขึ้นเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคง
ของใจ หลังจากนั้นแล้ว ก็คลี่คลายออก
เป็นทางด้านปัญญา สมาธิปัญญา ออกทาง
ด้านปัญญา พิจารณาใคร่ครวญถึงธาตุถึง
ขันธ์
ป่าช้านอกป่าช้าใน ป่าช้านอก คือสถานที่
คนล้มคนตาย เผาหรือฝังกันเกลื่อนอยู่
เฉพาะทุกวันนี้มีเมรุเป็นป่าช้าเผาศพคน
นั่นละเที่ยวป่าช้าให้ดู
การเกิดกับการตายนี้เป็นของคู่กันใครจะ
ไม่อยากตายเท่าไหร่ก็ติดอยู่กับตัวแล้ว
ไม่อยากตายก็ได้ตาย เกิดแล้วต้องตาย
เป็นของคู่ควรกัน
แต่การพิจารณาตัวเอง ให้จิตใจมีทาง
หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งหลายนี้
เป็นเรื่องของธรรม
ให้มีสติมีปัญญาใคร่ควรทางด้านจิตใจ
ของตนอยู่เสมอ จะเป็นความพากเพียร
ไปตลอด
ถ้าไม่มีสติแล้ว ไม่มีความเพียร
ความเพียรขาด สติขาดเมื่อไหร่
ความเพียรขาดเมื่อนั้น
เราอย่าเข้าใจว่าเดินจงกรมหย็อกๆ
หรือนั่งสมาธิเป็นหัวตออย่างนี้ว่า
เป็นผู้มีความเพียร
ถ้าไม่มีสติ จะนั่งจนตายก็ไม่เกิดประโยชน์
เดินจงกรมจนขาหัก ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว
อยู่กับสติเป็นสำคัญ
ถ้าสติติดแนบอยู่กับความเพียรแล้ว
อยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียรตลอด
สตินี้ตั้งได้ตั้งแต่สมถะ คือความสงบใจ
หนีจากสติไม่ได้เลย
นี่ได้พิจารณา ได้ทำมาแล้ว จึงได้นำ
มาสอนท่านทั้งหลายด้วยความแม่นยำ
ไม่ผิดพลาดไปได้
สตินี้ ตั้งให้ดี คำว่าตั้งสติไม่ใช่ว่าตั้งแล้ว
ผิดๆ พลาดๆ เผลอๆ เผลๆ ใช้ไม่ได้อย่างงั้น
ตั้งสติต้องเอาจริงเอาจัง ลงว่าได้ตั้งสติแล้ว
สตินี้ล่ะจะเป็นธรรมคุ้มครองจิตใจของเรา
ให้เป็นความสงบเย็นใจลงไปได้เป็นลำดับ
ลำดา
ถ้าขาดสติเมื่อไหร่กิเลสตัณหาจะเข้า
แทรกแซงและทำลาย กลายเป็นความ
ฟุ้งซ่านรำคาญ ทำความเพียรก็ไม่ได้หลัก
ได้ฐาน ได้กฏได้เกณฑ์อะไร
ถ้าลงสติขาดจากความเพียรแล้ว
ความเพียรไม่เป็นท่า...
#หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
< การพิจารณาไตรลักษณ์ >
▪อนิจจัง ความไม่เที่ยง
▪ทุกขัง ความทุกข์
▪อนัตตา ความไม่ใช่ของของเราไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก...! ทั้งสามโลก...! ไม่เที่ยง...! เช่น...
▪เกิดมาแล้วก็ต้องตาย จะให้อยู่ได้ตลอดไปก็ไม่ได้
▪กินอิ่มแล้ว ก็ต้องหิว จะให้อิ่มตลอดไปก็ไม่ได้
▪มีความสุขแล้ว ก็ต้องมีทุกข์ จะให้มีสุขตลอดไปก็ไม่ได้
▪อยู่สบายดีๆ ก็มีเรื่องเดือดร้อน
▪มีเรื่องเดือดร้อนอยู่หลายวันเดี๋ยวความเดือดร้อนนั้นก็หมดไป.
▪อยู่สงบสบายอยู่ ก็มีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้น
▪มีลาภ – เสื่อมลาภ...! มียศ - เสื่อมยศ...! มีสุข - เสื่อมสุขคือมีทุกข์...! มีนินทา - เสื่อมนินทาคือมีสรรเสริญ...! นี่ท่านเรียกว่าโลกธรรม ๘
เมื่อเรามาพิจารณาเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเป็นอนิจจังของโลก ห้ามมันไม่ได้...! บังคับบัญชามันไม่ได้....!,มันเป็นของธรรมดาของโลก...! ปล่อยวางมันเสีย สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ก็ปล่อยวางมันเสีย ถือว่ามันเป็นธรรมดาของโลก...! ถ้าเราไม่ปล่อยวางมัน อยากให้มันอยู่ได้นานๆ เช่นสุขก็อยากให้มันอยู่ได้นานๆ ...! ความดีของลูก ของสามี ของภรรยา ก็อยากให้มันอยู่ได้นานๆ...! ความสบายกายสบายใจก็อยากให้มันอยู่ได้นานๆ...! มันก็ไม่ได้ดังใจเรา เราก็เป็นทุกข์...!
》ทุกข์เพราะเรามีตัณหา...! คือความอยากที่ฝืนธรรมชาติ
เราจะเห็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันจะทนอยู่ในสภาพเดิมนานๆไม่ได้ จำเป็นจะต้องเสื่อมไป สลายไปเพื่อที่จะดับหรือหมดไป การทนอยู่ในสภาพเดิมนานๆไม่ได้นี้เราเรียกว่า “ทุกข์ หรือทุกขัง” ดังนั้นเมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นมา มันจะต้องทนอยู่นานไม่ได้ ในที่สุดมันก็ต้องดับไป
▪ความเกิดเป็นเหตุ(สมุทัย) ให้เกิดความเสื่อม...!
▪ความเป็นอนิจจังทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก..(ทุกขัง)
▪ในที่สุดเหตุการณ์เหล่านี้ก็ดับไป...! (นิโรธ) ถ้าดับนานๆไม่มีเหตุการณ์อื่นเกิดอีก ก็จะว่าง ว่างจากทุกขัง .
ที่กล่าวมาเราจะเห็นอะไรบ้างในอริยสัจ...? เห็นคือ ...!
๑ . ความไม่เที่ยง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่เที่ยง สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทุกๆอย่าง...!และตลอดเวลาด้วย...! ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยง มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ...! เมื่อเห็นมันไม่เที่ยงเราจะไปสำคัญมั่นหมายมันทำไม...! มันจะเกิดอะไรก็ให้มัน เกิดไป คิดและเชื่อเสียว่า เมื่อเรากระทำกรรมดี คือกรรมที่เป็นกุศล ก็ย่อมได้รับผลดี...! เมื่อเรากระทำกรรมที่ไม่ดีคือเป็นอกุศลเราก็จะได้รับผลที่ไม่ดี...! เช่น รับประทานของดีๆ ผลก็จะได้รับความอร่อย ความไม่เที่ยงเป็นอนิจจังในธรรมชาตินี้...! ให้ถือเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆของสัตว์โลก อะไรๆเกิดขึ้นก็ธรรมดาๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้เข้าใจในสิ่งนี้อย่างเต็ม ๑๐๐ % แล้ว ไม่เชื่อสิ่งอื่น นั่นแหละท่านจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้...! เข้าสู่โคตรภูญาณ...! ซึ่งเป็นญาณยั่งทราบถึงโลกียะ และโลกุตร โลกียะคือแดนแห่งโลก...! โลกุตรคือแดนแห่งพระนิพพาน...! เห็นโลกเป็นอย่างไร..! เห็นพระนิพพานเป็นอย่างไร...! (แต่เห็นอยู่ไกลๆ ยังไปไม่ถึง) ยกระดับเราเองเป็นคนเหนือมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว...! ภายในจิตในใจของเรา ไม่อยากทำกรรมไม่ดี...กลัวผลของกรรมจะส่งถึง
▪เห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็คือ “สักกายทิฏฐิ” สังโยชน์ตัวที่ ๑...!
▪(ศีลเราก็บริสุทธิ์ ไม่ต้องไปรักษาเป็นข้อๆเลย) คือ สังโยชน์ตัวที่ ๒”สีลัพพตปรามาส”...!
▪เชื่อกรรมและผลของกรรมเท่านั้นที่จะส่งผลต่อเรา ไม่เชื่อผีสางเทวดาที่ไหน เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ คือ สังโยชน์ตัวที่ ๓ “วิจิกิจฉา” ...!
ก็ครบสังโยชน์เครื่องร้อยรัด ๓ ข้อแรกได้แล้ว บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว...! สิ่งที่เราจะเห็นตามมาก็คือ
๒. ความเป็นทุกข์หรือ ทุกขัง...! คือความทนอยู่นานไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะทนอยู่ในสภาพเดิมๆนานๆไม่ได้ มันจะต้องเสื่อมหรือแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เราจะเห็นทุกขังประมาณ ๓๐ % และอีกอันหนึ่งก็คือ การบังคับบัญชาเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย คือ
๓. ความเป็น อนัตตา...! จะเห็นอนัตตาประมาณ ๑๐ % เมื่อเข้าโสดาบันแล้ว เชื่อทุกอย่างเป็นอนิจจังแล้ว เชื่อแล้วจะเชื่อเลยไม่กลับมาหลงมาลืมอีก โลกธรรม ๘ ดับสนิท...! จิตของเราจะเบาสบายเหมือนยกภูเขาหิมาลัยออกจากอก ความทุกทั้งสิ้นในโลกจะเหลือเพียงนิ้วก้อยนี้.
》จงปฏิบัติ แล้วเราจะเห็นเอง รู้เองไม่ต้องให้ใครมาบอก แล้วก็ไม่ได้ไปถามใคร เหมือนกินข้าวอิ่มเรารู้เองไม่อิ่มเราก็รู้เองไม่ต้องไปถามใคร.และไม่มีใครรู้กับเราด้วย.
การที่เราจะพิจารณาเห็น อนิจจังคือความไม่เที่ยง ทุกขังคือความทุกข์ และอนัตตานั้น ไม่ใช่ว่าเราจะคิดเอาเฉยๆ การคิดเอาเฉยๆเป็นความคิดที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา ไม่มีพลัง ไม่ซาบซึ้งในการเห็น เราจะต้องทำจิตทำใจของเราให้สงบก่อน
ขออวยพร
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง
“โลกุตระ” “ธรรม”
“สิ่งนั้น” เป็น “โลกุตระธรรม” อันนั้นเป็น “ปัจจัตตัง”
“อันผู้รู้” ก็รู้ได้ “เฉพาะ” “เจ้าของ”
“ประกาศไม่ได้”
“ผู้รู้" ธรรม” ก็เป็น “ธรรม” อันที่รู้มันก็เป็น “ธรรม”
เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นอย่าง “เสรี” เป็น “หนึ่ง” เสียแล้ว
“ธรรม” อันนี้จึง “ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่น้อย ไม่ใหญ่ ไม่หนัก ไม่เบา ไม่สั้น ไม่ยาว ไม่ดำ ไม่ขาว
ไม่มีเรื่องเปรียบเทียบ ไม่มีเรื่องเอามาเปรียบ “สมมุติอะไรๆ เข้าไม่ถึง” เข้าไม่ถึงที่นั่น
ฉะนั้นเมื่อ “พ้น” จากสิ่ง “เหล่านี้” แล้ว ไม่มีเรื่อง “เหล่านี้” ตามไปถึง
จึงกล่าวว่า “สิ่งนั้น” เป็น “โลกุตระ” “ธรรม” อันนั้นจึงว่าเป็น “ปัจจัตตัง” “อันผู้รู้” ก็ได้ “เฉพาะ” “เจ้าของ”
“ประกาศไม่ได้”
มีแต่ ให้ “อุบาย” ผู้ที่ “เข้าไปถึง” แล้ว “ก็แล้ว” จะเอา “สมมุติบัญญัติ” มาพูด ไม่ได้ มันหมด มันหมดสิ้น
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ถ้าคิดว่า รู้ ก็ให้รู้สึกตัวนะ
ถ้าคิดว่า ใช่ ก็ให้รู้สึกตัวนะ
ถ้าคิดว่า เป็น ก็ให้รู้สึกตัวนะ
รู้ตามเป็นจริงว่า ความคิด ความรู้สึกเหล่านั้น
มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ไม่ต้องไปเอารู้ เอาใช่ เอาเป็น โดยความเป็นเรา
เพียงแค่ รู้ ก็พอนะ