พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 30 มกราคม 2561
ตอนที่ 261 **การปล่อยวางอย่างถูกต้อง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้หลับตาลงภาวนา น้อมพลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม ก็เห็นแสงสว่างเจิดจ้า ส่องลงมาที่ตัวของข้าพเจ้า จนกายของข้าพเจ้าก็สว่างไสวขึ้น เกิดดวงแก้ว ดวงธรรม สว่างอยู่ที่ศูนย์กลางกาย และแสงสว่างนั้น ก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ จนครอบกายของข้าพเจ้าเอาไว้ ให้นิ่ง ให้เบา ให้สบาย
เมื่อข้าพเจ้าได้น้อมพลังจนเต็มแล้ว จึงได้เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านปรากฏพระวรกาย เป็นกายแก้ว ใสสว่าง เห็นพระองค์ท่านชัดเจนขึ้นๆ จนพระองค์ท่านเสด็จลงมาอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ท่านอย่างชัดเจนแล้ว และทุกอย่างก็สว่างไสว สงบแล้ว
จึงได้กล่าวนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่าน ดังนี้...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกขอกราบบารมีของท่านเพื่อเป็นที่พึ่ง วันนี้ลูกจะขอเข้าเฝ้าฟังธรรม ถึงบุคคลผู้มีปัญญาธรรม *
เขานั้นจะเข้าใจ การปล่อยวาง หรือว่ามองเห็นการปล่อยวางนั้น เป็นแบบไหนล่ะเจ้าคะ ? จึงจะเป็นการปล่อยวางของผู้มีปัญญาธรรมอย่างแท้จริง
และจะต้องปล่อยวางแบบไหนหรือเจ้าคะ จึงจะเป็นการปล่อยวางอย่างถูกต้อง ?
.. เพราะในขณะที่แต่ละบุคคล อาจจะเจอเหตุของการมา การมี การเป็นไป การออกบวช หรือละวาง
.. แต่ละอย่าง อาจจะแตกต่างกันไป น่ะเจ้าค่ะ
และบุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมนั้น.. เขาคิดแบบไหน ตัดสินยังไง - เขาจึงรู้ได้ว่า
นั่นคือ การปล่อยวางที่ถูกต้องแล้ว.. และสามารถทำให้เขานั้น เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาชี้ทางสว่าง เรื่องปัญญาธรรม ของผู้ที่ปล่อยวางอย่างถูกต้อง
อย่างตรงกับทางสายกลาง ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟัง
ฟังแล้ว ก็พิจารณาทำความเข้าใจ
... เพื่อที่ลูกนั้น จะได้เข้าถึง เข้าถึงสิ่งที่มันละเอียดอ่อน ในธรรมที่จะกล่าวนี้..
พระยาธรรมเอย.. คนเรานั้น
มีการสร้างสั่งสมบุญบารมี มาต่างกัน
มีการสร้างกรรมที่แตกต่างกันมา
-- ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล..จึงไม่เหมือนกัน ++
บางคน ก็ราบรื่นทุกอย่างในการออกบวช
บางคน ก็ติดขัดทุกอย่าง.. จึงออกบวช
บางคน ก็เจอกับความทุกข์ การพลัดพราก การจาก จนตนนั้นโศกเศร้า
.. แล้วก็เห็นเหตุเหล่านั้น เลยนำมาประพฤติ - ปฏิบัติ เพื่อออกบวช
บางคน อยู่ในบ้านในเรือน.. ก็สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงธรรมได้
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น เส้นทางชีวิตของแต่ละบุคคล แต่ละดวงจิต .. จึงแตกต่างกันลูก
แตกต่างกัน..
- ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยองค์ประกอบต่างๆ
- ด้วยสิ่งรอบข้างของตน
แต่เมื่อเรามีปัญญาธรรม เราก็จะรู้ด้วยตัวของเราเองนั่นแหละลูก ว่าเราควรจะทำแบบไหน
ควรจะทำยังไง.. ให้เราสามารถที่จะเข้าถึง ซึ่งความหลุดพ้น
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม - เขาจะเอาตนเป็นที่ตั้ง** ลูก
เพราะชีวิตของเรา..
มันมีเหตุมีผล
มันมีสิ่งที่อยู่รอบตัวของเรา
ปัญหาที่มันแตกต่างกัน กับชีวิตของผู้อื่น
ฉะนั้น.. เราจะยึดเอาเส้นทาง แนวทางของผู้อื่นนั้น.. มาให้เหมือนเรา - เราเหมือนเขา มันก็ไม่ได้ !
เราจะยึด.. ให้เรานั้น เดินตามรอยใคร อย่างเลียนแบบคนอื่นเขาให้เหมือนเลย
-- มันก็ไม่ได้ !
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม ย่อมรู้แบ่ง รู้แยกเช่นนี้
ที่มา และที่ไป ของแต่ละคน ต่างกันเป็นธรรมดา.. ลูกเอ๋ย
เหตุและผลของคนเราทุกคน ที่สร้างมา - มันไม่เหมือนกัน.. เป็นธรรมดา
บางคน เขานั้นออกบวชอย่างราบรื่น มีผู้คนสนับสนุนมากมาย
เขาสามารถไปได้อย่างสะดวก
มีทุกสิ่งทุกอย่าง ค้ำหนุน
จิตใจของเขาแน่วแน่ ว่าเขาจะไป เขาตั้งมั่นในความพร้อม
ฝึกละ ฝึกวาง ด้วยสติปัญญา ที่เขาเห็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์แล้ว
เขาก็ไปอย่างสะดวกสบาย..
นั่นก็เป็นเพราะว่า ผลของกรรมดีที่เขาได้สั่งสมมา
มันก็เป็นรูปแบบของเขา
การปล่อยวางของเขา มันก็แลดูจะง่ายดาย..
แต่เขาก็สอบการปล่อย การวาง - ในสิ่งที่ดีเหล่านั้น นั่นละ !
-- ความดี.. ก็ทำให้หลง ทำให้ยึด ทำให้วางไม่ลง ได้เหมือนกัน.. ลูกเอ๋ย
เขาก็สอบคนละแบบกัน กับบุคคลผู้ที่จะออกบวช - แล้วก็มีแต่สิ่งที่ยึด ที่รัด ที่ดึงเอาไว้..
มันสอบคนละแบบ เพียงแต่มันมาทางไหน เท่านั้นเอง ++
แต่ท้ายที่สุดแล้ว พระยาธรรม.. ไม่ว่าจะสอบเราจากทางไหนก็ตาม
... จะมาทางดี หรือทางร้าย
มันก็ล้วนแล้วแต่ - เป็นการทดสอบการปล่อย การวางอยู่ดีนั่นละ
และการปล่อยวางที่ถูกต้อง ที่แท้จริง ที่เป็นทางสายกลาง
จึงเป็นอย่างนี้.. คือ
เห็นความแตกต่าง
เห็นเหตุและผลของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เป็นธรรมดา
และเห็นข้อสอบ ที่สอบดี กับสอบชั่ว - ก็คือ สอบเหมือนกัน
แล้วก็มามองเห็น การปล่อย การวาง
ที่มันเป็นการวางภายนอก / กับวางภายใน ให้มันเหมือนกันอีกทีหนึ่ง
พระยาธรรมเอ๋ย.. บางคนนั้น ต้องฝึกการทิ้ง - สลัดเสียภายนอก
แล้วจะประพฤติ ปฏิบัติ ภายนอก เข้าสู่ภายใน คือ การหักดิบ ทิ้งทุกอย่าง
ฝึกฝนตนให้เข้าถึงการละ การวางอย่างแท้จริง ++
เขาก็เลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมองให้เห็นสิ่งที่เขาทิ้งนั้น..
นำมาพิจารณาให้เหตุของทุกข์ที่อยู่ในนั้น
พิจารณาฝึกฝนตน นำพาตนให้ออกจากความทุกข์นั้นให้ได้
อย่างนี้.. ก็เป็นการทิ้งแบบหักดิบ
ทิ้ง โดยที่เขาเลือกที่จะทิ้งจากภายนอก- เข้าสู่ภายในจิตใจ
ส่วนบางคน เขาก็อาจจะมีเหตุของเขาที่ทำให้เขานั้น ฝึกทิ้งจากการพิจารณาภายใน - สู่ภายนอก
เขาก็เลยยังคงประกอบทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ อย่างที่มันมีอยู่นั้น..
“ มี” เขาก็จะพิจารณาความไม่ยึดติดว่า “มันมี”
เขาจะพิจารณา ไม่ให้ตนลุ่มหลงกับ สิ่งที่มี
มี กับ ไม่มี.. เขาจะดูว่า มันเหมือนกัน
เขาจะยกจิตของตน ห่างออกจากความลุ่มหลง ยึดติด.. จนทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติได้นั้น
เขาจะยกจิตตนออก
เขาจะประกอบทุกหน้าที่ ให้ดี ให้สมบูรณ์.. ด้วยจิตที่รู้ตื่น
จิตของเขาจะรู้ตื่นอยู่เสมอ.. ไม่พัวพัน มัวเมา ลุ่มหลง กับสิ่งที่มี
เขาจะดูจิตแห่งตนว่า.. ตนเผลอไปหลงกับอะไรอยู่บ้าง
ยึดติดอะไรอยู่ หรือเปล่า
สิ่งที่ตนทำนั้น - ทำถูก หรือว่าทำผิด
และเขาค่อยๆปรับจิตของเขาไปเรื่อยๆ
ให้เข้าถึงสภาวะของการปล่อย การวาง ได้เรื่อยๆ...
พระยาธรรมเอย.. มีการปล่อย การวาง ที่แตกต่างกันเช่นนี้ละลูก.. มันเป็นธรรมดา
แล้วแต่ว่าใครจะเลือก แบบไหน
แต่ที่สุดแล้ว.. ก็คือ การเข้าถึงการวางในจิตใจ
**การที่คนเราจะปล่อยจะวางได้ หรือไม่ได้ - อยู่ที่ใจ**.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราฝึกฝนตน จนเข้าถึงจิตใจที่ปล่อยวางแล้วนั้น **ก็จะไปทรงอารมณ์อยู่ตรงที่
มี ก็เหมือน ไม่มี
ไม่มี ก็เหมือน มี
จะดำรงชีวิตกับทุกอย่างได้ อย่างปรกติ
ดำรงชีวิตอย่าง *ผู้มีปัญญา*
มีสติอยู่เหนือทุกอย่าง และ
* เข้าใจคำว่า *ชีวิต*
* เข้าใจเหตุที่เกิด เหตุที่ดับ
* เข้าใจ กฎแห่งกรรม
เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง.. จนตนสามารถอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายได้
เท่านั้นละ พระยาธรรม.. ก็คือการปล่อยวาง
มันก็แล้วแต่ว่า จิตของแต่ละดวง สร้างและทำมายังไง ?
ตนมีหนทางที่จะประพฤติ ปฏิบัติแบบไหน ?
เช่นเดียวกันกับนักบวช นักปฏิบัติ ที่บางคน.. เลือกที่จะไปอยู่ในป่าในเขา
ฝึกฝนจิตของตน ให้ดีเสียก่อน..
เมื่อตนนั้นแน่ใจแล้วว่า ตนได้ตรึกตรองพิจารณา ความเป็นจริงของชีวิต
/ จนชัดแจ้ง ชัดเจนแก่ตน
/ จนตนสามารถ อยู่เหนือกิเลสตัณหา ได้แล้ว
/ ดับกิเลสตัณหาในตน ได้แล้ว
/ ตนมีสมาธิ มีปัญญา อยู่เหนือกิเลสทั้งหลายแล้ว
แล้วจึงค่อยออกจากป่า..
- มาสอนมาบอกกับดวงจิตอื่น
- มาเผยแพร่ เผยแผ่ธรรม
- มาอยู่กับผู้คน
-- แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าจิตเข้าถึงแล้ว อย่างแท้จริง.. จึงค่อยมาช่วยทีหลัง ก็ได้ ++
แต่นักบวชบางคน เขาอาจจะมีกรรมต่างกัน คือ ไม่สามารถที่จะหนีเข้าไปอยู่ในป่า ในเขา
แล้วประพฤติ ปฏิบัติ - ในรูปแบบของการเข้าป่า
เขาจำเป็นที่จะต้องอยู่กับผู้คน อยู่ในวัด อยู่กับปัญหาต่างๆ
เขาก็อยู่ไปตามเหตุ ที่เขาควรจะอยู่นั้น
... แล้วเขาก็เอาสิ่งที่เห็น ที่อยู่ ที่รู้ ที่ดูเหล่านั้น มาฝึกฝนจิตใจ ให้จิตใจของเขาสว่างขึ้นทุกวัน
เรียนรู้ จากสิ่งที่พบที่เจอ ที่เห็นเหล่านี้ละ
ฝึกวาง ฝึกตัด ฝึกมีสติ มีปัญญา
อยู่เหนือสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่
อยู่เหนือตำแหน่งที่มี
อยู่เหนือปัญหาที่เจอ กระทบ
อยู่เหนือทุกอย่าง ด้วยจิตที่เข้าใจในกติกาแล้ว
สามารถดับกิเลสตัณหาของตน จากการอาศัยกิเลสที่มันกระทบทุกวัน นี่ละ
อย่างนี้ ก็ใช้ได้ -- ขอเพียงแค่ให้ ดับการเกิดของตนได้ ก็พอ **
เพราะในความเป็นจริงแล้ว การปล่อยวางได้หรือไม่.. อยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตของตน
ว่าปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา หรือยัง ?
ว่า..
ตนนั้นทำความเพียร เพื่อดับกิเลสหรือเปล่า ?
ตนนั้นมีสติ มีปัญญา รู้เท่าทันสิ่งที่ทำ ที่พบ ที่เจออยู่หรือเปล่า ?
แล้วตน สามารถฝึกฝนตน จนดับกิเลสของตนได้มากเพียงใด ?
เพราะปรกติ จิตที่ดับกิเลส ดับตัณหาได้นั้น.. เขาย่อมเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย - ตามความเป็นจริง
ไม่ว่า คุณจะเลือกที่จะเดินทางไหน ก็ตาม..
เลือกที่จะปล่อยวางจาก ข้างนอก - สู่ข้างใน
หรือเลือกที่จะปล่อยวาง ข้างใน - สู่ข้างนอก.. ก็ตาม
คุณนั้น.. ย่อมสามารถรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง ของสรรพสิ่งทั้งหลาย..
คือ กฎแห่งกรรม ที่เกิดขึ้นกับผู้คน และดวงจิต
คือ ความไม่เที่ยงแท้ ที่มันมีอยู่
คือ เสียงสรรเสริญ และนินทาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
คือ ปัญหาที่เจออยู่ทุกวัน.. ย่อมมีเป็นปรกติ
ขอเพียงแค่ให้จิตของเรา รู้แจ้ง รู้ตื่นแล้ว.. และสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้
นั่นก็คือ การฝึกปล่อย ฝึกวาง
ฝึกฝนจิตของตน ให้เข้าถึงคำว่า ปล่อยวาง
เราสามารถที่จะวางได้.. ทั้งที่มีอยู่
เราสามารถที่จะวางได้.. ถ้ามันไม่มีอยู่
เราจะฝึกแบบนี้ละ คือ การฝึกฝนการปล่อยวาง ที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
คือ การฝึกฝนจิตของตน - ตามที่ตนรู้ ตนเข้าใจ
คนเรานั้น มีหนทางที่ต่างกันเช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
อยู่ที่เราเลือกฝึก
เช่นดัง เมื่อสมัยที่องค์พระพุทธเจ้าตรัสรู้ - ก็ต้องหักดิบออกบวชไปก่อน **
ด้วยเหตุ ด้วยผลที่ทำมา
ด้วยว่า มีเหตุผลหลายสิ่งหลายอย่าง ซ้อนอยู่ ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ทำ
เพราะว่า ถ้ายังอยู่ในราชวัง คงไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญ ให้เข้าถึงอย่างแท้จริง !
-- จึงต้องสละทิ้งทุกอย่าง เพื่อหาหนทาง…
นั่นคือ เหตุผลขององค์พระพุทธเจ้า
แต่วันนี้ ที่ลูกนั้นบังเกิดขึ้นมา คือ *พระยาธรรมิกราช*
เหตุใดจึงสร้างให้แนวทางปฏิบัตินั้น
ฝึกจากภายใน - สู่ภายนอก
ยังมี สักแต่ว่า มี และใช้สติปัญญา-ให้อยู่เหนือทุกอย่าง
-- นั่นก็ด้วยเหตุและผลของลูกอีกนั่นละ --
เพราะว่า ลูกเกิดมา ในยุคของกึ่งศาสนา ที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ทำแนวทางเอาไว้ให้อยู่แล้ว
- เปิดทางไว้ให้อยู่แล้ว
ลูกนั้นรู้อยู่แล้ว ว่า
แนวทางฝึกฝนทางไหน ทำยังไง
เข้าใจการละการวาง ภายนอก -ภายในอยู่แล้ว
เห็นหนทางอยู่แล้ว
เข้าใจอยู่แล้ว
จึงประพฤติ ปฏิบัติไป ตามหนทางที่มีไว้ให้ คือ..
การฝึกจิต ฝึกใจ ฝึกอารมณ์ของตน
มีเหตุของการบำเพ็ญ เพื่อเข้าถึง- ที่ต่างกัน
คือ ต้องฝึกอย่างนี้ เพื่อเข้าถึงในอีกรูปแบบหนึ่ง
เพื่อให้คนทุกคน เข้าใจว่า..
การออกบวช ไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง
เราสามารถที่จะฝึกจิตของตน ให้อยู่เหนือทุกอย่าง - ในขณะที่อยู่กับทุกอย่าง
เราสามารถปล่อยวางกับทุกอย่างได้ - โดยไม่ทุกข์อะไร.. ต่อให้มีอยู่ตรงนั้น !
และเราก็จะเข้าใจความเป็นจริงของทุกสิ่ง - โดยที่เราได้อยู่ ได้เห็นในมันนั่นละ
แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติไป...
ถึงวันหนึ่ง.. เราก็ถึงนิพพานเช่นเดียวกัน **
ขอเพียงแค่ให้จิตของเรารู้ตื่น และฝึกฝน ทุ่มเทการฝึกหัดจิตอย่างแท้จริง
ก็จะเป็นตัวอย่าง แนวทางการปฏิบัติ อีกรูปแบบหนึ่ง
เช่นที่หยิบยกมาให้นั่นละ.. พระยาธรรม
ก็มีเหตุ และมีผล คือ
เหตุที่เป็น เหตุที่เกิด
เหตุที่จะนำไปประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกฝนจิตตามโอกาสของแต่ละคนที่มี ตามเหตุ ตามปัจจัย
แต่สามารถเข้าถึงนิพพานได้.. เช่นเดียวกัน
เหตุผลของลูก ก็คือ ลูกจะเกิดมาเป็นรูปแบบ ของตัวอย่างผู้บรรลุธรรมได้ ในอีกรูปแบบหนึ่ง
และอีกเหตุผลหนึ่งของพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่า..
ไม่มีหนทางไว้ให้ก่อน.. จึงต้องทิ้งทุกอย่าง เพื่อหาหนทางก่อน
อย่างนี้ละพระยาธรรม.. การปล่อยการวางที่แท้จริงนะลูก
-- มันอยู่ที่จิตใจของเรานั่นละ ว่าเรา..
จะรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในสิ่งทั้งหลาย ได้มากน้อยเพียงใด ?
จะตั้งมั่น ตั้งใจ ฝึกฝนจิตของเราให้รู้ตื่น -อยู่เหนือกิเลสตัณหา มากขนาดไหน ?
เท่านั้นละ พระยาธรรม ..ไม่มีอะไรหรอก ที่ผิดหรือถูก ใน 2 ลักษณะนี้
-- ขอเพียงแค่ให้ทำไป อย่างรู้ตื่น.. ก็พอแล้ว **
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอเข้าใจบ้างแล้วเจ้าค่ะ
ว่า.. การที่เราปล่อยวาง - มันก็มีเหตุผลของแต่ละคน ที่แตกต่าง
จากการกระทำ หรือเหตุที่เกิดของแต่ละคน
แนวทางของแต่ละคน
เราต้องดูที่ตัวของเราว่า.. เราน่าจะฝึกจิตของเราไปในแบบไหน
แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติไป ตามเหตุนั้นๆ
ที่สำคัญก็คือ ไปให้ถึงการวางอย่างแท้จริง
คือ รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลาย **
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ