จากเฟซคุณ PuPattamavadee Waranimman
รวม 5 วิดีโอคลิป ชุดธรรมบรรยาย ช่วงเช้ามืด ในคอร์ส
#ทำบ้านให้เป็นวัด จัดโดยมูลนิธิเดินจิตและอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ป คุณเมตตา อุทกะพันธุ์
3-7 มิถุนายน 2563
คุณเมตตา เขียนและสรุปได้ว่า
ใครที่ยังไม่เข้าใจว่า
“เดินจิต”คืออะไร
แนะนำให้ฟังทั้ง 5 คลิปนี้ จะทำให้การปฏิบัติธรรมของเราลื่นไหล ไม่มีข้อสงสัย
โดยเฉพาะภาษาที่พระอาจารย์ใช้ อาจจะทำให้เราไม่เข้าใจว่าท่านมีความหมายเเท้จริงว่าอย่างไร
5 คลิปนี้ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติเห็นภาพรวมของ “เดินจิต”ได้ชัดเจนขึ้น
1. 3 มิถุนายน 2563 https://youtu.be/ADV8Yhj-av0
2. 4 มิถุนายน 2563 https://youtu.be/gooJ2x89EsY
3. 5 มิถุนายน 2563
4. 6 มิถุนายน 2563
5. 7 มิถุนายน 2563
เคยสงสัยไหมว่าทำไม เราต้องรู้สึกตัว ?
.
ที่พวกเราทุกวันนี้ต้องเจอความเครียด ความทุกข์
ความกังวลต่างๆ ก็มาจากความคิดปรุงแต่งขึ้นมา
.
การที่เราจะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้
ก็ด้วยความมีสติ ด้วยความรู้สึกตัว
เบื้องต้นเราก็ควรที่จะรู้จัก
สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวขึ้นมา
.
ความรู้สึกของร่างกาย
ปรกติความรู้สึกตัวมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
แต่เวลาเราเพลินอยู่กับความคิด
อยู่กับอารมณ์ต่างๆ ความรู้สึกตัวก็หายไป
.
แต่เมื่อใดที่รู้สึกตัวขึ้นมา
ความเพลินในอารมณ์ก็ถูกละออกไป
มันเป็นคู่ปรับกันแบบนี้นะ
.
เมื่อใดที่เราอยู่กับความรู้สึกตัว
จิตที่ไหลไปกับความคิดจะถูกละออกไป
ผลที่ตามมาก็คือเกิดสัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
สภาวะรู้ จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
.
สภาวะรู้ นี่แหละ ที่ทรงเรียกว่า #ธรรมอันเอก
เป็นทางสายเดียวที่จะหลุดออกจากทุกข์ได้
.
เพราะฉะนั้นเราลองขยับมือดูมีความรู้สึกไหม ?
ขณะที่รู้สึก สังเกตไหมมันหลุดจากความคิด
ถ้าเราไม่รู้สึกตัว เราก็จะไหลไปกับความคิด
แต่พอเรารู้สึกตัวขึ้นมา มันจะหลุดจากความคิดขึ้นมา
.
ลองขยับ2มือ รู้สึกได้ไหม ?
ความรู้สึกตัวนี้มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังมาก
ความรู้สึกตัวสามารถทำให้เราหลุดจากความทุกข์
ความเร่าร้อนต่างๆได้
ความรู้สึกตัวสามารถทำให้เราเข้าถึงความสุข
ที่แท้จริงของชีวิตได้
เดินจิต
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ใครเคยเจอประสบการณ์ ในการถอดกายบ้าง???
———————————
เมื่อเจริญสติปัฏฐานสี่
จนเข้าถึงสภาวะชั้น #สัมมาสมาธิ เป็นต้นไป
จะเป็นเรื่องของสภาวะภายใน
.
ถ้าว่าด้วยภาษาสมัยใหม่ก็คือเป็นคนละมิติกัน
มิติข้างนอกกับมิติข้างใน เป็นคนละมิติกัน
.
ถ้าว่าโดยภาษาพระ ก็คือ กายภายใน
กายภายนอกกับกายภายใน เป็นคนละกายกัน
กายภายใน เป็นสิ่งที่เรียกว่า #นามกาย
.
จะเรียกว่า กายเวทนา
กายแห่งความรู้สึกตัว
กายแห่งสติสัมปชัญญะ
กายแห่งปิติก็ได้
.
คำว่ากายก็คือสิ่งที่จิตยึดครอง
จิตยึดครองสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นกาย
ปุถุชนก็ไหลไปกับอารมณ์
จับอะไรก็เป็นตัวเป็นตนไปหมด
เป็นเรา เป็นของเราหมด
แต่ผู้ที่เจริญ #สติปัฏฐาน
จนมีความตั้งมั่นพอ
สติจะวางจากอารมณ์ภายนอก
เข้าสู่ #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
สติจะวางจากฐานกายเข้าสู่ฐานของเวทนารู้สึกทั้งตัว
.
ตรงนี้จะรู้สึกเลยว่า..
ร่างกายไม่ใช่ของเราแล้ว
จะละสักกายทิฏฐิเบื้องต้น
ความเป็นอัตตาตัวตน
จะอยู่ที่ข้างในแทน
เป็นสิ่งที่เรียกว่านามธรรมแทน
ซึ่งถ้าเราถอดกายเป็น
เราจะชัดเจนในเรื่องนี้
.
ถ้าถอดมาจะรู้เลยว่า
สติสัมปชัญญะอยู่ที่ตัวที่ถอดออกมาเต็มใบ
ร่างกายจะเหมือนงูลอกคราบเป็นแค่ภาชนะ
แล้วเราจะชัดเจนว่า..
ที่จริงแล้วความตายจริงๆมันไม่มี!!
เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนภาชนะเท่านั้นเอง
จากภาชนะหนึ่งไปสู่อีกภาชนะหนึ่ง
.
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน
จนมีความตั้งมั่นพอในระดับสัมมาสมาธิ
จนเกิดสภาวะที่เรียกว่า
นามกายหลุดออกมาเนี่ย
จะสามารถเดินสติปัฏฐานต่อ
ในสภาวะของนามกายได้
ตรงนี้เป็นขีดความสามารถอย่างหนึ่ง
ของการปิดอบายภูมิ
คือถึงเราไม่มีกายหยาบแล้ว
ก็เจริญสติปัฏฐานได้
.
เวลาเราอยู่กับความรู้สึกตัวไป
อาจจะมีประสบการณ์ที่เรียกว่า
ตัวเองหลุดออกมาจากตัวเอง
.
วิธีแนะนำก็คือเมื่อหลุดออกมา
ก็ให้นึกถึงกาย
จะกลับเข้ามาเอง
ไม่แนะนำให้ฝึกข้างนอก
ฝึกอยู่ในตัวเรานี่แหละดีแล้ว
.
เป็นธรรมชาติของสติ
ที่มีความตั้งมั่น
เป็นเรื่องของนามกาย
-------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
หากเราพัฒนาสติ จนเกิดความปลอดโปร่งโล่งใจ
เบากายเบาใจ สัมผัสความสุขที่ประณีตขึ้นเรื่อยๆ
ธรรมอันเอกก็จะปรากฏขึ้น
เกิดความตื่นรู้ขึ้นมา รู้จิตที่ตั้งมั่นอยู่
.
เมื่อความตื่นรู้ปรากฏขึ้น
ก็อยู่กับความตื่นรู้ไปเรื่อยๆสบายๆ สติก็จะมีกำลังขึ้น
จากจิตใจที่ฟุ้งเลื่อนลอยไปในอารมณ์ต่างๆ
พลิกมาเป็นใจที่ตื่นรู้ขึ้นมา
.
แล้วเราจะพบชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เปลี่ยนไป
ชีวิตที่มันคลายจากความทุกข์
ชีวิตที่มันมีความสุข
ชีวิตที่มันเป็นอิสระ
ไม่ตกเป็นทาสของความคิด เป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ
อยู่ที่ไหนเราก็มีความสุข เป็นอิสระ
เข้าถึงความเป็นอิสระของชีวิตได้
.
จิตใจที่มันแปรปรวน จิตใจที่มันฟุ้งซ่าน
ตกเป็นทาสของความคิด อยู่ที่ไหนมันก็ไม่เป็นอิสระ
ต่อให้เรามีเงินทอง มีทรัพย์สมบัติ หนีไปสุดขอบโลก
ก็ไม่สามารถเข้าถึงชีวิตที่มันเป็นอิสระได้
เพราะกรงขังที่เหนียวแน่นที่สุดก็คือ #ตัวของเรา นี้เอง
.
ความคิดของเราเองที่มันขังตัวเราไว้
มันไม่สามารถทำให้เราพ้นจากพันธนาการ
เข้าถึงชีวิตที่มันเป็นอิสระได้
#สติ เป็นกุญแจ ที่จะทำให้เรา
เข้าถึงชีวิตที่มันเป็นอิสระได้
#หลุดจากความทุกข์ #เข้าถึงความสุข
.
อยู่กับความตื่นรู้ไปเรื่อยๆ สติก็จะมีกำลังขึ้นเรื่อยๆ
จนเกิดสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน ขึ้นมา
เมื่อเกิดสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น
เห็นการทำงานของกายของใจตามความเป็นจริง
รูปนามขันธ์5แตกดับตามความเป็นจริง
.
เข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ
ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นรูปนามหยาบ รูปนามละเอียดเพียงใด
ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
เกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป
หาความเป็นสาระแก่นสารที่แท้จริงอะไรไม่ได้เลย
.
ก็จะสามารถปล่อยวางกาย ปล่อยวางใจ
สลัดคืนจากทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าถึงสภาวธรรมที่บริสุทธิ์ได้
สภาวะที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง สภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
.
นั่นคือเนื้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
ก็จะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
-------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า
เป็นหัวใจของการเจริญ #สติปัฏฐาน
ในการเจริญสติปัฏฐาน
.
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เริ่มจาก
ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นรู้ธรรมเฉพาะหน้า
.
แล้วลักษณะของดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า เป็นอย่างไร?
.
ลองมองออกไปกว้างๆ สบายๆ
ไม่เกิดการจดจ่อเพ่งจ้องที่จุดใดจุดหนึ่ง
มองสบายๆ ออกไปกว้างๆ
รับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
ขณะที่เรามองกว้างๆ ลองขยับมือรู้สึกได้ไหม ?
มีความรู้สึกที่มือเราขยับอยู่ไหม ?
.
มองกว้างๆแต่รับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
ขยับมือรู้สึกตัว ขยับเท้ารู้สึกตัว
มองกว้างๆ สบายๆ รับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
เมื่อเรามองกว้างๆ สามารถรับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
รับรู้ความรู้สึกของมือได้
.
ทีนี้ก็ลองหลับเปลือกตาลง แต่รู้สึกว่าเรากำลังลืมตาอยู่
ขยับมือก็ยังรู้สึก รู้สึกถึงมือทั้ง2ข้างอยู่
เรียกว่า ไม่ได้ใช้ตาดู ใช้ใจรับรู้ รู้สึกตัวอยู่
ทีนี้ลืมตา มองกว้างๆ รับรู้ความรู้สึกของมือทั้ง2ข้าง
ขยับมือรู้สึกตัว รู้สึกได้ไหม ?
ขยับนิ้วรู้สึกตัว มันสามารถรู้สึกได้ทั้ง2ข้างไหม ?
.
นี่คือลักษณะของ #ดำรงสติมั่น #รู้ธรรมเฉพาะหน้า
ก็ยืนสบายๆรู้สึกถึงกายที่ยืนอยู่
สัมผัสรับรู้ส่วนต่างๆของร่างกาย
.
สังเกตไหมเมื่อความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ใจมันสบาย
มันสบายกว่าเวลาเราอยู่กับความคิด
ความเครียดความกังวลใช่ไหม
สิ่งนี้เป็นวิธีการออกจากทุกข์ ออกจากโลกความคิดปรุงแต่ง
.
เพียงแค่เรากลับมารู้สึกกาย รู้สึกตัวอยู่เนืองๆ
อุปกรณ์ก็คือตัวเรา ความรู้สึกของร่างกายและจิตใจ
ลองลืมตาก็รู้สึกได้ หลับตาก็รู้สึกได้
.
แต่สังเกตไหม เพียงแค่เราหลับเปลือกตาลง
มันจะเหมือนเราลืมตาอยู่
เรียกว่าตาใจ หรือ ตาสติ
สิ่งนั้นแหละคือการฝึกสติ
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
บางครั้งรู้สึกเหมือนใจจะขาดตอนปฏิบัติ
เหมือนไม่อยากจะหายใจเข้าอันตรายไหมคะ ?
ถ้าเกิดอีกควรทำอย่างไร ?
--------------------------------------
แสดงว่า จิตเริ่มนิ่งแล้ว
เวลาจิตเริ่มนิ่ง ลมหายใจจะเบาลงไปเหมือนจะหายไป
.
สภาวะตรงที่ลมหายไปแล้วรู้สึกอึดอัด
ตรงนี้เป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดของ #อานาปานสติ
.
ปกติเราจะคุ้นเคยกับการมีลมหายใจ
อาศัยลมหายใจเป็นเครื่องมือ
แต่เมื่อสติละเอียดขึ้นๆ
ลมจะเบาเบาๆๆจนมันเหมือนจะหายไป
ตรงนี้ด้วยความที่เราไม่คุ้นเคย
อาการอะไรจะเกิดขึ้นกลัวตาย
เริ่มดิ้นหาลม !!
.
การฝึกทุกอย่างเป็นไปเพื่ออะไร?
"วาง"
เพราะฉะนั้นลมหายไปก็ดีแล้ว
"วางลม"
.
ให้อยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเรื่อยๆ
แล้วจะเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดขึ้น
.
จากนั้นลมหายใจจะเป็นลมปราณที่ละเอียดขึ้นมา
จะเป็นลมที่ซึมเข้าออกทั่วทั้งตัว
จะเริ่มเข้าใจคำว่า "หายใจทั้งตัว"
เหมือนที่บรรยายไว้ทำอานาปานสติ 16 ขั้น
.
เพราะฉะนั้นสภาวะในระดับสมาธิ
พอละเอียดจริงๆ ลมไม่ปรากฏ
การกระเพื่อมหน้าอก หน้าท้องไม่ปรากฏ
.
แต่ถ้าเราเดิน #วิปัสสนาญาณ ได้
เราตะพบว่าลมยังมีอยู่
แต่เป็นลมปราณละเอียดที่ซึมทั้งตัว
.
ลมจะหายจริงๆในระดับฌาน 4 เป็นต้นไป
เพราะว่าในสภาวะขนาดนั้น
เป็นเรื่องของระดับละเอียดแล้ว
กายเป็นเป็นเรื่องของอนุภาคไปแล้ว
.
เพราะฉะนั้น ลมหายไปก็อยู่กับ #ความรู้สึกทั้งตัว
ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวได้เป็น
จะผ่านเรื่องตรงนี้ได้อย่างง่ายๆเลย
แล้วจะเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดขึ้นไป
.
เพราะสภาวะที่ละเอียดกว่านี้ขึ้นไป
การกระเพื่อมหน้าอก หน้าท้องไม่ปรากฏแล้ว
.
ถ้ากลับมาหายใจอีก
แสดงว่าถอนออกจากสมาธิ
ก็จะไม่ละเอียดกว่านี้
.
สภาวะที่ละเอียดกว่านี้
ก็จะเป็นลมละเอียด ระดับลมปราณละเอียดอย่างเดียว
.
ตรงนี้เราสามารถเรียนรู้ได้
ถ้าเราเดินจิตได้ชำนาญ
รู้ทั้งในส่วนสมาธิ
รู้ทั้งในส่วนวิปัสสนา
สามารถพลิกไปพลิกมาได้
แล้วจะรู้ระบบการทำงานของร่างกายด้วย
.
ใครสนใจเรียนรู้อย่างแจ้ง
ก็ขยันฝึกไปเรื่อยๆ
เพราะว่ามีสอนทุกระเบียบนิ้ว
ให้เราขยันฝึกซ้อมให้จริงเถอะ
โอกาสมาแล้ว โอกาสที่จะเรียนรู้ของจริงมาแล้ว!
อยู่ที่เราเป็นคนจริงหรือเปล่า?
เราฝึกจริง เราก็จะได้เรียนรู้ของจริง!!
.
ทุกอย่างเปิดทั้งหมด
แล้วเราจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
อภิธรรมที่ว่าลึกซึ้งเป็นอย่างไร
ถ้าเดินสภาวะเป็น ก็จะเข้าใจทั้งหมด
.
ชวนจิตที่เกิดขึ้น7 ขณะเป็นอย่างไร? ก็เรียนรู้ได้
สภาวะจิตที่ละเอียดยิ่งกว่าการเกิดดับระดับวาระจิตก็มีอยู่
กระแสปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร? ก็เรียนรู้ได้
.
ปัจจุบันก็มีญาติโยมที่ทำได้
เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เกินวิสัย
เริ่มต้นทำความรู้สึกตัว : goo.gl/yNEG1X
เดินจิต
------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ขณะฝึกเกิดสภาวะรู้ตัว 2 ลักษณะ คือ
1 มองตัวเองจากข้างในออกมาข้างนอก
2 มองตัวเองจากข้างนอกเข้ามาข้างใน
เหมือนเป็นคนอื่นมองตัวเอง แบบไหนถูกต้อง ?
.
จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าสู่สภาวะสัมมาสมาธิเป็นต้นไป
ตรงที่รู้สึกว่า
ตัวเองมองจากข้างในออกมาข้างนอก
คือสภาวะที่จิตตั้งมั่นข้างในแล้ว
สภาวะรู้ที่เห็นกายข้างใน
ที่เรียกว่าเข้าถึงนามกายหรือกายภายใน
อันนี้จะเป็นระดับของสัมมาสมาธิ
.
ส่วนที่มองจากข้างนอกเข้ามาข้างในเนี่ย
รู้สึกเหมือนเป็นคนอื่นมองนี่
มี 2 แบบ
แบบหนึ่ง คือนามกาย มันถอดออกไปอยู่ข้างนอก
แล้วมันมองเห็นตัวเองที่เป็นกายหยาบ
อันนี้เป็นการถอดกาย
.
แบบที่สอง คือการเข้าสู่สภาวะของวิปัสสนาญาณ
คือสภาวะรู้มันแผ่กว้างออกไป
จนเกิดสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน
ณ ขณะที่รู้ตื่นเบิกบานนั้นน่ะ
เราไม่ได้อยู่ในกายแล้ว
เราจะพบว่ากายมันเป็นคนอื่น
มันเป็นแค่สักแต่ว่าธาตุ ธรรมชาติ
ขณะนั้นเราเป็นธรรมชาติแล้ว
คือเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะรู้
.
คนที่เข้าถึงสภาวะนี้ได้ทรงตัวจะชัดเจนเรื่องนี้เองว่า
กาย ใจ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง
ถ้าเข้าถึงสภาวะตรงนี้ คือ เริ่มเข้าถึงวิปัสสนาญาณ
มันจะเป็นรู้กว้างๆอยู่ข้างนอก
และสรรพสิ่งข้างในมันจะถูกรู้
แตกดับของใครของมัน
อันนี้คือเข้าถึงสภาวะวิปัสสนาญาณ
.
วิธีทำง่ายๆคือ ขยายการรับรู้ให้แผ่กว้างออกมา
รู้ ตื่น เบิกบาน แต่กำลังสติต้องสูงพอนะ
ต้องค่อยๆฝึก
จะรู้สึกได้เลยว่าข้างในมันไม่ใช่ตัวเรา
อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ
.
คำว่าร่างกาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเดินวิปัสสนาญาณได้
ถ้ายังไม่เข้าถึงวิปัสสนาญาณ
คิดไป ก็ยังเป็นเรา เป็นของเราอยู่
มันต้องเข้าถึงระดับวิปัสสนาญาณก่อน
.
เมื่อเข้าถึงระดับวิปัสสนาญาณเมื่อไร
ร่างกายจิตใจ ไม่ใช่เรา ต่อหน้าต่อตา
มันเป็นสิ่งที่แตกดับ ๆ
ตรงนี้ถ้าเริ่มเข้าถึงวิปัสสนาญาณ
กายมันก็แตกดับทั่วตัว
จิตมันก็จะแตกดับ ของใครของมัน
มีแต่สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา
.
แล้วเราจะฝึกสิ่งเหล่านี้กัน
แต่กำลังของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน
ให้ไปขยันซ้อม เพราะว่ามีฝึกเรื่อยๆอยู่แล้ว
ถ้าต้องการศึกษาเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้
ก็ให้ขยันซ้อมเสมอ
แล้วอนาคตจะมีการฝึกสภาวะระดับสูง
ให้เราได้เรียนรู้กัน
-------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
การกำหนดลมหายใจเข้าออก
เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะปลุก #สภาวะรู้ ขึ้นมา
.
แต่ลักษณะของการกำหนดลมหายใจ
ก็มีหลายวิธี เช่น
กำหนดที่ปลายจมูกบ้าง
ตามลมหายใจเข้าออกบ้าง
กำหนดที่ท้องพองยุบบ้าง
กำหนดที่ลม 3 ฐานคือปลายจมูก หน้าอก หน้าท้องบ้าง
ตรงนี้เป็นวิธีต่างๆที่ได้รับการแนะนำกันมา
ปลุกสภาวะรู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
.
แต่ถ้าเป็นพุทธวิธี
ที่เป็นเรื่องของการพัฒนาสภาวะรู้โดยตรง
.
พระพุทธองค์จะเริ่มที่
ตั้งกายตรง #ดำรงสติมั่น #รู้ธรรมเฉพาะหน้า
ถ้าสามารถดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้าได้
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
จะรู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นหายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้ายาว ออกยาว
หายใจเข้าสั้น ออกสั้น
ลมหยาบ ลมละเอียด
ก็จะรู้สึกขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ
.
จากนั้นเมื่อสภาวะรู้มีกำลังขึ้นจะพัฒนาไปเอง
ตามธรรมชาติที่ทรงแบ่งไว้ 16 ระดับ
นั่นคือพัฒนาการของสภาวะรู้โดยตรง
.
แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เริ่มจาก
ดำรงสติมั่นรู้ธรรมเฉพาะหน้า
อาจจะเริ่มจากการกำหนดลมที่ปลายจมูกบ้าง
หรือกำหนดพองยุบบ้าง
ก็สามารถเข้าสู่สภาวะที่ถูกต้องได้
.
ก็คือเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
การรับรู้จะไม่ได้อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง
ให้ขยายการรับรู้ออกมากว้างทั้งตัว
ก็จะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่าความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
.
ถ้าสามารถพลิกเข้าสู่สภาวะรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
ก็จะเข้ามาสู่แนวทางของสติปัฏฐาน 4 อย่างเต็มตัว
ก็จะสามารถรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงได้
.
ลมหายใจก็เป็นอุปกรณ์หนึ่ง
ที่ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมาได้
เริ่มจากส่วนใดก็ตาม ถ้าเราเข้าใจ
พอเราเริ่มมีกำลัง เราก็ขยายการรับรู้ให้รู้ได้ทั้งตัว
.
ถ้าเราศึกษาใน #อานาปานสติ16ขั้น เราก็จะพบสิ่งนี้
ไล่จากตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น
มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
หายใจเข้ายาว ออกยาวก็รู้
หายใจเข้าสั้น ออกสั้นก็รู้
เป็นผู้รู้กองลมทั้งกอง
เป็นผู้รู้กายทั้งกาย ตรงนี้แหละคือ
เริ่มขยายการรับรู้ออกมารู้ทั้งตัวแล้ว
.
เริ่มต้นอาจจะที่จุดใดจุดหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
แต่พอเริ่มเข้าสู่สภาวะที่ถูกต้องจะรับรู้ได้ทั่วกาย
เพราะฉะนั้นจะเริ่มจากวิธีใดก็ตาม
ฝึกไปเรื่อยๆจนสามารถขยายรับรู้ทั่วกายได้
เมื่อฝึกจนรับรู้ทั่วกายได้
จะพบกับ #ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
แล้วจิตจะไม่ส่งออกไปในอารมณ์ต่างๆโดยธรรมชาติ
.
และเมื่อจิตเคลื่อนตัวหรือจิตปรุงแต่ง
จะเห็นการทำงานของจิตขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
.
ถึงบอกว่า
ถ้าเราฝึกสภาวะรู้เข้าสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
ถึงไม่ดูจิตก็เห็นจิต
ถึงไม่ดูกายก็เห็นกาย
จะเห็นสภาวะทั้งกายและใจตามความเป็นจริง
-------------------------------------
เดินจิตคืออะไร ?
คำว่าเดินจิต ก็คือการเจริญสติ
จนเข้าสู่สภาวธรรมต่างๆ
จนหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวงได้
.
วิธีของการเดินจิตมาจากพระไตรปิฎก
ก็คือเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน
.
ลักษณะที่พระพุทธองค์ทรงสอน
จะเป็นเรื่องของการเดินสภาวธรรมต่างๆ
.
อย่างที่เรารู้จักพระสูตรหลักๆ
เช่น #อานาปานสติ16ขั้น
ก็คือการเดินเข้าสู่สภาวธรรมต่างๆ 16 ระดับ
ที่เกิดขึ้นจนหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวง
.
หรือแม้กระทั่งใน #สติปัฏฐานสูตร
ก็เป็นบรรยายสภาวธรรม
.
หรือแม้กระทั่ง #อริยมรรคมีองค์8
สัมมาสติระลึกรู้ที่ถูกต้อง เข้าสู่
สัมมาสมาธิความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
.
สงัดจากกามและอกุศลธรรมเข้าถึงปฐมฌาน
สภาวะของปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
ก็คือ #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
ขณะที่เราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
เราจะพบว่ากามและอกุศลธรรมไม่ก่อตัวขึ้น
เป็นสภาวะปกติ มีความตั้งมั่นที่ถูกต้องอยู่
.
และก็จะทรงตรัสต่อไปว่า
เมื่อวิตกวิจารระงับไป
เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคคตา
เข้าถึงทุติยฌาน
เป็นฌานภายในที่ผ่องใส
มีธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
.
นั่นคือ เมื่อเราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ดี
จนเกิดความแผ่ซ่านทั่วทั้งตัว
ความแผ่ซ่านเป็นปีติที่เรียกว่าผรณาปีติ
เกิดจากความรู้สึกทั่วกาย
ปีติจะทำให้รู้สึกได้ทั่วกาย
.
ส่วนความสุขเบาสบายเกิดจากใจ
จะมีปีติแผ่ซ่านด้วย มีความสุขเบาสบายด้วย
และธรรมอันเอกคือความตื่นรู้จะเริ่มปรากฏขึ้น
ก็จะไล่สเตปไปอย่างนี้
.
จากนั้น เข้าถึงตติยฌาน
ก็ทรงตรัสไว้ว่า มีสุขด้วยนามกาย
เป็นฌานที่พระอริยเจ้าสรรเสริญว่า
เป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะมีอุเบกขา
.
สภาวะของฌานที่สาม
เพียงแค่เราอยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปเรื่อยๆ
พอสติมีความละเอียดพอ
จะเกิดความสุขเบาสบาย
แล้วก็จะโปร่งโล่งเบาสบายขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดปรุงแต่งหายไป
ประดุจสมองหายไป
จะเหลือแต่ความสุขเบาสบายที่ประณีตขึ้นเรื่อยๆ
.
มีแต่ดื่มด่ำกับความสุขเบาสบาย
แล้วจะรู้สึกถึงนามกายที่มันใสโปร่งเบาอยู่ภายใน
นั่นคือสภาวะของฌานที่สาม
.
ซึ่งสภาวะตรงนี้สติ สัมปชัญญะจะมีกำลังที่สูงมาก
และถ้าเราสามารถเข้าถึงจิตในจิตระดับนี้ได้
เราจะเห็นการเกิดดับของจิตในทุกๆขณะจิตได้
.
สติระดับนี้มีความละเอียดพอ
ที่จะเห็นการเกิดดับของจิตในทุกๆขณะจิตได้
.
ธรรมดาจิตมีความเกิดดับที่รวดเร็วมาก
ไม่สามารถนับได้
แต่ถ้าเราพัฒนาสติได้มีความละเอียดพอ
เราสามารถรู้เท่าทันการทำงานในทุกๆขณะจิตได้
.
แล้วจะนำไปสู่เรื่องของจิตตานุปัสสนา
รู้การทำงานของจิต ทั้งจิตตนและจิตท่าน
.
แล้วจะนำไปสู่เรื่องของวิชชาญาณต่างๆ
เรื่องของรูปนามที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน
รูปนามใกล้ รูปนามไกล
รูปนามหยาบ รูปนามละเอียด
ก็สามารถรู้ได้...
เดินจิต
----------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
มีสองอย่างในชั้นของ #สัมมาสมาธิ
.
ตัวจิตจะเป็นตัวเนื้อของสมาธิ
ส่วนตัวสติตัวจริงจะเป็นแค่สภาวะรู้
.
ตัวจิต ประกอบไปด้วย ตัว #จิต และ #เจตสิก
เมื่อใดที่ติดอยู่ด้วยกัน
จะเป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ
.
เมื่อใดที่พลิกเป็นแยกออกจากกัน
จะเป็น #วิปัสสนาญาณ
เพราะฉะนั้นจะพลิกกลับไปกลับมาแค่ตรงนี้เอง
.
จิตกับสติติดกัน
จะเป็นชั้นความรู้สึกตัว
เป็นการรู้จิต เป็นจิตผู้รู้
.
แต่เมื่อใดที่แยกออกจากกัน
จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
เห็นตามความเป็นจริง
เกิดญาณเห็นจิตขึ้นมา
.
พลิกไปพลิกมาอย่างนี้ได้
ตั้งแต่ชั้นสัมมาสมาธิขึ้นไป
ตั้งแต่ฌานที่หนึ่งจนถึง #สมาบัติแปด
พลิกไปพลิกมาอย่างนี้ได้หมด
.
การปฏิบัติก็จะอยู่แค่นี้
อยู่กับสมมุติหรืออยู่กับวิมุตติของจริง
ถ้าอยู่กับจิตจะเป็นโลกียะ
มีอัตตาตัวตนเกิดขึ้น
.
ถ้าอยู่กับสภาวะรู้ตัวจริง
จะเป็นโลกุตระ เป็น #วิมุตติ ขึ้นมา อยู่ย้ายแค่สองสิ่ง
ถ้าเดินจิตเป็นจะเข้าถึงการอยู่ย้ายสภาวะสองสิ่งนี้ได
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ฌานนอกพระพุทธศาสนา กับ
ฌานในพระพุทธศาสนา มีความแตกต่างกัน
#วิธีการฝึกจิต จะใช้การเพ่งจดจ่อที่จุดใดจุดหนึ่ง
อย่างเช่น กำหนดนิมิตเป็นอารมณ์ เป็นต้น
จนเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
.
วิธีการฝึกแบบนี้ เขาฝึกกันมาอยู่นานแล้ว
พระพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้น เขาก็ฝึกกันอยู่แล้ว
พราหมณ์ ฤาษี ดาบส เขาฝึกกันมาอยู่นานแล้ว
ฝึกเพ่งจนเกิดเป็น #สมาธิ เป็น #รูปฌาน เป็น #อรูปฌาน
เจริญฌานสมาบัติจนเข้าถึงสมาบัติทั้งแปด
แต่ปัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้ด้วยพระองค์เองว่า
ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
.
จากนั้นด้วยวาสนาบารมีที่ทรงสั่งสมมา
จึงเจริญ #อานาปานสติ
เข้าสู่วิธีของการเจริญ #สติปัฏฐาน
ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมา
พระองค์ก็เข้าสู่ #ฌานเหมือนกัน
.
แต่ฌานของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า #สัมมาสมาธิ
มีความแตกต่างจากฌานนอกพระพุทธศาสนา
.
ฌานแบบเพ่ง จะจดจ่อที่จุดใดจุดหนึ่ง
ขาดสัมปชัญญะ คือขาดความรู้สึกตัว
หลัก ๆ ก็จะอยู่กับนิมิตเป็นอารมณ์
.
แต่ฌานในพระพุทธศาสนา
ที่เรียกว่าความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
จะประกอบด้วย#สติ #สัมปชัญญะ
การรู้เท่าทันจิตใจ
นี่คือความแตกต่างระหว่าง
ฌานที่เขาฝึกกันปกติ กับ
ฌานในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ
และสัมมาสมาธินี่แหละ
ที่จะส่งต่อให้เกิด #วิปัสสนาญาณ
เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
ปัญญาญาณเกิดขึ้นได้
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ
และก็ทรงรู้เรื่องกฎของธรรมชาติและก็กฎแห่งกรรม
.
ถ้าเราพัฒนาสติปัฏฐาน
จนเข้าถึงความละเอียดถึงขีดสุด
ในระดับที่สามารถเห็นเหตุ
ที่ทำให้อวิชชชาก่อกำเนิดขึ้นมาได้
ในระดับที่ความละเอียดเดียวกันนั้น
เราก็สามารถเห็นกระแสแห่งวิบากกรรมได้
.
กระแสแห่งวิบากกรรม
จะเป็นกระแสพลังงานที่อยู่ในมิติอวกาศ
.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เจตนาเป็นตัวกรรม
จิตเกิดขึ้นแล้วดับลง
แต่สิ่งที่คงอยู่ก็คือ..
สิ่งที่เรียกว่าวิบากกรรม
.
บางครั้งเจตนาเป็นตัวกรรมเกิดขึ้นครั้งเดียว
แต่วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกลับส่งผลสืบต่อยาวนานมาก
.
กระแสวิบากกรรมเหมือน DNA
ตราบใดที่เรายังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร
สิ่งนี้จะให้ผลกับรูปนามขันธ์ 5 ของเราอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า
.
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
"ร่างกายนี้คือกรรมเก่า"
คือสิ่งที่เราต้องเสวย
ซึ่งไม่ใช่ใครเลยที่สร้างขึ้น
ก็คือตัวของเรานี้เอง
.
พระพุทธเจ้าทรงรู้กลไกของธรรมชาติตรงนี้
ตราบใดที่เราอยู่ในวัฏสงสาร
วิบากกรรมต่างๆก็จะให้ผลสืบต่อมาอยู่ร่ำไป
.
มีเนื้อธรรมเดียวเท่านั้นที่วิบากกรรมให้ผลไม่ได้
นั่นคือเนื้อของธาตุที่บริสุทธิ์
ที่เรียกว่า #นิพพาน
.
เนื้อธรรมนี้..
รูปนามขันธ์ 5 ไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้เลย
วิบากกรรมก็ไม่สามารถเข้าถึงได้
นั่นคือเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
ที่เรียกว่า ธรรมที่ลอยบุญลอยบาป พ้นดีพ้นชั่ว
.
การฝึกพัฒนาสติ
จนเข้าถึงสภาวะธรรมที่บริสุทธิ์
จะทำให้เราหลุดพ้นจากกระแสของวิบากกรรมได้
.
แต่ว่าตราบใดที่เรายังมีธาตุขันธ์อยู่
วิบากกรรมก็ยังให้ผลกับธาตุขันธ์
ที่เรียกว่าเศษกรรม
.
เมื่อใดที่เราดับวางขันธ์ไปแล้ว
เข้าถึงเนื้อธรรมสุดท้ายที่บริสุทธิ์
นั่นแหละถึงจะจบ
พ้นจากวงจรกรรมอย่างแท้จริง
.
ไม่อย่างนั้น..ตราบใดที่ยังเกิดต่อ
ก็จะสร้างกรรมขึ้นไปเรื่อยๆ
และวิบากกรรมไม่สูญสลายไปไหน
ค้างอยู่ในวัฏฏะ
เป็นระบบของธรรมชาติ
เป็นเรื่องของพลังงาน
.
ใครสนใจเรียนรู้ระดับตรงนี้ ต้องพัฒนาสติระดับสูง
อนาคตจะมีการจัดคลาสฝึกตามระดับของสติ
เรื่องที่พูดนี่สามารถเรียนรู้ได้จากภาคปฏิบัติจริง
แต่ว่าเราต้องพัฒนาสติได้มีความละเอียดพอ
-------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ฐานที่เล็กกับฐานที่ใหญ่
อันไหนมีความมั่นคงกว่ากัน ?
.
ระหว่างการฝึกเพ่งจดจ่อที่จุดใดจุดหนึ่ง กับ
การขยายการรับรู้ให้แผ่กว้างทั้งตัว
.
#สติปัฏฐาน รู้กายทั้งกาย
แม้กระทั่ง #อานาปานาสติ
จากตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น
หายใจเข้ายาว ออกยาว
หายใจเข้าสั้น ออกสั้น
รู้กองลมทั้งปวง
จากนั้นก็จะเข้าสู่ที่เรียกว่า #รู้กายทั้งกาย
จากนั้นก็จะเข้าสู่อาการรู้ปีติ คือ #รู้สึกทั้งตัว
.
ในพระสูตรเราจะพบว่า
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า
จะต้องประกอบไปด้วย#สติ #สัมปชัญญะ
.
ถ้ากำหนดโฟกัสที่จุดใดจุดหนึ่ง
จะขาดสัมปชัญญะ จะขาด #ความรู้สึกตัว
.
และสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวนี่แหละ
ที่จะทำให้ไม่หลงไปในอารมณ์ต่างๆ
จิตจะไม่เกิดการส่งออก
จิตจะเกิดความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
ไม่ต้องเป็นเพ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง
จิตก็มีความตั้งมั่นด้วยตัวของจิตเอง
.
และเมื่อปฏิบัติได้ดี
จิตจะสลายคลายตัวลงไป
ที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์สลายคลายตัวลงไป
นั่นคือการเข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
.
เมื่อใดที่วิญญาณขันธ์สลายตัวไป
เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์นั่นแหละ
คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า #สุญญตา
ความว่างจากตัวตน จากความยึดมั่นถือมั่น
อัตตาความเป็นตัวเป็นตนจะหายไป #อุปาทานจะหายไป
.
แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในความเป็นจิต
ความเป็นตัวตนจะเกิดขึ้น
เป็นเราคิด เราพูด เราคุย เรากระทำ
ทุกอย่างเป็นตัวเราทั้งหมด
เพราะว่าตัวจิตคือตัวอุปาทาน เกิดมาจาก #อวิชชา
.
แต่เมื่อใดที่เริ่มเข้าถึงฝั่งสภาวะรู้
จะเหลือแต่เพียงกิริยา
การคิด การพูด การคุย การกระทำ
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
อานิสงส์ที่มีค่ามากพอ...
ที่จะชำระบาปและอกุศลธรรมให้หมดสิ้น
.
.
เคยสงสัยไหม?
ทำไมมรรคจึงอยู่ในข้อสุดท้าย
มรรคควรอยู่ข้อแรกสิ
กลายเป็นว่า...รู้ทุกข์
ละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นิโรธแล้วมันควรจะจบสิถูกไหม?
..ไม่จบ ยังมีข้อสุดท้ายว่า
เจริญข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
การรู้แจ้งอริยสัจ 4
คือ ภารกิจของทุกสรรพสิ่งในวัฏสงสาร
ไม่มีกิจอันใดสำคัญกว่านี้หรอก
รู้แจ้งมีความสำคัญยิ่งยวด
และรวดเร็วยิ่งกว่าการดับไฟบนหัว
เพราะว่าเมื่อรู้แจ้งอริยสัจ 4 ได้
ก็จะสามารถสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
เมื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์นี่แหละ
ที่จะค่อยๆชำระล้างบาปและอกุศลกรรมต่างๆ
วิบากกรรม สิ่งยึดโยง พันธนาการต่างๆ
ที่สะสมไว้ในวัฏสงสาร
เราจะจบเรื่องนี้ได้ต้องชำระกันจนหมดสิ้น
เหมือนทางโลก
โยมมีหนี้มีสินก็ต้องเคลียร์หนี้ใช่ไหม?
ถามว่า..ถ้าเรามีหนี้อยู่หมื่นล้าน
แต่เราหาเงินได้วันละ 500 วันละ 1,000 บาท
เราจะใช้หนี้หมดไหม? ..ไม่มีทาง!!
กี่ภพภูมิที่เราอยู่ในวัฏฏะสะสมมาเท่าไหร่ล่ะ?
ความดำมืดที่ทิ้งไว้ในวัฏสงสาร
เพราะฉะนั้นบุญกุศลทั่วไปก็สะสมไป
เก็บเล็กเก็บน้อยต่างๆ
แต่อานิสงส์ที่จะมีค่ามากพอที่จะชำระหนี้
เปรียบเหมือนนักธุรกิจน่ะ
ที่เขามีแหล่งในการทำธุรกิจ
เขาสามารถหาทรัพย์ได้เป็นล้าน เป็น 10 ล้าน
ถามว่าเขามีโอกาสชำระหมดไหม?
มีโอกาสชำระหมด!!
พระพุทธองค์ตรัสว่า
บ่อเกิดแห่งบุญกุศลทั้งปวง
ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือ สติปัฏฐาน 4
ฝึกสติปัฏฐาน จนสลัดคืนเข้าถึงความบริสุทธิ์
เพราะว่าความบริสุทธิ์คือแหล่งของอริยทรัพย์นั่นเอง
เมื่อเข้าถึงแหล่งความบริสุทธิ์ตรงนี้
ความบริสุทธิ์นี้แหละที่จะไปชำระล้าง
ไปชาร์จความมืดออก
น้ำดีชำระล้างน้ำเสีย
จะค่อยๆชำละล้างออกไป
เพราะฉะนั้นในการรู้แจ้งอริยสัจ 4
พระพุทธองค์จึงจัดมรรคไว้ในข้อสุดท้าย
เพราะว่าเมื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว
ก็ต้องเดินตามมรรคอย่างนี้อยู่ร่ำไป
ต้องชำระกันไปจนกว่า...
จะเคลียร์หนี้เคลียร์สินจนหมดสิ้นแหละ
อาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา
สิ่งที่เป็นอนุสัยที่หมักหมมอยู่ในขันธสันดาน
ต้องชำระกันด้วยความบริสุทธิ์จนหมดสิ้น
ต้องเดินตามมรรคเรื่อยไปจนหมดสิ้นนั่นแหละ
ผู้ที่สามารถสะสมบารมีธรรมตรงนี้
อย่างน้อยเต็มรอบแรก
ที่เรียกว่า บารมีธรรมเต็ม
จึงจะมีโอกาสที่จะหลุดพ้นเป็นสมุจเฉทปหาน
เรียกว่า เป็นผู้ที่ตกกระแสธรรม
การหลุดพ้นชั่วคราวที่พาฝึกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
เพื่อให้พวกเราได้สะสมบารมีธรรม
แต่การหลุดพ้นที่เป็นสมุจเฉทปหาน
จะเกิดขึ้นเมื่อเราสะสมบารมีธรรม
จนมีกำลังพอที่จะชำระบาปและอกุศลธรรม
เรียกว่า บารมีธรรมเต็ม นั่นเอง
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
24 ธันวาคม 2563
การเจริญสติจะเป็นสารประโยชน์อันสูงสุดของชีวิต
วิชาการต่างๆทางโลก
ก็พอให้เราได้อิงอาศัยอยู่ในโลกชั่วครู่ชั่วคราว
แต่ไม่มีขีดความสามารถ
ที่จะทำให้เราพ้นจากสภาพแห่งความทุกข์
พบกับความสงบสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
.
การเจริญสติปัฏฐาน4
เป็นทางสายเดียว
ที่จะทำให้เข้าถึงขีดความสามารถ
ที่จะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง คือ พระนิพพาน ได้
.
อุปกรณ์การฝึกสติปัฏฐาน
ก็คือตัวของเรานี้เอง
รู้สึกกาย รู้สึกใจ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
ใหม่ๆมันก็รู้สึกตัว
เดี๋ยวจิตมันก็ฟุ้งไป เผลอไปในอารมณ์ต่างๆ
ใหม่ๆมันก็เผลอไปนาน ครึ่งวันค่อนวันบ้าง
.
นึกได้ก็ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
ไม่ว่าเราจะนั่งก็รู้สึกตัว ยืนก็รู้สึกตัว
เดินก็รู้สึกตัว นอนก็รู้สึกตัว
จะทำอะไรก็ระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
.
เมื่อเพียรเจริญสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
ก็จะเริ่มรู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น
จิตที่ฟุ้งไปเผลอไปก็จะกลับมารู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น
ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ปฏิบัติก็จะพบว่าใจนิ่งขึ้น สงบขึ้น
เริ่มรู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
สติก็จะมีกำลังขึ้นโดยลำดับ
.
เมื่อสติมีกำลังขึ้น
การรับรู้ก็จะแผ่กว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนรู้สึกได้ทั่วทั้งตัว
.
เมื่อความรู้สึกตัวตื่นขึ้น
ก็ทำความรู้สึกทั้งตัวไปเรื่อยๆสบายๆ
ไม่ว่าจะนั่งก็รู้สึกทั้งตัว ยืนก็รู้สึกทั้งตัว
เดินก็รู้สึกทั้งตัว นอนก็รู้สึกทั้งตัว
.
จะทำอะไรก็รู้สึกทั้งตัวอยู่
ตั้งแต่ตื่นนอนด้วยความรู้สึกตัว ล้างหน้าแปรงฟันด้วยความรู้สึกตัว
ขับถ่ายด้วยความรู้สึกตัว อาบน้ำด้วยความรู้สึกตัว
ทำงานบ้าน ซักผ้า ถูกพื้น กวาดพื้นด้วยความรู้สึกตัว
ออกกำลังกาย เดินด้วยความรู้สึกตัว
วิ่งด้วยความรู้สึกตัว ขี่จักรยานด้วยความรู้สึกตัว
ไปทำงานขับรถนั่งรถลงเรือด้วยความรู้สึกตัว
ระหว่างวันทำงานต่างๆก็รู้จักเจริญสติทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
ถึงเวลาพักผ่อนก็หลับไปกับความรู้สึกตัว
.
ถ้าเราเพียรเจริญสติ ทำความรู้สึกตัวไปอย่างนี้บ่อยๆเนืองๆ
ในระหว่างวันมันอาจจะรู้สึกตัวบ้างเผลอบ้างก็ไม่เป็นไร
ทำด้วยความผ่อนคลาย สบายๆ
สร้างนิสัยแห่งความรู้สึกตัว
ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมา
นานวันขึ้น สติก็จะมีกำลังขึ้น
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร — รู้สึกได้รับพร
♥️สติ-สมาธิ-ปัญญา
.
เมื่อ #เจริญสติ จนตัวรู้เริ่มตื่นขึ้น
ก็จะรู้สึกถึงฐานของจิตได้
สติก็จะวางจาก ฐานของเวทนา
คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เข้าสู่ #ฐานของจิต #รู้จิตที่ตั้งมั่น
.
ฐานของจิต
ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง
การทำงานของจิตต่างๆ
แล้วก็จะเริ่มรับรู้ว่า
ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง
ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
เป็นการ #ละสักกายทิฏฐิ เป็นชั้น ๆ ไป
สักกายทิฏฐิมีหลายระดับ
.
เมื่อผู้ปฏิบัติอยู่ที่ฐานของจิต
ก็จะพบว่า ร่างกายก็เป็นเหมือนสิ่ง ๆ หนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะว่าขณะนั้น #สติ อยู่ที่ฐานของจิต
อยู่ที่ความ #ตื่นรู้
.
เมื่ออยู่กับความตื่นรู้ไปเรื่อยๆสบาย ๆ
สติก็จะมีกำลังขึ้น
พลิกมาเป็นใจที่ตื่นรู้ขึ้นมา
.
ขณะที่อยู่ฐานของจิต
เวลาเราเดินเราจะรู้สึกว่า
ร่างกายก็เป็นแค่เหมือน
หุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ไม่ใช่เรา
เพราะว่าสติในขณะนั้น
อยู่ที่ฐานของจิต อยู่ที่ตัวรู้
.
อยู่กับความตื่นรู้ไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ
สติก็จะมีกำลังสูงขึ้น
นิ่งรู้ อยู่ภายใน
นิ่ง คือ #สมาธิ
รู้ คือ #ปัญญา
#สมถะ และ #วิปัสสนา จะควบคู่กันไป
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
♥️ เมื่อสติอยู่ฐานของกาย
จะรับรู้ ระบบการทำงานของร่างกาย
บางทีเราอยู่กับฐานกายมากๆ จะรู้สึกเหนื่อย
รู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้น ระบบสูบฉีด
ระบบสมอง ระบบประสาท
.
แต่ถ้าเราพัฒนาสติจนเข้าสู่ฐานของเวทนา
ระบบการทำงานของร่างกาย
การรับรู้การทำงานของร่างกายก็จะลดลง
.
เปลี่ยนมาอยู่กับความรู้สึกตัวเป็นหลัก
จิตจะมีความนิ่งตั้งมั่นมากกว่า
และสามารถควบคุมระดับสมาธิได้ดีกว่า
เป็นพื้นฐานในสเต็ปต่อไป
.
ถ้าเราฝึกฐานเวทนาได้ดี
จะต่อยอดได้ทั้งหมด
การฝึกเข้าสู่ #สภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากทุกข์นี้เป็นเรื่องง่ายไม่ลำบาก
.
ถ้าเรามีพื้นฐานของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่ดี
การฝึกที่เหลือจะเป็นเรื่องไม่ยากลำบาก
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
คำว่า "ทางสายกลาง"
ขึ้นอยู่กับระดับจิตของเราด้วย
ใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าเราโหมปฏิบัติ
นั่ง 2-3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมงเลย
แต่จิตยังฟุ้งซ่าน
บางทีนั่งมากๆ สติแตกไปเลย
ก็ต้องค่อยๆ ทำ
ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา
ค่อยๆ เกลาจิตของตัวเอง
ค่อยๆ กระเทาะอารมณ์หยาบๆ ออก
พอเริ่มกะเทาะอารมณ์หยาบๆ ออกหมด
จิตมันก็เริ่มเข้าถึงสิ่งที่ประณีต
เริ่มเข้าถึงความเบา
กายเบา จิตเบา
ทีนี้เราจะรู้สึกว่า เราก็นั่งไปได้เรื่อยๆ
ทางสายกลางหรือความพอดี
วัดที่เราทำอะไร แล้วเรา...
รู้สึก สบาย
รู้สึก เป็นกลาง
รู้สึก ตั้งมั่น
นั่นคือ ความสัปปายะของเรา
ไม่ว่าจะเป็น
เคลื่อนไหวช้า เคลื่อนไหวเร็ว
จะนั่งนาน หรือนั่งไม่นาน
จะยืน เดิน หรืออะไรก็ตาม
วัดที่ความสบาย และความตั้งมั่นของจิต
นั่นคือ ความสัปปายะของเรา ณ ระดับนั้นๆ
อยู่ๆ จะมานั่งทีเดียว 3 ชั่วโมง
มันไม่ใช่แบบนั้น
เมื่อจิตละเอียดมาก
การปฏิบัตินาน 2-3 ชั่วโมง
ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นการทรมานร่างกายอีกแล้ว
เพราะว่าทำแล้วมันสบาย
จิตมันประณีต ก็ปฏิบัติไปได้เรื่อยๆ
แต่ใหม่ๆ อยู่ๆเราจะไปทนปวด
สังเกตใจตัวเองเถอะ
มันมีแต่ความกระสับกระส่าย
แล้วเราจะท้อในการปฏิบัติ
ว่าทำไมการปฏิบัติมันยาก
มันยาก เพราะเราทำไม่ถูก
เราไปฝืนตัวเอง
เราไม่เดินทางสายกลาง
ก็คือ ความพอดี
ความสัปปายะ
คือ ทำแล้วมันสบาย
ทำแล้วมันมีความมั่นคง
ใหม่ๆ เราค่อยๆไต่ระดับไป
ใหม่ๆ นั่งได้ 5 นาที 10 นาที 15 นาที
ก็ค่อยๆ ไต่ระดับไป
ใหม่ๆ จิตมันอยู่แป๊บเดียว มันก็ไปแล้ว
ค่อยๆ เกลาตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง
พอเราฝึกไปมาก
จนเราเริ่มเกลาอารมณ์หยาบหมด
จนเหลือแต่กองธรรมที่ละเอียด
ทีนี้จะปฏิบัติไปได้เรื่อยๆ
ไม่อิ่ม ไม่เบื่อ
ทางสายกลาง เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ที่จะทำให้เราเดินในแนวทางที่ถูกต้อง
ได้ตลอดรอดฝั่ง
ให้สังเกตเวลาเราปฏิบัติ
แล้วมันรู้สึกสบาย
มันรู้สึกตัวได้เรื่อยๆ
นั่นก็คือ ความสัปปายะของเรา
.
.
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
20 มิถุนายน 2563
เวลาสวดมนต์ เห็นความคิด
ไม่ใช่ว่า จิตฟุ้งซ่าน
แสดงว่า มีสตินะ การเห็นความคิดได้
มีความรู้สึกตัว ถึงเห็นการทำงานของความคิดปรุงแต่งได้
อย่างบางทีเราปฏิบัติไป
ทำไมรู้สึกมันยิ่งปฏิบัติ มันยิ่งคิดเยอะ
นั้นคือมีสติ... มันเห็น
ปกติมันก็คิดปรุงอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
แต่ว่า คนที่ไม่ได้ปฏิบัติ
ไม่เห็นความคิดตัวเอง
เค้าเรียกว่า ไหลไปกับความคิด
แยกออกไหมเวลาไหลไปกับความคิด
กับเวลาเห็นความคิด
ถ้าเห็นได้ นั่นมีสติ
เห็นการปรุงแต่งของกาย ของใจ
ก็แสดงว่าโยมเริ่มมีสติ
ถึงเห็นความคิดได้
ให้สังเกต เวลามันไหลไปกับความคิด
กับเวลาเห็นความคิด มันต่างกัน
เวลาเห็น มันมีสติ
แต่เวลาไหลไปกับความคิดปุ๊บ
มันลืมตัว ...อันนี้ขาดสติ
ให้ลองสังเกตดู ในแต่ละวัน
มันก็จะไหลไปกับความคิดบ้าง
หลงไปกับความคิดบ้าง
แล้วก็เห็นความคิด
เห็นการปรุงแต่งของจิต
ให้สังเกตอาการมันต่างกัน
เวลาเห็นมันมีสติแล้ว
ให้ฝึกไปเรื่อยๆ
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
ถ้าเราฝึกอยู่ทุกวันเป็นไปได้หรือไม่ว่า
สภาวะรู้หรือสมาธิจะลดลง?
เพราะรู้สึกว่าเมื่อก่อนรู้ตัวได้ดีกว่านี้
ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่างนะ
บางทีเราอาจจะมีเรื่องราวต่างๆมากขึ้น
กำลังสติก็ลดลงได้ ก็ค่อยๆไปฝึกไป
กำลังสติจะน้อยหรือกำลังสติจะมาก
ก็ให้รู้สึกตัวให้เป็นนิสัยแล้วกัน
.
เพราะว่าชีวิตของคฤหัสถ์ฆาราวาสนั้น มีภารกิจต่างๆมาก
แต่เราก็ฝึกให้ได้นิสัยไปเรื่อยๆ
.
กำลังสติจะบางมากหรือกำลังสติดีบ้าง ก็ไม่เป็นไร
ทำให้ได้นิสัยปัจจัยไป เพราะว่าเพียงแค่วันหนึ่งเรารู้สึกตัวสักครั้งหนึ่ง ก็เป็นประโยชน์มหาศาล
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ที่เจริญอานาปานสติ
มีสติรู้ลมหายใจเข้าออกแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ก็ทรงตรัสว่าไม่ว่างจากฌาน
ทำตามคำสอนของพระศาสดา ไม่ฉันข้าวของชาวแว่นแคว้นเสียป่าว จะกล่าวไปไยถึงผู้มากด้วยอานาปานสติ
วันหนึ่งรู้สึกตัวสักครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ก็ทรงสรรเสริญ
.
แล้วมีประโยชน์กับชีวิตของโยมจริงๆอย่างคาดไม่ถึง
ถ้าโยมได้นิสัยแห่งความรู้สึกตัว ณ ขณะที่รู้สึกตัวขึ้นมา
จิตที่เป็นกุศลก็เกิดขึ้นแล้ว
.สติทำให้เราหลุดจากอบายภูมิได้
แต่ถ้าเราไม่เคยฝึกเราจะได้สติไหม? ไม่ได้!..
ก็หลงภพหลงภูมิไปเรื่อย ยิ่งไม่มีกายหยาบ ยิ่งรู้สึกตัวยากนะ
.
แต่ถ้าเราเคยฝึกไว้ มากบ้าง น้อยบ้าง ให้เป็นนิสัยปัจจัย
สติจะช่วยเราเอง เพราะถ้าเราฝึกไว้ชำนาญจริงๆ
ถึงไม่มีกาย..ก็รู้สึกตัวได้!!
.
เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักสติของจริง
เราจะพบว่าเป็นประโยชน์มหาศาลมาก
เพราะฉะนั้น เราควรฝึกให้เป็นนิสัยปัจจัยไว้
เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบัน
เป็นประโยชน์ทั้งสัมปรายภพ
บุญกุศลก็พอเป็นที่พึ่งให้เราได้
.
แต่..ที่พึ่งที่แท้จริงก็คือ..สติเนี่ยแหละ
และบ่อเกิดของบุญกุศลทั้งปวงก็คือ สติเนี่ยแหละ
และการที่จะพ้นจากทุกข์ได้ก็ สติเนี่ยแหละ
.
เพราะฉะนั้นยังไม่เห็นอะไรที่จะสูงค่า
ยิ่งกว่าการพัฒนาสติเลย!!
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ถ้าเราเจริญสติ ด้วยความสบาย ผ่อนคลาย
สภาวะรู้สึกทั้งตัวจะเกิดขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
รู้กายทั้งกาย รวมถึงลมหายใจ
ก็จะถูกรู้ขึ้นมาได้เองโดยความเป็นธรรมชาติ
....ด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อทำไปเรื่อยๆ สติก็จะมีความมั่นคงขึ้น
เกิดสภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
รู้สึกทั้งตัว รู้พร้อมทั้งกายทั้งใจ
....รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้...
จะเป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ
ที่เกิดเมื่อมีสติมั่นคง มีจิตตั้งมั่น
....สัมมาสติ ส่งเข้าสู่ สัมมาสมาธิ
สติจะวางจากฐานกาย
เข้าสู่ฐานของเวทนานุปัสสนา
เมื่อเข้าสู่สภาวะของชั้นสัมมาสมาธิ
จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า...
รู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เมื่อเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้ว
....จึงเกิดปีติขึ้นมา
ขนลุกทั้งตัวบ้าง ตัวโยกโคลงทั้งตัวบ้าง
ควงไปข้างหน้า ข้างหลัง หมุนควงบ้าง
....อาการภายในมันควง
บางทีก็เกิดอาการเหมือนตัวลอยบ้าง
ตัวหนักบ้าง
เกิดความรู้สึกเหมือนขยายตัวออกไป
ตัวใหญ่บ้าง หดตัวเหลือตัวเล็กบ้าง
เกิดกระแสความร้อนทั้งตัวบ้าง ความเย็นบ้าง
เกิดสภาวะแข็งเป็นหินทั้งตัวบ้าง
แต่ผู้ปฏิบัติจะพบว่า...
ใจเรานิ่งขึ้น ตั้งมั่นขึ้น
มันเป็นสภาวะของปีติ ของความรู้สึกตัว
ลมหายใจจะสงบ ระงับ ลงไปโดยลำดับ
แต่ความรู้สึกทั้งตัว จะเด่นชัดขึ้นมาแทน
เรียกว่ามีลมหายใจเป็นพี่เลี้ยง
มีความรู้สึกตัวเป็นลักษณะเด่น
....ก็จะหลุดพ้นจากสมมุติบัญญัติ
โลกของความคิดปรุงแต่ง
เหลือแต่ปรมัตถธรรมที่เรียกว่า...
ความรู้สึกล้วน ๆ อยู่
สภาวะของความรู้สึกตัวนี้...
จะเป็นความรู้สึกของร่างกายทั้งตัว
....ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ
เหมือนว่าเราแช่อยู่ในน้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำ
ด้วยความผ่อนคลายสบาย ๆ
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้...สติสัมปชัญญะ
จะพัฒนาได้อย่างเต็มฐานทั้งตัว
ความรู้สึกมีอยู่ทั้งตัว หัวตัวแขนขาทั้งตัว
....การปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องส่งเข้าสู่
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งสิ้น
สติปัฏฐาน๔ ทุกข้อ ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง
จะส่งเข้าสู่สภาวะนี้ทั้งสิ้น
ที่ทรงตรัสว่า... มีความเพียร
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติ ละความพอใจ ไม่พอใจในโลก
....สัมมาสมาธิ เริ่มต้นที่ตรงนี้
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ความรู้สึกทั้งตัว เป็นสภาวะพลังงานที่สูงมาก
เป็นขุมพลังงานของร่างกายมนุษย์
ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
.
ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวเป็น
เราจะรู้สึกเลยว่า เราเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ร่างกายของเรากระปรี้กระเปร่าทรงพลังมาก
รู้สึกสดชื่นมากเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เรี่ยวแรงนี่ทรงพลังมาก
รู้สึกสุขภาพร่างกายดีขึ้น
.
สุขภาพจิตก็จะแข็งแรงขึ้นด้วย
เพราะความรู้สึกตัวนี่
เป็นคู่ปรับกับความคิดปรุงแต่งโดยตรง
ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกตัวเป็น
จะหลุดจากโลกของความคิดปรุงแต่ง
#ความเครียด #ความกังวล ต่างๆจะหลุดออกไป
แล้วเราจะนิ่งเป็น อดทน อดกลั้นเป็น
.
ถ้าเราทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
จะพัฒนาศักยภาพชีวิตของเราได้ดีขึ้น
คุณภาพชีวิตของเราจะดีขึ้นเป็นลำดับ
การทำงาน ครอบครัว การใช้ชีวิตต่างๆจะดีขึ้น
ถ้าไปใช้ในเรื่องเรียน สมองดี ความจำดี
ถ้าใช้ในการทำงาน ก็มีสติในการทำงาน
ลดความผิดพลาดได้ มีไอเดียคิดสร้างสรรค์งาน
อดทน อดกลั้นเก่ง วุฒิภาวะทางอารมณ์สูง
คือ ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาทั้งหมดเลย
พัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด
.
ความรู้สึกตัวนี่สามารถแปรไปเป็นธาตุต่างๆได้ด้วย
.
ความรู้สึกตัวตรงซ่านๆนี่ จะเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จะเกิดอาการเหมือนกระแสไฟฟ้าทั้งตัว
ถ้าเราเดินจิตเป็นก็จะพลิกเป็นธาตุต่างๆได้
.
ให้เกิดเป็นกระแสความร้อนทั้งตัวก็ได้
ปรับจูนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นไมโครเวฟ
เกิดกระแสความร้อนทั้งตัว
เกิดกระแสความเย็นทั้งตัว
แปรไปเป็นธาตุดินเกิดอาการแข็งเป็นหินทั้งตัวก็ได้
แปรไปเป็นธาตุน้ำ ธาตุลมก็จะทำให้รู้จักสภาวธรรม
เป็นเรื่องของสภาวะชั้นพลังงานในร่างกายมนุษย์
.
ความรู้สึกตัวเข้มข้นสูงนี่
สามารถใช้ในการดูแลตัวเองได้
เป็น ธรรมะโอสถ
ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย
ใช้ป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆได้ด้วย
.
ตั้งแต่ระดับนี้ขึ้นไป พระองค์ตรัสว่า
"มีตนเป็นเกราะ มีตนเป็นที่พึ่ง"
.
#สติปัฏฐาน4 ทำให้เราทำที่พึ่งให้กับตัวเองได้
ผู้ปฏิบัติจะได้รับผลชัดเจนด้วยตัวเองในปัจจุบัน
-------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
พอปฏิบัติไปเหมือนลมหายใจหายไป
กลัวตาย !! ทำอย่างไร?
.
ทำให้ลมหยาบขึ้นเหมือนเดิม ?
ถอนจิตกลับมาก็ไม่สามารถเข้าสู่
สภาวะที่ละเอียดขึ้นไปได้
.
ด่านใหญ่ของ #อานาปานสติ
สมาธิที่เข้าสู่สภาวะของฌานที่3
ลมหายใจจะละเอียดมาก
จนไม่สามารถที่จะหายใจเข้าออกทางจมูก
การกระเพื่อมหน้าอกหน้าท้องก็จะไม่ปรากฏ
จะเป็นลมปราณที่ละเอียด
.
สภาวะตรงนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
ลมหายใจซึมเข้าออกตามรูขุมขนทั้งตัว
หายใจทั้งตัวขึ้นมาแทน
.
ถ้าเราจะพัฒนาสติให้มีความละเอียดขึ้นไป
ทำอย่างไร? ลมหายใจหายไป
การกำหนดต่างๆหายไป
แต่ความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบายกลับเด่นชัดขึ้น
สภาวะรู้ตื่นอยู่ภายในกลับเด่นชัดขึ้นโดยลำดับ
.
ก็ให้อยู่กับความโปร่งโล่งเบาสบายทั่วทั้งตัว
อยู่กับความรู้ตื่นอยู่ภายในไปเรื่อยๆ
-------------------------------------
ลักษณะของผู้ที่อยู่กับสภาวะรู้
เวลาเรามองวิสัยทัศน์จะกว้างเป็นพาโนรามา
นั่นคือลักษณะของผู้ที่อยู่กับ #สภาวะรู้
.
ไม่เกิดการเพ่งจ้องโฟกัสจดจ่อ
มองกว้างๆสบายๆ รู้ได้รอบตัว
.
สภาวะรู้เป็นทางสายเดียวที่จะหลุดออกจากกองทุกข์ได้
#เนื้อธรรมของสภาวะรู้ จะ #ว่างอยู่ #รู้อยู่
ภายในไม่มีอะไรเลย ปราศจากการปรุงแต่ง
.
เคลื่อนไหวกาย ก็อยู่กับสภาวะรู้ได้
รู้สึกได้ไหมสิ่งที่เคลื่อนไหว สิ่งที่ปรุงแต่งก็ส่วนหนึ่ง ?
เนื้อธรรมที่พ้นจากการปรุงแต่ง
พ้นจากการเคลื่อนไหวก็ส่วนหนึ่ง คนละส่วนกัน
.
เป็นทางสายเดียวที่จะมีขีดความสามารถที่จะเลือกได้
จะอยู่กับ #สิ่งที่ปรุงแต่ง
หรืออยู่กับ #สิ่งที่พ้นจากการปรุงแต่ง
.
เมื่อดำรงอยู่กับสภาวะรู้
ลองคิดเรื่องที่ตัวเองทุกข์ใจดู
ในขณะดำรงอยู่กับสภาวะนี้
ความทุกข์ก่อตัวขึ้นไหม ?
.
จะพบเลยว่าความทุกข์ไม่ก่อตัวขึ้น
หรือความปรุงแต่งไปปรุงอยู่ข้างนอก
เป็นเนื้อธรรมที่ #ปราศจากราคะ #ปราศจากโทสะ
#ปราศจากโมหะ #ปราศจากความเป็นอัตตาตัวตน
-------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
#ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า 🙏🏻ค่ะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสัมมาสมาธิเถิด
เมื่อจิตตั้งมั่นธรรมทั้งหลายจะปรากฏตามความเป็นจริง
เมื่อเกิดญาณเห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริงได้
#เมื่อเกิดการละวางตัวจิตหรืออวิชชาก็จะดับลง
#ก็จะเหลือแต่สภาวะรู้ที่บริสุทธิ์อยู่
จะเหลือแต่ความว่างที่บริสุทธิ์อยู่ที่ไร้ตัวตนไร้ขอบเขต
นั่นคือสภาวะของสุญญตา
สภาวะรู้จะเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้ออมตะธาตุ
จะเป็นเนื้ออวกาศดั่งเดิม
เป็นเนื้อธาตุบริสุทธิ์ที่เป็นความว่างแห่งสภาวะรู้
....................
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร 🙏🏻ค่ะ
ความสงบ ก็เป็นสภาวธรรม
ภาษาพระ เรียกว่า อุเบกขา
ก็รับรู้สภาวะที่ปรากฎ รับรู้ความสงบ ความตั้งมั่น ความนิ่ง อันนี้ก็เป็นสภาวธรรมที่ปรากฏ
ซึ่งความสงบตั้งมั่น มีทั้งระดับ
โลกียธรรม และ โลกุตตรธรรม
ความแตกต่างก็คือ ระดับโลกียธรรม
เป็นเรื่องของสมาธิ สังขาร ความปรุงแต่ง
ที่เรียกว่า สภาวะจิตตั้งมั่น
แต่เมื่อใดที่สามารถยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
จนสลัดคืนเข้าสู่อมตธรรม
เข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์
จะพบกับความสงบ ระดับ โลกุตตรธรรม
หรือ อุเบกขา อันเป็นโลกุตตระ
มันเป็นเนื้อของธรรมชาติแท้ๆ
ความสงบตรงนี้ มันจะไร้ความยึดมั่นถือมั่น
ไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต เป็นเนื้อของธรรมชาติ
ก็รับรู้สภาวะที่ปรากฏ
อยู่กับความสงบตั้งมั่น ความผ่องใส
ความเบิกบาน
สิ่งเหล่านี้ เป็น สภาวธรรมทั้งนั้น
เป็นสภาวะที่ละเอียด
จากสภาวะหยาบ เข้าสู่สภาวะที่ละเอียด
ชั้นสมาธิ แล้วก็ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
จนสลัดคืนเข้าสู่ สภาวะที่พ้นจากสังขาร
การปรุงแต่ง
เป็นเรื่องของ วิสังขาร ก็คือ อมตธรรม
แล้วจะพบความสงบระงับที่แท้จริง
ธรรมชาติ ความบริสุทธิ์
หลักสำคัญตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด
ก็คือ รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้สภาวะที่ปรากฏ
ภาษาพระท่านเรียกว่า รู้ธรรมเฉพาะหน้า
อันนี้เป็นหัวใจ
ตั้งแต่ สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
รู้สึกกาย รู้สึกใจ จนเกิดสัมมาสมาธิ
ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้จิตที่ตั้งมั่น
จนเกิดวิปัสสนาญาณ
เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
จนสลัดคืน เกิดสัมมาวิมุตติ
การหลุดพ้นที่ถูกต้อง
เข้าถึง ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
จนถึงเพียง ภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น
สภาวะ มันจะมีแค่เรื่องของการรับรู้อยู่
ถ้าเรื่องการรับรู้ ระดับโลกียธรรม
ก็จะมีความยึดในขันธ์ 5 อยู่
โดยเฉพาะยึดตัวรู้อยู่ ยึดวิญญาณขันธ์อยู่
แต่การรับรู้ ระดับโลกุตตรธรรม
มันจะหลุดจากการยึดในขันธ์ทั้ง 5
เป็นอิสระจาก ขันธ์ทั้ง 5
ฝึกไป มันจะสามารถเห็นธรรมชาติได้ทั้ง 2 ฝั่ง
คือ เห็นธรรมชาติทั้งฝั่ง สังขตธรรม
สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง
และ เห็นธรรมชาติที่พ้นจากการปรุงแต่ง
สภาวะตรงนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า
เป็นผู้มีปกติเห็นทั้งสองฝั่ง
ทั้งฝั่งวัฏสงสาร ธรรมชาติที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
และ ฝั่งวิวัฏฏะ พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
สภาวะตรงนี้ ผู้ที่จะเข้าถึงได้โดยสมบูรณ์
ก็คือเป็นปกติ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า... เป็นผู้มีสติสมบูรณ์
แต่อย่างเราๆ ฝึกตามพระพุทธเจ้าสอน
เราก็เข้าถึงได้
แต่ว่าเข้าถึงได้แค่ชั่วคราว
เรียกว่า หลุดพ้นชั่วคราว
ก็ต้องอาศัยการหลุดพ้นชั่วคราว เนืองๆ
สะสมบารมี
เวลาที่หลุดพ้นชั่วคราว สลัดคืนเข้าสู่อมตธรรม มันก่อประโยชน์ให้กับตัวเราอย่างไร?
สิ่งนี้ มันเป็นประโยชน์ อย่างมหาศาล
เวลาสลัดคืนเข้าสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ท่านทั้งหลายจะได้สัมผัสพลังงานความว่างที่บริสุทธิ์
นั่นคือ การเข้าถึงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
เมื่อท่านทั้งหลาย เข้าถึงสิ่งนี้อยู่เนืองๆ
ท่านทั้งหลายจะได้เติมเต็มความบริสุทธิ์
ให้แก่ตัวเองอยู่เนืองๆ
สิ่งนี้เรียกว่า "อริยทรัพย์" หรือ "บารมีธรรม" นั่นเอง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า... สติปัฏฐาน 4
สามารถชำระล้างบาป
และ อกุศลธรรมให้หมดสิ้นไปได้
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
ปุจฉา : คนที่เข้าสู่กระแสโสดาบัน
จะยังกลัวผีอยู่ไหม?
วิสัชนา :
จริงๆแล้วการกลัวผี
มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์นะ
พระโสดาบันเนี่ย
สังโยชน์ที่ละได้จริงๆก็คือ 3 ข้อต้นนะ
สักกายทิฏฐิ คือ..
• การยึดมั่นกายเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา
เป็นของเรา แล้วก็ละออกได้
• มีความมั่นคงต่อพระรัตนตรัย
ละความลังเลสงสัยตรงนี้ได้
• ละพวกการยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดได้
นอกนั้นก็ยังเกิดได้อยู่นะ
ละได้ 3 ข้อนี้
ความรู้สึกกลัวมันก็เป็นธรรมชาติ
มันก็ยังผุดได้อยู่ จะละเอียดจริงๆ
ก็ต้องละเอียดกว่านั้นแล้ว
ทีนี้จะเริ่มเป็นอุเบกขาที่มีกำลังขึ้นนะ
เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่ง
มันอยู่ที่กำลังของอุเบกขา
หรือกำลังของสติด้วย
บางคนตกกระแสธรรม
แต่กำลังสติก็ไม่ได้ทรงตัวอยู่ตลอดเวลานะ
ช่วงที่กำลังสติมันไม่ได้ทรงตัว
มันก็มีความรู้สึกกลัวผุดขึ้นมาได้เช่นกัน
ก็แค่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วก็มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆนั่นแหละ
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
เมื่ออยู่กับสภาวะรู้ที่มีความละเอียดสูงมากๆ
ก็จะรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า "#วิบากกรรม" ได้
เจตนาเป็นตัวกรรม
จิตเกิดขึ้นแล้วดับไป
กรรมเกิดขึ้นแล้วจบไป
แต่สิ่งที่คงอยู่คือ วิบากกรรม
จิตกุศลก็ตาม
จิตอกุศลก็ตาม
บางทีเกิดขึ้นครั้งเดียว
แต่ให้ผลสืบต่อยาวนานมาก
ตราบใดที่ยังมีรูปนามขันธ์ 5
ตราบใดที่ยังอยู่ในวัฏฏะ
วิบากกรรมก็จะให้ผลสืบต่อตลอดเวลา
ร่างกายนี้เป็นกรรมเก่า
เกิดขึ้นมาจากกรรมเก่าที่เราทำไว้
บางอย่างเราก็รู้ว่าไม่ดี
แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้!!
เคยเป็นไหม? รู้สึกว่าแรงกรรมเยอะ
ทำไมเราต้องคอยไปทำสิ่งนี้
ทั้งที่ไม่อยากทำ
แต่ก็ต้องทำ เพราะแรงกรรมพาไป
แรงกรรมก็เกิดจากกรรมที่เราทำไว้
ในแต่ละภพแต่ละชาติ เป็นเหมือน DNA
เป็นพลังงานที่ละเอียดมาก
ลอยอยู่ในมิติอวกาศ
รายล้อมตัวเราอยู่ หนีไม่พ้น
#มีแต่เนื้อธรรมบริสุทธิ์เท่านั้น
หลุดออกจากวังวนนี้ได้
ถ้าพัฒนาสติ สภาวะรู้ได้ละเอียดถึงขีดสุด
จะรู้กลไกการทำงานของสิ่งที่เรียกว่า
ทั้งกฎแห่งกรรมที่เป็นวงจรเฉพาะตัวเรา
และกฎแห่งกรรมที่เป็นวงจรหมู่ในระดับมหภาคได้
เราจะรู้เลยว่า ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นมาแบบบังเอิญ
หรือลอยๆ ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดขึ้น
เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรมต่างๆ
เกิดขึ้นมาทั้งที แทนที่เราจะใช้กรรมให้หมด
ตรงข้าม..ยิ่งสร้างกรรมสร้างวิบากขึ้นเรื่อยๆ พอกพูน
ก็ไม่สามารถที่จะหลุดออกจากวังวนนี้ได้
#สติปัฏฐาน4 พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า
เป็นทางสายเดียว
ที่จะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ได้
ที่จะสามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ หมดจด
ชำระบาปและอกุศลให้หมดสิ้นไปได้
นั่นคือเนื้อธรรมสุดท้ายที่บริสุทธิ์
วิบากกรรมเข้าไม่ถึง
จิต รูปนาม ขันธ์ 5 ก็ไม่ปรากฏ
มีแต่อมตธรรมล้วนๆ เรียกว่า
.
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ทรัพย์ทางโลก.. เราต้องสะสม
ทำงาน หาเงิน เก็บเงิน
เก็บหอมรอมริบ สะสมมาก ๆ
บางคนก็กลัวที่จะจับจ่ายใช้สอย
พอให้ไป เดี๋ยวมันหมด
แต่เรื่องของทรัพย์ภายใน หรือ #บารมีธรรม
ไม่เป็นแบบนั้น
บารมีธรรม
เกิดขึ้นจากการที่เราได้ขัดเกลาตัวเอง
หรือ สละออกนั่นเอง
ละมลทินในจิตใจของตนเอง
เพราะว่าเมื่อเราได้ขัดเกลาตนเอง
ละมลทินในจิตใจตนเอง ใจจะว่าง ใส
แล้วก็..กว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ
เหมือนภาชนะน่ะ ยิ่งมันว่างมากเท่าไหร่
ก็จะเติมเต็มความบริสุทธิ์เข้ามาในใจเรามากขึ้นเท่านั้น
นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า 'บารมีธรรม'
..............
ธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
มูลนิธิเดินจิต