พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 9 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 225 **ปัญญาธรรม**
+ +
ในเช้าของวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้ทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถามถึง หมวดของปัญญา ตอนที่ 1* น่ะเจ้าค่ะ
การที่เรานั้นประพฤติ ปฏิบัติ มีศีล มีสมาธิ - เราก็ต้องมีปัญญา
ฉะนั้น ลูกจึงจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงหมวดของการมีปัญญา
การที่เราจะมีปัญญาในทางธรรมนั้น.. จะเป็นลักษณะแบบไหน จะเกิดขึ้นยังไงกับตัวของเราบ้าง ล่ะเจ้าคะ ?
เราจะได้รู้ว่า.. นั่นคือการก่อเกิดปัญญาแล้วอย่างแท้จริง ในการประพฤติ ปฏิบัติของเรา น่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ปัญญาของโลกก็คือ ก็คือ ศึกษาเรียนรู้ และเป็นไปตามเหตุที่มันพาให้เป็นไป
ติดอยู่กับสมมุติต่างๆ และวิ่งตามสิ่งเหล่านั้น.. ให้รู้ ให้เท่าทัน
ยุคสมัย กาลเวลาเปลี่ยนไปเท่าไร.. ก็ให้เราวิ่งรู้ให้ทัน
อย่างนั้นเรียกว่า..
“ปัญญาของโลก / ปัญญาในวัฏสงสาร / ปัญญาที่ต้องเวียนว่าย เวียนวน”
แต่ปัญญาแห่งธรรม ปัญญาเฉพาะบุคคลผู้ที่ตั้งใจจะบำเพ็ญ ให้ไปสู่การดับการเกิด / ไปสู่พระนิพพานได้นั้น คือ ปัญญาแห่งความรู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลาย
คือ เราจะฝึกฝนตน จนกว่าเราจะเกิดปัญญา
รู้แจ้งในเหตุที่เกิด
รู้แจ้งในสิ่งที่มันมีอยู่ /ในสิ่งที่มันซ้อนอยู่ในความมีอยู่นั้น..
ให้เราเห็นความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย ที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังสิ่งสมมุติเหล่านั้น
ซึ่งถ้าเราติดอยู่ในสมมุติ.. เราก็จะมองเห็นแค่สิ่งสมมุตินั้น
และเป็นปัญญาที่ลุ่มหลง ที่วนไม่มีวันจบ
แต่ถ้าเป็นปัญญาแห่งธรรมแล้ว.. เรานี้ ก็จะสามารถมองทะลุ เข้าใจในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง และจะค่อยๆถอดถอน
ช่วยให้เรานั้นเกิดความรู้แจ้ง ในสิ่งที่มันมี มันเป็นนั้น - ตามความเป็นจริง
เรียกว่า เข้าใจเหตุของธรรมชาติ เหตุที่มันเป็นไป
ยอมรับมันและรู้จักกับมันเป็นอย่างดี จนเห็นมันเป็นธรรมดา
-- อย่างนี้เรียกว่า *ปัญญาแห่งธรรม *
และย่อมแน่นอนละ พระยาธรรม.. การที่เรานั้น มีศีล มีสมาธิ
ย่อมจะช่วยให้เราเกิดปัญญาแห่งธรรม
เมื่อเรารักษาศีล - ศีลย่อมช่วยชำระล้างกิเลสตัณหา - ที่มีอยู่ออก
และย่อมเป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้กิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำเราเพิ่มอีก
เรารักษาศีล เราหยุดสร้างกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดี
กรรมชั่วใดเล่า จะกลับมาปกคลุมจิตเรา ให้มืดมิด !
กรรมดี..ย่อมเป็นแสงสว่าง ช่วยนำพา ส่องสว่างให้กับจิตของเรา
-- เราก็จะเกิดความรู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริงได้ โดยธรรมชาติของมันเอง ++
จิตเรานั้นมืดบอด มองไม่เห็นธรรมะ มองไม่เห็นธรรมชาติ มองไม่เห็นความเป็นจริง
- ก็เพราะว่ามีกิเลสตัณหา คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง / ความอยาก และความไม่อยาก
สิ่งเหล่านี้ปกคลุมเอาไว้ ปกปิดจิตของเราเอาไว้.. ทำให้เรามืดมิด มืดบอด
เหมือนคนที่ถูกขังเอาไว้ในโลกแคบ จึงมองไม่เห็นความเป็นจริงของโลกกว้าง
-- จึงโดนปิดหูปิดตา อยู่อย่างนั้น นับภพชาติไม่ถ้วน …
แต่การรักษาศีล ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีล - จะช่วยชำระล้าง เปิดม่านที่ปิดตาเราเอาไว้นั้น..ออกไป ม่านแห่งกิเลสตัณหา ม่านแห่งวิบากกรรม จะถูกชำระล้างออกไป
ความดีจะเติมเต็มให้จิต มีแสงสว่าง รู้แจ้งตามความเป็นจริง
... เป็นธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปปรุงแต่ง ไปทำอะไรกับมันเลย.. เพราะมันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว..
เปรียบเสมือนกับการที่ลูกนั้น จะหว่านเมล็ดพืชชนิดใดชนิดหนึ่งลงบนพื้นดิน
และได้ปรับ ได้ดูแลพื้นดินนั้น เป็นอย่างดี
เมื่อหว่านพืชไปแล้ว ก็ได้ดูแลหลังการเพาะปลูกนั้นเป็นอย่างดี.. จนมันเจริญเติบโต จนมันออกดอกออกผล..
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งที่มันซ่อนอยู่ และเป็นไปตามเหตุของมัน
มันมีอยู่แล้ว..
- ขอเพียงแค่ให้เรา ทำเหตุให้ดี - ผลที่ดีย่อมก่อเกิด ++
ถ้าปลูกต้นศีลเข้าไป หรือว่าเมล็ดของศีลเข้าไป ดูแลมันอย่างดี อย่าให้บกพร่อง
แสงสว่าง ความรู้แจ้ง.. ย่อมก่อเกิด
กิเลสตัณหา กรรมวิบาก.. ย่อมถูกชำระล้างออกไป
เมื่อต้นแห่งศีลนั้น เจริญเติบโตแล้ว.. ออกดอกออกผลมา ก็ย่อมเป็น “ผลของปัญญา”
เพราะว่าเราถูกชำระล้างสิ่งที่มันปกคลุม ปกปิดเราออกไปหมดแล้ว..
-- แสงสว่างย่อมเกิดขึ้นแก่เรา --
หรือจะเปรียบเทียบกับการอาบน้ำ หรือยังไม่อาบน้ำก็ได้
ถ้าเกิดเรายังไม่อาบน้ำ -
ไม่อาบน้ำนานเท่าไร.. ก็สกปรกเท่านั้น !
แต่เมื่อเราชำระล้างร่างกายแล้ว อาบน้ำ ดูแลร่างกายอย่างดี ให้สะอาดสะอ้าน
.. ร่างกาย ก็ย่อมสะอาดขึ้น
-- เป็นธรรมชาติของมัน อย่างนั้นอยู่แล้ว..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีศีลแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้มีศีลแล้ว อย่างไม่บกพร่อง
- ย่อมเกิดปัญญา รู้แจ้งขึ้นมา -
และเรื่องของสมาธิ ก็เหมือนกัน.. พระยาธรรม
ถ้าเกิดเรามีศีลแล้ว..
ศีลชำระล้างสิ่งที่ทำให้เรา เร่าร้อน มืดมิด คือกิเลสตัณหา และกรรมวิบากออกไป ให้เบาบางลงเท่าไร
- จิตของเราก็จะยิ่งสงบได้มากเท่านั้น ++
เพราะที่มันรุ่มร้อน เร่าร้อนกระวนกระวาย ดิ้นรนขวนขวาย
นั่นก็เป็นเพราะว่า.. เรามีกรรมวิบาก และกิเลสตัณหาครอบงำจิตอยู่
เมื่อเรามีศีล.. สมาธิ ก็ย่อมมี และได้มาโดยง่ายดาย
เราฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จิตเรายิ่งสงบเท่าไร ยิ่งมีพลังของสมาธิเท่าไร
.. พลังของสมาธินั้น ก็จะยิ่งนำพาจิตของเรา - ให้มีพลังของจิตมากพอ
/ ที่จะรู้เท่าทัน ความเป็นจริง
/ ที่จะรู้และสามารถ ที่จะมีกำลังที่จะถอดถอน ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลายได้
*ศีล* ช่วยให้เราเข้าใจ รู้แจ้งตามความเป็นจริง
*สมาธิ* ช่วยให้เรารู้แล้วก็ตัด.. แล้วก็ถอดถอนได้ด้วย
ฉะนั้น.. เมื่อมีศีล มีสมาธิ - ปัญญาแห่งธรรมย่อมก่อเกิดขึ้น ++
พระยาธรรมเอ๋ย .. ปัญญาแห่งธรรมนั้น ก็จะ..
เกิดขึ้น กับเรา..
เกิดขึ้นได้ ทุกที่ทุกแห่งหน
เกิดขึ้นได้ ในทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเรื่องราว..
สมมุติว่า.. ถ้าเราเห็นใครคนใดคนหนึ่ง กำลังถูกอีกคนหนึ่งเบียดเบียนอยู่
ถ้าเราไม่รู้ตามความเป็นจริง.. เราก็จะทุกข์กับเขาด้วย
เราก็จะรู้สึกหดหู่ใจ
รู้สึกว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น !
แต่ถ้าเกิดเราเห็นแล้ว เรารู้แล้วนี่ ว่าคนๆนี้เคยทำกรรมสิ่งนี้ไว้กับคนๆนั้น
.. เมื่อถึงรอบ กฎแห่งกรรมก็หมุนตีรอบกลับมา ให้ 2 คนนี้ ต้องมามีเรื่องนี้ขึ้นมา..
ทุกอย่างมันเป็นตามกรรม / ตามเหตุที่ก่อเอาไว้.. จึงเกิดผลเช่นนี้
ปัญญาของเรา ก็จะก่อเกิดเช่นนี้ - รู้ตามความเป็นจริง เข้าใจในสิ่งที่เกิด
ถ้าสมมุติว่า.. เราบอกในเรื่องที่ดี สอนในเรื่องที่ดี เผยแผ่ในสิ่งที่ดี กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่เราหวังดีกับเขา.. แต่เขากลับรับไม่ได้ - ในสิ่งที่เราบอกเลย
ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่บอกเลย
.. เราก็จะเห็นธรรมเฉพาะหน้า เกิดขึ้นว่า..
ในความเป็นจริง เขานั้นไม่ได้สร้างสั่งสมบุญไว้มาก - ภูมิจิตของเขาเลยยังมืดมิด มืดบอดอยู่ !
เราบอกอะไรไป ชี้อะไรไป.. เขาก็เลยยังไม่เข้าใจ รับสิ่งที่ดีไม่ได้
.. เราก็จะเห็นเป็นธรรมดา เช่นนี้..
ถ้ามีคนมาด่าเรา ใส่ร้ายเรา หรือว่าทำในสิ่งที่ถูกใจ ไม่ถูกใจกับเรา
เราก็จะมีปัญญารู้เท่าทัน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเหล่านั้น ว่า.. เพราะอะไร /ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. เรียกว่าการเกิดปัญญาแห่งธรรม
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรามองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งนั้น.. สภาวธรรมของธรรมะหรือความเป็นจริงในทุกสิ่ง จะแตกฉาน ..
- เรามองดูเก้าอี้สักตัวหนึ่ง.. เราก็เห็นธรรมะที่อยู่ในเก้าอี้ตัวนั้น
- เรามองเห็นสัตว์สักตัวหนึ่ง เช่น วัว หรือว่าควาย .. เราก็จะเห็นธรรมะที่อยู่ในนั้น
- เราจะเห็นผู้คน บ้านเรือน รถรา.. เราก็เห็นธรรมะที่มันอยู่ในนั้น
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย.. เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
มันจะแตกฉานขึ้นมาเอง รู้แจ้งเอง เข้าใจเองลูก
เมื่อเราได้สร้างเหตุให้ดี คือ การมีศีล มีสมาธิแล้ว.. ปัญญามันก็จะแตกฉานเอง
และเราก็แค่ตามศึกษา เรียนรู้ ฝึกฝน พิจารณาธรรม ไปกับตัวปัญญา ที่มันแตกฉานไปเรื่อยๆนั้น..
ศีล และสมาธิ เป็นแสงสว่างและกำลังส่องทางให้เรามองดู
มองในที่ๆโดนปกปิดมานาน ที่ที่กิเลสตัณหา เป็นเงามืดบดบังความจริง /ปกปิดความจริงกับเรามานาน
เราจะมีศีล มีสมาธิเป็นกำลัง เป็นแสงสว่างที่ส่องทางให้เรา
เมื่อเรามีศีล มีสมาธิแล้ว - แสงสว่าง และกำลัง ก่อเกิดขึ้นแล้ว..
ในที่ใดที่มันถูกปกปิดอยู่
- ในที่นั้น.. ย่อมถูกเปิดให้เราเห็นทะลุแจ่มแจ้ง ตามความเป็นจริง ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรื่องของปัญญา ก็เป็นเช่นนี้ละ
การที่เรามีปัญญา เราก็มีเช่นนี้ละ เรียกว่า *ปัญญาแห่งธรรม*
และแต่ละตอน แต่ละสิ่ง แต่ละหัวข้อ ก็จะเป็นปลีกย่อย ลงรายละเอียดลึกเข้าไปอีก
ให้ลูกทั้งหลาย.. ได้พิจารณา ตรึกตรองตามดู
เอาละนะ พระยาธรรมเอย.. วันนี้ได้ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องของปัญญา
ได้รู้แล้วว่า ปัญญาก่อเกิดขึ้นมาจากไหน
ต้องเพาะปลูกเมล็ดพืชใด จึงก่อเกิดเป็นปัญญา
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว.. เราก็ต้องฝึกทำ
ฝึกรักษาศีล ฝึกทำสมาธิ
ศีลกับสมาธิ ก็จะเกิดงอกงามออกมา ออกดอกออกผล.. เป็นแสงสว่าง และกำลัง
แสงสว่าง และกำลัง- ก็จะช่วยส่องทางให้เรามีปัญญา ที่รู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริง ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ..
ลองนำไปประพฤติ ปฏิบัติ พิจารณาตาม ทำความเข้าใจ
เมื่อลูกเข้าใจแล้ว.. เดี๋ยวเราค่อยมาศึกษาข้อละเอียด หรือว่ารายละเอียดของแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ที่มันทะลุเป็นปัญญา
ค่อยๆฝึกไป..
จะสอนเรื่องของปัญญา ไว้ในช่วงหนึ่ง
ให้นักบวชทั้งหลาย -ผู้ตั้งใจศึกษาเรื่อง ศีล เรื่องสมาธิ
เรื่องก่อนบวช ให้เตรียมตัวยังไง
เสร็จแล้วก็จะได้พิจารณาตามด้วยว่า.. ปัญญาของธรรมนั้น..
แตกฉาน - มันแตกฉานแบบไหน
จะหยิบยกเรื่องราวตัวอย่างแต่ละเรื่องขึ้นมา ให้ลูกทั้งหลาย ได้ศึกษาไปก่อน..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. หมวดของปัญญา
ลองพิจารณาตามดูนะลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาชี้ทางสว่าง ให้ลูกได้รู้ ได้ทำความเข้าใจ เรื่องของปัญญา ว่าเราต้องทำแบบไหน - ปัญญาเราจึงจะก่อเกิด
เราต้องเพาะปลูกเมล็ดอะไร ผลจึงออกมา -ในเรื่องของปัญญา
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา แสดงธรรมให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
แล้วไว้วันพรุ่งนี้ ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมในเรื่องของปัญญา ตอนที่ 1*
ลูกจะได้รู้ว่า ตัวอย่างของการมีปัญญา แต่ละรูปแบบนั้น.. เป็นแบบไหน ยังไง ?
แล้วจะได้นำไปเผยแผ่.. เจ้าค่ะ
สาธุ