นี่ถ้าเราพินิจพิจารณาบ่อยๆจะเห็นน่ะ จะเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ เมื่อ"เห็นความจริงของกาย"นี้ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ความยินดี ความยินร้าย ความเศร้าโศกโศกาเนื่องจากกายนี้ก็จะลดลง
“ความจริงนั่นล่ะเป็นยา เป็นธรรมโอสถรักษาโรคใจ” โลกแห่งความหลงในกายนั้น...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “ปัญญากับความหลงเป็นอย่างไร”
ถ้ามันเที่ยงมันก็ต้องอยู่คงที่ แค่นี้หยิบขึ้นมาพินิจพิจารณา ก็จะเห็นความจริงของกายนี้ มันเติบโตด้วยอะไร อาหารคาวหวานนั่นเอง ให้พินิจพิจารณา อาหารคาวหวานมันของใคร ก็ของมีอยู่ในโลกนี้ แล้วมาเลี้ยงกายนี้ กายนี้เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้น เนื้อหนังนี้ก็มาจากของโลก แล้ว "กายนี้จะเป็นของเราได้อย่างไร"
ถ้าละเอียดขึ้นไปอีก เมื่อสติตั้งมั่น สมาธิตั้งมั่น ก็ให้มาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมนั่นเอง มาพิจารณากายตั้งแต่หัวจดเท้านี่"มันเที่ยงไหม" นี่เราผ่านมาแล้วนี่ลองพิจารณาดู ตั้งแต่เด็กวัยเด็กก็ผ่านมาแล้ว ผมก็เป็นสองสีแล้ว ถ้ามันเที่ยงผมมันก็ต้องสีดำอยู่ตลอด อันนี้ผมมันก็สองสี ผมมันก็ต้องไปตัดเรื่อย
เมื่อสติต่อเนื่องกับลมหายใจเข้าออก จิตนั้นย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมสงบเพราะไม่มีสิ่งใดรบกวน ความคิดนั่นเอง คิดไปสารพัดคิดไปร้อยแปด ความคิดนั่นล่ะมันรบกวนตัวเอง เพราะจิตนั้นไม่มีสติเป็นตัวผูกเอาไว้
เราต้องฝึกสติผูกไว้กับลมหายใจ เอาลมหายใจผูกสติเอาไว้ ให้มันอยู่ตรงนี้ เมื่อมันอยู่ได้มันตั้งมั่นได้ เราจะเห็นถึงความสงบ เห็นถึงความฟุ้งซ่านลดลง
เราจะเห็นคุณของการเจริญสติ การเจริญให้สมาธิเกิดตั้งมั่น อันนี้ก็เป็นประโยชน์ เป็นคุณ เป็นรสชาติอันหนึ่งที่เราไม่เคยประสบ ก็จะได้ประสบขึ้นมา ความสุขในเบื้องต้นนี้ก็จะเกิดขึ้น
อันนี้เทียบเป็นรูปธรรมให้เห็น เมื่อเรามาศึกษาเจริญพระกรรมฐาน ฝึกสติ ฝึกสมาธิ
การฝึกสติคือการระลึกรู้ พยายามให้มีสติระลึกรู้ที่ลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นที่ตั้งแห่งสติ เอาสติผูกไว้กับลมหายใจเข้าออก จิตเมื่อมีสติผูกไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ย่อมไม่คิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องต่างๆ
การเดินทางให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อกำจัดภัยที่จะมาถึงเรานั่นเอง เปรียบเสมือนเรามืด ไปเดินอยู่หลุมบ่อหรือหน้าผาก็ตกหน้าผาตาย
เหตุนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายผู้สนใจ เรามาทำวัตรสวดมนต์เจริญกรรมฐานนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อ"มาสร้างเหตุ" ให้"มาศึกษาเหตุ" แห่งการดำเนินนั่นเอง
เมื่อจิตนั้นมีมรรค ๘ เป็นทางดำเนิน มีทางเดิน มโนกรรมนั้นก็มีทางเดินไปในทางที่ถูกต้อง วจีกรรมก็ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง กายกรรมก็ดำเนินไปทางที่ถูกต้อง ผลแห่งการดำเนินไปในทางที่ถูกต้องนั้นจึงปลอดภัย เปรียบเสมือนไม่ตกหลุมตกบ่อตกเหวนั่นเอง
มรรคมีองค์ ๘ ขึ้นต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เห็นชอบ เมื่อเห็นชอบก็ดำริชอบ คือสัมมาสังกัปปะ ดำริชอบก็พูดชอบคือสัมมาวาจา พูดชอบ การงานชอบคือสัมมากัมมันตะ อาชีพชอบสัมมาอาชีวะ แล้วก็เพียรชอบสัมมาวายามะ ระลึกชอบคือสัมมาสติ ตั้งมั่นชอบคือสัมมาสมาธิ หมุนอยู่ในจิตนั้นน่ะ มรรค๘นั่นล่ะหมุนอยู่ในจิตนั้น
...พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสสอนไว้หมด แล้วยังไม่พอ พระองค์ยังสอน เหตุแห่งการดำเนินที่ปลอดภัย เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘
"ปัญญา" กับ "ความหลง" เป็นอย่างไร
หลงเขาหรือเปล่า
ในวันหนึ่ง... มีผู้แสวงหาธรรมะกลุ่มหนึ่ง
เดินทางจากจังหวัดนนทบุรีเพื่อจะไปกราบ
หลวงปู่ เพื่อเป็นสิริมงคลและถามธรรมะ
ข้อข้องใจ
ทั้งคณะก็ทราบแล้วว่า หลวงปู่ท่านให้ธรรมะ
กับญาติโยมจนหมด บอกทางไว้หมดแล้ว
ขึ้นอยู่กับโยมว่าจะปฏิบัติตามท่านได้หรือไม่
ไปถึงก็ได้กราบท่าน ท่านก็นั่งอยู่บนเตียง
นั่งเฉย โยมผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยถามหลวงปู่
ขึ้นว่า...
“หลวงปู่คะ คนเราเกิดมาทำไมคะ ?”
หลวงปู่บอกว่า:
“เกิดตายเป็นตัวหลง ตัวโมหะ ถ้าไม่พ้นเกิด
ไม่พ้นตาย แล้วจะเกิดมาทำไม !
เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ จะเอาอีกหรือ ?
เกิดก็ไม่เที่ยง ตายก็ไม่เที่ยง แล้วเราจะมาเกิด
จะมาตายทำไม ?
กายนี้เขาทดสอบเราว่า "หลงเขาหรือเปล่า"
ถ้าหลงกายนี้ก็เกิดบ่อย ตายบ่อย
เป็นทุกข์บ่อย ๆ นะ”
#หลวงปู่บุดดา ถาวโร...(หลวงปู่สอนศิษย์)
🧘สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา”🧘
ร่างกายและจิตใจ เกิดจากการรวมกันของ “ธาตุ” คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุรู้ที่ยังไม่สิ้นอวิชชา
เกิดเป็นขันธ์ห้า ได้แก่
(1) รูป (ดิน น้ำ ลม ไฟ)
(2) เวทนา (ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์)
(3) สัญญา (ความจำได้หมายรู้)
(4) สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง)
(5) วิญญาณ (วิญญาณขันธ์ / ความรับรู้ทางทวารต่าง ๆ)
ซึ่งสุดท้ายขันธ์ห้านี้ก็ต้อง “เสื่อมสลาย” ไปเป็นธรรมดา
เพราะ “ความไม่รู้” หรือ “อวิชชา” หลงยึดถือว่าขันธ์ห้าเป็น “เรา” หรือ “ของเรา”
เมื่อมีปรากฏการณ์หรืออาการใด ๆ เกิดขึ้น เช่น
👁️เมื่อรูปมากระทบตา ก็หลงว่า “ตัวเรา” เห็น
👂เมื่อเสียงมากระทบหู ก็หลงว่า “ตัวเรา” ได้ยิน
👃เมื่อกลิ่นมากระทบจมูก ก็หลงว่า “ตัวเรา” ได้กลิ่น
👅เมื่อรสมากระทบลิ้น ก็หลงว่า “ตัวเรา” ได้ลิ้มรส
🧘เมื่อโผฏฐัพพะมากระทบกาย ก็หลงว่า “ตัวเรา” ได้สัมผัสทางกาย
💚เมื่อธรรมารมณ์มากระทบใจ ก็หลงว่า “ตัวเรา” คิด ตัวเรารู้สึก ตัวเรามีอารมณ์
การหลงมี “ตัวเรา” ผสมโรง เพราะความไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงหลงยึดถือว่ามีเรา ตัวเรา อยู่ในปรากฏการณ์นั้น ๆ
หากไม่หลง เหม่อ เผลอ เพลิน มีสติ สมาธิ อย่างต่อเนื่อง “อยู่กับรู้”
สักแต่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น โดยใช้อุบายล่อจิต เช่น คำบริกรรมพุทโธ, การรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ฯลฯ
จะเห็นได้ว่ามีอาการที่เกิดขึ้น และมีผู้ที่ไปรับรู้อาการต่าง ๆ เหล่านั้น จิตผู้รู้ (จิตปรุงแต่ง) กับ อารมณ์ (สิ่งที่จิตไปรับรู้) เป็นคนละอย่างกัน
จิตผู้รู้ หรือ วิญญาณขันธ์ นั้น ไม่ว่าจะรับรู้อะไรตามทวาร จะนำมาคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง ทำงานร่วมกับเวทนา สัญญา สังขาร ทุกขณะปัจจุบัน และเมื่อทำงานเสร็จก็จะดับไป
ส่วน “สิ่งที่ถูกรู้” ได้แต่เกิดขึ้นและดับไปในความไม่มีอะไร
วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รับรู้รับทราบเพียงขณะจิตเดียวและดับไป แล้วก็เกิดจิตปรุงแต่งที่เป็นวิญญาณขันธ์ตัวใหม่ ทำหน้าที่รับรู้รับทราบแล้วดับไปต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ดังคำกล่าวที่ว่า... เพียงลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับเป็นแสนโกฏิขณะ
เมื่อพิจารณาเช่นนี้จะเห็นว่า ทั้งผู้รู้ที่เป็นวิญญาณขันธ์ หรือ สิ่งที่ถูกรู้ ล้วนแต่เกิด ๆ ดับ ๆ ในความไม่เกิดไม่ดับ
ดังนั้น “ผู้รู้” ที่เป็นจิตปรุงแต่ง และสิ่งที่ถูกรู้ จึงไม่มีตัวตนอยู่จริง
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เป็นเพียงธรรมชาติที่ผลัดเปลี่ยนกัน เกิดขึ้นและดับไป
ไม่มีอะไรที่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เลย
ทุกอย่าง... จึงจบที่... “ปล่อยวาง”🎈
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
••• หลงโลก •••
.. เราฟังธรรม
ก็เพื่อจะได้มีความรู้ ไปแก้ปัญหาของโลก
เพราะ ..
โลกอันนี้ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไรให้มันมากมาย
มาแก้ ... ความเห็นของเรา
มาแก้ ... ความคิดของเรา
มาแก้ ... ทิฏฐิของเรา
ให้มีความเห็นอันถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ..
โลกที่มันตั้งอยู่มันก็ตั้งอยู่ตามสภาพของมัน
... เพราะเราไปหลงโลก มันจึงทุกข์ ...
โลกนั้น ... มันไม่ทุกข์
โลกนั้นมันไม่ยาก ... เราเป็นคนยาก
•••••••••••••••••
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว
.. มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ..
••• หลวงพ่อชา สุภัทโท •••
ร่างกาย(รูป) อันประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟนี้ เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ไม่น่ายินดี หาได้เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่ ได้มาอาศัยรูปนี้ด้วยอำนาจของกรรม(กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)ที่เป็นกุศล หรืออกุศล
ธาตุทั้ง ๔ นี้ ไม่ได้ตายไปจากโลก ไม่ได้สูญสลายหายไปจากโลก เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็แตกสลายไป กลับไปเป็นธาตุเดิมของเขา
ดินกลับไปเป็นดิน น้ำกลับไปเป็นน้ำ ลมกลับไปเป็นลม ไฟกลับไปเป็นไฟ
ส่วนนาม(น้อมไปได้: คือจิต ซึ่งเป็นผู้รู้) ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น เป็นอาการของจิต หาได้เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่เช่นกัน เกิดขึ้นโดยอาศัยรูปเป็นเหตุ ผ่านทางอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสัมผ้สกับอายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์
ตามความเป็นจริงแล้ว รูปเป็นสักแต่ว่าธาตุของโลก ไม่ใช่เรา มิใช่ของเรา ส่วนนามทั้ง ๔ นั้นเกิดขึ้นโดยอาศัยรูปด้วยอำนาจของอวิชชาคือกิเลส จะเป็นของเราได้อย่างไร
จิตได้เข้ามาอิงอาศัยรูป เป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัย เครื่องรู้ เครื่องระลึก ชั่วขณะหนึ่งตามอำนาจของกรรมในภพชาติหนึ่งๆ เท่านั้น
รูปมิใช่เรา มิใช่ของเราจริง แต่เป็นเพราะอวิชชา (ความไม่รู้จริง ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ เพราะขาดการคิดพิจารณาหาความเป็นจริง: โยนิโสมนสิการ) จิตจึงหลงยึดถือเป็นตน เป็นของตน
อวิชชานั้น เป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปฯ ตามปฏิจจสมุปบาท
เมื่อหลงยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตนเป็นของตนย่อมเป็นทุกข์ เพราะขันธ์มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาตามกฎของธรรมชาติ(ไตรลักษณ์ : อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
▪ถ้ายึดมากก็ทุกข์มาก
▪ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย
▪ไม่ยึดเลยก็ไม่ทุกข์เลย
ทุกข์ในอริยสัจ ๔ ก็คืออุปาทานขันธ์ ๕ นั่นเอง เพราะไปยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นเอง
อุปาทานขันธ์ ๕ เกิดจากตัณหา ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันเป็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)
มรรคมีองค์ ๘ (ว่าโดยย่อ: ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นสายกลางเพื่อการดับทุกข์ (นิโรธ)ผู้ปฏิบัติจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง ซึ่งรู้ได้เฉพาะตน
♡♧♡♧♡
"จิตเป็นธาตุรู้" พร้อมที่จะรู้ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่สิ่งที่จิตรู้ มักจะรู้ผิดซึ่งเป็นความหลง
เมื่อฝึกฝนอบรมจิตด้วยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว นามทั้ง ๔ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เกิดขึ้นทางใจด้วยอำนาจของกิเลสทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด จะค่อยๆ ดับหมดไปด้วยความเพียร
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ทางสว่างแห่งปัญญาแก่ผู้ที่หลงทาง ดุจดังส่องประทีปให้ในที่มืด เปิดของที่ปิดอยู่ให้เราเห็น หงายของที่คว่ำอยู่ให้เราดู
ศาสนิกชนผู้ได้สดับแล้วน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตาม จะสามารถออกจากข่ายแห่งความหลงนี้ไปได้ พระคุณของพระพุทธองค์นั้นมีมากเกินกว่าที่จะประมาณได้ เป็นบุญของเราแล้วหนอที่ได้เกิดมาพบพระศาสนาของพระองค์ สาธุ สาธุ สาธุ.
"...ทุกๆ ขณะ เราหลงยึดมั่นถือมั่นในส่วนใดส่วนหนึ่งของกายหรือใจว่าเป็นตัวเราหรือของเรา เราเอ่ยปากว่า 'ร่างกายของฉัน' 'ความรู้สึกของฉัน' 'ความคิดของฉัน' 'ความหวังของฉัน' 'ความกลัวของฉัน' และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นของเราอย่างแท้จริงแล้ว ทำไมเรามีอำนาจควบคุมมันน้อยนิดเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น ทำไมเราเลือกไม่ได้ว่าจะวิตกกังวลให้น้อยลงและมีความสุขให้มากขึ้น ทำไมเราห้ามร่างกายนี้ไม่ให้แก่ไม่ได้ ในแง่ไหนบ้างที่ร่างกายและจิตใจนี้เป็นของเราจริงๆ
พระพุทธองค์ทรงสอนว่าความหลงผิดว่ามี 'ตัวตน' ที่เที่ยงแท้ถาวรและเป็นอิสระจากเหตุปัจจัยอื่นเป็นผู้ครอบครองประสบการณ์ชีวิตนั้นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ กิเลสในใจทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความหลงผิดประการเดียวนี้เอง
นักภาวนาต้องฝึกตนให้เกิดความเข้มแข็งภายใน ความนิ่งสงบและความสุขเพื่อให้เห็นกายและจิตอย่างชัดเจน แล้วเราจะค้นพบด้วยตัวเองว่า ชีวิตเป็นเพียงกระแสของปรากฏการณ์โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ นี้คือหนทางสู่ความหลุดพ้นตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์..."
พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความโดย ปิยสีโลภิกขุ
รู้อริยสัจ แต่หลงอริยสัจ รู้สมุทัย แต่หลงสมุทัย
รู้นิโรธรู้มรรค แต่หลงนิโรธหลงมรรค
รู้มรรครู้อรรถรู้ธรรมะ แต่หลงธรรมะ นี้คือ "ไม่รู้ตน"
ไม่รู้ตนที่ไปเห็นชาติความเกิดเป็นทุกข์
ไม่รู้ตนที่เห็นสมุทัย กามตัณหา ภวตัณหา
หรือวิภวตัณหาว่าเป็นทุกข์
#ไม่รู้ตนผู้รู้นั้น..รู้แล้วหลงทั้งนั้น
จะรู้นิโรธรู้จนกระทั่งพระนิพพานก็ช่าง
ถ้าไม่รู้ตนผู้รู้นิโรธ ไม่รู้ตนผู้รู้มรรคเห็นมรรคชัด
หลงทั้งนั้น รู้แล้วยึดติดว่า "เจ้าของรู้"
ใครรู้ว่าไม่เหมือนเจ้าของคนนั้นผิด
นี่จึงเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรมบางทีปฏิบัติกิเลสมันก็เพิ่มขึ้น
แต่ก่อนมันไม่เคยมีรู้ว่าเจ้าของรู้
แต่ก่อนไม่รู้นะเพราะมันยังไม่ได้เรียน
พอเรียนมันรู้แล้ว..แต่ว่ามันติด
หลวงปู่แบน ธนากโร
" อดีตแมนหยัง คือผู้รู้ที่ล่วงไปแล้ว.
อนาคตแมนหยัง ผู้รู้ที่บ่ทันมาถึง.
ปัจจุบันคือผู้รู้ที่กำลังเป็นอยู่.
พระอริยเจ้าเพิ่นหน่ายเมิด เพิ่นพ้นไปเมิด.
มีสติเหนืออยู่... เหนือซุมหมู่นี่ เพิ่นจังบ่ได้เดือดร้อน.
ความรู้เหนือกว่าความหลงไปแล้ว บ่มีแนวเดือดร้อน.
หมู่เฮาก่อมันสิเดือดร้อนเพราะว่ามันมีหลงอยู่เด้.
เพราะบ่ทันชนะความหลงเจ้าของ."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
"ความตายไม่มีจริงในโลก"
อันว่าความตายตามโลกสมมุตินั้น เป็นความหลอกลวงของรูปนามในจักรวาล ไม่ใช่ความจริงแท้
ธาตุทั้ง ๔ ในกายนั้น มิได้ตายหรือสูญสลายหายไปจากโลก ส่วนจิตนั้นมีการเกิดดับ และถ่ายทอดสืบต่อบุญบาปสู่จิตดวงถัดไป เป็นธาตุรู้ ว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไม่มีผู้สร้าง และมิอาจทำลายได้ แต่มีธรรมชาติเป็นผู้รู้หรือธาตุรู้ มีชื่อเรียกว่า "จิตธาตุบ้าง มโนธาตุบ้าง วิญญาณธาตุบ้าง"
สังเกตุนะ วันๆ หนึ่ง ส่วนมากเราจะไหลไปอยู่กับความเคยชิน
กระทั่งลืมความรู้สึกตัว ลองกลับมารู้สึกเรื่อยๆ ทำอะไรก็ รู้สึก รู้สึก รู้สึก
หลักปฏิบัติคือ ให้เอาความรู้สึกตัว ใส่เข้าไปในความเคยชิน
ทีนี้ประโยชน์ของความรู้สึกตัว พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้สึกตัวอยู่ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ก็จะเกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะดับไป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อรู้สึกตัวอยู่ ความเป็นผู้รู้สึกตัว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพื่อความดำรงมั่น เพื่อความไม่เสื่อมสูญ เพื่อความไม่อันตรธานแห่งพระสัทธรรม”
พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ
ชีวิตเราที่ดำเนินเป็นกิจวัตรทุกวินาที มันดำเนินไป
ด้วยตัวมันเองตลอดเวลา
แต่เราไม่รู้ เราเข้าใจไปว่ามี"ตัวกู"ทำทุกอย่าง
นี่คือ... ความหลงผิด
“...‘วิชชา’ แปลว่า ‘การเห็นแจ้ง’
ส่วน ‘อวิชชา’ แปลว่า ‘ไม่รู้’
ที่ว่า อวิชชา-ไม่รู้นี้
มันก็เป็นความรู้อันหนึ่ง แต่มันไม่รู้การเห็นแจ้ง
‘อวิชชา’ นั้นก็คือ ‘การที่เราไม่เห็นจิต-ไม่เห็นใจเรานี้ล่ะ’
ส่วนลึกนี้นะ
‘วิชชา’ แปลว่า ‘เห็นจิต-เห็นใจเรา’
ส่วนลึกนี้นะอันนี้เนี่ยะ
อันนี้แหละ มันเป็นต้นเหตุของบุญ-เป็นต้นเหตุของกุศล
เป็นสมุฏฐานของมัน ต้นเหตุของมันอยู่ที่ตรงนี้
ความทุกข์ความร้อนมันก็อยู่ที่นี้
เราต้องศึกษาไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้
'ถ้าเราไม่เห็นตรงนี้'
ก็แปลว่า'เราไม่เห็นต้นเหต-ุสมุฏฐานของความทุกข์
ไม่เห็นต้นเหตุสมุฏฐานของบุญ'
มันตรงข้ามกันอยู่อย่างนี้
มันมี ‘มืด’ กับ ‘แจ้ง’
มันมี ‘ขาว’ กับ ‘ดำ’
ถ้ามันมีดำแล้ว ขาวก็ไม่เห็น
ถ้ามีความขาวแล้ว ความดำก็ไม่มี
ถ้ามีความมืดแล้ว ความสว่างไม่มี
ถ้ามีความสว่างแล้ว ความมืดไม่มี
'ถ้าเราเพียงมาจับจุดนี้แหละ "ความหลงผิด"ก็เลยไม่มี'
ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงนั้น
ไม่ต้องไปไล่มัน มันไม่ได้มี
อันที่เราว่า‘มันมี’นั้น ก็เพราะเราไม่ได้เห็นมัน
ไม่ได้เห็นกิเลสนี้น
เราว่า ‘เราต้องการจะละกิเลส’
แต่ว่าเราไม่เห็นกิเลส มันก็เลยละไม่ได้
‘กิเลส’นั้น ‘มันไม่มี’
วิธีการ (คือ)
*ให้เรามาเห็นจิตเห็นใจเรานี้นะ
เมื่อเราเห็นจิตเห็นใจของเราอยู่ทุกขณะ
ทุกเวลา-ทุกระยะ-ทุกนาที-ทุกวินาที เห็นอยู่อย่างนี้แหละ
อันนี้ชื่อว่า ‘เราฝึกได้-อบรมได้’*
เมื่อเป็นดังนี้
พอเราไปทำงานทำการ
แล้วมีผู้ใดผู้หนึ่งมาตำหนิเรา หรือว่ามาสรรเสริญเรา
(จะเป็น)ความไม่ดีก็ตาม-ความดีก็ตาม
ความเร็วของสตินี้ มันจะทันควันจริง ๆ
มันจะแว้บเข้ามานี้ไวจริง ๆ ไวกว่าเสียง-ไวกว่าแสง
ไวยิ่งกว่าไฟฟ้า หรืออะไรที่ว่าไวทั้งหมดนี่เลยเข้าไปอีก
สตินี่-เรื่องจิตใจ-เรื่องสติที่ถูกฝึกมาแล้วตัวนี้นี่
ผมกล้ายืนยันรับรองได้ว่า
‘คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นคู่อยู่กับโลกนี้
ไม่ได้หนีจากโลกนี้ไปไหน
ถ้าหากผู้ใดปฏิบัติได้อย่างนี้
ผู้นั้นชื่อว่า 'อยู่เหนือโลก’
อยู่เหนือโลกนั้น
ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องขึ้นไปอยู่บนชั้นฟ้าโน้น ไม่ใช่
‘อยู่เหนือโลก’ นั้น
หมายถึง ‘อยู่เหนืออารมณ์ อยู่เหนือความทุกข์’ นั่นเอง
'เมื่อมันจบแล้ว มันก็ไม่มีอะไรจะปรุงแต่งได้อีก'
เราก็เคยสวดกันแล้ว (ว่า)
‘วิสังขาระคะตัง จิตตัง
จิตของเราได้ถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป’
มันเป็นอย่างนั้น !!! ”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
“…วิธีที่ผมว่านี้ 'ไม่ต้องไปดีใจ'
มันคิดดีใจแล้ว...รู้จักดีใจ แล้วไม่ให้เอา
ดีใจก็มี-เสียใจก็มี มีดีใจ-ก็ต้องมีเสียใจ
ถ้าดีใจไม่มีแล้ว ความเสียใจก็ไม่มี
บัดนี้ไม่เอา
*มาดูตัวความคิดเสมอ*
อันความดีใจ-เสียใจ มันไม่ได้มีในจิต
อัน ‘ดีใจ’ กับ ‘เสียใจ’ นี้ 'มันเป็นเรื่องของความหลงผิด'
มันมีโมหะแล้ว มันจึงมีความดีใจ
เมื่อมีความดีใจ นั่นแหละมันก็ไปติดความดีใจ
เขาว่า ‘โลภะ’ มีแล้ว
ปฏิบัติไป-ปฏิบัติไป เกิดความเสียใจ...เพราะโมหะ
เมื่อโมหะสนับสนุนอยู่แล้ว โทสะเกิดขึ้น-หงุดหงิดจิตใจ
อันนี้เรียกว่า ‘มันยังไม่พ้นอันตราย’
เราต้องพยายามดูจิตใจไปตามเคย ดูนั่นแหละ
เราจะรู้จักสมุฏฐานการเกิดไฟ(หลอดไฟสว่าง)
แล้วกดสวิทซ์ที่นี่ มันไปทำความสว่างทางโน้น(ที่หลอดไฟ)
กดที่นี่(กดสวิทซ์) มันไปอย่างนั้น(ไปสว่างที่หลอดไฟ)
การกระทำอย่างนี้ เพื่อจะไประงับทุกข์-ให้ทุกข์นั้นหมดไป
*ทุกข์เกิดขึ้นเพราะหลง*
'เมื่อเราทำให้มีสติมั่นคงแล้ว
ความหลงไม่มี ทุกข์ก็ลดน้อยลง'
สมมติ รูปกายเรานี้เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม
ผมเลยมาทำจังหวะ-ทำเป็นจังหวะ
ยกมือเข้า-เอามือออก ตามที่ผมได้เอามาแนะนำนี่แหละ
เป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่อย่างนี้
ตลอดถึงจิตใจคิด
๒ อันนี้เป็นเครื่องผูกสติเอาไว้
เมื่อความคิดเข้ามา...เราเห็น-เรารู้
กำมือ-เหยียดมือ ยก(มือ)ไป-ยก(มือ)มานี้...ก็รู้
แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้
อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้
'ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด'
คำว่า‘ไปคุม’ คือ‘ให้คอยดูมัน’
อย่าไปดูใกล้ ๆ ...ดูไกล ๆ สบาย ๆ
*มันคิด ทิ้งไปเลย*
เหมือนแมวกับหนู พอหนูมาปั๊บ...(แมว)มันจับปุ๊บ
(เมื่อ)แมวมันกินหนูอิ่มแล้ว
หนูมา (แมว)มันก็ต้องจับอยู่อย่างนั้น
พอจับปั๊บ หนูตาย...(แมว)มันทิ้งเลย มันไม่กิน
กัดทิ้งเล่นอย่างนั้นแหละ
นี้เป็นวิธีที่เอามาเปรียบว่า
‘ความจริงโมหะไม่ได้มี
ที่มันมีโมหะ คือเราไม่มีสติ’
บ้านเราสร้างขึ้นมาใหม่ ๆ หนูไม่มี
ต่อมามีของระเกะระกะ มันมีที่รก
หนูจึงเข้าไปซ่อน หนูมันชอบที่รก
ตัวสติไม่มีคุมตัวเราอยู่ เราหลง
ความหลงเข้ามา...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
คนเราตกเป็นทาสของความคิดความปรุงแต่ง
คิดดีก็มีความสุขเพลินไป คิดไม่ดีก็มีความทุกข์ตรม
ไม่ต้องเป็นทาส ไม่ต้องเป็นนาย
รู้เท่าทันความคิด ไม่ไปเป็น มันก็ไม่มีตัวตนไปเป็นอะไร
คิดดีเพราะสมควร คิดไม่ดี รู้ทันก็ดับไป
จนถึงว่าความคิดดีชั่วอะไร ก็ไม่มีน้ำหนักกับใจ
ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่
🦋หลวงปู่ขาว อนาลโย🦋
ความโกรธ ความโลภ ละได้ง่าย หายเร็ว
แต่มันจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้ถ้าไม่คอยระวังรักษาใจ
แต่เจ้าความหลง ตัวโมหะนี้ ละได้ยากมาก
ถ้าหากปิดหู ปิดตา ปิดใจของใครแล้วแก้ไม่ตก
เหมือนสอนปลาให้ว่ายน้ำบนบก สอนไก่ให้ดำน้ำ
กิเลส คือ โมหะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
มันจะซ้อนอยู่ในใจโดยเราไม่รู้สึกตัวเลยคือมันสามารถเข้าไปจับใจ
เมื่อมันจับ "นายใจ" หรือ "พญาจิตราช" ได้แล้ว
สิ่งทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามคำบังคับบัญชาของมัน
เช่น ยกตัวอย่าง รูปัง อนิจจัง รูปทั้งหมดไม่เที่ยง
แต่โมหะมันบอกใหม่ว่า รูปทั้งหมดเที่ยงแท้
พระบอกว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
มันจะบอกคนโง่ว่า สังขารเป็นสุขอย่างยิ่ง
วิธีแก้ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงว่ามันมีโทษมีภัยไหมพอพิจารณาถึงความเป็นจริงแล้วว่าสิ่งไหนมีโทษมีภัยต่อจิตใจเราแล้ว ก็ตั้งจิตนั้นให้มั่นอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก" จนจิตนี้ใสสว่าง หายมืดหายหลง "หายมัวเมาในกามคุณทั้ง ๕ จนเกิดดวงตาญาณ" เผาผลาญกิเลสให้หมดไป ค่อยๆทำไปเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องใช้เวลาสิ่งสำคัญคือต้องตั้งใจแล้วกิเลสของโยมมันก็จะน้อยลงและหมดไปเองขอแค่โยมอดทนอย่าท้อในการปฎิบัติ
“หลงโลกหลงสมมติ”
…การที่เรามาปฏิบัติธรรมนะ มาบวชก็เพื่ออะไร ก็เพื่อหาทางพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้อยู่แล้ว ขันธ์ ๕ อุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ หลงในขันธ์ ๕ นั่นเอง หลงในขันธ์ ๕ ทีนี้มันไม่พอ ในขันธ์ ๕ นั่นอีกมันจะเอาเรื่องราวคือตัวสัญญาสังขารนั้น มันจะเอาเรื่องราวในสมมติโลกทั้งหมดขึ้นมาหลอก ขึ้นมาบังเจ้าของให้หลงมันเอง เอาสมมติเรื่องราวขึ้นมาบังให้หลง
ถ้าเราคิดง่ายๆ พิจารณาง่าย ๆ โลกที่เราเกิดมานี่มันเป็นโลกแห่งสมมติ เขาเรียกสังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ตั้งแต่นรกขึ้นไปจนถึงพรหมโลก
การไปเกิดไปอยู่ในภพภูมิใดก็เพราะกรรมนั่นเองเป็นตัวแต่งขึ้น กรรมนั้นก็มาจากความรู้ความเห็นที่ถูกหรือที่ผิด ถ้าผิดก็ไปลงข้างล่างเรียกว่าทุคติ ถ้าถูกก็ขึ้นข้างบนเรียกว่าสุคติ
ถ้าสติปัญญาไม่หลงโลกไม่หลงสมมติ ก็ไม่ต้องมาเกิด เพราะฉะนั้นแค่นี้ พิจารณาแค่นี้ก็เป็นเครื่องเตือนสติเตือนปัญญา ที่เรามาเกิดที่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเรา มันก็รู้เรื่องสมมติหมดน่ะ เมื่อมันรู้เรื่องสมมติหมด สมมติเป็นเรื่องในโลก ถ้าเราจะไม่หลงโลกก็ไม่หลงสมมตินั่นเอง แค่นี้ล่ะเตือนสติตัวเองแค่นี้
ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่ามันหลง ๑.มันจะออกในการยินดีกับยินร้าย พอใจไม่พอใจ ขัดเคืองนั่นเอง
พอยินดีแล้วก็ยินร้าย เป็นโลภะโทสะมันจะออกมา มันไม่ใช่ตัวฉันทะนะ พอใจ มันไม่ใช่ มันเป็นตัวยินดีกับยินร้าย มันจะออกทางยินดีกับยินร้าย เป็นโลภะโทสะ ก็แสดงว่ามันหลงแล้วนี่ มันมีโมหะแล้ว นี่ทั้งหมดเลย
ไม่ว่าคำพูด พูดดังพูดค่อยพูดอะไร อยากให้เป็นอย่างนั้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ นั่นล่ะหลงสมมติ หลงเสียงนั่นล่ะ หลงการปรุงแต่งของจิตตนเองนะ ว่า อันนี้เป็นอย่างนั้นอันนั้นเป็นอย่างนี้ หลงความรู้ความเห็นนั่นเอง…
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ