พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 18 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 235 **อยู่กับปัญหาอย่างไม่มีปัญหา**
+ +
ในเช้าของวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าฟังธรรม ในหมวดของผู้มีปัญญาธรรม น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตายกตัวอย่างผู้มีปัญญาธรรม ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ นำไปปฏิบัติและเผยแผ่ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟัง
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาแล้วนั้น เขาย่อมสามารถฝึกฝนตน ให้อยู่กับปัญหาความวุ่นวายต่างๆได้
.. โดยที่เขานั้นไม่รุ่มร้อน ไม่วุ่นวาย ไม่ดิ้นรนเร่าร้อน ตามปัญหาเหล่านั้น..
เพราะบุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว.. เขาย่อมรู้แจ้งเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา
และเขาก็จะยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันเกิดขึ้นได้
เขาทำใจเตรียมใจฝึกฝนจิตใจของเขา จนอยู่นอกกาย เหนือกาย อยู่นอกเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันจะเป็น จะมี /สมมุติเป็น สมมุติมี เหล่านั้นหมดแล้ว..
เขายกจิตของตน อยู่เหนือปัญหาต่างๆ
เขาพร้อมที่จะยอมรับความเป็นจริง โดยไม่เจ็บปวด
เขาจะสักแต่ว่า เห็นสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. เป็นเพียงเรื่องธรรมดา
พระยาธรรมเอย .. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว อย่างแท้จริง เขาจะมีสภาวธรรมเช่นนี้แหละลูก
เช่น ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสักเรื่องหนึ่ง จะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ก็ตาม..
เขาก็เห็นสักแต่ว่า.. เป็นธรรมดา
ก็มนุษย์เขาก็ยังมีกรรมพัวพันกันให้เป็นอย่างนั้น / มีกิเลสตัณหาส่งผลให้เป็นอย่างนี้
มันก็เลยเป็นปมเหตุอย่างนั้น..
- เขาก็จะเห็นเป็น ธรรมดา
- เขาจะไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่วิ่งวุ่น ไม่รุ่มร้อน
ถ้าหากว่า.. จะต้องเกิดการตาย การพลัดพรากจาก ในชีวิตของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง
- เขาก็จะสักแต่ว่าเห็น การแตกสลาย ดับสลายเสื่อมไปของร่างกาย.. ที่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับท่อนไม้ หรือท่อนฟืน..
เมื่อหมดอายุขัย หรือว่าล้มลงกองกับพื้นแล้ว.. ก็เปล่าประโยชน์
ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
เขาจะฝึกฝนจิตของตน จนเป็นเช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ดวงจิตของผู้มีปัญญาธรรม จึง..
/ ไม่ต้องเป็นทุกข์
/ ไม่ต้องวิ่งวุ่น ให้มันร้อนรุ่มในจิตใจ
- จะเห็นเพียงแค่ว่า เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เป็นธรรมดา..
จะฝึกฝนจิตของตน ให้รู้แจ้ง มองเห็น เข้าใจตามความเป็นจริง ในทุกสิ่งทุกอย่าง จน..
ไม่ยึดติดกับอะไร
ไม่หลงกับอะไร
ไม่ทุกข์กับอะไร อีกต่อไป..
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว เขาฝึกฝนตน ให้เป็นเช่นนี้แหละลูก
ให้จิตนั้นอยู่ห่างจาก..
กายของตนก็ดี / กายของบุคคลผู้อื่นก็ดี
เรื่องราวที่สมมุติขึ้นมาว่า เกี่ยวกับตนก็ดี /สมมุติว่าเกี่ยวกับคนอื่นก็ดี
- มันจะเห็นเรื่องราวเหล่านั้น.. เป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดา..
แม้กายแห่งตน ก็จะเห็นเป็นเพียงแค่ท่อนไม้ หรือท่อนฟืน
ที่ก็ไม่ได้มีค่า มีประโยชน์อะไรเลย !
พระยาธรรมเอย.. เมื่อผู้ประพฤติ ปฏิบัติธรรม ฝึกฝนตน จนรู้แจ้งในธรรม เข้าใจ และยอมรับในสรรพสิ่งทั้งหลาย..
ยอมรับได้แม้กระทั่ง การเป็นไปของร่างกาย ที่สมมุติว่าเป็นของตน หรือของคนที่ตนรัก
- จิตจะนิ่ง ดูดาย
- จะสักแต่ว่าเห็นเป็นธรรมดา ในทุกสิ่งทุกอย่าง
เช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
และเมื่อเห็น รู้แจ้ง เช่นนี้อย่างนี้แล้ว.. เขาก็จะมีปัญญาที่เหนือกว่านั้น ก็คือ สามารถแก้ไข หรือว่าช่วยเหลือ ทำในสิ่งที่ควรจะทำตามเหตุ และปัจจัย
โดยที่ไม่ต้องเอาจิตไปปรุงแต่ง ให้มันสุขมันทุกข์กับสิ่งที่ทำ
สักแต่ว่าช่วย สักแต่ว่าทำ
ทำตามเหตุและปัจจัย
ไม่สุข ไม่ทุกข์ กับสิ่งที่ต้องทำ
- อย่างนี้.. ก็เป็นผู้ที่มีปัญญาอย่างแท้จริง สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง *
พระยาธรรมเอย.. ง่ายๆก็คือ การฝึกฝนจิตแห่งตน ให้ยอมรับความเป็นจริง ++
สรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
/ จะเป็นรูปธรรม นามธรรม
/ จะเป็นตัวบุคคล หรือว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก
/ จะเป็นสิ่งของข้าวของ ก็ตาม
- เราจะเห็นสักแต่ว่า เห็นเป็นธรรมดา -
และเราก็จะสามารถอยู่ได้ โดยที่จิตนั้นนิ่ง
นิ่งพอ.. ที่จะเห็นเรื่องราวต่างๆทั้งหลายที่มันเกิด - มันดับนั้น.. เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น..
และเราก็จะมีสติ มีปัญญา ที่จะชี้จะบอก จะค่อยๆปรับปรุงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นไป
โดยที่เรา ไม่เข้าไปปนเปื้อนกับปัญหาทั้งหลาย..
ยอมรับความจริงได้
ก็เหตุนั้นเกิด - เกิดเพราะเหตุโน้น
.. เดี๋ยวมันก็ดับไป เป็นธรรมดา..
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว.. เขาย่อมมีจิตที่นิ่งสงบ เช่นนี้ละ..พระยาธรรม
ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่กับปัญหามากมาย
- แต่ปัญหามากมายเหล่านั้น.. ก็ไม่ได้ทำอะไรเขาได้เลย -
ถึงแม้ว่าเขาต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม.. ความสูญเสียนั้นก็จะทำอะไรเขา ไม่ได้เลย !
เพราะเขาฝึกฝนตนจนรู้แจ้ง จนยอมรับ - รับได้กับความจริงที่มันจะเกิดจะดับ
จะมีอยู่ หรือไม่มี ในทุกสิ่งทุกอย่าง
เขายกจิตของตนอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว..
เขาย่อมไม่สุข ไม่ทุกข์อะไรกับโลกใบนี้อีก
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุของมัน - ดับตามเหตุของมัน
จะไม่ยุ่งเกี่ยว เอาจิตของตนไปดึงเอาเรื่องนั้น เรื่องนี้ - มาทำให้ตนนั้นต้องเป็นทุกข์เลย !
เพราะตนรู้แล้วว่า สิ่งทั้งหลาย.. แม้แต่กายนี้ ก็ประกอบไปด้วย
ความหลง
ความยึดในตัวในตน และตัวบุคคลผู้อื่น เรื่องราวอื่นๆ
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้.. ก็ล้วนแล้วแต่เป็น แค่สิ่งที่มันปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา สร้างให้เกิด สร้างให้ก่อขึ้นมา
เขาจะไม่ไปเอาเรื่องราวเหล่านี้มา
- ทำให้จิตของเขาต้องมัวหมอง
- ทำให้จิตของเขาต้องร้อนรุ่ม ครุ่นคิดไปตาม
เขาก็จะมีจิตที่นิ่งเฉย กับทุกสิ่งทุกอย่าง +
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
แต่ก็ยังมีการประกอบโลกอยู่.. เขาก็ยังคงสมมุติประกอบอยู่กับโลกไป
ด้วยสติ / ด้วยปัญญา / ด้วยความรู้แจ้ง
เพียงแต่..
อยู่กับปัญหา - อย่างไม่มีปัญหา +
อยู่กับทุกข์ - แบบไม่ทุกข์ +
อยู่กับฝุ่น - แบบไม่เปื้อนฝุ่น +
เพราะเขานั้น.. มีเกราะป้องกันของจิตตนแล้ว
ใครจะเป็นอะไร เรื่องอะไรจะเกิดขึ้น จะดีหรือไม่ดี - เขาย่อมรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง ในทุกสิ่งแล้วว่า.. มันเป็นเพียงแค่ สิ่งสมมุติขึ้นมา
เขาจะรู้แจ้ง เข้าใจอย่างชัดเจน เช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ ทำตนนั้นให้ถึงซึ่งความดีอันสูงสุด *
คือ การสั่งสมความดีให้มากๆ สั่งสมความดีไปเรื่อยๆเรื่อยๆ..
-- จนความดีนั้นจะค้ำหนุนให้ลูกนั้น มีสภาวะจิตสภาวธรรม ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ...
เมื่อจิตสูงเหนือกว่า กิเลสและตัณหาทั้งหลายทั้งปวง - ลูกก็จะมี “ปัญญาธรรม”
รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง ในสรรพสิ่งทั้งหลาย เช่นนี้ละ
การพลอยสุข พลอยทุกข์ ไปกับเรื่องราวภายนอก - ก็จะไม่มีอีก
การยึดตน ยึดบุคคล ที่สมมุติว่าเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตน - ก็จะไม่มี
การที่จะไปวิ่งสุขวิ่งทุกข์ กับเรื่องราวต่างๆทั้งหลาย.. ก็จะไม่มีอีก
.. ตนย่อมอยู่กับปัญหาได้ อย่างไม่มีปัญหา...
-- จิตนั้น ย่อมเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด ลูก --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม
ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ ในสภาวธรรมของ “ผู้มีปัญญา”
ผู้มีปัญญาในวันนี้ คือ ผู้ที่สามารถฝึกฝนตน จนสามารถอยู่เหนือปัญหาทั้งหลาย อย่างไม่มีปัญหา
รู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลาย..
ยกจิตของตน อยู่สูงเหนือกิเลสตัณหาทั้งปวง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันประกอบขึ้น ประกอบอยู่ และดับไป - เป็นเพียงแค่เรื่องของ กิเลสตัณหาประกอบขึ้น ประกอบให้มันดับ - เป็นไปตามเหตุของมัน
ความยึดติดแม้ในตัวของตน - ก็ไม่มี
จิตจะลอยสูงเหนือปัญหา.. ทั้งที่กายยังอยู่กับปัญหา
แต่จิตนั้นไม่ปนเปื้อนกับปัญหาเหล่านั้น.. เพราะกายก็ไม่ใช่ของจิต
จิตดวงนั้น.. ย่อมสว่างไสว อยู่สูงเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
และยังเข้าใจอีกว่า.. ถ้าเราทำความดีไปเรื่อยๆ
ความดี ก็จะพาให้เราอยู่สูงเช่นนั้น มองกลับมา.. ชนะกิเลสตัณหาทั้งปวง
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเมตตา.. เจ้าค่ะ
สาธุ