"อิทธิฤทธิ์" ในพระพุทธศาสนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า หากพระภิกษุ (ปรับเฉพาะผู้เป็นพระภิกษุเท่านั้น) รูปใดพูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน จัดเป็นการโกหกเพื่อการหาเลี้ยงชีพอันเลวทรามเยี่ยงมหาโจร ให้ปรับอาบัติโทษสูงสุดคือปาราชิก ต้องสึกออกไปและห้ามกลับมาบวชอีก
ส่วนการพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตนจริง จะมีโทษอย่างไร
๑.ถ้าพูดอวดแก่พระภิกษุด้วยกัน ไม่เป็นอาบัติ
๒.ถ้าพูดอวดกับฆราวาส ปรับอาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์นี้เป็นอาบัติขั้นเบาที่สามารถปลงอาบัติได้ (การปลงคือการทำให้พ้นจากอาบัติโดยพระภิกษุจะขอปลงกับพระภิกษุด้วยกัน) เป็นอาบัติระดับเดียวกับการขุดดิน ตัดต้นไม้ ฉันอาหารในยามวิกาล แกล้งให้ผู้อื่นตกใจกลัว เล่นน้ำ ดื่มสุรา ฯลฯ ข้อนี้ท่านปรับเฉพาะเป็นการพูดอวดเพื่อแสวงหาลาภ เพราะถือว่าเป็นมลทินแห่งการประพฤติพรหมจรรย์
๓.ภิกษุที่พูดแต่ไม่ประสงค์จะอวดอ้าง ท่านไม่ปรับเป็นอาบัติ (เข้าใจว่าน่าจะพูดเพื่อการสอน เพื่อการแนะนำการปฏิบัติ) ไม่ได้พูดเพื่อแสวงหาลาภสักการะ
๔.ท่านไม่ปรับอาบัติแก่ภิกษุที่พูดอวดออกไปเพราะสำคัญผิดว่าตนได้บรรลุธรรมแล้ว ต่อมารู้ว่าตนยังไม่บรรลุธรรม ท่านก็ไม่ปรับเป็นอาบัติ และยังครอบคลุมถึงภิกษุที่พูดอวดอุตตริมนุสสธรรมในระหว่างเป็นบ้า เพ้อจนไม่ได้สติ ละเมอไม่มีสติ
แล้วถ้าพูดโกหกอวดโดยอ้อมล่ะ (พูดโกหก ไม่มีคุณวิเศษจริง) เช่นบอกว่าภิกษุที่มีรูปร่างอย่างนี้ ห่มจีวรแบบนี้ บวชมาจากวัดนี้ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่าเป็นตนคือผู้พูดเอง ลักษณะนี้ท่านปรับอาบัติถุลลัจจัย (อาบัติมีโทษสูงกว่าปาจิตตีย์) ซึ่งเป็นอาบัติเบาอีกแบบหนึ่งที่สามารถปลงอาบัติได้เช่นกัน ไม่ได้ปรับเป็นอาบัติปาราชิก
อาบัติข้อนี้จึงมุ่งไปที่การพูดโกหกว่าตัวเองมีคุณวิเศษเพื่อแสวงหาลาภจากอุบาสกอุบาสิกาที่มีศรัทธา โดยมีต้นเรื่องมาจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งที่อยู่แถบแม่น้ำวัคคุมุทา ขณะนั้นชาวบ้านเกิดความแร้นแค้นทำให้พระภิกษุเหล่านั้นได้อาหารมาไม่พอฉัน จึงออกอุบายโกหกชาวบ้านบอกว่าพวกของตนองค์นั้นมีคุณวิเศษอย่างนั้น องค์นี้มีคุณวิเศษอย่างนี้ ชาวบ้านหลงเชื่อจึงนำอาหารดีๆ มาถวายเพราะเกิดศรัทธาอยากได้บุญ ต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องจึงเรียกพระเหล่านั้นมาถามว่าคุณวิเศษที่พูดอวดไปนั้นมีจริงกันหรือไม่ พระเหล่านั้นตอบว่าไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิและบอกว่าต่อไปถ้าพระภิกษุรูปใดพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ให้ปรับอาบัติปาราชิก ให้สึกออกไปแล้วห้ามกลับมาบวชอีก (พระภิกษุกลุ่มนี้ไม่ต้องสึกออกไปเพราะต้องอาบัติปาราชิก เนื่องจากเป็นผู้ทำผิดที่เป็นต้นบัญญัติ)
แล้วการแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ จะโดนปรับอาบัติอะไรบ้าง
ผู้ที่จะแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้นั้นก็ย่อมต้องมีคุณวิเศษในตนจริง ในสมัยพุทธกาลมีพระที่มีฤทธิ์อภิญญาอยู่มาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระอรหันต์ซึ่งจะไม่ถูกปรับอาบัติข้อใดๆ อยู่แล้ว เพราะถือว่าพระอรหันต์ทุกพระองค์ล้วนเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จะทำอะไรก็ย่อมมีสติอยู่เสมอจึงไม่มีทางทำอะไรผิด
(เห็นได้ว่าจริงๆแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เปิดช่องให้แสดงฤทธิ์ แต่ก็ให้ปรามๆ เตือนๆ กัน ไม่ให้เยอะเกินไปก็เท่านั้น)
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคโบราณ ก็อาศัยพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ หากไม่มีฤทธิ์เข้าป่าคงไม่ได้ออกมาอย่างแน่นอน ซึ่งพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญานั้น ถือว่าเป็นกำลังหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
ในยุคสมัยปัจจุบันของเรานี้ ถือว่าโชคดีที่เรายังได้ยินคำว่า “พระอรหันต์” อยู่บ่อยๆ ผิดกับบางยุคบางสมัย (ก่อนพุทธกาล) แม้ในประเทศไทยของเรา ผู้คนบางยุคบางช่วงบางสมัยอาจไม่เคยได้ยินคำนี้ หรือบางยุคบางช่วงอาจไม่มีใครเชื่อเลยว่าเคยมีบุคคลประเภทนี้อยู่บนโลกจริงๆ แต่ในยุคสมัยของเรานี้ถือได้ว่าโชคดีมากที่เรายังได้ยินคำๆ นี้พอให้ได้คุ้นหูกันอยู่ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลประเภทนี้ได้จริงก็ตาม
พระอรหันต์ตามพระธรรมวินัยหรือตามหลักทางพระพุทธศาสนาก็คือผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความจริงอันประเสริฐสูงสุด มีจิตที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงอย่างเด็ดขาด พ้นอำนาจจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัวในจิตใจ ปราศจากความเดือดร้อนใจและความวิตกกังวลกระวนกระวายใดๆ หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง มี ๔ ประเภท ได้แก่
(๑) พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน)
- พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญาคุณวิเศษอย่างอื่น คือ แม้จิตหลุดพ้นแล้ว แต่ไม่มีทิพพจักขุ ไม่มีทิพพโสต คือ ไม่มีตาทิพย์ ไม่มีหูทิพย์ ไม่เห็นแดนนรก ไม่เห็นแดนสวรรค์ ไม่เห็นแดนนิพพาน ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่พระไตรปิฎกพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในจิตของท่านก็ไม่ด้อยไปกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด
(๒) พระอรหันต์เตวิชโช (ผู้ได้วิชชา ๓)
- พระอรหันต์ประเภทที่สองนี้ เป็นผู้มีคุณวิเศษประดับ คือ นอกจากจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วยังประกอบด้วยวิชชาสาม คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ในการระลึกชาติก่อนได้ จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนหรือสัตว์ตายแล้วไปไหน หรือรู้ว่าก่อนมาเกิดเป็นคนหรือสัตว์ในชาตินี้เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน และอาสวักขยญาณ ความรู้ในการทำอาสวะให้สิ้นไป นี่คือพระอรหันต์เตวิชโช
(๓) พระอรหันต์ฉฬภิญโญ (ผู้ได้อภิญญา ๖)
- พระอรหันต์ประเภทนี้ได้คุณวิเศษพิเศษยิ่งกว่าประเภทที่สองข้างต้น กล่าวคือ เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว ยังได้คุณวิเศษอย่างอื่นด้วย คือ อิทธิวิธี ๑ (แสดงฤทธิ์ได้ ย่นระยะทางได้ เดินบนน้ำได้ หายตัวได้ หรือเนรมิตสิ่งต่างๆ ได้) ทิพพโสต ๑ (ได้หูทิพย์) เจโตปริยญาณ ๑ (รู้ใจผู้อื่น) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑ (ระลึกชาติก่อนๆ ได้) ทิพพจักขุ ๑ (มีตาทิพย์) อาสวักขยญาณ ๑ (มีญาณหรือความรู้ในการทำอาสวะให้สิ้นไป)
พระอรหันต์ฉฬภิญโญ หรือพระอรหันต์ที่บรรลุอภิญญา ๖ นี้ มีอานุภาพอย่างมากในการสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ผู้คน เรียกกันโดยทั่วไปว่าพระผู้ทรงอภิญญา
(๔) พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ ๔)
- พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้คือพระอรหันต์ชั้นยอด เป็นผู้ที่บรรลุพระอรหันต์แล้วมีความแตกฉานทั้งในอรรถและในธรรม สามารถแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าถึงธรรมหรือบรรลุธรรมตามได้ เป็นการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง แต่ก็เป็นประเภทที่หาได้ยากและมีโอกาสน้อยมากที่จะมีพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโตเกิดขึ้นบนโลกนี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม (เล็ก สุ ธมฺมปัญโญ) วัดท่าขนุน ท่านได้อธิบายเอาไว้ว่า
"ถ้าหากดูกันตามแบบแนวปฏิบัติครูบาอาจารย์ต่างๆ ในประเทศไทยของเรา หากเป็นแบบธรรมกายถือว่าเป็นสายอภิญญาเลย ถ้าหากสายของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง สายมโนมยิทธินั้น จะถือว่าเป็นวิชชาสามก็ได้ แต่ท่านบอกว่าเป็นอภิญญาเล็ก เพราะได้แค่ ๑ ใน ๖ เท่านั้น ถ้าอย่างสายของหลวงปู่มั่น หรือหลวงพ่อพุทธทาส หรือสายพองหนอยุบหนอของหลวงปู่พม่า อันนั้นถือว่าเป็นส่วนของสุกขวิปัสสโก
แต่คราวนี้เราจะเริ่มฝึกสายไหนมาก็ตาม ถ้าในอดีตเคยสะสมความดีเอาไว้ สะสมบุญในด้านของ ทาน ศีล ภาวนา เอาไว้มาก ถ้าเคยได้ของเก่าเอาไว้ระดับไหน เมื่อกำลังใจสงบถึงระดับหนึ่ง ของเก่าก็จะกลับมาเอง ดังนั้น แม้เราจะศึกษาสายสุกขวิปัสสโก แต่ว่าสามารถเกิดอภิญญาได้ เพราะเคยทำของเก่าเอาไว้
หรือว่าเรามาสายอภิญญา แต่พยายามฝึกเท่าไร ทำไมถึงหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย ก็อาจจะเป็นเพราะว่าในอดีตเรายังไม่เคยสร้างจริตนิสัยนี้เอาไว้ จึงทำให้เราไม่สามารถจะก้าวหน้าในสิ่งนั้นได้ ก็ต้องมาเริ่มต้นแบบสุกขวิปัสสโกกันใหม่ เหล่านี้เป็นต้น
ถามว่าในปัจจุบันนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ มีสายปฏิบัติไหนที่ใกล้เคียงที่สุด ต้องบอกว่าแบบธรรมกายใกล้เคียงที่สุด
ธรรมกายนั้น จริงๆ แล้วเป็นต้นแบบของมโนมยิทธิ เนื่องจากว่าธรรมกายนั้นมีพื้นฐานมาจากกสิณ โดยเฉพาะอาโลกกสิณ (กสิณแสงสว่าง) คือ การกำหนดลูกแก้ว ส่วนมโนมยิทธินั้นเป็นการใช้ผลของกสิณ ฟังดีๆ นะ อย่างหนึ่งเริ่มจากการสร้างเหตุส่วนอีกอย่างหนึ่งใช้ผลเลย
ถ้าจะเปรียบไปแล้ว ก็เหมือนกับเราสร้างบ้าน ธรรมกายจะเริ่มตั้งแต่ถมพื้นที่ อ่านแบบ วางแปลน เทฐานรากขึ้นมา จนกระทั่งสร้างเป็นบ้านเสร็จเรียบร้อย ส่วนมโนมยิทธินั้นเป็นลูกคนรวย ควักเงินในกระเป๋าไปซื้อคอนโด ก็มีที่อยู่เหมือนกันใช่ไหม แต่ถ้าเอาพื้นฐานแล้วจะสู้ธรรมกายไม่ได้ เพราะว่าธรรมกายมาจากนับหนึ่ง จะมีความมั่นใจกว่ามาก เพราะเริ่มต้นมาจากพื้นฐานเลย
แต่ถ้าหากเราซ้อมจนคล่องตัว ท้ายสุดก็จะเหมือนกัน เพราะว่ามาจากหลักเดียวกัน คือ พื้นฐานของกสิณ เพียงแต่ว่ามโนมยิทธินี้ ในอดีตเราทำได้ ปัจจุบันไม่ได้ทำ ก็แค่มาย้อนทวนของเก่า มีเงินเต็มกระเป๋าแต่เปิดใช้ไม่เป็น ครูจะมีหน้าที่บอกว่า ต้องเปิดกระเป๋าอย่างไรเท่านั้น แต่ถ้าธรรมกายนี่ เราอาบเหงื่อต่างน้ำ หาเงินมาเองเลย เพราะฉะนั้น พื้นฐานจึงแน่นกว่ามาก"
การฝึกกรรมฐานแบบวิธีอื่นที่ไม่ใช่แบบธรรมกาย เขาจะรู้แต่ไม่ได้เห็น ตรงนี้พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) เคยยกตัวอย่างพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสโกว่า พระอรหันต์ประเภทนี้ท่านรู้ว่ามีคุณธรรมในตัว แต่ท่านไม่เห็นธรรมกายภายใน เปรียบเสมือนรู้ว่าน้ำมันสามารถนำมาใส่รถให้รถวิ่งได้ มีน้ำมันอยู่ แต่ไม่เห็นว่าน้ำมันหน้าตาเป็นอย่างไร ผลิตที่ไหน เหมือนสมัยพุทธกาล พระจักขุบาลท่านเป็นพระอรหันต์ที่ตาบอด พระอินทร์จึงจำแลงกายมาช่วยเพื่อที่จะพาเดินไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจักขุบาลท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นพระอินทร์ หลวงตาเสริมชัยบอกว่า ถ้าได้ธรรมกายต้องทราบว่าเป็นพระอินทร์ เพราะตาธรรมกายมองจะรู้หมด แต่ท่านเป็นพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสโก เลยไม่มีธรรมจักขุ
คุณธรรม ณ ภายในนั้น สามารถเข้าถึงได้ มีได้ทุกคน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป (พระป่าบางรูปท่านฝึกวิปัสสนาอย่างเดียว ก็ไม่ได้เห็นธรรมกาย แต่เป็นธรรมกายซึ่งเป็นคุณธรรม ณ ภายในที่ท่านทรงอยู่) อย่างเช่นพระที่สำเร็จแบบสุกขวิปัสสโกที่ยกตัวอย่างไป เป็นต้น อาจจะไม่เห็นธรรมกาย ณ ภายในก็ได้ แต่ว่าสามารถตัดสังโยชน์ได้เหมือนกัน
ส่วนถ้าฝึกตามแนวทางของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ส่วนใหญ่จะมีอภิญญาและวิชชาประกอบด้วย ก็จะทำให้เห็นก่อนรู้เสมอ จึงเรียกว่า ทั้งเข้าถึง รู้เห็น และเป็นธรรมกาย
ซึ่งการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนี้ มีลักษณะเป็นแบบที่ใช้เจโตสมาธิเป็นบาท คือ สมาธิที่ประดับด้วยอภิญญา หรือวิชชา ๓ ถ้าบรรลุมรรคผลโดยวิธีนี้ เรียกว่าหลุดพ้นโดยเจโตวิมุตติ
ในระหว่างที่ปฏิบัติ แต่ยังไม่ถึงขั้นบรรลุมรรคผล ก็จะยังได้ความสามารถในทางสมาธิ ยังประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติเป็นอันมาก
นอกจากนี้ ผู้ประสงค์จะเจริญภาวนาแบบไตรลักษณ์ ก็จะสามารถเจริญได้โดยสะดวก เพราะการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายมีสติปัฏฐาน ๔ อยู่ในตัวพร้อมเสร็จ สามารถที่จะยกเอากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทั้ง ณ ภายในและภายนอกขึ้นมาพิจารณาได้เสมอ เป็นทางให้ได้บรรลุมรรคผลทางปัญญาเป็นผลพลอยได้อีกด้วย จึงมิต้องวิตกกังวลว่าการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายจะเป็นแค่ขั้นสมถะโดยไม่มีวิปัสสนาแต่อย่างใด
(หลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า ธรรมกายคนหนึ่ง ช่วยคนได้ครึ่งเมือง)
สำหรับต้นเรื่องการห้ามแสดงฤทธิ์ของพระภิกษุนั้นก็คือท่านปิณโฑลภารทวาชะ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทร์แดงที่เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์แขวนไว้เพราะต้องการรู้ว่าในโลกนี้จะมีพระอรหันต์หรือไม่ ถ้ามีพระอรหันต์จริงก็ย่อมที่จะเหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทร์แดงที่แขวนไว้ในที่สูงลงมาได้
ทั้งนี้เพราะพวกเดียรถีย์ชอบพูดอวดอ้างโม้ว่าพวกตนสำเร็จอรหันต์มีฤทธิ์อภิญญา เศรษฐีจึงท้าทายว่าถ้าเป็นพระอรหันต์จริงก็ให้เหาะมาเอาบาตรไม้จันทร์ให้เห็นจริงกันหน่อย ปรากฏว่าพวกเดียรถีย์ทำไม่ได้พากันพูดบ่ายเบี่ยง พอครบ ๗ วันตามกำหนด ก็ไม่มีเดียรถีย์คนไหนเหาะมาเอาบาตร ท่านปิณโฑลภารทวาชะทราบข่าวเกรงว่าจะมีผู้ลบหลู่พระพุทธศาสนาว่าพระอรหันต์ไม่มีอยู่จริงในโลก ท่านจึงเหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา แต่เมื่อท่านเหาะขึ้นไปในอากาศก็ทำให้ชาวบ้านที่เห็นต่างก็ชื่นชมศรัทธาพูดกันเสียงอื้ออึง คนที่มาดูไม่ทันก็อยากจะเห็นบ้าง ทำให้ท่านปิณโฑลภารทวาชะต้องแสดงฤทธิ์เหาะซ้ำอีกรอบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องจึงให้นำบาตรไม้จันทร์แดงนั้นมาบดเป็นผงเพื่อทำยาหยอดตาแจกจ่ายแก่พระภิกษุที่ต้องการ แล้วจึงออกพระวินัยว่า ต่อไปนี้ห้ามพระภิกษุแสดงฤทธิ์ ถ้าใครแสดงให้ปรับอาบัติทุกกฎ (อาบัติทุกกฎเป็นอาบัติที่เบากว่าอาบัติปาจิตตีย์) อาบัติทุกกฎนี้เป็นอาบัติอย่างเบาที่พระภิกษุสามารถปลงอาบัติได้โดยการปลงกับพระภิกษุด้วยกันเอง อาบัติทุกกฎนี้มีมากมายหลายข้อด้วยกัน เช่น ภิกษุที่ปล่อยขนจมูกยาวเกินกำหนด ไว้เล็บยาว ผัดหน้าด้วยแป้ง ภิกษุที่สวมเสื้อ (แบบฆราวาส) นอนกลางวันโดยไม่ปิดประตู ภิกษุแกล้งจั๊กจี้แก่สามเณร เป็นต้น
บางกรณีพระที่แสดงฤทธิ์พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงปรับอาบัติ
สมัยนั้นตระกูลที่เป็นอุปัฏฐากของท่านพระปิลินทวัจฉะในเมืองพาราณสี ถูกพวกโจรปล้นและลักเอาเด็กทารก ๒ คนไป ครั้งนั้นท่านพระปิลินทวัจฉะต้องการช่วยตระกูลอุปัฏฐากนี้ ท่านจึงได้เหาะไปนำเด็ก ๒ คนนั้นกลับมาด้วยฤทธิ์ แล้วนำเด็กนั้นไปไว้อยู่ในปราสาทของบ้านตระกูลอุปัฏฐากดังเดิม ชาวบ้านเห็นเด็กทารกทั้ง ๒ คนกลับมาอย่างปลอดภัย ต่างก็พากันเลื่อมใสในท่านพระปิลินทวัจฉะเป็นอย่างมากว่า นี้เป็นเพราะฤทธานุภาพของพระปิลินทวัจฉะ
ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่านพระปิลินทวัจฉะจึงได้แสดงฤทธิ์นำเด็กที่ถูกพวกโจรนำตัวไปแล้วเอากลับมาคืนเล่า การแสดงฤทธิ์นี้เป็นการผิดพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้าม แล้วก็นำเรื่องนี้ไปฟ้องกราบทูลแก่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะเป็นวิสัยแห่งฤทธิ์ของภิกษุผู้มีฤทธิ์”
เมื่อพระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้ามมิให้พระภิกษุแสดงฤทธิ์นั้น พวกที่ดีใจที่สุดก็คงจะเป็นพวกนักบวชเดียรถีย์ เพราะตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่กรุงราชคฤห์แล้วก็สามารถตั้งมั่นพระพุทธศาสนาได้สำเร็จจนเจริญรุ่งเรือง ประชาชนชาวกรุงราชคฤห์รวมไปถึงพระเจ้าพิมพิสารและเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายต่างก็พากันเคารพศรัทธาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระภิกษุสาวก มีการทำนุบำรุงอุปัฏฐากอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกทางฤทธิ์ การแสดงฤทธิ์ของพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในสมัยนั้นคงจะมีให้เห็นกันเป็นปกติ จนทำให้ชาวบ้านชาวเมืองยุคนั้นเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก โดยมากซะจนทำให้พวกเดียรถีย์ไม่มีอันจะกินต้องอดอยากปากแห้งเลยทีเดียว
เดิมจากที่เคยอยู่กินอย่างสุขสำราญเพราะมีคนเลื่อมใสศรัทธา ก็กลับกลายเป็นนักบวชที่อดอยากขาดผู้อุปถัมภ์ พวกเดียรถีย์ถึงขนาดต้องลงขันกันว่าจ้างพวกโจรห้าร้อยให้มาลอบทำร้ายพระมหาโมคคัลลานะจนท่านนิพพานเพื่อตัดกำลังของพระพุทธศาสนา เนื่องจากถ้ายังปล่อยให้พระมหาโมคคัลลานะมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านก็จะมีลูกศิษย์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
ในยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชเองก็มีพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธานุภาพเช่นกัน โดยพระอรหันต์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น คือ พระอุปคุต (พระผู้ปราบมาร) ปฐมาจารย์ผู้เป็นต้นกำเนิดนิกายสรวาสติวาทในพระพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน
พระอุปคุตเถระนั้น ท่านมีตัวตนจริงและอยู่ที่สะดือทะเล อันเป็นเป็นดินแดนอีกดินแดนหนึ่ง และมีทางเข้าออกติดต่อกับโลกได้ โดยท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว หาได้มีชีวิตอยู่อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน ซึ่งจิตของท่านมีความลุ่มลึกเป็นอย่างมาก
ในการเห็นด้วยญาณทัศนะของผู้ที่ได้ธรรมกายนั้น เริ่มแรกมีความตั้งใจที่จะไปช่วยพญานาคในทะเล แต่บังเอิญไปพบเห็นพระ ซึ่งอยู่ในทะเลลึก ต่อมาจึงได้ทราบว่าเป็นท่าน ซึ่งท่านนั้นมีฤทธิ์จริงอย่างในตำราทุกประการ
สะดือทะเลมีที่ตั้งอยู่บนโลกของเรานี้ โดยท่านมีฤทธิ์มากและปราบมารเก่ง ธาตุธรรมจึงมอบหน้าที่ให้ท่านอยู่ดูแลพระพุทธศาสนาก่อน ส่วนสาเหตุที่ท่านเลือกอยู่ตรงสะดือทะเลนั้น เพราะจะทำให้ท่านสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมด ท่านจึงเลือกอยู่ที่นั่น
(อย่าไปควานหาสะดือทะเลในทะเลหยาบๆ นี้ล่ะ หาไม่เจอหรอก เพราะสะดือทะเลอันนั้นเป็นมหาสมุทรที่ซึ่งเป็นอายตนะละเอียด)
*****************
เรื่องฤทธิ์และกสิณพอสังเขป
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท
(๑) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต กสิณสูตร
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บ่อเกิดแห่งกสิณ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการ เป็นไฉน คือ บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งปฐวีกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้ บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งอาโปกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งเตโชกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งวาโยกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งนีลกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งปีตกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งโลหิตกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งโอทาตกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งอากาสกสิณ ... บุคคลผู้หนึ่งย่อมรู้ชัดซึ่งวิญญาณกสิณ ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง หาปริมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บ่อเกิดแห่งกสิณ ๑๐ ประการนี้แล ฯ
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=24&A=1158
*****************
(๒) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรคภาค ๑ ปาฏิหาริย์ที่ ๑
[๓๘] ครั้งนั้น พญานาคนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปดังนั้น ครั้นแล้ว มีความขึ้งเคียดไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงครอบงำเดชของพญานาคนี้ด้วยเดชของตน ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูก ดังนี้ แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว พญานาคนั้นทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงเข้ากสิณสมาบัติ มีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ บันดาลไฟต้านทานไว้ เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้น โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิงดุจไฟลุกไหม้ทั่วไป ชฎิลพวกนั้นจึงพากันล้อมโรงบูชาเพลิง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเรา พระมหาสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงครอบงำเดชของพญานาคนั้นด้วยเดชของพระองค์ ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูก ทรงขดพญานาคไว้ในบาตร โดยผ่านราตรีนั้น แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วย พระพุทธดำรัสว่า ดูกรกัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว ชฎิลอุรุเวลกัสสปจึงได้ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงครอบงำเดชของพญานาคที่ดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง ด้วยเดชของตนได้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=4&A=864&w=%A1%CA%D4%B3
*****************
(๓) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โมคคัลลานสูตร พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์
[๑๑๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุมากรูปที่อยู่ภายใต้ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์
[๑๑๕๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานะมาตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ สพรหมจารีเหล่านี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์ ไปเถิด โมคคัลลานะ เธอจงยังภิกษุเหล่านั้นให้สังเวช ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้วแสดงอิทธาภิสังขาร ให้ปราสาทของมิคารมารดาสะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า
[๑๑๕๖] ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า ได้ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว พูดกันว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมีมาแล้ว ลมก็ไม่มี ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว จะโยกคลอนไม่ได้ ก็แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาทนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว
[๑๑๕๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังที่ซึ่งภิกษุเหล่านั้นยืนอยู่แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เพราะเหตุอะไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ลมก็ไม่มี ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว จะโยกคลอนไม่ได้ ก็แหละ เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาทนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว
[๑๑๕๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุโมคคัลลานะ ประสงค์จะให้เธอทั้งหลายสังเวช จึงทำปราสาทของมิคารมารดาให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก อย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญธรรมเหล่าไหน เพราะได้กระทำให้มากซึ่งธรรมเหล่าไหน ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแล้ว จักทรงจำไว้
[๑๑๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟังเถิด ภิกษุโมคคัลลานะ มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน ภิกษุโมคคัลลานะย่อมเจริญอิทธิบาท ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ... วิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิมังสาของเรา จักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความ สำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่ ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล
[๑๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
[๑๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
https://84000.org/tipitaka/v.php?B=19&A=6750&Z=6795
*****************
(๔) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค วิชชา ๘ อิทธิวิธญาณ
[๑๓๓] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อ ผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงา ชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดี ยิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ