พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 18 พฤษภาคม
ตอนที่ 342 **พระอรหันต์สายเตวิชโช**
+ +
ในเช้าของวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถาม พระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึง องค์พระอรหันต์ สายที่ 2 น่ะเจ้าคะ
องค์พระอรหันต์เตวิชโช สายที่ 2 นั้น มีสภาวธรรมเป็นแบบไหน ท่านนั้นประพฤติปฏิบัติอย่างไรบ้าง ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ ในสายที่ 2 คือสายเตวิชโช นี้.. เป็นสายการประพฤติปฏิบัติ สายทางขององค์พระอรหันต์
ซึ่งองค์พระอรหันต์ สายเตวิชโชนี้ เป็นชื่อที่สมมุติเรียกขึ้นมา จำแนกแยกสมมุติเป็นหนทางขึ้นมา เพื่อที่ให้ทุกดวงจิตจะได้เรียนรู้ ฝึกฝนตน ทำความเข้าใจ ตามแนวทางเส้นนี้ อีกเส้นหนึ่ง
จึงเรียกว่า *สายเตวิชโช*
หรือถ้าจะเปรียบกับสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง.. ก็คงเปรียบกับถนนหนทางเส้นใดเส้นหนึ่ง ที่จะสามารถอาศัยทางเส้นนั้น เป็นหลักในการเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน หรือยึดเป็นหลัก ในการพิจารณาดูตนว่..า ตนนั้นประพฤติปฏิบัติประมาณไหน ยังไง ถูกหรือผิด
มันมีไว้อยู่มั้ย.. ในบันทึกของพระคัมภีร์ ในสิ่งที่องค์พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ?
จึงต้องมีทางเส้นนี้เอาไว้อีกเส้นหนึ่ง เพราะหากว่า.. ถ้าดวงจิตใดประพฤติปฏิบัติ แล้วมีลักษณะคล้ายกันกับทางเส้นนี้ คือ เตวิชโช คือการมีวิชชา 3 นี้ จะได้ไม่สับสน จะได้รู้ว่า
ก็เขามีอยู่ในพระคัมภีร์ ก็มันนั้นมีอยู่แล้ว
.. จะได้เข้าใจ
เพราะการที่จะไปสู่พระนิพพานนั้น มันมีสิ่งที่ละเอียดอ่อน เยอะแยะมากมาย ที่แต่ละคนจะต้องเผชิญผ่านพ้น พบเจอสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งที่องค์พระอรหันต์ สายเตวิชโชนี้ ได้ประพฤติปฏิบัติ จนอาศัยทางเส้นนี้ เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ ก็ไม่ได้แตกต่างจากสายสุกขวิปัสสโก มากนักหรอกลูก
ก็คือ ยืนอยู่บนพื้นฐานของการทำความดี มีศีล มีทาน มีสมาธิ มีปัญญา
- ฝึกฝนตนเองอยู่ในกรอบของการทำความดี เช่นเดียวกัน -
แล้วก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำความดี ทำความเพียรทั้งหลาย - เพื่อละกิเลสแห่งตน
จึงฝึกฝนตน
- ให้มีความสงบก่อเกิดขึ้น
- ให้มีปัญญาแตกฉานในสิ่งต่างๆที่ตนยังสับสนอยู่ ยังไม่รู้อยู่ ยังสงสัยอยู่...
เมื่อประพฤติปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของความดี คือ *การมีศีล มีทาน มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา*..
ฝึกไปเรื่อยๆ ก็ยังคงมีสิ่งต่างๆมากมาย ที่รู้สึกสับสนกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ด้วยเชื้อกิเลสแห่งตนที่มันร้อนรุ่มอยู่ในตัวในตน
ด้วยกิเลสที่มันมีทิฐิ / มีอัตตาในตัวในตน
มันก็เลยคิดเยอะ สงสัยเยอะ ไม่เข้าใจ เรื่องนั้นเรื่องนี้
จึงต้องมาอาศัยกรรมฐาน ในเรื่องของการเพ่งกสิณ หรือว่าใช้สมาธิ ที่ตนมีอยู่ เป็นอยู่ และทำอยู่นั้น - เข้าถึงฌาน 4
ถอยกำลังกลับมาอยู่ที่ฌาน 1 หรือว่า ฌาน 2
ให้ประคองสมาธิ เพียงเล็กน้อยไว้ ..แล้วจึงค่อยเอากำลังของสมาธิที่มีอยู่นั้น ท่องไปดูสวรรค์ ดูนรก ดูในที่ต่างๆที่ตนนั้นเคยเวียนว่ายตายเกิดมา..
ให้รู้ภพรู้ชาติแห่งตน รู้การเวียนว่ายเวียนวนในวัฏสงสารนี้
ให้เห็นกับตน ให้รู้กับตน ให้เข้าใจกับตน จะไม่ต้องสงสัยอีกว่า..
สวรรค์มีจริงมั้ย
นรกมีจริงมั้ย
ชาติก่อนเคยอยู่สวรรค์ มันจริงมั้ย
ชาติก่อนเคยตกนรก มันจริงมั้ย
ชาติก่อนเกิดมาเป็นคน เป็นคนไหน
เกิดเป็นสัตว์ เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นหมู เป็นสุนัข เป็นปลา มันจริงมั้ย
เกิดเป็นเจ้าใหญ่นายโต แล้วตอนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย มันจริงมั้ย
ท่องไปดูการเวียนว่ายตายเกิดแห่งตน ด้วยกำลังแห่งฌาน 4 / กำลังแห่งสมาธิที่ตนนั้นทรงพลังเข้าไว้..
ก็เลยทำให้องค์พระอรหันต์สายนี้ คือ สายเตวิชโชนี้ - สามารถระลึกชาติได้
-- มันก็เลยสามารถดับความลังเลสงสัยเหล่านั้น ได้เลย --
* องค์พระอรหันต์ สายเตวิชโช จึงมีคุณวิเศษ *
ถามว่าวิเศษ จริงหรือเปล่า ?
-- มันก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าสายสุกขวิปัสสโก เพียงแต่มันต้องจะต้องอาศัยสิ่งนี้ คือการระลึกชาติได้.. เพื่อมาดับความสงสัยแห่งตน ถอดถอนทิฐิอัตตาตัวตน ความเกเรแห่งจิต ที่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำเท่านั้น...
ใช่เป็นผู้เก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าองค์พระอรหันต์ผู้ไม่เห็นอดีตชาติ ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก
ใช่ว่าจะวิเศษกว่า แต่มันต้องรู้ต้องเห็น เพื่อดับกิเลสแห่งตน
ไม่ต่างจากคนป่วย ที่เป็นคนละโรคกัน ก็เลยต้องกินยาคนละขนานกัน
ปวดหัวคนหนึ่ง - ก็กินยาแก้ปวดหัวไป
อีกคนหนึ่ง ปวดท้อง - ก็ต้องกินยาแก้ปวดท้องไป
.. จะได้ตรงกับโรคแห่งตน จะได้รักษาโรคในตนให้มันหาย..
เช่นเดียวกันละ พระยาธรรม.. พระอรหันต์ สายเตวิชโชนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ ความเห็นเหล่านี้ - เพื่อที่จะได้รักษาจิตของตน ให้หายจากการมีกิเลสตัณหา
หากไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง - เชื้อแห่งกิเลสมันแรงกล้านัก
-- ความสงสัยก็จะไม่สิ้นไป.. แล้วกิเลสมันจะสิ้นไปได้อย่างไรเล่า !
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. คือสิ่งที่มีอยู่ เป็นสภาวธรรมที่ 1 แบบที่ 1
วิชชาหนึ่ง ขององค์พระอรหันต์ สายเตวิชโช
ต่อไป พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ สายเตวิชโชนี้ ก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างจากองค์พระอรหันต์สายแรก คือสายสุกขวิปัสสโก
แตกต่างไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งโลกแห่งกิเลสนั้น - เขาเชิดชูว่า เป็นเรื่องที่มีคุณวิเศษมากกว่า องค์พระอรหันต์ สายสุกขวิปัสสโก
แต่ในความเป็นจริง.. มันเป็นเพียงแค่ยาอีกขนานหนึ่ง ที่จะช่วยรักษาจิตที่ป่วยเป็นโรคลังเลสงสัย ทิฐิเยอะ สงสัยเยอะ ไม่เข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้
จิตที่ดื้อด้าน ไม่เจอด้วยตนเอง.. ก็จะไม่ยอมเข้าใจ
เข้าใจแล้วก็ยังไม่พอใจ เพราะยังไม่เห็นเอง…
จิตที่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้ - จึงต้องใช้ยาขนานนี้อีกตัวหนึ่ง เพื่อที่จะช่วยรักษา ถอนรากถอนโคน ของกิเลสให้มันสิ้นซากไปจากตน
--โดยการอาศัยกำลังแห่งฌานสมาธิ เข้ามาช่วยให้จิตมีกำลัง เกิดความเป็นทิพย์ รู้การจุติ และการอุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ++
เช่นรู้ว่า..
คนนี้ตายแล้ว จะไปอยู่ที่ไหน
คนนั้นมาจากที่ไหน มาเกิดที่นี่
.. อย่างนี้เป็นต้น
เพื่อจะได้ดับความลังเลสงสัยของจิตดวงนั้น ที่กำลังประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน แต่ยังสงสัยในเรื่อง กฎแห่งกรรมอยู่
เรื่องกฎแห่งกรรม ที่รู้ว่า เกิดเพราะกรรมใด ตายเพราะกรรมใด ไปตามกรรมใด มาตามกรรมใด จะได้ไขข้อข้องใจแห่งตน
การป่วยเป็นโรคสงสัย ไม่แน่ใจในกฎแห่งกรรม - จะได้หายขาดเมื่อกินยาขนานนี้
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่ชาวโลก หรือโลกแห่งกิเลส เขาเรียกว่า คุณวิเศษ สิ่งที่ 2 ที่มีอยู่ แต่องค์พระพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ เรียกว่า ผู้ที่มียาขนานที่ 2 - ไม่ใช่คุณวิเศษที่ 2
.. เพื่อดับกิเลสแห่งตน
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงทวนดูเถิดลูก ทั้ง 2 อย่างนี้ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ทั้งเรื่องของการระลึกชาติได้ และรู้จุติ รู้อุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลายนั้น.. มันอยู่ในเรื่องของ กฎแห่งกรรม และกฎของความไม่เที่ยงแท้
คือ การมีวิชา 2 วิชานี้ โดยการอาศัยกำลังของฌาน 4 กลับมาพิจารณา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ในเรื่องของกฎของไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงแท้
การระลึกชาติได้ การเกิดการเวียนว่าย เวียนวน
-- นั่นละลูก ทำให้เราเห็นความไม่เที่ยง อย่างชัดเจน --
การที่รู้จุติ รู้อุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลาย.. รู้ว่า
สัตว์ตัวนี้ ตายแล้วไปเกิดที่ไหน
สัตว์ตัวนั้นมาจากที่ไหน จึงมาเกิด
มนุษย์ผู้นี้ ตายแล้วไปไหน
มนุษย์ผู้นั้น มาจากที่ไหน มาเกิด
ก็เพื่อจะได้รู้ตาม กฎแห่งกรรม
เพราะว่ากฎแห่งกรรมนั้น.. มันเป็นตัว
ส่งผลให้ไปเกิด
ส่งผลให้มาเกิด
ส่งผลให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุของมัน
- ด้วย *กฎแห่งกรรม*
ฉะนั้น.. เมื่อองค์พระอรหันต์สายเตวิชโช ได้ฝึกฝนตนเอง จนได้มีการระลึกชาติได้
รู้จุติ อุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลายแล้ว..
... ก็จะเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม และกฎของความไม่เที่ยงแท้ ได้อย่างชัดเจน โดยไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น...
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว.. ก็เลยมียาขนานที่ 3 หรือที่โลกเขาเรียกกันว่า “คุณวิเศษ”
ในแบบที่ 3 นี้ / ยาขนานที่ 3- จึงรู้ทำอาสวะให้สิ้นไป
คือ รู้หนทางแห่งการดับกิเลส ให้สิ้นไป
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
เมื่อรู้เข้าใจกฎแห่งกรรม / รู้เข้าใจกฎของความไม่เที่ยงแท้ - ก็เลยเอาสิ่งทั้งสองนี้ มาทำความรู้ รู้จักการชำระกิเลสให้ดับ ให้สิ้นไป
อย่างนี้จึงเรียกว่า.. เป็นบุคคลผู้มีคุณวิเศษ 3 ประการ หรือมียา 3 ขนาน ที่จะนำมารักษาจิตของตน - ผู้ป่วยเป็นโรคกิเลสตัณหา ให้หายจากโรคกิเลสตัณหานี้
-- แล้วก็เข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์ ในที่สุด ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สภาวธรรมของพระอรหันต์ สายเตวิชโช
เป็นผู้ได้วิชชาสาม เป็นผู้มียา 3 ขนาน คือ
* การระลึกชาติได้
* การรู้จุติ และอุบัติบังเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
* การรู้ทำอาสวะให้สิ้นไป
รู้ 3 อย่างนี้ มียา 3 ขนานนี้ - รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย คือ กิเลสตัณหานั้น
จึงเป็นหนทางอีกหนทางหนึ่ง ที่มีไว้สำหรับจิตทั้งหลาย ที่มีความสงสัยมาก ที่มีทิฐิมาก ที่ตนนั้น มีจิตที่ดื้อมาก
... เพื่อที่จะได้ถอนรากถอนโคนแห่งตน ให้มันหมด ให้มันจบ ให้มันสิ้นไป…
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
และที่เรียกว่า เป็นขนานยา เป็นยาแต่ละขนาน
เพราะว่า จะได้ไม่พากันหลงเชิดชู ในสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น ได้มีนั้น ว่า “วิเศษ”
เพราะคำว่า “วิเศษ” ย่อมพาให้ผู้คนลุ่มหลง จมอยู่ ในคุณวิเศษต่างๆเหล่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นสิ่งวิเศษ
-- มันเป็นเพียงยารักษาโรค..
โรคสงสัย โรคทิฐิ อัตตาตัวตน โรคกิเลส โรคตัณหา เท่านั้นละ.. พระยาธรรม
จะได้ไม่พากันหลงทางกันไป เดี่ยวจะไปไม่ถึงพระนิพพาน
จะไปนอนกอดกับขวดยา นอนกอดกับกองยา
ยึดเอาถือเอาสิ่งเหล่านั้น มาเป็นคุณวิเศษแห่งตน ก็เลยไปนิพพานไม่ได้
ทำให้ตนหลง / ทำให้ผู้อื่นหลง
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. การไปนิพพานน่ะลูก มันละเอียดอ่อนยิ่งนักนะลูก
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เรานั้นจะทำเลย.. แล้วก็ได้เลย
มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และเราต้องพื้นฐานแห่งการทำความดี ด้วยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ด้วยการทำความดีเหล่านี้ เพื่อดับกิเลสตัณหา
สิ่งใดที่ยังยึดถือว่ามีอยู่ ดีอยู่
-- สิ่งนั้น คือความหลง ลูก --
จงนำเอาธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ
จงนำเอาธรรมนี้ ไปทบทวน ศึกษาให้ดี ลูกเอ๋ย .. จะได้เข้าใจความจริงของทางเส้นนี้
คือ ทางแห่งองค์พระอรหันต์ สายเตวิชโช ลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง และนำไปประพฤติปฏิบัติตาม
ลูกเข้าใจแล้วละเจ้าค่ะ ว่า องค์พระอรหันต์สายเตวิชโชนั้น มีสภาวธรรมแบบไหน
ปฏิบัติมายังไง มีเพื่ออะไร เพราะอะไร - จึงดับการเกิดได้
-- จึงเรียกว่า เป็นสายหนึ่งขององค์พระอรหันต์ทั้งหลาย ...
.. เข้าใจอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ...
วันนี้ลูกคงต้องขอกราบลาก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ