ทวนกระแสย้อนดูจิต.ดูว่า"ใคร"เป็น"ผู้เห็น"-สิ่งถูกเห็นที่"เกิด-ดับ."
".จิตที่รู้"- สิ่งที่"ถูกรู้".ทั้ง2 .ล้วน"เป็นอนัตตา"....ปล่อยทั้งหมด.จึง***จบ***
..............................
กลับมามองจุดที่เรายืน
ความรู้สึกตัวเราอยู่ไหน
ตระหนักลงในปัจจุบัน ตรวจสอบตัวเอง
ว่ามีอารมณ์อันใดบ้าง ที่ยังคั่งค้างอยู่
ปลดปล่อยมันออกไปเสีย หลับตาแล้วผ่อนลมหายใจออก
เอาความรู้สึกที่เก็บสะสมไว้ ออกไปพร้อมกับลมออก
สังเกตภายใน"ความว่าง"ที่เหลืออยู่ แล้วให้..."รู้"..ในสิ่งนั้น เรื่อยๆ ไป
ให้...ใจได้มีกำลัง....ในการเผชิญสถานการณ์ต่างๆ....
คำว่าเอา"จิตที่รู้อยู่"นั้นคือว่า มันมีอยู่แล้ว
ความจริง"จิตของคนเราจริง ๆ มันไม่ได้ไปไหน"
คิดไป..ปรุงไป อันนั้น เป็นเรื่องสังขาร มันปรุง มันแต่งไปเอง เป็นเรื่องสังขาร เป็นเรื่องสัญญา...อารมณ์ เป็นเรื่องกิเลสที่มันดิ้นรนวุ่นวาย ตามตัณหา...มันไป
เมื่อจิตใจผู้ภาวนา ไม่หลงไป ตามไป มันก็ดับไปเอง ไม่มีใครส่งเสริมต่อเติมมันก็ดับ
แต่จิตผู้ใดหลงไป ส่งเสริมต่อเติมให้มันก็ไม่มีที่จบที่สิ้น เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่มีที่จบที่สิ้น ละวางเสีย หยุดเสีย สงบเสียได้ ขณะนี้
เวลานี้มันก็มีเท่านี้ นั่งอยู่ก็พุทโธ จิตใจดวงผู้รู้อยู่อย่างนี้ ยืนอยู่ก็พุทโธจิตดวงผู้รู้นี้ เดินไปมาก็จิตดวงนี้ มานั่งมานอนก็จิตดวงนี้แหละ
ก็ไม่ต้องหาที่ไหนแล้ว รวมกำลังตั้งมั่นรวมไปในจิตใจดวง"ผู้รู้"อยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
1004. อวิชชา ๘
แปลว่าความไม่รู้แจ้ง ความมืด ๘ อย่าง จึงทำให้ วิญญาณกลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏ มิรู้จบ
อวิชชา ๘ ได้แก่
ก..การไม่รู้ อริยสัจ ๔
๑. การไม่รู้จัก ทุกข์ – ทนได้ยาก ทุกข์ของกาย ของใจ
๒. การไม่รู้จัก สมุทัย -ตัณหาความอยาก กิเลส
๓. การไม่รู้จัก นิโรธ – ความดับทุกข์ นิพพาน
๔. การไม่รู้จัก มรรค – เส้นทางดับทุกข์ ศีล สมาธิ ปัญญา
๕. การไม่รู้ อดีต – สิ่งที่ล่วงมาแล้วในอริยสัจ๔
๖. การไม่รู้ อนาคต – สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอริยสัจ๔
๗. การไม่รู้ความเกี่ยวโยงของ อดีต กับ อนาคต - วิบากของกรรมส่งผล
๘. การไม่เห็นการวนรอบของปฏิจจสมุปบาท – เหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
**..ความไม่รู้ คือ อวิชชา ความมืด เมื่อ” ความไม่รู้ดับไปเมื่อไร “ความรู้ คือ วิชชา” แสงสว่างแห่งปัญญา ก็เกิดขึ้นมาเมื่อนั้น
เริ่มด้วยความคิด แต่สุดท้ายก็ต้องวางความคิด เราศึกษาธรรมนั้นก็เพื่อให้เราเกิดปัญญา
ปัญญามี 3 อย่าง
1 ปัญญาจากการฟังการอ่าน
2 ปัญญาจากการคิดพิจารณา
3 ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาเจริญสติ(ปัญญาญาณ)
ในสภาวะสังคมปัจจุบันเราใช้ปัญญาแบบ1กับ2 แม้แต่การศึกษาธรรมก็เหมือนกัน แต่ปัญญา1กับ2 ยังเป็นปัญญาในระดับโลก ไม่อาจทําให้เราพ้นจากโลกจากภพชาติได้ จึงต้องมาเจริญสติ เพื่อเข้าถึงปัญญาในระดับ3 เพื่อเอาปัญญานี้มาละกิเลสละภพชาติ เพื่อให้ได้มรรคผลนั้นเอง
ดังนั้น เมื่อเริ่มศึกษาธรรมก็เริ่มจากคิดจากฟัง กันทั้งนั้น แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง การเจริญวิปัสสนาเมื่อปฏิบัติไปมากๆ มันจะเจริญต่อเมื่อหมดความคิด จิตเราว่างๆไร้การปรุงแต่ง ตั้งมั่น เพื่อเข้าไปรู้เข้าไปเห็นความจริง ความจริงที่เห็นคือวิชชา จะไปละอวิชชาที่ใจ ต้องใจสอนใจเท่านั้นจึงเห็น "วิปัสสนาจะเจริญต่อเมื่อหมดความคิด" เราเพียงใช้สมมุติหรือความคิดเป็นเพียงทางผ่านไปสู่วิมุตติ หรือทางหลุดพ้นนั้นเอง ธรรมแท้ๆอยู่เหนือภาษามนุษย์ แต่ใช้ภาษาใจ
"ทานที่แท้จริง"นั้นย่อมมีมูลมาจากความไม่ยึดถืออะไร ว่า"เป็นเรา" หรือ"เป็นของของเรา."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนามาฆบูชาเทศนา หัวข้อเรื่อง "สัพพธัมมอนาภินิเวสนกถา : ความหมดจดแห่งจิตเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น" เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ บนเขาพุทธทอง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม "มาฆบูชาเทศนา"
การแสวงหาสิ่งอันเป็นโลกิยวิสัยจึงต้องเปลืองมาก เหนื่อยมาก ส่วนการแสวงหาสิ่งอันเป็นโลกุตตรวิสัย จึงไม่เหนื่อย และไม่เปลือง จนกระทั่งว่า "พระนิพพานเป็นของให้เปล่า" ดังนี้.
.
การให้ทานที่แท้จริง ที่เป็นเรื่องของโลกุตตระจึงเป็นไปในทางทำสัตว์ให้หยุดเวียนว่ายตายเกิด การให้ทานที่เป็นไปอย่างโลกิยะย่อมทำสัตว์ให้เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้สิ้นไม่รู้สุด ให้เกิดดี แล้วให้หลงไหลในการเกิดดี ไม่มีท่าทางว่าจะสิ้นสุดลงได้ และสัตว์ทั้งหลายโดยมากก็กำลังปรารถนากันอยู่ดังนี้ นี่จึงเป็นการชี้ให้เห็นได้ชัดทีเดียวว่า
พระนิพพานเป็นของให้เปล่า
โลกิยะ กับ โลกุตตระ ต่างกันอย่างตรงกันข้าม
.
" บุคคลผู้ใดมีความปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร โดยความเป็นตัวเราหรือเป็นของของเราแล้ว บุคคลนั้นได้ชื่อว่าบำเพ็ญ "โลกุตตรทาน" คือทานอันเป็นโลกุตตระอย่างสูงสุดหมดจดสิ้นเชิง เพราะว่าได้สละออกไปหมดทั้งตัวตนและของตน ไม่มีการบำเพ็ญทานอย่างไหนจะสูงยิ่งไปกว่านี้.
.
ถ้าทายกทายิกาทั้งหลายทำบุญให้ทาน ในลักษณะที่เป็นการลงทุนค้า ทำบุญลงไปเท่าไร ก็ปรารถนาจะเอามากกว่าที่ทำบุญเสมอไป เอาสวรรค์เอาวิมานซึ่งมีราคามากกว่าของที่ตนลงทุนไป อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการให้อย่างไรได้ เพราะที่แท้ก็เป็นการลงทุนค้าเอากำไรตั้งร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า แล้วกิเลสจะไม่หนาไปกว่าเก่าได้อย่างไร บัณฑิตจึงไม่จัดให้การกระทำเช่นนี้ว่า เป็นการให้ทานที่บริสุทธิ์แท้จริง.
.
....ต่อเมื่อใดบุคคลให้ทานชนิดที่ปล่อยวางตัวเราของเราเสียจนหมดสิ้น นั่นแหละ จึงจะชื่อว่าให้หมด ให้หมดกระทั่งเนื้อตัวของตัว ตัวตนของตน ไม่มีเหลือ ดังนี้แล้ว จะมีอะไรที่เรียกว่าเขายังไม่ได้ให้อีกเล่า.เขาได้ให้ไปหมดแล้วจริงๆ จึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าตัวเราหรือของเรา นั่นแหละ คือผู้ที่บำเพ็ญทานที่แท้จริง และบำเพ็ญทานถึงที่สุดด้วย และเป็นการบำเพ็ญทานที่นำไปเพื่อการหยุดเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปเพื่อวิวัฏฏะ ดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ.
.
คิดดูให้ดีเถิด เรื่องของโลกิยะนั้น มันตรงกันข้ามกับเรื่องของโลกุจตระ
เรื่องของโลกิยะนั้น ถ้ายิ่งดีมาก ก็ยิ่งต้องเสียเงินมาก ต้องยิ่งเหนื่อยมาก ต้องยิ่งลำบากมาก มันจึงจะได้มา
ส่วนเรื่องของโลกุตตระนั้น ถ้ายิ่งสูงยิ่งประเสริฐเพียงไร ก็ยิ่งไม่ต้องใช้เงินใช้ทองเลย จนเกือบจะกล่าวได้ว่า "พระนิพพานนี้เป็นของให้เปล่าแท้ๆ ลงทุนบ้างก็เพียงการทำในทางจิตทางใจ" ไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากเหมือนกับการบำเพ็ญอย่างอื่น เรื่องของฝ่ายโลกุตตระย่อมเป็นดังนี้ทั้งนั้น.
.
ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนี้เป็นเพราะเหตุว่า มันมีหลักตรงกันข้าม เรื่องของโลกิยะนั้นเป็นเรื่องกอบโกยเอามา กอบโกยเอามาใส่ให้มันมากขึ้น ส่วนเรื่องของโลกุตตระนั้น ขว้างทิ้งออกไป ขว้างทิ้งออกไป จนไม่มีอะไรเหลือ มันต่างกันตรงกันข้ามดังนี้ หลักหรือเกณฑ์ต่างๆมันจึงผิดกัน
ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๑) ทะเลทิฎฐิ
หลวงพ่อปราโมทย์: วันก่อนโน้น หลวงพ่อ ไม่ค่อยได้ฟังธรรมะที่สะใจมานานแล้ว ธรรมะที่สะใจครั้งสุดท้ายที่ได้ยินนะ คือ หลวงพ่อคำเขียน ไปหาท่าน ไปเยี่ยม ท่านไม่สบาย เมื่อเดือนพฤศจิกาฯ
ท่านบอกว่า โอ๊ย.. ผมไม่มีอะไรแล้ว ผมอยู่กับความไม่มีไม่เป็นอะไรหรอก อู๊ยสะใจ สะใจจริงๆ จริงๆเราอยู่กับความไม่มีไม่เป็น แต่ความสำคัญมั่นหมายของเราเพราะความเห็นผิดนั่นนะ ไปสำคัญว่ามันมีมันเป็นขึ้นมา มันมีเรามีเขาขึ้นมา
กว่าเราจะข้ามทิฎฐิ ที่ว่ามันมีเรามีเขาขึ้นมาได้นี้นะ ข้ามยาก อันนี้เป็นทะเลหรือเป็นมหาสมุทรอันแรกนะ ของผู้ปฎิบัติ เรียกว่าโอฆะ โอฆะแปลว่าห้วงน้ำห้วงมหาสมุทรอะไรอย่างนี้ มหาสมุทรในโลกมันมีกี่อัน จำไม่ได้แล้ว เคยเรียน แต่มหาสมุทรในการปฏิบัตินี้มันมี ๔ อันนะ ต้องข้ามให้ได้ให้หมดเลย มีทะเลอยู่ ๔ ทะเล ถ้าข้ามได้หมดก็จะเอาตัวรอดได้
มหาสมุทรอันแรกเลย คือ ทิฎฐิ ทะเลคือทิฎฐิ คือความเห็นผิดของเรานี้แหละ เราไปเห็นผิดในของที่ไม่มีตัวมีตน ว่ามีตัวมีตนขึ้นมา เวลาเรามองโลกแล้วสะดุดปั๊บขึ้นมาเลย เกิดเราเกิดเขา เกิดสัตว์เกิดคน เกิดต้นไม้ เกิดสิ่งโน้น เกิดสิ่งนี้ โลกนี้ลุ่มๆดอนๆ
ในทางมหายานนะเคยมีสูตรอยู่สูตรหนึ่ง พระสารีบุตร ไปบอกพระพุทธเจ้าบอกว่า พระองค์ สร้างบารมีไม่ค่อยดีเท่าไร พุทธเกษตรของ.. หรือโลกของพระองค์ดูลุ่มๆดอนๆ พวกพระโพธิสัตว์ก็เถียง บอกว่าไม่จริงหรอก พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าเนี่ยเรียบเลย ราบเรียบไปหมดเลย ไม่มีความเป็นลุ่มเป็นดอน ไม่มีอะไรสะดุดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนได้เลย มันว่างเปล่า แต่ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไร
จริงๆนี่ก็แต่งเกินไป พระสารีบุตรไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก สาวกรุ่นหลังๆ ภาวนาไปยังเห็นโลกว่างได้เลย ทำไมพระสารีบุตรท่านจะไม่เห็น
มิจฉาทิฎฐิ เป็นสิ่งแรกที่พวกเราต้องภาวนา แล้วก็ข้ามมันให้ได้ คือเราสำคัญมั่นหมายว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเรา เราไปแบ่งแยกสมบัติของโลกส่วนหนึ่งออกมาเป็นตัวเราขึ้นมา ส่วนที่เหลือมันก็เป็นคนอื่น เป็นสิ่งอื่นๆ เป็นสิ่งที่แวดล้อมอยู่ ไปแบ่งตัวเองออกมา สำคัญมั่นหมายว่ามี ว่าเป็น เป็นโน่นเป็นนี่ด้วยนะ เป็นใหญ่เป็นโต เป็นคนดีเป็นคนเลว เป็นพวกทุศีลเป็นพวกมีศีล แบ่งตัวเองออกไปจากธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอะไรอยู่แล้ว เสมอภาคกันทั้งหมด
พอมีตัวเราขึ้นมาก็มีมิจฉาทิฎฐิต่อไปอีก ถ้าตัวเราตายไป เราไปเกิดอีก ตัวเราเที่ยง จิตเรานี้เที่ยง ร่างกายแตกสลายไป จิตนี้ยังไปเกิดได้อีก นี่ก็มิจฉาทิฎฐิแขนงหนึ่ง เรียกว่า สัสตทิฎฐิ อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตัวเรามีอยู่ แล้วตายไปก็หายไปเลย นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอีก เรียกว่า อุจเฉทิกทิฎฐิ รากเหง้าของมันก็เริ่มมาจากความมีตัวเรานี่แหละ มีตัวเราแล้วก็มีตัวเราอย่างเที่ยงแท้ถาวร หรือมีตัวเราชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็หายสาบสูญไป
ทะเลทิฎฐินี้จะข้ามได้ต้องเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ๔ ทะเลนี้ พวกเรายังข้ามไม่ได้สักทะเลหนึ่งเลยนะ ข้ามได้แค่ริมทะเลอะไรอย่างนี้ เที่ยวๆไปอย่างนี้ จะ ข้ามทิฎฐิตัวนี้ได้ต้องมีสติ มีปัญญา มีสัมมาสมาธิ มีสติรู้ลงมาในกายในใจนี่ มีใจที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ สักว่ารู้ สักว่าดู เวลาดูกายจะรู้สึกเหมือนว่ากายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เวลาดูเวทนาคือความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ มันจะรู้สึกว่าเวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง มีช่องว่างนะ ไม่ ไม่เป็นอันเดียวกัน มีช่องว่างมาคั่น
เวลาดูจิตที่เป็นกุศล อกุศล จะเห็นเลย อกุศลหรือกุศลทั้งหลายนะ กับจิตเนี่ยคนละอันกัน มีช่องว่างมาคั่น พวกเราดูออกแล้วใช่มั้ย เนี่ยเราดูไปเรื่อยนะ ใจเราตั้งมั่นจะสักว่ารู้สักว่าดูได้ เสร็จแล้วปัญญามันถึงจะเกิด มันจะเห็นเลย ทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เข้าล้วนแต่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป บังคับไม่ได้สักอันเดียว ดูมาจนกระทั่งถึงจิตที่ เป็นผู้รู้ผู้ดูนี่เอง ก็เห็นมันเกิดดับ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เป็นผู้รู้บ้าง เป็นผู้หลงบ้าง ดูไปดูมาในขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีตัวเราที่แท้จริง ให้มีสติรู้ลงมาในกายในใจนี้นะ ถึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ ข้ามทะเลตัวแรกได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๒) ทะเลกาม
หลวงพ่อปราโมทย์: ข้ามทะเลตัวแรกได้ เหลืออีก ๓ ทะเล ข้ามยากนะ ทะเลหรือโอฆะตัวต่อไปคือกาม ข้ามยาก พวกเรา เห็นแต่กามคุณ เราไม่เห็นกามโทษ ทำให้เราข้ามไม่ได้
กาม คืออะไร กามก็คืออารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ อย่างเราเห็นรูปที่สวยๆอย่างนี้ รูปนั้นเรียกว่ากาม หูเราได้ยินเสียงที่เพราะๆ ถูกอกถูกใจ เรียกว่ากาม กลิ่นหอมๆ ถูกอกถูกใจ นี่เขาเรียกว่ากาม รสอร่อยๆก็เรียกว่ากาม สัมผัสที่นุ่มนวล อบอุ่น สบาย อะไรอย่างนี้ ก็เรียกว่ากาม การคิดคำนึงถึงอารมณ์เหล่านี้ เป็นกามทางใจ เรียกว่า กามธรรม
พวกเราเกิดมา เราก็แสวงหาแต่อารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจมาตลอดชีวิต เราเห็นว่าถ้าได้อารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจได้แล้วเราจะมีความสุข งั้นเราเห็นว่ากามเนี่ยนำความสุขมาให้ ยากนักยากหนานะจะกล้าข้ามพ้นอำนาจของกามได้ ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีข้ามไม่ได้ ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะข้ามพ้นทะเลอันที่สองคือทะเลกาม เคยได้ยินใช่มั้ย คนชอบพูดทะเลกาม แต่ไม่มีคนพูดทะเลทิฎฐิใช่มั้ย เพราะอะไร เพราะคนพูดเนี่ยยังมีทิฎฐิอยู่ ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ทะเลกาม ข้ามยาก ข้ามยาก
ต้องรู้ลงมาอีก รู้ลงมาในกายในใจนี้น่ะนะมากๆ จนวันใดเห็นนะว่ากายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทุกข์ล้วนๆ เห็นอย่างนี้ มันจะหมดความเพลิดเพลินยินดีพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลาย หมดความติดอกติดใจในกามคุณทั้งหลาย มันหมดของมันเองนะ ถ้ามันเห็นตัวนี้.. อย่างสังเกตมั้ย คนไหนเจ้าชู้มากๆนะ เกิดเจ็บหนักใกล้จะตายนะ หรือตัวเป็นแผลทั้งตัวแล้ว อะไรมาถูกนิดนึงก็แสบก็ปวดเนี่ย ให้มันไปกอดนางงามจักรวาลมันก็ไม่เอานะ เพราะมันไม่มีความสุขแล้ว
ถ้าเมื่อไรเราเห็นกายนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆนะ มันจะไม่สนใจกามแล้ว จะไม่สนใจกามแล้ว ตาเห็นรูปจะสักว่าเห็นเลย ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับมันแล้ว หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส นะ จิตใจจะไม่ยินดียินร้าย มันไม่รักกายก็จะไม่รักกาม
ทะเลทิฏฐิเหมือนทะเลที่กว้างนะ ถ้าเทียบ เหมือนทะเลที่กว้างขวางไร้ขอบไร้เขต หลงเข้าไปแล้วไม่รู้จะไปทางไหนเลย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพราะฉะนั้นปุถุชนทั้งหลาย หลงอยู่ในทะเลที่ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ทางไหน มีพระพุทธเจ้ามาบอกทาง ทางนี้.. ทางนี้.. นะ คนที่รู้ทางเรียกว่าพระโสดาบัน รู้แล้ว ไปทางนี้แหละ ปลอดภัย งั้นจะข้ามทะเลทิฏฐิได้นะ ยาก เป็นทะเลที่กว้าง ไร้ขอบไร้เขต ดูอะไรดูไม่ออกหรอก ดูยาก แต่ข้ามได้ด้วยการที่เห็นลงมาในกายในใจว่าไม่ใช่เรา ทะเลกามนี้จะข้ามได้ เมื่อหมดความยึดถือกาย หมดความยึดถือในกาย
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๓) ทะเลภพ
หลวงพ่อปราโมทย์: ถัดจากนั้นเหลืออีกสองทะเลนะ คือทะเลของภพ และทะเลของอวิชา เรียกว่า ภวะโอฆะ กับ อวิชาโอฆะ โอฆะคือภพ โอฆะคืออวิชา ห้วงน้ำ
ภพคืออะไร ภพคือการทำงานของจิต สังเกตมั้ยพวกเราภาวนา เห็นมั้ย จิตทำงานทั้งวันทั้งคืน หมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืน เห็นมั้ยจิตเดี๋ยวก็วิ่งพล่านๆไปทางตา เดี๋ยววิ่งพล่านๆไปทางหู วิ่งพล่าน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยหยุดพักนะ
จิต นี้สร้างภพสร้างชาติหมุนติ้วๆอยู่ภายในตลอดวันตลอดคืน จะข้ามมันไม่ใช่ง่ายนะ แค่เห็นมันยังยากเลย ภาวนากว่าจะเห็นจิตเข้าไปทำงานตรงนี้ยังยากแสนเข็ญเลย รู้สึกมั้ย นะ จะข้ามทะเลของภพได้นะ ภพนี้เหมือนทะเลที่น้ำเชี่ยว เพราะหมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืนนะ เดี๋ยวซัดไปทางโน้นซัดไปทางนี้ นะ กระแสน้ำนี้รุนแรง กระแสน้ำที่ซัดจิตใจเราวิ่งไปวิ่งมา พล่านๆทำงานไปในภพก็คือ ตัณหา นั่นเอง ตัณหาเป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่เลย เหมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ซัดเราไป ซัดไปไม่รู้ทิศทางเลยนะ สร้างภพไปเรื่อย เดี๋ยวไปเกิดที่ตา เกิดที่หู เกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
🎯ครั้งที่สอง
คือการกำเนิดอีกครั้งเป็นดวงจิตใหม่ในร่างกายเดิมซึ่งได้ผ่านกระบวนการตายลงจากจิตเก่าโดยสิ้นเชิง
กระบวนการนี้ เป็นการ Reset สู่จิตเดิมแท้เพื่อเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคนๆหนึ่ง และมุ่งสู่การตายอย่างมีคุณค่าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติๆหนึ่งนั่นเอง
ในร่างเดิมนี้ จิตดวงใหม่ที่ได้รับการ reset แล้ว จะพบองค์ความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างหาที่สุดไม่ได้ ไร้กรอบ ไร้อัตตา ไร้ตัวตน และเป็นอิสระอย่างที่สุด
การเข้าถึงการกำเนิดครั้งที่ 2 นี้ ตัวเธอเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจและลงมือเผาไหม้ตัวตนเดิมๆของตัวเองให้คืนสู่จิตเดิมแท้ ไม่มีใครรู้หรือทำนายเส้นทางชีวิตของเธอได้อย่างถูกต้อง เพราะทุกสิ่งล้วนกำหนดได้จากตัวเธอเองทั้งสิ้น
👑👑👑👑👑👑👑👑👑👑👑👑👑
Energy of life
ขอทุกท่านพบแสงสว่างแห่ง “ปัญญา” และเข้าใจ "แก่นแท้ "ของทุกสรรพสิ่ง.............
ชนะมาร ด้วย...กำลังใจที่ทรงความดี
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโลกธรรม ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก"ให้วางมันเสีย" กรรมของเราที่มีความโง่เกิดมาในโลกนี้โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา
แต่ว่าให้มันถูกแต่"กาย" อย่าให้มันเข้าไปถึง"ใจ"
ความสุข ความทุกข์ ในโลก"อย่าสนใจ"."สนใจ"อย่างเดียว
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
ให้เรามีความสุข "ร่างกาย"ของเราจะอยู่ในโลกนี้
อีกไม่กี่วัน"มันก็พัง"
ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่าท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลายร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุขเราก็พยายามทำให้สุข
เหมือนท่านบ้าง ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า" จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ" มองดูความบกพร่องของจิตว่า จิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ
บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความชนะในมารฉันใด
ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้นด้วยกำลังใจ
ที่ทรงความดี
"สิ่งใดที่เรารู้เท่าทัน
สิ่งนั้นไม่สามารถดึงใจของ
เราไปทรมานให้เกิดทุกข์ได้"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ครื่องรางของชาวทิเบตเพื่อป้องกันไวรัสโคโรนา
โปรดเก็บไว้ในโทรศัพท์ของคุณและแบ่งปัน
นอกจากนี้ยังดีในการพิมพ์และวางที่หน้าต่างหันหน้าไปทางด้านนอกเพื่อป้องกันไวรัส
สมเด็จดาไลลามะที่ 14
แนะนำให้ท่อง Tara Mantra เพื่อควบคุมไวรัส
OM Tare Tutare Ture Soha
โอม ตาเร ตุตาเร ตุเร โซฮา
ภาพสีเครื่องรางธิเบตป้องกันไวรัสโคโรน่า
มนต์ประจำเครื่องราง "โอม ตา เร ตุตาเร ตุเร โซฮา"
กรุณาใช้เป็นภาพหน้าจอ
หรือปริ้นติดกระจก หน้าต่าง โดยหันหน้ายันต์ออกข้างนอก
๕ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำสั่งสอน
แล้วคุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น
พระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า…
๑.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ
๒.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้กับเขามาก่อนเมื่ออดีตชาติ
๓.เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด
ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในทันที
๔.เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่าเมื่อสุดมือสอยก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า
๖.ทำความดีในปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกรรมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญาจะคิดว่า กรรมใหม่ดีๆมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ สรุป กรรมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด!!!
การนินทาว่าร้าย เป็นเรื่องของเขา การให้อภัย เป็นเรื่องของเรา
การชอบพูดถึงความดีของเขา คือ ความดีของเรา
การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือ ความไม่ดีของเรา
• นี้คือ ๕ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาแนะนำสั่งสอน •
ให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายนั้น
ได้นำไปใช้ในชีวิตของตนเองด้วยไม่ประมาท
การเจริญปัญญา จะเริ่มเกิดเมื่อเราแยกกายแยกใจได้ การเกิดจะเกิดขึ้นเองไม่ใช่ไปบังคับให้เกิด การที่เรารู้สึกตัวอยู่กับกายใจเราไปเรื่อยๆ จะทําให้เราเห็นกายเราแยกออกจากใจ เวลาเห็นจะเห็นกายเหมือนเป็นท่อนๆหรือเป็นหุ่น โดยมีใจเป็นผู้ดูกาย แยกออกไปจากกาย กายส่วนกาย ใจส่วนใจ (คนที่เห็นได้แรกๆมักจะสังเกตุไม่ออก)
หลังจากเราเห็นตรงนี้แล้ว จะทําให้เราเห็นความจริงของกาย ของใจ ชัดเจนขึ้น การเห็นตรงนี้จะเห็นได้เมื่อจิตตั้งมั่นว่างๆไม่ปรุงแต่งไม่คิดอะไร เป็นวิปัสสนาญาณหรือปัญญาญาณนั้นเอง รู้ในวิชชา เพื่อไปค่อยๆละอวิชชาในแต่ละเรื่อง และเป็นการเข้าไปเห็นไตรลักษณ์ในขณะดําเนินชีวิตประจําวัน
การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นโชคดีมาก
เพราะมนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้ถึง 2 ครั้งในชีวิต
😘ครั้งที่หนึ่ง
คือการกำเนิดทางกายและจิตตั้งแต่เกิดเป็นทารกออกจากครรภ์มารดา จนกระทั่งเติบโตมีร่างกาย สมอง จิตวิญญาณ สติปัญญาครบถ้วน สามารถเรียนรู้ ทุกเรื่อง ทุกสรรพสิ่งบนโลกได้เป็นอย่างดีกว่าสัตว์อื่นๆทั้งหลาย