นิมิตเป็นของหลอกลวงเมื่อลงนั่งสมาธิ ถ้าเกิดนิมิตต่างๆ เช่นเห็นนางฟ้าเป็นต้น เมื่อเห็นอย่างนั้นให้เราดูเสียก่อนว่าจิตเป็นอย่างไร อย่าทิ้งหลักนี้ จิตต้องสงบจึงเป็นอย่างนั้น นิมิตที่เกิดขึ้นอย่าอยากให้มันเกิด อย่าไม่อยากให้มันเกิด มันมาก็พิจารณา พิจารณาแล้วอย่าหลง ให้นึกว่ามันไม่ใช่ของเรา นี่ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเช่นกัน ถึงมันจะเป็นอยู่ก็อย่าเอาใจใส่มัน เมื่อมันยังไม่หายตั้งจิตใหม่กำหนดลมหายใจมากๆ สูดลมเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ อย่างน้อย ๓ ครั้ง ก็ตัดได้ตั้งกำหนดใหม่เรื่อยไปสิ่งเหล่านี้อย่าว่าเป็นของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต คือของหลอกลวงให้เราชอบ ให้เรารัก ให้เรากลัว นิมิตเป็นของหลอกลวง ใจเรามันไม่แน่นอน ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมัน ไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามนิมิต เห็นนิมิตให้ย้อนดูจิตเลยอย่าทิ้งหลักเดิม ถ้าทิ้งตรงนี้ ไปวิ่งตามมันอาจพูดลืมตัวเองเป็นบ้าไปได้ไม่กลับมา พูดกับเราเพราะหนีจากคอกแล้ว ให้เชื่อตัวเองแน่นอน เห็นอะไรมาก็ตามถ้านิมิตเกิดขึ้นมาดูจิตตัวเองจิตต้องสงบมันจึงเป็นถ้าเป็นมาให้เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่ของเรา นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่คนมีปัญญา ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญา ทำความเพียรไปจนเราไม่ตื่นเต้นในนิมิต มันอยากเกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจได้อย่างนี้ไม่เป็นไร ทีแรกเราตื่นของน่าดูมันก็อยากดู ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลง ไม่อยากให้มันดีมันก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไรปฏิบัติไม่ถูกก็เป็นทุกข์ มันอยากดีใจก็ช่างมัน ให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่า ความดีใจนี้ก็ผิดไม่แน่นอน เช่นกันแก้มันอย่างนี้อย่าไปแก้ว่า “ไม่อยากให้มันดีใจทำไมจึงดีใจ” นี่ผิดอยู่นะผิดอยู่กับของเหล่านี้ ผิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ผิดอยู่ไกลหรอก อย่ากลัวนิมิตไม่ต้องกลัว เรื่องภาวนานี้พอพูดให้ฟังได้เพราะเคยทำมา ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่นะให้เอาไปพิจารณาเอาเองเอ้าพอสมควรละนะทำจิตให้สงบก่อน แล้วจึงพิจารณาอารมณ์
ให้ใจสงบไปอย่างนี้เสียก่อน นั่งอยู่ที่ไหนก็ตามนั่งเก้าอี้นั่งรถนั่งเรือก็ตาม ถ้ากำหนดเมื่อใดให้มันเข้าเลย ขึ้นรถไฟพอนั่งลงให้มันเข้าเลย อยู่ที่ไหนนั่งได้ทั้งนั้น ถ้าขนาดนี้รู้จักแล้วรู้จักทางบ้างแล้วจึงมาพิจารณาอารมณ์ ใช้จิตที่สงบนั่นพิจารณาอารมณ์ รูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง ธรรมารมณ์บ้างที่เกิดขึ้น ให้มาพิจารณาชอบหรือไม่ชอบต่างๆ นานา ให้เป็นผู้รับทราบไว้ อย่าเข้าไปหมายในอารมณ์นั้น ถ้าดีก็ให้รู้ว่าดี ถ้าไม่ดีก็ให้รู้ว่าไม่ดี อันนี้เป็นของสมมติบัญญัติ ถ้าจะดีจะชั่วก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น เป็นของไม่แน่นอนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อ่านคาถานี้ไว้ด้วย ถ้าทำได้อย่างนี้เรื่อยๆ ไปปัญญาจะเกิดเองอารมณ์นั้นเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ทิ้งใส่สามขุมนี้นี้เป็นแก่นของวิปัสสนา ทิ้งใส่อนิจจังทุกขังอนัตตา ดีชั่วร้ายอะไรก็ทิ้งมันใส่นี่ ไม่นานเราก็จะเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมาในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดปัญญาอ่อนๆ ขึ้นมา นั่นแหละเรื่องภาวนาให้พยายามทำเรื่อยๆ ศีลห้านี้ถือมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ เริ่มภาวนาเสียให้รู้ความจริงเพื่อละเพื่อถอนเพื่อความสงบ
นักปฏิบัติต้องรักษาวินัย และเชื่อฟังอาจารย์
พูดถึงการสนทนาแล้ว อาตมาสนทนาไม่ค่อยเป็น มันพูดยากอยู่ ถ้าใครอยากรู้จักต้องอยู่ด้วยกันอยู่ไปนานๆ ก็รู้จักหรอก อาตมาเคยไปเที่ยวธุดงค์เหมือนกัน อาตมาไม่เทศน์ไปฟังครูบาอาจารย์รูปนั้นรูปนี้เทศน์ มิใช่ว่าไปเทศน์ให้ท่านฟัง ท่านพูดอะไรก็ฟังฟังเอา พระเล็กพระน้อยเทศน์ก็ฟัง เราจะฟังก็ฟังไม่ค่อยสนทนา ไม่รู้จะสนทนาอะไร ที่จะเอาก็เอาตรงที่ละที่วางนั่นเอง ทำเพื่อมาละมาวางไม่ต้องไปเรียนให้มาก แก่ไปทุกวันๆ วันหนึ่งๆ ไปตะปบแต่แสงอยู่นั่นไม่ถูกตัวสักที การปฏิบัติธรรมแม้จะมีหลายแบบอาตมาไม่ติ ถ้ารู้จักตามความหมาย ไม่ใช่ว่าจะผิดแต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่ค่อยรักษาวินัยอาตมาว่าจะไปไม่รอด เพราะมันข้ามมรรค ข้ามศีล สมาธิ ปัญญา บางท่านพูดว่าอย่าไปติดสมถะ อย่าไปเอาสมถะ ผ่านไปวิปัสสนาเลย อาตมาเห็นว่าถ้าผ่านไปเอาวิปัสสนาเลยมันจะไปไม่รอด
วิธีปฏิบัติของท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น
ท่านอาจารย์ทองรัต ท่านเจ้าคุณอุบาลี นี่หลักนี้ อย่าทิ้ง แน่นอนจริงๆ ถ้าทำตามท่าน ถ้าปฏิบัติตามท่านเห็นตัวเองจริงๆ ท่านอาจารย์เหล่านี้เรื่องศีลท่านพยายามรักษาให้แน่นอน ท่านไม่ให้ข้ามการเคารพครูบาอาจารย์ การเคารพข้อวัตรปฏิบัตินั้น ถ้าครูบาอาจารย์บอกให้ทำก็ทำ ถ้าท่านว่าผิดให้หยุดก็หยุด ชื่อว่าทำเอาจริงๆจังๆ ให้เห็นให้เป็นขึ้นในใจ ท่านอาจารย์บอกอย่างนี้ ดังนั้นพวกลูกศิษย์ทั้งหลายจึงมีความเคารพยำเกรงในครูบาอาจารย์มาก เพราะเห็นตามรอยของท่าน
หลวงพ่อชา สุภัทโท (กุญแจภานา)
"...พวกเรานี่ยังหลงอยู่แต่ในมหาสมุทร ยังล่องลอยอยู่กับคลื่นลม คลื่นเล็กคลื่นใหญ่ ยังหลงดิ้นกันอยู่กับคลื่น ไม่หาวิธีพาตัวเองให้ถึงฝั่ง
พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้เราตระเกียกตระกาย พาตัวเองขึ้นจากฝั่ง ให้สุขสงบร่มเย็น หมู่สาวกที่เชื่อก็ได้อยู่อย่างเป็นสุขร่มเย็นบนฝั่งแล้ว
แต่บางคนก็คิดว่าตนเองสงบแล้ว สุขแล้ว นี่บางที่หลงเข้าใจตัวเองผิด คลื่นที่นิ่งมันก็ยังเป็นคลื่นอยู่ เคยเห็นมั้ย คลื่นที่มันนิ่งๆ มันก็มีนะ เป็นคลื่นใต้น้ำ รอวันลมพัดแรงเป็นคลื่นใหญ่ซัดให้เรืออับจมลงได้ เราก็ตกเป็นอาหารเป็นเหยื่อของปลา เป็นอาหารของกิเลส
พระพุทธเจ้า ท่านสอนวิธีตัดเครื่องผูก พวกเรานี่ไม่สนใจ สนแต่จะหาวิธีผูกยังไงเพื่อจะให้แน่นเข้า ยึดเข้า สนแต่จะผูกให้ได้มากๆ กอบโกยให้ได้มากๆ หลงแต่ที่จะเป็นเหยื่อปลา เหยื่อยักษ์ เหยื่อมาร เหยื่อกิเลส
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเข้าร่วมอยู่ในพรรคเดียวกับท่าน คือพรรคพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราหยุดดิ้นอยู่กับคลื่น หลงดิ้นอยู่ในทะเล ท่านให้เราขึ้นจากฝั่ง ลูกศิษย์ของพรรคพระพุทธเจ้า ไม่แม้แต่ส่งจิตออกนอกไปให้พรรคมาร พรรคกิเลสนะ เราเองเลือกดูนะ ว่าจะอยู่พรรคพระพุทธเจ้า หรือพรรคกิเลส..."
หลวงปู่แบน ธนากโร
#หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
การบำเพ็ญสมาธิจิต เพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญา
มีหลักที่ควรยึดถือว่า
ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก
จิตนึกรู้สิ่งใด ให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว
เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ
ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร ?
คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิคือ
การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก
หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใด ให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้
ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่า เราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ถ้าไม่มีธรรม ๓ ประการนี้รบกวนจิตใจเรา ก็ปล่อยให้จิตใจนั้นอยู่ตามสบายนั่นเถิด มีการมีงานก็ทำไปไม่มีโทษ เพราะเรามีสติอยู่กับตัว ไม่ใช่จะตันขี้ตันเยี่ยวมัน ไม่ให้นึกไปทางไหน มันนึกไปทางดีแล้วก็ปล่อยมัน ไม่มีโทษ
แม้การงานที่ถูก คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรียกว่า การงานชอบ เราก็ต้องปล่อยมันให้มันทำตามสะดวกของมัน
ส่วนสัมมาวาจาเล่า..มันไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ เราก็ต้องปล่อยให้มันพูดซิ
ส่วนด้านจิตใจอีก ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม คือเห็นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น สิ่งทั้งหลายที่ปรารภมานี้ เราก็ต้องปล่อยมันให้อยู่ตามสบาย ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำมันดอก เท่านี้ก็คงจะพอเข้าใจนะ...
มี “กามวิตก - ความตริในทางกาม” หรือไม่
มี “พยาบาทวิตก - ความตริในทางพยาบาท” หรือไม่
มี “วิหิงสาวิตก - ความตริในทางเบียดเบียน” หรือไม่
🔸เรื่องภาวนา.. เราจะให้มันนิ่งอยู่หน้าเดียวดิ่งในเป้าที่เราเพ่งอยู่ มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะสมาธิทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจอนิจจังอันละเอียด เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา มันจะถอนออกมาก็ช่างมัน เราต้องสังเกตว่า
ออกมาแล้วอย่างนี้
#ดูดายข้อวัตร_สมาธิสมาบัติไม่เจริญ
#ส่วนข้อวัตรของพระอาจารย์อันเป็นของประจำวัน ก็ทำเท่าที่ท่านทรงอนุญาต ส่วน
ข้อวัตรส่วนรวม เช่น กวาดลานวัด เสนาสนะ เหล่านี้เป็นต้น ถึงเวลาก็ต้องไม่ดูดาย ต้อง
ทำ มิฉะนั้นแล้วสมาธิสมาบัติไม่เจริญ เอา
เท่านี้ก่อนถ้าจะพูดไปมาก ผู้บวชใหม่ก็จะ
ระอา แต่อาบัติปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส
นั้นเป็นอาบัติที่สำคัญมาก ผู้เป็นอาจารย์
ต้องสอนให้รู้ชัดทั้งคุณและโทษนั้นๆ ด้วย
จึงจบย่อเพียงเท่านี้ก่อน
#ปล_การนั่งขัดสมาธิหรือนั่งพับเพียบ
"หรือนั่งห้อยเท้า หรือยืน เดิน ก็แล้วแต่เห็นสมควร ส่วนนอนนั้นก็นอนตะแคงข้างขวา
หรือจะหงายหรือจะทางซ้ายก็แล้วแต่สะดวก เมื่อไม่หลับเพียงใดก็นึกบริกรรมภาวนาเพียงนั้น ถ้าหลับไปแล้วก็เป็นเรื่องของหลับไปซะ วันหนึ่งคืนหนึ่งคิดเฉลี่ยรวมกันหลับ ๔ ชั่วโมงพอแล้ว การฉันอาหารถ้ายังอีก ๔-๕ คำแล้วจะอิ่ม ก็ให้ดื่มน้ำซะ เรียกว่า ฉันพอดี และเรียก
ว่า หลับพอดี นึกในใจว่า ไม่เห็นแก่หลับมากนักและไม่เห็นแก่ฉันมากนัก นี้เรียกว่า..! "
-----------------------
"จงพยายาม หาที่พึ่งให้ตนเอง
คนที่หาพึ่งแต่คนอื่น จะพบแต่
ความหลอกลวง"
------------------------
"การฝึกจิตให้เป็นที่พึ่ง แก่ตนเอง
ได้ คือ การฝึกสติ การปฏิบัติธรรม
ตามแนวของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง
อยู่ที่การสร้างจิตของตัวเอง ให้มี
พลังเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะรู้รอบ
อยู่ที่ตัวเอง สามารถยืนหยัดอยู่ใน
ความเป็นอิสระได้ตลอดกาล ไม่ต้อง
พึ่งพาอาศัยอะไร.. "
-----------------------------
คนไม่เห็นความคิดตัวเอง ไปเห็นพระพุทธรูป เห็นสี เห็นแสง เห็นเทวดา ล้วนไม่เห็นความคิดทั้งนั้น มันเป็นมายา ตามที่ผมปฏิบัติมาครับ เมื่อมาเห็นความคิด เข้าใจความคิด สัมผัสความคิดได้ดี มันคิดอะไรก็รู้ มันเห็น มันเข้าใจ เรื่องเล็กๆ เท่านั้นเอง แต่คนไม่เข้าใจ
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด 84000 พระธรรมขันธ์ พระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม รวมความมาแล้ว อยู่ที่กายวาจาใจ
ถ้าพูดง่ายๆนะ ดูใจ เรื่องดูใจเป็นเรื่องสำคัญ คิดปุ๊บ เห็นปั๊บ ผมเลยเปรียบกับนักมวย ขึ้นเวทีไม่ต้องไหว้ครู คู่ต่อสู้มาปั๊บ ชกใส่ลูกตานั่นเลย ใส่ลูกตา แล้วคู่ต่อสู้มันลืมตาไม่ขึ้น มันล้มเลย อันนี้ก็เหมือนกัน คิดปุ๊บ เห็นมันก็หยุดเลย ถ้าขึ้นไปบนเวที ว่าแต่ตัวเองเก่ง ชกไปเท่าไหร่ก็ไม่ถูก มีแต่โดนเขาชกเอา น๊อคเอา เรามีแต่ล้มเอาๆ ทุกครั้ง ผลที่สุดก็แพ้ แพ้คือกลัว
ฝึกหัดธรรมะต้องฝึกกับคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ต่อสู้กับคนภายนอก ต่อสู้กับความคิด พอมันคิด ก็ เออมันคิดมาแล้ว รู้ เข้าใจ สัมผัสได้ ความคิดมันถูกหยุดทันที รู้ความคิด มันหยุดแล้ว มันก็ไม่ถูกปรุงแล้ว ถ้าปรุงนั่นเรียกว่าสังขารปรุงแต่ง สังขารคือปรุงรูปกายนี่อันหนึ่ง อันนี้มันเป็นส่วนนอก สังขารปรุงความคิดนี่ปรุงแต่ง มันแต่งให้ทุกข์ ให้สุข ให้ดี ให้ชั่ว มันพูดอยู่คนเดียว ถ้าเราไม่เห็นมัน มันก็เข้าไปในความคิด เข้าไปแล้ว ออกไม่เป็น
ทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เหมือนกับคนเข้าถ้ำ เข้าถ้ำนี่นึกว่าตัวเองเห็นถ้ำ นี่ไม่เห็นเพราะอยู่ในถ้ำ มันมืดตื๋อ ออกมานอกถ้ำถึงเห็น เห็นปากถ้ำ เห็นในถ้ำ นี่เราออกมานอกความคิด พอมันคิด เราออกนอกความคิดเลย ให้เอาสติ หรือปัญญา ดูความคิด เห็น รู้ เข้าใจ ความคิดถูกหยุดเลยทันที
อันนี้พูดให้ฟังให้รู้จำ รู้จัก คือให้ดูคิด รู้แจ้ง คือเรารู้เอง รู้จริง คือ เรารู้เห็น ท่านจึงพูดว่า สันทิฏฐิโก อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบกาล และเวลา จะเป็นยุคใด สมัยใด ก็เป็นอยู่อย่างนั้น มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มี
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ขอให้มีคน ถ้าเป็นคนแล้ว มันคิดด้วยกันหมด
พระเณรก็คิดเหมือนกัน ญาติโยมก็คิดเหมือนกัน คนไทย คนจีน คิดเหมือนหมดทั้งนั้น เรื่องความคิดไม่ผิดกัน อันนี้จึงว่าธรรมะมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีคนมาค้น มาเห็น เมื่อมีคนมีปัญญามาพบมาเห็น ไม่ใช่ปัญญาศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจบ ไม่ใช่ปัญญาอันนั้นแน่ๆ มีพระบางองค์เรียนจบปริญญาเอกหลายๆ แขนง แต่ทุกข์เกือบตาย อันนั้นไม่ใช่ปัญญาแก้ทุกข์
ปัญญาแก้ทุกข์ไม่มากน้อยๆ พอมันคิดมาก็รู้ รู้เท่ารู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ เอาชนะมันได้ เหมือนนักมวยขึ้นเวที แล้วไม่ต้องไหว้ครู ไม่ต้องไปควานหาพระไตรปิฎก ว่ามันอยู่ในสูตร
ใดหนอ หน้าไหนหนอ ย่อหน้าไหนหนอ ไม่ต้องไปหาจริงๆ เรื่องนี้ นี่คือยอดของบุญจริงๆ นี่ยอดของความไม่มีทุกข์จริงๆ
บุญคืออะไร บุญคือรู้ตัวเรานี่แหละ บุญมากที่สุดคือรู้ตัวเรา รู้จักความคิดของเรา บุญมากที่สุด บาปมากที่สุดคืออะไร คือ คนลืมตัวนี่แหละ คนไม่เห็นความคิดตัวเองนี่แหละ ทำไมว่าบาปมากที่สุดก็มันทุกข์ ทุกข์กับบาปมันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ
บุญกับไม่มีทุกข์ก็อันเดียวกัน
อย่าไปมัวหาสวรรค์อยู่บนฟ้า อย่าไปหานิพพานอยู่บนฟ้า อย่าไปหามัน นรกใต้ดินก็อย่าไปหา ท่านสอนให้แก้ที่ปัจจุบันนี่ พระพุทธเจ้าท่านสอน อดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจมัน อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปสนใจมัน แก้ปัจจุบันนี่ เมื่อปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตก็เป็นอย่างนั้น เมื่อมันแก้แล้วหายไปได้
ถ้ามันผิดก็อย่านำไปปฏิบัติ ถ้ามันถูกก็เอาไปปฏิบัติเพราะมันแก้ไขตัวเองได้ เมื่อแก้ไขตัวเองได้แล้วก็ไปบอกผู้อื่นต่อ
หากไม่มีทุกข์ไม่ต้องปฏิบัติธรรมก็ได้ ไม่ว่าศาสนาไหนก็ปฏิบัติได้หมด ไม่ยกเว้นไม่ใช่คนถือศาสนาพุทธแล้วถึงปฏิบัติได้ ถือศาสนาคริสต์แล้วปฏิบัติไม่ได้ ถือศาสนาคริสต์แล้วปฏิบัติได้ ถือศาสนาพุทธแล้วปฏิบัติไม่ได้ นรกมีหมด คนถือศาสนาพุทธก็มีนรก คนถือศาสนาคริสต์ก็มีนรก คนถือศาสนาอิสลามก็มีนรก ศาสนาฮินดูก็มีนรก
ถ้านรกมีแต่ศาสนาพุทธ จะไปนับถือมันทำไมศาสนาพุทธ ก็ไปถือศาสนาคริสต์ที่ไม่มีนรกนะซิ ไปถือศาสนาอิสลามโน่นสิ ไปถือศาสนาพราหม์ ศาสนาฮินดูโน้นสิ เขาอยากไปตกนรกหรือเปล่า เขาไม่อยากตกนรกจะไปถือมันทำไมศาสนาพุทธ แต่ถ้ามีนรกแต่ศาสนาคริสต์ เราก็ทิ้งศาสนาคริสต์ซะ มันก็แล้วกันเท่านั้น อันนี้แหละเราไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนา
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ศาสนา แปลว่า คำสอนของคนคนผู้รู้ ศาสนาไม่ใช่พุทธศาสนานะ ฟังให้เป็น คนรู้เรื่องไหว้ผี เรียกว่าศาสนาผี ศาสนาพราหม์ ฤกษ์งามยามดี อันนั้นเป็นศาสนาพราหม์ คนรู้เรื่องอันใดเขาอันนั้นมาสอนเรียกว่าศาสนา
คำสอนของท่านผู้รู้
หลวงพ่อเทียน
สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน
หลายวันที่ผ่านมาได้โพสต์
เรื่อง โรคภัยไข้เจ็บเสียส่วนมาก
ซึ่งเป็นเรื่องของโลกๆที่ยังมี
การเกิดแก่เจ็บตาย อันอยู่ในอำนาจ
ของปัจจัยปรุงแต่ง อยู่ในเขตของ
กาลเวลา
วันนี้จะได้พูดคุยกันในส่วนของ
เหนือโลกเหนือเวลา ไม่เกิดไม่ตาย
ไม่อยู่ในอำนาจของปัจจัยปรุงแต่ง
สภาวะธรรมเหนือโลกนั้น
ไร้การปรุงแต่ง ไร้ภาษาสมมุติ
แต่เมื่อเอามาพูด..ก็ต้องนำภาษา
มาสมมุติเทียบเคียงให้ได้เข้าใจ
ให้ได้เอะใจ สกิดใจ กระชากใจ
เพื่อท่านที่อ่านที่ฟังจะแจ้งใน
สภาวะธรรมนั้นด้วยตนเอง..
ตอนที่ 1
ธรรมชาติของสภาวะธรรมนั้น
สมมุติว่า มีอยู่ 4 สภาวะ..
สภาวะ 1 ธรรมชาติรู้
สภาวะ 2 ธรรมชาติที่ถูกรู้
สภาวะ 3 ธรรมชาติปรุงแต่ง
สภาวะ 4 ธรรมชาติพ้นการปรุงแต่ง
สภาวะที่ 1, 2, 3 นั้น ไม่สัมบูรณ์
ต้องมีเหตุปัจจัยสร้างเสริมเติมแต่ง
ให้เกิดขึ้น..เมื่อเหตุปัจจัยดับไป
สภาวะนั้นก็ดับไปด้วย..
มีความไม่แน่นอน..ตั้งอยู่ถาวรไม่ได้..
ไร้แก่นสาร..
สภาวะที่ 4 นั้น สัมบูรณ์
เหนือเหตุปัจจัยสร้างเสริมเติมแต่ง
จึงไร้เหตุเกิด ไร้เหตุดับ..
ไร้รูปลักษณ์ ไร้สมมุติ ไม่แปรปรวน
เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์
สภาวะ 1 ธรรมชาติรู้
..รู้ผ่านประสาทสัมผัสตามช่องทาง
ต่างๆ เช่น ทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางผิวกาย และทางใจ
..รู้ไปอย่างนั้นอย่างนั้น..
รู้อะไรบางอย่าง..รู้แล้วก็แล้วไป
ไม่ให้ความหมาย ไม่ให้ค่าใดๆ
..รู้นั้นเกิดขึ้นทันที..
เมื่ออะไรบางอย่าง..
มากระทบสัมผัส ทางตา ทางจมูก
ทางหู ทางลิ้น ทางผิวกาย
..และความนึกคิดเกิดขึ้นทางใจ
..และดับลงทันที
เมื่ออะไรบางอย่างนั้นดับไป
นี่คือขณะหนึ่งที่รวดเร็วมาก
สมมุติเรียกว่า ขณะจิต
สภาวะ 2 ธรรมชาติที่ถูกรู้
ธรรมชาติที่ถูกรู้ หรืออะไรบางอย่าง
มีสภาพเป็นธาตุต่างๆที่หมุนวน สร้าง
เสริม เติมแต่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น
ธาตุ ดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
และมโนธาตุ ความรู้สึกนึกคิด
ธรรมชาติที่ถูกรู้นี้เกิดจาก
เหตุปัจจัยของธรรมชาติปรุงแต่ง
เมื่อธรรมชาติปรุงแต่งเกิด
ธรรมชาติถูกรู้ก็เกิดขึ้น
เมื่อธรรมชาติปรุงแต่งดับ
ธรรมชาติถูกรู้ก็ดับ
เมื่อธรรมชาติถูกรู้ดับ
ธรรมชาติรู้ก็ดับ
ธรรมชาติรู้
ธรรมชาติถูกรู้
ธรรมชาติปรุงแต่ง
เกิดขึ้นดับไป เกี่ยวเนื่องกัน
ธรรมชาติถูกรู้นี้
สมมุติเรียกว่า กายใจ
และสรรพสิ่งต่างๆภายนอก
ที่มีมากมายตามภาษาสมมุติ
ที่ให้ค่าให้ความหมายไว้
--------------------------
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
**อย่าอ่านเพื่อจะให้ถูกต้อง
หรือเพื่อค้นหา หรือเพื่อให้
ได้อะไรๆ..หรือให้เป็นจริง
เป็นจังตามภาษาที่เขียน**
**หากไม่เข้าใจ ก็จงผ่านไปครับ**
**(ค่อยๆอ่านให้เข้าใจ..
แต่อย่าอ่านเพื่อต้องการอะไรๆ
หรือให้ป็นจริงเป็นจังอย่างภาษาที่เขียน)**
----------------------------------
ตอนที่ 2
ธรรมชาติที่ถูกรู้
หากรู้ทางตา..
สมมุติเรียกว่าเห็นรูปทางตา
หากรู้ทางหู..
สมมุติเรียกว่าหูได้ยินเสียง
หากรู้ทางจมูก..
สมมุติเรียกว่าจมูกได้รับกลิ่น
หากรู้ทางลิ้น..
สมมุติเรียกว่าลิ้นได้รับรส
หากรู้ทางผิวกาย..
สมมุติเรียกว่ากายสัมผัส เย็นร้อน
อ่อน แข็ง ตึง ไหว คัน ชา..
หากรู้ทางใจ..
สมมุติเรียกว่า รู้สึก รู้นึก รู้คิด
แต่ความเป็นจริงแล้ว..
ขณะที่รู้นั้น..**สมมุติไม่มีอยู่เลย**
ไร้ตาไร้รูป..ไร้หูไร้เสียง..
ไร้จมูกไร้กลิ่น..ไร้ลิ้นไร้รส
ไร้กายไร้เย็นร้อนอ่อนแข็ง
ไร้รู้สึกไร้นึกไร้คิด
..มีแต่ธรรมชาติรู้..
..และธรรมชาติที่ถูกรู้..
ปรากฏเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น
สภาวะ 3 ธรรมชาติปรุงแต่ง
ธรรมชาติปรุงแต่ง
แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
ลักษณะหนึ่งเป็นรูปธรรม
มีหน้าที่สร้างเสริมเติมแต่ง
ให้ร่างกายคงสภาพ..
นั่นคือ "อากาศ น้ำ อาหาร"
ที่ต้องหายใจ และดื่มกิน
เพื่อไปสร้างพลังงาน บำรุง ปรับปรุง
เซลล์ เม็ดเลือด เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ
ให้สมบูรณ์ และทำงานได้ปกติ
ลักษณะหนึ่งเป็นนามธรรม
มีหน้าที่สร้างเสริมเติมแต่ง
ให้จิตใจมีอารมณ์ ความรู้สึก
และคอยควบคุมสั่งการให้ร่างกาย
ทำงาน พูดจา เคลื่อนไหว หยุด
และทำอะไรต่างๆตามการสั่งการ
นั่นคือ "ความคิด"
"ความคิด" นั้นมี 2 ระดับ
ระดับที่ 1
"ความคิดแบบสัญชาติญาณ"
ความคิดระดับนี้ละเอียดรวดเร็ว
จนเราไม่สามารถรู้เห็นได้ เช่น..
เมื่อเรามองไปข้างหน้า จะเห็นว่ามี
ระยะใกล้ ระยะไกล..อันนี้ความคิด
แบบสัญชาติญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
หรือ..เมื่อเจอแดดส่องถูกตัวจะรู้สึก
ทันทีว่าร้อนและจะต้องหาที่บังแดด
หรือเมื่อร่างกายหิวน้ำ เราจะรู้ทันที
ว่าต้องไปเอาน้ำมากิน..
นี่คือความคิดแบบสัญชาติญาณ
ได้เกิดขึ้นแล้วแต่เรารู้ไม่ทัน..
ความคิดแบบสัญชาติญาณนี้
เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง
"ที่คอยสั่งการ และครอบงำ"
ให้เราเข้าใจว่า ธรรมชาตินี้เป็นชีวิต
ที่จะต้องคอยรักษาบำรุง ให้ดำเนิน
ไป และคงอยู่ถาวรตลอดกาล
ระดับที่ 2
"ความคิดแบบสมมุติ"
ความคิดระดับนี้หยาบขึ้นมา
อีกหน่อยและรู้เห็นได้ง่าย
ความคิดแบบนี้เกิดเมื่อการ
รับรู้สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย
ความคิดนี้จะเริ่มให้ค่า ให้ความหมาย
ในสิ่งที่สัมผัสรับรู้..เพื่อ..
การใช้งาน เรียกชื่อ ในสิ่งนั้นๆ
เมื่อคิดแล้วก็เปล่งออกมาเป็นภาษา
ในความคิดนั้นเรียกว่าจินตนาการ
หรือ"ภาพในความคิด" แต่เมื่อเปล่ง
ออกมาทางวาจาก็กลายเป็น
"ภาษาพูด" และการขีดเขียน
ทางมือก็กลายเป็น"ภาษาเขียน"
ภาพในความคิด และภาษาพูด
ภาษาเขียนนี้ เรียกว่า"สมมุติ"
ซึ่งสมมุติ ที่ให้ค่าให้ความหมาย
นี้มีมากมายมหาศาล เพื่อไว้ใช้งาน
ปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์
ความคิดระดับที่ 2 ที่เป็นสมมุตินี้
ที่เราหลงยึดถือว่าเป็นจริง และ
นำไปสวมทับกับความคิดระดับที่ 1
ผสมกลมกลืนกัน จนถูกครอบงำ
ให้เข้าใจว่า.."ร่างกายจิตใจ" ที่เป็น
เพียงสมมุติและกระบวนการของ
ธรรมชาตินั้น..เป็นตัวตนของเราจริง
..อ่านมาถึงตรงนี้..
ท่านพอจะเห็นความหลงผิดแล้ว
หรือยัง..
..ธรรมชาติปรุงแต่ง เป็นเพียง
ตัวสั่งการควบคุม..ให้มีการกระทำ
เพื่อดำรงคงอยู่ของกระบวนการ
ธรรมชาติทั้งหมด ในขณะที่ธาตุ
ทั้งหลายยังเกาะกลุ่มรวมตัวกัน
ชั่วคราวในชาติสุดท้ายนี้เท่านั้น
แต่เมื่อท่านถูกครอบงำด้วย
การปรุงแต่งด้าน..มิจฉาทิฏฐิ..
ตัวตนจึงเกิดขึ้นในฉับพลัน
มีสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา
มีการกระทำให้เกิดภพชาติ
เกิดตาย หมุนเวียนไม่รู้จบรู้สิ้น..
----------------------------------------
ติดตามตอนต่อไปครับ
ตอนที่ 3
..เมื่อท่านได้อ่านบทความที่เขียน
มาแล้ว 2 ตอนนั้น หากเข้าใจ
(เข้าใจนี่ยังเป็นแค่ความคิดน่ะ)
..เข้าใจแล้วเกิดสะดุ้งใจ กระตุกจิต กระชากใจ..แล้วประจักษ์ในสภาวะด้วยตนเอง..
..นั้นจะทำให้จุดที่ท่านยืนเปลี่ยนไป
ยืนอยู่ที่..ธรรมชาติรู้..
..ปกติปุถุชนจะยืนอยู่ตรงจุด..
ธรรมชาติปรุงแต่ง..เมื่อยืนอยู่จุดนี้
จะไม่สามารถเห็น "สภาวะธรรมชาติรู้"..
ไม่สามารถเห็น
"สภาวะธรรมชาติที่ถูกรู้"
..เพราะท่านถูกครอบงำด้วยกระแส
ของ "ธรรมชาติปรุงแต่ง"..
..ท่านจะเห็นแต่สมมุติทั้งหลาย
ที่ธรรมชาติปรุงแต่ง..สร้างเสริม
เติมแต่งขึ้นมา..และทำให้เข้าใจว่า
สมมุติทั้งหลายเหล้านั้นเป็นความจริง..
มีตัวตนจริง..เป็นตัวเราจริง..
ตัวอย่างดั่ง..รูปกาย..ที่ถูกปรุงแต่ง
ด้วยธาตุทั้ง 4 สร้างเสริมเติมแต่ง
ให้มีเซลต่างๆรวมตัวเป็นอวัยวะทั้ง
32 เช่นหัวใจ ปอด ตับ ม้ามลำไส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่..เลือด..นัำเหลือง..เนื้อ
เอ็น..กระดูก..ผิวหนัง..ก่อตัวขึ้น
เป็นรูปร่างมนุษย์..
..ธาตุเหล่านี้ที่ก่อตัวขึ้น..
คือธรรมชาติที่ถูกรู้..ที่ถูกสร้างขึ้น
ด้วยธรรมชาติปรุงแต่งที่เป็นรูปธรรม
..ต่อเมื่อใส่ชื่อให้ความหมายว่า
เป็นอวัยวะต่างๆ เช่น มือ แขนขา
หู ตา จมูก ปาก..หรือรวมเรียกว่า
ร่างกาย..เรียกว่าเป็นมนุษย์..
เรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิต..เรียกว่านายแดง
..ชื่อเรียกเหล่านี้เป็น..
ธรรมชาติปรุงแต่งนามธรรม
หรือความคิด ที่ให้ค่าให้ความหมาย
ซึ่งความหมายเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติล้วนๆ..
..สมมุติเหล่านี้มิได้มีอยู่จริงเลย
เมื่อความคิดดับสมมุติเหล่านี้ก็ดับ
แต่เมื่อท่านใช้งานสมมุติเหล่านี้
บ่อยๆ ย้ำคิดบ่อยๆ ย้ำพูดบ่อยๆ
และเชื่อในความคิดเชื่อในคำพูด
ก็ถูกครอบงำด้วย"ธรรมชาติปรุงแต่ง"..ไปโดยปริยาย..และ
เข้าใจผิดว่าสมมุติเหล่านั้นเป็น
ของจริงมีตัวตนจริง..
..ขณะนั้นท่านจะไม่สามารถเห็นสภาวะของการปรุงแต่ง
และสภาวะพ้นจากการปรุงแต่งเลย..
..แต่จะเห็นเพียงตัวสมมุติทั้งหลาย
ที่เป็นสิ่งต่างๆเป็นเรื่องราวต่างๆ
มากมายเต็มทั้งโลก..
สภาวะของการถูกครอบงำ
และพ้นจากการถูกครอบงำ
จะอุปมาอุปมัย..ดังนี้..
ท่านอยู่ที่น้ำตกที่เป็นชั้นๆลดหลั่น
กันมา ชั้นเตี้ยๆไม่สูงนัก..มีกระแส
น้ำไหลตกลงมาเชี่ยวกรากผ่าน
โขดหินน้อยใหญ่ น้ำนั้นไหลตกลงมาเป็นสายและไหลวนบ้าง ไหลไปตามลำธารบ้างอยู่ตลอดเวลา..
..หากท่านกระโจนลงไปเล่นน้ำ
ในกระแสน้ำตก..และปล่อยตัวตาม
น้ำ..อิทธิพลของกระแสน้ำจะพัดพาท่านให้หมุนวนอยู่ในกระแสน้ำและพัดพาไปตามเกาะแก่งต่างๆ..
ท่านจะรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุข
กับการเล่นน้ำ..
..แต่ท่านจะไม่เห็นกระแสน้ำ
อิทธิพลของความเชี่ยวกรากของ
กระแสน้ำที่จะพัดพาไปสู่เบื้องล่าง
ที่อันตรายจากโขดหิน ก้อนหินคมๆ
ใต้น้ำ หรือสัตว์มีพิษ..ที่แฝงเร้นอยู่..
ด้วยความสุข ความเพลิดเพลิน
ท่านจะไม่ตระหนักถึงอันตรายนี้
..นี่คือการถูกครอบงำจาก..
"ธรรมชาติปรุงแต่ง"
..ต่อเมื่อท่านโดนกระแสน้ำพัดพาร่างฟาดกับโขดหิน โดนหินคมๆบาดเอาบ้าง ท่านจึงได้ตระหนักถึงอันตราย..จึงได้ฮึดว่ายทวนกระแสน้ำและขึ้นไปยืนบนโขดหินกลางลำน้ำนั้นเพื่อพักเหนื่อย..
..ขณะยืนบนโขดหิน..ท่านจะเห็นกระแสน้ำและความเชี่ยวกรากของน้ำ..เห็นถึงอันตรายจากการตกไปอยู่ในอิทธิพลของกระแสน้ำอย่างชัดเจน
..หากท่านยืนนิ่งๆอยู่บนโขดหิน
กระแสน้ำก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้ ทั้งที่กระแสน้ำตกนั้นก็ยัง
ไหลเชี่ยวอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น
..นี่คือจุดที่ท่านสามารถเปลี่ยนมา
ยืนอยู่ที่"ธรรมชาติรู้"
หากเมื่อท่านอยากสนุกขึ้นมาอีก
กระโจนลงไปในเล่นน้ำอีก
ก็ถูกอิทธิพลของกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นพัดพาหมุนวน
ไปตามความกระแสน้ำให้พบเจออันตรายอีกครั้ง..
..นี่ถูกธรรมชาติปรุงแต่ง
ครอบงำอีกครั้ง..
และหากท่านโดนบาดเจ็บเข้าอีก
ก็กลับขึ้นมายืนบนโขดหินเพื่อพัก
เหนื่อยและได้ยั้งคิดพิจารณา
สลับไปสลับมาอย่างนี้..
จากจุดที่อยู่กับธรรมชาติรู้
และกระโจนตกไปอยู่ในกระแส
ถูกครอบงำของธรรมชาติปรุงแต่ง
..จนกระทั่งเหนื่อยล้า..
และประจักษ์ความจริงถึงที่สุดว่า
..น้ำตกนี้มีทั้งสนุก และอันตราย
ความสุขและอันตรายหายไปบัดดล
เมื่อมายืนอยู่บนโขดหิน..
..ซึ่งเหลือแต่ความเหนื่อยล้า..
..จึงเลิกเล่นและว่ายกลับมาขึ้นฝั่ง..
พื้นที่ซึ่ง ห่างมาจากน้ำตก..
*และเป็นที่ที่ท่านยืนอยู่ก่อนหน้านั้น*
ส่วนน้ำตกที่อยู่เบื้องหน้า
ยังคงทำหน้าที่อยู่ตามธรรมชาติ
สร้างเสริมเติมแต่งให้เป็น
จนกระทั่งหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เป็น
..เมื่อท่านถึงฝั่ง ก็นับว่า..
"พ้นจากธรรมชาติปรุงแต่ง"
เมื่อไม่ยึดถือสมมุติใดๆ
จึงไร้ซึ่ง สัตว์ ชีวิต บุคคล ตัวตน
เราเขา..
สภาวะธรรมที่ปรากฏเพียง
ธรรมชาติรู้
ธรรมชาติถูกรู้
ธรรมชาติปรุงแต่ง
ธรรมชาติพ้นจากการปรุงแต่ง
สภาวะธรรมนั้นไม่มีสมมุติใดๆ
ที่จะพูดได้ อธิบายได้ เขียนได้..
และเข้าถึงด้วยการกระทำใดๆได้
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น
เป็นเพียงภาษาสมมุติ
ที่นำมาเขียน ให้อ่าน
เพื่อให้สะดุ้งใจ..ได้ประจักษ์แจ้ง
ด้วยตัวท่านเอง..
**เมื่อไม่ปราถนาจะปรากฏเอง**
ถ้าเราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
(จิตคือพุทธะ)