พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 29 มกราคม 2561
ตอนที่ 261 **ทำความดีแข่งกับเวลา**
+ +
ในเช้าของวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้น้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้าต่อ องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้ก้มกราบพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ พระองค์จะทรงเมตตาแสดงธรรม ตัวอย่างของผู้มีปัญญาธรรม แบบไหน.. ให้ลูกฟัง นำไปปฏิบัติ เผยแผ่ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาลูกด้วย เจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่รู้จักฝึกฝนตน ให้รู้หน้าที่แห่งตน ว่า..
ตนควรที่จะทำอะไร ที่มันเป็นประโยชน์แก่ตน แก่บุคคลผู้อื่น **
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว เขาก็จะทำเช่นนั้น.. เช่นที่ลูกทำ
-- และเขาก็จะทำให้ได้มากที่สุด ดีที่สุด แข่งกับเวลาที่เขานั้นมีอยู่ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม วันนี้.. ที่เราจะกล่าวถึง
จึงจะหยิบยกถึงบุคคล “ผู้รู้ค่า”ในเวลาที่ตนมีอยู่
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจะรู้ค่าในเวลาที่เขามี
เขาจะไม่ปล่อยให้เวลาของเขาสูญเปล่า - โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวของเขา !
พระยาธรรมเอ๋ย.. กาลเวลานั้น มันผ่านล่วงเลยไปไวนัก เผลอแป๊บเดียว ก็ขึ้นปีใหม่
และก็ล่วงเลยไป.. จะถึงเดือนหนึ่งแล้ว
วันนี้ ก็เป็นวันที่ 27 แล้ว
เห็นมั้ยละลูก เผลอแป๊บเดียว กาลเวลาก็ผ่านไปมาก
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว เขาจึงรู้ค่าแห่งเวลา
ทุกสิ่งเกิดขึ้น
ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
และทุกสิ่ง - ก็จะดับไปตามกาลเวลา
เขาจะรู้ว่า.. เขาควรจะเอาเวลาที่มีอยู่นั้น..
-- ทำอะไรให้ก่อเกิดผลประโยชน์อันสูงสุด แก่ตัวของเขา --
เช่น 1 วัน ที่เขามีอยู่นั้น - เขาควรจะทำอะไรบ้าง
และวันต่อไปนั้น.. มันจะมี หรือไม่มี เขาก็ไม่รู้ ..
เขารู้แต่ว่า.. เขาต้องทำเวลาที่มีอยู่ ให้ดีที่สุด **
ความดีที่สุด ของบุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม
ก็คือ การไม่เอาเวลาของตน ไปทิ้งไว้กับเรื่องภายนอก
เรื่องภายนอก ก็คือ สิ่งที่มันสมมุติทั้งหลาย
เรื่องของร่างกายบ้าง.. กายนี้
- ต้องการสิ่งนั้นสิ่งโน้น
- ต้องการที่จะต้องตกแต่ง
- ต้องการที่จะต้องสนองมัน - ด้วยสิ่งประกอบต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ - เขาก็จะรู้ว่า..
/ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลา
/ ทำให้เขาเอาเวลาของเขาไปทิ้งไว้ - กับสิ่งภายนอก
เขาจะไม่สนใจเรื่องปรุงแต่ง สิ่งปรุงแต่ง ที่มันเกี่ยวกับกายเลย
เขาจะไม่สนใจว่า.. ต้องตกแต่งร่างกาย อย่างนั้น อย่างนี้
เขาจะไม่ปรุงแต่ง สิ่งที่มันไม่จำเป็น
เขาจะตัดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปเสียจนหมด..
จนเหลือเพียงแค่เฉพาะ.. เรื่องที่มันจำเป็นจริงๆเท่านั้น !
การดูแลร่างกาย ให้กายนี้ - ไม่ให้หิวจนเกินไป.. จนไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไป
การกิน - ก็กินตามเหตุ ตามปัจจัยที่มี
ไม่ต้องกิน เพื่อเกียรติ
ไม่ต้องกิน สนองตัณหา
ไม่ต้องกิน เพราะความลุ่มหลง ในรสชาติอาหาร
มีอะไรที่พอจะจัดสรร เพื่อให้กายนี้อยู่ได้
-- เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มีนั้น.. ก็พอ
ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ในเรื่องการกิน
ไม่ต้องไปสนองมัน จนเราเสียเวลาไปกับสิ่งสมมุติเหล่านั้น
ไปกับกิเลสตัณหา ที่มันพาปรุง พาแต่ง.. ไปอย่างนั้น
ถ้าสมมุติว่า เขาจะต้องตกแต่งร่างกาย
เพื่อไม่ให้น่าเกลียด / เพื่อไม่ให้กายนี้ดูไม่ได้..
เขาก็แค่มีเครื่องนุ่งห่ม พอปกปิดร่างกายให้มิดชิด
- กันหนาว กันร้อน
- กันสิ่งที่มันไม่น่าดู ไม่สวยไม่งาม
... ให้มันแค่พออยู่ได้..
เขาจะไม่สนใจเลยว่า.. จะต้องแต่งร่างกาย แต่งตัวให้สวย ให้หล่อ ให้ดูดี อย่างนั้นอย่างโน้น
ขอเพียงแค่ให้มีเครื่องนุ่งห่มคลุมกาย
ดูแลกายนี้ ตามเหตุปัจจัย ที่พอจะจัดสรร
ทำไปโดย ไม่จำเป็นต้องตกแต่งร่างกาย เพื่อ
/ สนองความสวย ความหล่อ ความดูดี
/ สนองการสรรเสริญ และเกียรติ
/ เพื่อที่จะชูกิเลสนั้น
เขาจะไม่ปล่อยเวลาของตน ให้ไปเสียกับภายนอก.. เช่นนี้ละลูก
เขาจะสักแต่ว่า ดูแลกายนี้ - ตามเหตุตามปัจจัย
สิ่งที่เขาควรจะทำ ก็คือ ดูแลดวงจิตของเขาต่างหากเล่าว่า..
วันนี้.. ดวงจิตของเขานั้น มีเชื้อแห่งกิเลส และตัณหา มาทำให้เขานั้น ต้องปนเปื้อน ต้องทุกข์
ต้องมืดมน ต้องดิ้นรน ต้องขวนขวาย
ทำให้เขานั้นต้องตกเป็นทาสกิเลสตัณหา มากน้อยเพียงใด ?
มีอยู่หรือเปล่า ?
เราได้ขจัดมันออกจากเรา ไปหรือเปล่า ?
สิ่งที่เขาสนใจที่จะดู ก็คือ การดูในจิตภายใน **
ส่วนเรื่องภายนอกนั้น - เขาก็แค่จัดสรร ดูตามเหตุ ตามปัจจัย
ไม่ได้ทำไป...
เพื่อสนองกิเลส ตัณหา
เพื่อชูเกียรติ ชูยศ ไม่ได้
เพื่อที่จะเพิ่มกิเลสตัณหาขึ้นมา
เขาจะดูภายในจิตใจของเขา.. ให้ว่างให้เว้น / ให้เบาบางจากกิเลสตัณหา
เขาจะไม่เอาเรื่องของ “กาย” เป็นใหญ่
แต่เขาจะเอาเรื่องของ “จิต” นั้น เป็นใหญ่ **
และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจิต ก็คือ การถอดถอนจิตไม่ให้ตกเป็นทาสของเชื้อกิเลส และตัณหาอีก
เขาจะวิ่งแข่งกับกาลเวลา ทำความดี
ขัดเกลากับกิเลสตัณหา แข่งกับเวลาที่เขามีอยู่...
เพื่อขัด เพื่อเกลา กิเลสตัณหาในตัวของเขาให้หมด ++
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว.. เขาจะไม่สนใจ เรื่องกาย เรื่องภายนอก
เขาจะไม่วุ่นเพื่อมันเลย.. !
เขาจะสักแต่ว่าอยู่ไป ดำเนินชีวิตไปตามเหตุ ตามปัจจัย - ที่ควรจะจัดสรรดูแล
.. ให้กายนี้มีชีวิตอยู่ ดำรงต่อไปได้..
และเขาจะได้ใช้กายนี้ ในการฝึกฝนจิตของเขา..
ให้ดี / ให้ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหาเท่านั้น ++
เขาจะไม่เอาเรื่องภายนอก เป็นเรื่องใหญ่ / เรื่องสำคัญ
บุคคลผู้ที่ทำเช่นนี้ ลูกเอ๋ย.. เขาก็จะสามารถทำความดี ขจัดกิเลสตัณหาได้มาก ++
เมื่อกาลเวลาผ่านไป.. เขาจะไม่เสียเวลาให้กับสิ่งภายนอกมากมาย
เขาจะมีเวลาพิจารณาจิตของเขา ทุกอิริยาบถ
แม้การทำภายนอก ที่สักว่าทำไป ดูแลกายนั้นไป -- ก็จะยังคงเป็นการทำภายใน
เพราะเขาทำไปโดย
/ ปราศจากการสนองกิเลสตัณหา
/ ปราศจากการเพิ่มกิเลส เพิ่มตัณหา
แม้เขาจะทำภายนอก จิตของเขาจะรู้เท่าทัน - เขาย่อมรักษาเวลา เอาไว้ได้ ++
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอ๋ย
รวมถึง กายของบุคคลผู้อื่นด้วย
เขาจะไม่ไปเอากายที่สมมุติว่า เป็นกายของคนนั้น คนนี้ คนโน้น
มาทำให้เขาเสียเวลา ในการขัดเกลากิเลสเลย…
เขาจะไม่ไปสนใจว่า
คนนั้นดี -คนโนนไม่ดี
คนนี้สวย - คนนั้นหล่อ
คนนั้นเขามีลาภ คนนี้เขามียศ
เขาจะไม่เอา เรื่องของกาย บุคคลผู้อื่น มาทำให้เขาต้องเสียเวลา
มัวแต่ไปคิด เรื่องของคนอื่น
มัวแต่ไปทุกข์ เรื่องคนอื่น
มัวแต่ไปยุ่ง เรื่องของคนอื่น
เขาจะไม่เอาเวลาของตน ไปทิ้งกับบุคคลผู้อื่นเลย..!
เห็นว่ากายของเขาดี ก็เลยไปเอากายของเขา มาทำให้ตนเป็นทุกข์
มาปรุง มาแต่ง ให้เชื้อความรัก ความหลงมันก่อมันเกิดขึ้น
เห็นกายของเขาดี เห็นเขามีลาภ มียศ มีสรรเสริญ
ก็เลยเอาเรื่องของเขา มาทำให้จิตตนเศร้าหมองบ้าง
ทำให้ตนเสียเวลา บ้าง
มาพาให้จิตของตน หลงไปกับสิ่งที่คนอื่นเขามี เขาเป็น.. เหล่านั้น
คือ วันๆหนึ่ง
จะไม่เอาเรื่องของผู้อื่น มาทำให้ตนนั้นปนเปื้อน.. ไม่สนใจ
เขาจะดูแต่จิตของตน.. ลูกเอ๋ย
ว่าตนนั้น มีกิเลส มีตัณหา ครอบงำเพิ่มหรือเปล่า
ไปเอาเรื่องคนโน้นคนนี้ มาทำให้ตนวุ่นวาย เสียเวลาขัดเกลากิเลสไปหรือเปล่า
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
เขาจึงไม่หยิบเอาเรื่องคนโน้น คนนี้
เรื่องลาภ เรื่องยศ เรื่องสรรเสริญต่างๆ
... มาทำให้เขาเสียเวลาเลย..
เขาจะทำแต่รักษาจิตของเขา ให้นิ่ง ให้สงบ
ดูแต่จิตนั้น ว่า.. จิตสงบ หรือเร่าร้อน
ถ้าเร่าร้อน มันเพราะเรื่องอะไร
แล้วเขาก็จะขจัดเรื่องที่เร่าร้อนนั้นออกไป
เขาจะทำแต่สิ่งที่ดี ที่ช่วยขจัดกิเลสตัณหา - ออกจากเขาไป
ส่วนสิ่งไหนที่น้อมเข้ามาแล้ว ทำให้เขาเศร้าหมอง มัวหมอง
เป็นการเพิ่มกิเลส เพิ่มตัณหาให้เขา
หลงในกายของตนไม่พอ - ยังไปหลงในกายของผู้อื่นอีก !
เขาจะไม่ทำเช่นนั้นเลย..
เขาจะอยู่อย่างสงบ ดูจิตแห่งตน เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
และการที่เขานั้น มองเห็นสิ่งภายนอกต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง
เขาก็จะไม่มองด้วยความลุ่มหลง
มองด้วยการสนองกิเลส และตัณหา
แต่เขาจะมอง มองเพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา ต่างหาก !
เห็นกายของผู้อื่น เขาก็จะมองเห็น แค่ว่า..
บุคคลผู้อื่น.. เขาก็เกิดมา เขาก็เป็นทุกข์.. เหมือนกันกับเรา
กายเขา -กับกายเรา.. ก็ไม่ต่างอะไร
ไม่ต้องไปหวังครอบครองกายคนอื่น เอามาประกอบกิเลสกันเข้าไว้
ดวงจิตทั้งหลายผู้ครองกายนั้น - ล้วนแล้วแต่น่าสงสาร ทั้งนั้นเลย !
ทีนี้ ก็จะมีแต่ความคิดที่ดี / ที่เมตตา / ที่บริสุทธิ์
ช่วยเขาไป.. ก็ช่วยด้วยจิตใจที่ปราศจากกิเลส ตัณหา
ช่วยด้วยความหวังดี
ไม่ได้ช่วยเพิ่มกิเลส -ให้กับตน
เห็นลาภ เห็นยศ เห็นสรรเสริญต่างๆ - ก็มองเห็น..
/ สิ่งที่ต้องแบก ต้องทุกข์
/ สิ่งที่มันต้องดิ้นรน ต้องขวนขวาย
-- ที่มันเป็นเหตุของทุกข์ ที่ซ่อนอยู่ในนั้น..
ตนก็จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้.. มาแบกไว้
จะมองให้เห็นเหตุของทุกข์ในสิ่งเหล่านี้.. แล้วก็นำมาถอดถอนกิเลสแห่งตน
ชำระล้างจิตใจของตน
เขาจะไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของเขา -
.. ให้วิ่งวุ่น
.. ให้ตกเป็นทาสของสิ่งภายนอก และกิเลสตัณหาเหล่านั้น..
สิ่งที่เขามี คือ กายของตน ก็เอาไว้ เพื่อประพฤติ ปฏิบัติ
ทำสิ่งที่ดี- ดีอย่างบริสุทธิ์ คือ ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา
เพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา ในใจของตน
เขาจะมองเห็นกายของผู้อื่น เรื่องราวอื่นๆ
เรื่องกาย เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ.. เรื่องที่เป็นองค์ประกอบภายนอกทั้งหมด
* เขาจะมองเห็นสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในนั้น.. คือ ความทุกข์
* เขาจะเอาสิ่งเหล่านั้นที่มี มาพิจารณา เพื่อดับกิเลสตัณหาของเขา เท่านั้น !
* เขาจะไม่เอามาครอบงำตนเอง ปล่อยให้ตนเสียเวลา
ไม่เสียเวลาไปกับกายของตน / กายของผู้อื่น
ไม่สนองความหลง ความรัก ความใคร่
ไม่สนองความโลภ ความอยาก
ไม่สนองความโกรธ การสร้างเวรสร้างกรรม
เขาจะทำเช่นนี้แหละ.. พระยาธรรม
เขาจะน้อมเอาสิ่งที่มี น้อมเข้ามาเพื่อที่จะดับกิเลสตัณหา
เขาจะไม่เอาเวลาของตน ไปเสีย ไปทิ้งไว้กับความลุ่มหลงภายนอก
เขาจะแค่ฝึกฝนจิตของตน - ให้มีพลังที่สว่างไสว
ให้เป็นสุข ให้ได้มากที่สุด
... แข่งกับเวลาที่มีอยู่ !
เขาจะทำสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุด ให้กับตน ที่เป็นตนอย่างแท้จริง คือ *ดวงจิต*
เขาจะไม่ลุ่มหลงไปกับสิ่งภายนอก ปล่อยให้ตนเองเสียเวลาไปกับสิ่งภายนอก
เขาจะทำข้างนอก เพื่อชำระข้างใน
เขาจะทำอย่างไม่ให้ตนเองไปจมอยู่กับ อำนาจของสิ่งภายนอกทั้งหลาย
**แต่เขาจะใช้สิ่งภายนอกทั้งหลาย - เป็นเครื่องในการขัดเกลากิเลสในใจของเขา **
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย..
เมื่อกาลเวลาผ่านไป.. เขาจึงสามารถชำระกิเลสในตัวของเขาได้มากที่สุด ++
เวลาของเขา จึงไม่เสีย -ไม่ทิ้งไปที่ไหน
เขาจึงสามารถเป็นผู้ที่ ปราศจากจากกิเลสตัณหาได้.. ในช่วงเวลาที่มีอยู่
เพราะเขาตื่น กับทุกเวลาที่มีอยู่
เขาทำความดี ที่เป็นประโยชน์อันสูงสุดแก่เขา **
เขารักษาสิ่งที่เป็นความดี อย่างแท้จริง
เขาไม่ลุ่มหลง พัวพัน มัวเมา เพลิดเพลิน -ไปกับสิ่งที่มันหลอกให้เขาเสียเวลา เหล่านั้น..
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว เขาจะทรงจิตของตน อย่างรู้ตื่น
เขาจะเดินกับเวลา ด้วยการรู้ตื่น
ไม่ปล่อยตนเอง ให้เสียเวลาไป - กับสิ่งลุ่มหลงภายนอกต่างๆ
ทำอย่างนี้ ละพระยาธรรมเอ๋ย.. เรียกว่า บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว
นี่ละ คือ แบบอย่าง ที่จะหยิบยกให้ลูกได้ฟัง ได้พิจารณาในวันนี้..
พอจะเข้าใจบ้างหรือเปล่าล่ะ.. พระยาธรรม
ก็เหมือนกันกับลูกนั่นละ ที่ยังรู้จักทำหน้าที่ที่เกิดประโยชน์
คือ มาเฝ้าฟังธรรม นำธรรมไปปฏิบัติ นำไปเผยแผ่
ก็ยังรู้จัก ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์
ทำเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
และต้องฝึกไปเรื่อยๆ ลูก
อย่าปล่อยให้เวลาของเรา เพลิดเพลินไปกับสิ่งไม่ดีภายนอก
จงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง - เป็นเพียงแค่เครื่องมือ ในการขัดเกลากิเลสตัณหาในใจตน ++
จงรู้ตื่นอยู่เสมอ ในสิ่งทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นภายนอก - น้อมเข้ามาเป็นธรรม
ฝึกฝนปัญญา ให้รู้แจ้งขึ้นเรื่อยๆ..
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา เจ้าค่ะ
ลูกฟังธรรมนี้แล้ว.. ก็พอจะเข้าใจได้ว่า..
** บุคคลผู้มีปัญญาธรรม - เขาจะไม่ปล่อยให้เวลาของตน เสียไปกับ..
// ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
// ความอยาก และความไม่อยาก
แต่เขาจะเอาทุกเวลาที่ตนมีอยู่นั้น.. ชำระกิเลสตัณหาในใจตน
โดยการพิจารณาจิตตนอยู่เสมอ..
ไม่ว่าสิ่งที่มันประกอบอยู่ภายนอก
ทั้งเรื่องของ กายตน / กายผู้อื่น
เรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งของ ข้าวของ..
เขาจะเอาสิ่งเหล่านั้น.. มาเพื่อพิจารณาให้เห็นทุกข์ เห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่
เพื่อที่จะทำให้เขารู้แจ้ง และชำระกิเลสในจิต เท่านั้น ++
จะไม่มีวันพัวพัน ลุ่มหลง กับสิ่งทั้งหลาย !
... เข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าค่ะ
ลูกก็พอที่จะนึกออกบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..การดำรงชีวิตอย่างผู้มีปัญญาธรรมนั้น เขาทำแบบไหน
ลูกก็จะพยายามไม่ปล่อยจิตใจของตน ให้พัวพัน มัวเมา ลุ่มหลง กับสิ่งภายนอก
ลูกจะใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ พิจารณาธรรมทุกอิริยาบถ - เพื่อไม่เสียเวลา เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง.. เจ้าค่ะ
สาธุ