พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 273 **วิธีการออกจากวัฏสงสาร**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้นอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้น้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้า และได้ก้มลงกราบต่อพระองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ในหมวดของผู้มีปัญญาธรรม น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรม “ตัวอย่างของผู้มีปัญญาธรรม”
ให้ลูกได้ฟัง และนำไปประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ
ในเช้าของวันนี้.. เราจะสนทนาในเรื่องของ *กติกาการสร้างความดี* ในวัฏสงสารนี้
กติกา ที่เราจะต้องเล่นตาม ทำตาม เพื่อที่จะพ้นจากวัฏสงสารนี้ เพื่อดวงจิตทั้งหลาย..
ที่ก็ได้ศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของปัญญาธรรม มาแล้วในระดับหนึ่ง ในหลายๆตอน
วันนี้ เราจะคุยถึงเรื่อง “กติกาการทำความดี”
.. เพื่อพ้นวัฏสงสาร
.. เพื่อจะได้เติมปัญญา ให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้เข้าใจกติกามากขึ้น..
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่เข้าใจกติกาการทำความดี ได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น..
- ย่อมมีโอกาสที่จะทำความดี ให้เข้าถึงความมีปัญญารู้แจ้ง ในสรรพสิ่งทั้งหลาย...
- และดับการเกิดแห่งตนได้ลูก ++
แต่ถ้าเกิดว่า..
บุคคลผู้ใด..ที่ไม่รู้กติกาของการอยู่ในวัฏสงสารนี้ / ของการทำความดี
บุคคลผู้นั้น.. ก็ทำไป อย่างไม่รู้.. มึนงง
ต่อให้จะทำความดี - เดี๋ยวก็พ่ายแพ้อยู่ดี !
.. เพราะว่าไม่เข้าใจกติกา
- โอกาสที่จะแพ้ คืนกลับสู่สิ่งที่ไม่ดี - นั้นก็ย่อมมี ++
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. โดยปรกตินะลูก ไม่มีใครไขข้อข้องใจข้อนี้ - ให้กับดวงจิตทั้งหลาย
ดวงจิตทั้งหลาย.. มีน้อยนัก ที่จะเข้าถึงความรู้แจ้งในกติกาทั้งหลาย..
และนำพาตน ออกจากวัฏสงสารนี้ได้.. จึงมีน้อยนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคหลังๆที่พระธรรมคำสอน เหลือเพียงแต่ในคัมภีร์
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น วันนี้เราจะมาเติมปัญญา โดยการชี้ทางบอกทางให้ทุกดวงจิต
ที่ได้ยินได้ฟังธรรมนี้.. เข้าใจกติกามากยิ่งขึ้น
และดวงจิตเหล่านั้น...
/ จะได้มีโอกาสมากขึ้น
/ จะได้เป็นผู้รู้ตื่น เข้าถึงความพ้นทุกข์มากขึ้น
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน..
ลูกนั้น.. พอจะเข้าใจกติกา การอยู่ในวัฏสงสารนี้ ว่าอย่างไรเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
เพราะจากที่ได้สอน ได้บอก.. และลูกนั้นได้เรียนรู้ศึกษามาในหลายปีนี้
ลูกคงจะพอเข้าใจได้บ้างแล้ว
ลองกล่าวธรรมนั้นมาก่อนเถิด แล้วค่อยอธิบายอีกทีหนึ่งว่า.. เป็นแบบไหน ยังไง ?
ลองดูซิ ว่าลูกจะเป็นผู้นำพาผู้อื่นพ้นทุกข์ ได้หรือเปล่า ?.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาให้ลูกได้แสดงในสิ่งที่ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ลูกเข้าใจอย่างนี้ว่า..
การที่เราทั้งหลาย.. อยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่ว่าเราจะเกิดเป็นใคร..
การเกิดของเรานั้น - ล้วนแล้วแต่มี *ความไม่เที่ยงแท้* คุมเราอยู่
...ไม่ว่าเรานั้นจะอยู่ในที่ไหนๆ - ก็ล้วนแล้วแต่มี *กฎแห่งกรรม* คุมเราอยู่
และทุกที่ที่เราไปเกิด เราเป็น เรามี หรือเราเหมือนจะไม่มี
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “กรรม” ที่เราทำ
และเราก็เกิดขึ้น - ตามกรรม / ดับไปตาม *ความไม่เที่ยงแท้*
ลูกเข้าใจว่า กฎแห่งวัฏสงสาร มี 2 ข้อ หลักๆ ที่คุมอยู่
กฎข้อที่ 1 คือ *ความไม่เที่ยงแท้*
กฎข้อที่ 2 คือ *กฎแห่งกรรม*
กรรม-นำพาให้เกิด / การไม่เที่ยงแท้ -นำพาให้ดับ
... มันก็เป็นการวนเวียนอยู่อย่างนี้อยู่ร่ำไป
... ลูกเข้าใจว่าอย่างนี้ เจ้าค่ะ
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกพอจะเข้าใจหรือเปล่า ว่า..
บุคคล ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น..เพราะเหตุใด จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด ?
.. จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ตามความรู้ของลูกที่พอจะเข้าใจอยู่
ลูกเข้าใจอย่างนี้ว่า..
ดวงจิตที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น.. เพราะว่าเขา
มีเชื้อแห่ง “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ มีความอยาก และไม่อยาก”
ซึ่งเชื้อเหล่านี้.. ครอบงำเขา ไม่ให้ตื่น /ไม่ให้รู้ตามความเป็นจริง
เขาก็เลยลุ่มหลง จมอยู่กับตัวตนของเขา
ไม่ว่าเขาจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม.. เขาก็ยึดในตัวในตนของเขา
และความหลงที่ยึดว่า ตัวตนของเขานั้น..
ก็จะสั่งให้เกิดความรัก ความโลภ ความโกรธ / ความอยาก และความไม่อยาก
เชื้อเหล่านี้เกิดขึ้น.. จึงมีการสั่งให้สร้างกรรม ตามเชื้อ
และก็เวียนว่าย เวียนวนตามเชื้อ
.. อย่างนั้นน่ะเจ้าค่ะ
การอยู่ในวัฏสงสาร/ การเวียนว่ายตายเกิด
.. จึงเป็นตามเหตุเหล่านี้อยู่ร่ำไป - ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักดับ น่ะเจ้าค่ะ
- -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ลูกพอจะเข้าใจหรือเปล่าว่า..
ถ้าหากว่า เรามีความปรารถนาที่จะออกจากวัฏสงสารนี้..
- เราจะต้องทำแบบไหน ยังไง - เราจึงออกจากวัฏสงสารนี้ได้ ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ตามความรู้ ความเข้าใจของลูก
ลูกเข้าใจว่า..
บุคคลผู้ใด.. ที่จะออกจากสถานที่นี้ไป..
เขาจะต้องรู้ว่า “การอยู่ในนี้ มันเป็นทุกข์”
แล้วก็..
รู้ว่า.. เหตุที่ทุกข์ เพราะว่าเราเกิดแล้วก็ดับ - เป็นไปตาม “กรรม” ของตน
รู้ว่า.. สรรพสิ่งทั้งหลายในนี้ “ไม่เที่ยงแท้”
รู้ว่า.. ถ้าเราอยู่ในนี้ เรายังคงต้องดิ้นรนขวนขวายอยู่ร่ำไป -ตามเชื้อกิเลสตัณหาแห่งตน
แล้วก็ยังคอยต้องทดสอบกับความดี ความชั่วอยู่เสมอ
เมื่อเราทำความดีได้บ้างนิดหน่อย - เราก็จะได้รับสิ่งที่ดี
เมื่อเราทำความชั่วด้วย - เราก็จะได้รับสิ่งที่ชั่วด้วย
สิ่งดี เลยเป็นดี ที่ไม่เที่ยงแท้ เพราะเป็นสิ่งที่ดี - ที่เกิดขึ้นอยู่บนสิ่งสมมุติ
สิ่งไม่ดี เกิดขึ้นกับเรา.. ก็เพราะว่าเราไป “เผลอทำมัน”
กฎแห่งกรรม ก็เลยส่งผล..
* เรื่องที่ดี -ให้เกิดขึ้น
* เรื่องที่ไม่ดี -ให้เกิดขึ้น
แล้วก็ เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่อย่างนี้
เราอยู่บนการเกิด-ดับ เกิด-ดับ
- เราก็เลยเป็นทุกข์ ++
ต้องดิ้นรนขวนขวาย อยู่ตลอด
ต้องสูญเสีย อยู่ตลอด
ต้องอยากได้ อยากมี อยากเป็นมาตลอด
แล้วก็อยู่บนการทดสอบ อยู่เสมอ
จิตทั้งหลาย..ที่อยู่ในนี้ - จึงต้องดิ้นรน อยู่ตลอดเวลา
เราต้องรู้ความจริงเช่นนี้เจ้าค่ะ แล้วเราก็จะรู้เข้าไปอีกว่า
เหตุของการที่ทำให้เราเป็นทุกข์แบบนี้.. ก็เพราะว่าเรา
“มีเชื้อแห่งการเกิด คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก”
เรามีเชื้อเหล่านี้ ครอบงำจิตใจของเรา.. ก็เลยทำให้เรา ต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้
ที่นี้.. เมื่อเรารู้เหตุแห่งทุกข์ เห็นทุกข์ เห็นภัยในวัฏสงสารนี้
เห็นเหตุที่มันเกิดขึ้น ในวัฏสงสารนี้แล้ว
เราก็จะรู้อีกว่า..
*กติกาของวัฏสงสาร*นี้ ที่มีอยู่ ก็คือ..
มีเชื้อกิเลสตัณหา และวนเวียนตามกรรมแห่งตน
ฉะนั้น.. เราก็แค่รักษาศีล เพื่อที่จะให้ยุติการสร้างกรรม
และเราก็ค่อย ทำสมาธิ ฟังธรรม
เพื่อที่จะได้มีกำลังของจิต..
*ช่วยให้จิตเรามีพลังรู้แจ้ง อยู่เหนือความเป็นจริง หรือสิ่งที่มันเกิดขึ้น*
เราก็แค่ฟังธรรม ให้รู้หนทางแนวทางการปฏิบัติ
และฝึกปัญญาของเรา ให้รู้แจ้งตาม
.. เราก็ค่อยๆทำแบบนี้ไป..
ตัวของเรา ก็จะค่อยห่างจากกิเลสตัณหา กรรมวิบากทั้งหลาย
เราก็จะสามารถเข้าสู่พระนิพพาน หลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ เจ้าค่ะ
ก็ในเมื่อ *กฎแห่งกรรม* คุมไว้อยู่..
เราก็หยุดสร้างกรรมที่ไม่ดี
แล้วหันกลับมา สร้างกรรมที่ดี
แล้วเราก็ต้องถอดถอนตัวเอง - ให้หลุดจากความหลง
คือเชื้อในการก่อเกิดนั้น คือ หลงดี
เราก็ถอดถอนเช่นนี้ด้วย
-- เราก็จะสามารถไปสู่พระนิพพานได้ในที่สุด เจ้าค่ะ--
นี่คือ *กติกา* ในการออกจากวัฏสงสาร เจ้าค่ะ..
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกลองกล่าวถึงสภาวธรรมที่หลุดจากที่นี่ไปดู
.. ว่าเป็นแบบไหน ยังไง ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ตามความรู้ของลูก ตามสิ่งที่ลูกได้พบได้เห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า / องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์เจ้า
ลูกเห็นว่า เป็นจิตที่เป็นอิสระ..
อยู่นอก กฎแห่งกรรม
อยู่เหนือ กฎของความไม่เที่ยงแท้
อยู่เหนือ เชื้อกิเลสและตัณหา
--จึงไม่มีความทุกข์อีกต่อไป
.. ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ทำอะไรจิตทั้งหลายเหล่านั้นได้อีก --
นั่นคือสิ่งที่ลูก รู้.. เข้าใจสภาวธรรมของพระนิพพาน น่ะเจ้าค่ะ
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็ถือว่า ลูกนั้น
- พอเข้าใจกติกา ในวัฏสงสารนี้
- พอเข้าใจวิธีการดับตน ให้หลุดจากวัฏสงสารนี้
- และก็พอเข้าใจ การที่หลุดจากที่นี่ไป..
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงตั้งใจฟัง และพิจารณาให้ดีนะลูก
เพราะสิ่งเหล่านี้ - ที่ลูกจะนำไปเผยแผ่สู่โลกนั้น..
**เป็นสิ่งที่มีค่า - เป็นสิ่งที่มีประโยชน์
เพราะว่า เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ทุกคน - หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ อย่างแท้จริง**
ซึ่งเทียบกับมูลค่าสิ่งที่โลกมนุษย์ หรือวัฏสงสารสมมุติว่ามีค่านั้น..ไม่ได้เลย ว่า..
.. มีค่าเป็นราคาเท่าไร
.. เป็นปริมาณของสิ่งมีค่าทั้งหลาย.. ที่สมมุติขึ้นมา.. เท่าไหร่
เพราะสิ่งทั้งหลาย ที่คิดว่ามีค่าในโลกมนุษย์ หรือโลกของวัฏสงสารต่างๆเหล่านั้น
- ยังไม่สามารถทำให้ดวงจิตทั้งหลาย..หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ++
แต่สิ่งที่ลูกกำลังทำ และนำไปเผยแผ่นี้..
-- เป็นสิ่งที่จะสามารถฉุดช่วยให้ดวงจิตทั้งหลาย.. หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ลูก --
* จึงมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด*
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้.. ก็มีกฎ 2 ข้อใหญ่ๆที่คุมอยู่ คือ
*กฎแห่งกรรม* และ *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
-- เราจึงเวียนว่ายตายเกิดตาม *กรรม* / ดับตาม *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงถึงว่า.. สิ่งที่เกิดขึ้น ของทุกดวงจิต - เกิดตาม *กรรม*
กรรมดี - และกรรมชั่ว.. ส่งผลมา
และจะดับตาม *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
ฉะนั้น.. แปลว่า.. เราอยู่ในนี้ไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ทำกรรมดี ก็เกิดดี.. ถึงเวลาก็ดับไป
ทำกรรมชั่ว - ไปเกิดในที่ชั่ว.. ถึงเวลาก็ดับไป
สมมุติสุข สมมุติทุกข์.. ไปตามเหตุปัจจัยของมัน
แต่ท้ายที่สุด.. ไม่มีอะไรเป็นเรา / เป็นของเรา.. ลูกเอ๋ย
ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น
ทำชั่ว ก็ทุกข์ ใช่มั้ยลูก
ทำดี ก็ทุกข์ ใช่มั้ยลูก เพราะต้องฟันฝ่าในการทำด้วย
ทุกข์เท่านั้น.. ที่ดับไป
มันดับไป - ก็คือทุกข์อีกนั่นแหละ คือ การพลัดพรากจาก !
สร้างให้มันเกิด ก็ทุกข์
รักษามันไว้ ไม่ให้มันดับ ก็ทุกข์
ถ้าต้องดับไป ตามกฎตามกติกา ก็ทุกข์
... แล้วก็ไปสร้างใหม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
ทำอยู่อย่างนี้ วนอยู่อย่างนี้..ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น
นั่นคือ กติกาของวัฏสงสาร - ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย ! ..ลูกเอ๋ย
นอกจากว่า..เราต้องออกจากที่นั่น.. เท่านั้นเอง !
ทีนี้ องค์พระพุทธเจ้า.. สอนให้เรารู้แจ้งใน *กติกาของวัฏสงสาร* แล้ว
และก็สอนแนวทางการปฏิบัติ ให้กับดวงจิตทั้งหลาย.. เพื่อพ้นทุกข์ **
จงตั้งใจฟังกติกาของการเล่น เพื่อที่จะนำพาตน..ออกจากวัฏสงสารนี้ กันเถิด
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ก็ในเมื่อมีกฎความไม่เที่ยงแท้ คุมอยู่
เราก็ถอดถอนตัวเองออกจากความลุ่มหลง ในสิ่งสมมุติทั้งหลาย เหล่านั้น
โดยการพิจารณาบ่อยๆว่า..
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้
ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป.. เป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. ไม่ใช่ตัวใช่ตน
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ไม่มีอะไรทั้งนั้น..
มันสมมุติเกิดขึ้นมา - ตามกรรม
และมันก็สมมุติดับไป - ตามกรรม
เราจะทำกรรมดี หรือกรรมชั่ว..
กรรมดี หรือกรรมชั่วนั้น - ก็ส่งผลให้เราเป็นไปตามมัน
ฉะนั้น.. กฎแห่งกรรม ก็คุมเราอยู่
ทำดี - ก็เกิดดี
ทำชั่ว - ก็เกิดชั่ว
กฎของความไม่เที่ยงแท้ ก็คุมอยู่
เราจะทำดี.. มันก็สอยเอาความดีของเราไป
เราทำความชั่ว.. มันก็สอยเอาความชั่วไป
แล้วเราได้อะไร.. ลูก
/ ได้ความเหนื่อย
/ ได้ความทุกข์ ความดิ้นรนขวนขวาย
/ ได้การเสียเวลา จมอยู่ หลงอยู่ ทุกข์อยู่ในนี้
ทีนี้เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน - ก็เมื่อมันเป็นอย่างนั้น..
ทำดี ได้ดี
ทำชั่ว ได้ชั่ว
ทำดีไป.. ทุกอย่างก็ต้องเสื่อม ต้องสลาย
ทำชั่วไป.. ทุกอย่างก็ต้องเสื่อม ต้องสลาย
ทีนี้ เราจะไม่ทำดี - เพื่อหลงดี อีกแล้ว
ไม่ทำชั่ว - เพื่อหลงชั่ว อีกแล้ว
ไม่เอากับสิ่งสมมุติทั้งหลายแล้ว..
เรามาดูดีกว่า ว่า.. เหตุอะไรหนอ - ที่ทำให้เราเกิด ที่เราดับ
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เกิด คือ เชื้อแห่งความรัก ความหลง ความโลภ และความโกรธ
/ เชื้อแห่งความอยาก และความไม่อยาก
.. อ้อ มันคือสิ่งเหล่านี้นี่เอง !
เราก็มาทำความดี - เพื่อดับเชื้อเหล่านี้ดีกว่า..
จะไม่ทำความดี เพื่อไปหลงดี -หลงชั่วอีกแล้ว..
ทำความดี โดยการถอดถอนเชื้อดีกว่า !
ทีนี้ เรามาเริ่มการ ทำทาน..
- เพื่อดับความโลภ
- เพื่อเจริญความเมตตา
- เพื่อให้เราไม่หลงในเรา หลงในสิ่งของ ข้าวของ
ทีนี้เรามาทำความดี.. โดยการรักษาศีล
รักษาศีล* เพื่อที่จะถอดถอนตนให้ห่างไกลจากกิเลสตัณหาทั้งปวง
รักษาศีล* เพื่อให้ห่างจากเชื้อความรัก ความโลภ และความโกรธ
แล้วทีนี้.. เราก็มาทำความดี โดยการฟังธรรม* ขององค์พระพุทธเจ้า..
- เพื่อรู้วิธี ที่จะทำความดีอย่างถูกต้อง
เราก็มาทำความดีโดยการทำสมาธิ เพื่อสมาธิจะช่วยให้จิตเราสงบ สว่าง
รู้แจ้งตามความเป็นจริง.. เพื่อถอดถอนตนเอง ออกจากกิเลสตัณหา
ทีนี้.. เรามาฝึกฝนปัญญาธรรมของเรา
ให้รู้เท่าทันสรรพสิ่งที่มันเกิด..มันดับ..มันมีอยู่ เหล่านั้น
เรามี *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
เราฝึกฝนตนเอง ทำสิ่งที่ดีเหล่านี้ - ต่างจากความดีที่ทำ..เพื่อลุ่มหลง
เราทำความดีเหล่านี้.. เพื่อถอดถอนความลุ่มหลงในตัว / ในสิ่งที่ทำ
เราทำความดีเหล่านี้.. เพื่อกลับไปพิจารณาดูเชื้อกิเลสตัณหาในตัวเรา
ทีนี้ เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ลูก เพราะว่า.. เรา
ทำดี โดยที่เราไม่ได้ลุ่มหลง
ทำดี เพื่อถอนรากถอนโคน “เชื้อกิเลสตัณหา”
ทำดี เพื่อออกจากวัฏสงสาร
เราไม่ได้..
ทำดี เพื่อหลง
ทำดี เพื่อจมอยู่
ทำดี เพื่อเวียน หรือวนอยู่
ทีนี้ เมื่อเราทำดีอย่างนี้ ยึดหลักของ *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
แล้วก็ฝึกฝนตน.. ด้วยการทำทาน ด้วย..
ทานสิ่งของข้าวของ ทานตัว ทานจิตใจ
ทานความคิด ทานอัตตาตัวตนของเรา
... ทาน ให้หมดไป..
ไม่ยึดติดสิ่งใดๆ เข้าใจว่า.. ทุกสิ่งนั้น.. มันคือความลุ่มหลง
และสิ่งที่เราทำนั้น - ก็ทำเพื่อถอดถอนความลุ่มหลง
เมื่อเราเข้าใจกติกาเช่นนี้ละ เราก็สามารถเล่นถูกต้องตามกติกา
และเราก็จะออกจากวัฏสงสารได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น กติกาในวัฏสงสารนี้ ก็มีแค่..
ทำดีไป.. แล้วหลง
ทำชั่วไป.. เพราะหลง
วนเวียน เวียนว่ายตายเกิด ตามกรรมดี - และชั่ว..ที่หลง
กับทำดี - เพื่อถอดถอนความลุ่มหลง.. แล้วก็ออกจากวัฏสงสารนี้ไป..
- ตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
จะได้เลิกถูก *กฎแห่งกรรม* ตามให้ต้องเป็นไปตามนั้น
จะได้เลิกถูก *กฎของความไม่เที่ยงแท้* มาถอดมาถอนเอาสิ่งที่เรามีอยู่
คือ ความสุขบ้าง.. ที่มันได้มาเล็กน้อยนั้น ก็ยังเอาของเราไป
ทำให้เราพลัดพรากจาก ให้เราต้องเสียใจ
จะได้พ้นจาก *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
จะได้เป็นอิสระ
.. ไม่ต้องดิ้นรน
.. ไม่ต้องอยากได้ อยากมี อยากเป็น
.. ไม่ต้องกลัวว่า มันจะเสียไป
-- ไม่ต้องอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นอิสระ --
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
กติกา ในวัฏสงสารนี้ ..มันไม่ยากเลยลูก
กฎแห่งกรรม - คุมไว้
กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้ - ก็คุมอยู่
เราก็ทำดี - โดยปราศจากเชื้อความลุ่มหลง.. ที่มันเป็นเหตุของการ ทำให้เราอยู่ในกติกานี้
เราก็ดับเชื้อตัวนั้นซะ - เราก็จะเลิกอยู่ในกฎทั้ง 2 ข้อนี้ !
โดยการ.. ทำทาน รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญา
และทำไปเรื่อยๆ..
จนเรามีกำลังของจิตมากพอ.. เรารู้แจ้ง สว่างมากพอ
ความหลง - ไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกต่อไป..
... เราย่อมหลุดจากวัฏสงสารนี้ - อยู่เหนืออำนาจกฎทั้ง 2 ข้อนี้ **
เมื่อนั้น.. เราก็จะไม่เกิด ไม่ดับ
เมื่อนั้น.. เราก็จะไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา -ที่จะทำให้มันทุกข์อีกต่อไป..
เราจะเป็นแต่เพียงแค่ดวงจิตที่อิสระ อยู่เหนือกติกาทั้งหลาย..
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
เหตุที่มนุษย์ทั้งหลายทุกข์.. ก็เพราะว่า “ลุ่มหลง” ลูก
หลง รัก โลภ โกรธ / อยาก และไม่อยาก
ก็เลยถูกสิ่งเหล่านี้..
พาให้อยู่ในวัฏสงสาร
พาสร้างกรรม
พาเป็นไปตามกรรม
พาเกิด - พาดับ.. ตามกฎของความไม่เที่ยงแท้
เราก็ออกจากเขาเสีย สิลูก ถ้าเราไม่ปรารถนาให้เขาเป็นนายเราอีก
เท่านี้ละ.. พระยาธรรม
การสนทนาธรรมในวันนี้ ก็คือ การชี้บอกให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าใจกติกา
เติมปัญญาเสียก่อน
/ จะได้ทำตามกฎได้
/ จะได้พ้นทุกข์ อย่างแท้จริง
- ไม่เสียเวลา อยู่กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง !
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง และพิจารณา
ลูกเข้าใจกติกาทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ
และจะพยายามประพฤติ ปฏิบัติตาม
จะพยายามไม่ลุ่มหลงกับ สิ่งสมมุติ
จะพยายามรักษาศีล ภาวนา ทำความดี.. เพื่อถอดถอนความหลง
ลูกจะนำธรรมนี้ ไปเผยแผ่ บอกต่อ ให้กับดวงจิตทั้งหลาย.. เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกขอกราบลาก่อน..นะเจ้าคะ
สาธุ