เผยแพร่เมื่อ 7 ก.ย. 2017
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ ๑๗๐ ธัมมานุสติ แบบที่ ๓
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๐
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา วันนี้ลูกจะมาขอทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 22 ในแบบที่ 3 หนะเจ้าค่ะ
คือการให้ทรงอารมณ์ไว้กับพระธรรม เพื่อที่จะเข้าสู่ฌานสมาธิได้หน่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดจงเมตตาชี้ทางสว่างในเรื่องนี้ให้ลูกทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์..พระยาธรรมเอย ถ้าอย่างงั้น ก็จะแสดงถึงธรรมที่เป็นแก่นธรรมอย่างแท้จริง ให้เธอทั้งหลายได้ลองฟังและพิจารณาตาม
ให้รู้เข้าใจสิ่งที่มี และเข้าถึงความไม่มีของสรรพสิ่งทั้งหลาย เพื่อเธอทั้งหลายจะได้อาศัยธรรมนี้เข้าสู่ฌาน
พระยาธรรมเอย ถ้าอย่างนั้น ก็ลองพิจารณาตามเช่นนี้เถิดว่า ธรรมคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้บนโลก
ก็เพื่อให้ทุกคนรู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริง ถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ การเวียนวนที่ไม่รู้จะจบสิ้น ที่มันคลุมจิตทุกดวงให้อยู่ในนี้
การตรัสรู้ก็เพื่อบอกทางให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้รู้ตามความเป็นจริง และออกจากที่นี่ไป จึงเป็นธรรมที่ไม่เหมือนใคร
บางทีโลกนั้นอาจจะถูกล้าง อาจจะมีผู้สร้างโลก อาจจะมีการก่อเกิดโลกมนุษย์นี้หลายครั้งหลายหน ถูกลบล้างไปแล้ว ก็สร้างคืนมาใหม่
อาจจะมีเทพเจ้า องค์ต่างๆ ก่อเกิดขึ้นมากมาย ต่างก็สร้างความดีในรูปแบบของตน
พระยาธรรมเอย แต่ธรรมคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่เพียงแค่ให้ทุกคน ทำความดีแล้วก็วนอยู่ในวัฏสงสารนี้
แต่เป็นธรรมที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะสอนให้ลูกนั้นหลุดพ้นจากที่นี่ไป เป็นธรรมที่ปราศจากกิเลสและตัณหา ปราศจากความหลงชั่วและหลงดี
เป็นธรรมที่สลายอัตตาและตัวตน สลายความเป็นตัวเป็นตนของตน เพื่อออกจากวัฏสงสารนี้ไป
จึงเป็นธรรมที่แตกต่างจากธรรมทั่วไป จึงเป็นการก่อเกิดที่แตกต่างจากการก่อเกิดทั่วไป
พระยาธรรมเอย ฉะนั้น เมื่อทุกคนเข้าใจ ว่าชี้ทางบอกทางเพื่อดับการเกิดแล้ว ก็จงรู้เช่นนี้เถิดว่า
ในวัฏสงสารนี้ มีเชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เป็นหัวหน้ามารตัวใหญ่ ที่ควบคุมจิตเอาไว้ ให้อยู่เป็นทาสของมัน ไม่ให้ออกจากมันไปไหน
เหมือนกับว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ หรือว่าเป็นโรงงานหลังใหญ่ ที่มีแผนกการทำงานต่างๆ หมายถึงอาจจะมีโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ โลกแห่งพญานาค หรือว่ามีภพ มีภูมิ ต่างๆ
มีนรก มีโลกของจิตวิญญาณ แต่เราลองนึกสภาพ ดูถึง กรงขังใหญ่ๆ บ้านหลังใหญ่ๆ ที่เรียกว่าบ้านแห่งวัฏสงสาร
พระยาธรรมเอย บ้านแห่งวัฏสงสารนี้ มีมารแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธนั้น ครอบงำอยู่
บ้านแห่งวัฏสงสารนี้ ก็ยังมีกฎอีก 2 ข้อ ที่ควบคุมเอาไว้ ให้ทุกคนต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน หมายถึงความเก่งกล้า ตำแหน่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ
จะใหญ่ขนาดไหน คุณก็ต้องรักษากฎนี้ ไม่ว่าคุณจะต้อยต่ำติดดิน คุณก็จะไม่สามารถ เอาความน่าสงสารของคุณ มาทำให้ผิดกฎนี้ หรือว่าขอ ไม่ขอรักษากฎทั้ง 2 ข้อนี้ได้เลย
กฎทั้ง 2 ข้อนี้ เคร่งครัดมาก คือกฎแห่งกรรม ใครทำยังไงก็จะได้รับสิ่งนั้นไป เป็นผลของกรรม ส่งผลให้ดวงจิตดวงนั้น ต้องรับกรรมตามนั้นลูก
และกฎข้อที่ 2 ก็คือความไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใครหนีพ้นกฎข้อนี้
ทีนี้ก็มาทำความรู้จัก ถึงบ้านหลังใหญ่ที่มีความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ที่เป็นหัวหน้ามาร ที่คุมจิตทั้งหลาย ไม่ให้ออกไปจากที่นี่
แล้วก็มาพิจารณาถึง กฎ 2 ข้อ กฎแห่งกรรม และกฎของความไม่เที่ยงแท้ ที่คลุมในบ้านหลังนี้ ให้ทุกคนต้องเป็นไปตามนั้น
เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็คงเห็นชัดถึงการเวียนวน เวียนว่าย ตาย เกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดเป็นอะไร สุดท้ายก็ต้องดับลง
นั่นคือความจริงของชีวิต แห่งดวงจิตทั้งหลาย
ลูกเอ๋ย...ลองพิจารณาเช่นนี้เถิดว่า
หลงในตัวในตน ของตน ความหลงนั้นผูกมัดทำให้เราจมอยู่
ความรักเป็นเชือกแห่งการมัดรัดกันเอาไว้ ให้จมอยู่ในวัฏสงสารนี้
ความโลภ ทำให้ดิ้นรนขนขวาย สร้างเวร สร้างกรรมต่อไป
ความโกรธนั้น ก็เป็นไฟที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้มลายสิ้นไป คือความดีทั้งหลายให้หมดไป ดับไป
และลูกทั้งหลายก็อยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านี้
ลูกเอ๋ย จงพิจารณาตามเช่นนี้เถิดว่า ครั้งเมื่อดวงจิตนั้นก่อเกิด เขาก่อเกิดมาจากธาตุแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ
รวมตัวกันมาเกิด คล้ายตัวหนอน ที่มันหล่อหลอมมาจากธาตุแห่งสิ่งสกปรกต่างๆ ทั้งหลาย โดยขึ้นโดยธรรมชาติ
แต่จิตทั้งหลายเหล่านั้น ไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยถูกความหลงครอบงำ ให้มีอัตตา มีตัว มีตน มีของ ๆ ตน
เมื่อมีสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้นในตัวแล้ว ความหลงเกิดขึ้น ความรัก ความโลภ และความโกรธก็ตามมา
ลูกเอ๋ย เมื่อนั้นหละ จิตน้อยผู้น่าสงสาร ก็เลยตกเป็นทาสแห่งมารทั้งสี่ และเวียนวนตามกฏกติกาของเขาไม่รู้จักจบสิ้น
เด็กน้อย จิตน้อย ดวงนั้น ถูกเขาคุมขังเอาไว้ในบ้านหลังใหญ่นี้ เป็นล้านชาติ เป็นแสนชาติ เป็นหมื่นชาติ
เวียนวน ทุกข์แล้ว ทุกข์เล่า ทุกข์เพราะว่าหลง ทุกข์เพราะว่ารัก ทุกข์เพราะว่าโลภและโกรธ และก็วนอยู่อย่างนั้น เป็นไปตามกรรมของตน
จิตน้อยผู้น่าสงสารของเรา เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด จนมาในภพนี้ ได้มีผลของกรรมที่ทำดี แต่ดียังไม่ถึงที่สุด
ยังมีความหลงในการทำความดีในกายอยู่ จึงส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้รู้ธรรม ผู้เข้าใจในธรรม และพบกับผู้บอกทาง เราจึงได้กายเนื้อนี้มาครอบครอง
แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกเอ๋ย จิตเรายังตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความหลง หลงในตัวในตนของตน หลงในตัวในตนของบุคคลผู้อื่น
รัก โลภ โกรธ ยังครอบงำจิตใจของเราอยู่ เราก็เลยเป็นทุกข์ไงลูก
เมื่อเรานี้ปราศจากเชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธแล้ว ทุกข์ใดเล่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเราได้
ลูกเอ๋ย ความจริงแล้ว กายนี้ก็ก่อเกิดมาจากผลของกรรม
กรรมคือการกระทำทั้งดีและชั่ว กรรมส่งผลมาให้เป็นกายนี้ เขาไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราลูก
เมื่อหมดกรรมจากการเป็นมนุษย์แล้ว กายนี้ก็เสื่อมดับสลายไป และเราก็ต้องวนไป เป็นไปตามกรรมของตนต่อไปในภายภาคหน้า
ฉะนั้น กายไม่ใช่ตัว ใช่ตน ของตน กายนี้มาจากกรรม
แล้วกรรมมาจากไหน กรรมก็มาจากความหลง หลงแค่ไหนก็สร้างกรรมมากแค่นั้น
ความรัก รักแค่ไหนผูกมัดแค่ไหน ก็สร้างเวรสร้างกรรมมากเท่านั้น
ความโลภและความโกรธ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันสั่งจิตของเรา ให้เราทำ ทำกรรมคือการกระทำที่แสดงออกมา ตามเชื้อของมัน
และจิตของเราก็วิ่ง วิ่งไปใช้กรรม ส่งผลก่อเกิดตามกรรมของมันอยู่อย่างนั้น
แท้ที่จริงแล้ว กรรมก็ไม่ใช่ของเรา การกระทำ ตามความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ นั้น ก็ไม่ใช่ของเรา
เรากำลังถูกมันครอบงำไว้ สั่งให้เป็นไปตามความต้องการของมัน และเราก็ตามไปใช้กรรม ถูกมันคุมขังเอาไว้อยู่ในวัฏสงสารนี้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย เมื่อองค์พระพุทธเจ้าได้เห็นทางเส้นนี้อย่างชัดเจน ได้รู้จักบ้านหลังนี้อย่างดี ได้รู้จักกฎกติกาเหล่านี้
และได้รู้ได้เข้าใจว่า ตัวตนที่เป็นของตนนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
จึงได้ละความหลงในตน หลงในผู้อื่น หลงในสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วก็เลยสลายอัตตา ตัวตน จนจบ ทั้งเรื่อง ดี ไม่ดี
จึงหลุดออกจากบ้านหลังนี้ไป เลิกถูกอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา ครอบงำอีกต่อไป
จึงเป็นจิตที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถมีเชื้อแห่งความหลงครอบงำได้อีกต่อไปแล้ว
จิตทั้งหลายเหล่านั้น ผู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นอิสระอยู่เหนือวัฏสงสารไม่อยู่ในกรอบของบ้านหลังใหญ่นี้ ไม่ตกเป็นทาสของใคร
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า ดวงจิตมากมาย ก็เลยหลุดจากการที่ต้องมาจมอยู่ใต้อำนาจแห่งการเกิด การตาย
กฎแห่งกรรม กฎของความไม่เที่ยงแท้ จมอยู่ในความหลง จมอยู่ในความรัก ความโลภ และความโกรธ
จิตทั้งหลายเหล่านั้น เลยเป็นอิสระ อยู่เหนือทุกสิ่งและทุกอย่าง
เช่นนี้ อย่างนี้หละ พระยาธรรม คือธรรมคำสอนสั่งที่เป็นแก่นธรรม เป็นพระยาแห่งธรรมที่สูงสุด และชัดเจน ฟังแล้วเข้าใจอย่างทะลุ แจ่มแจ้งถึงวัฏสงสาร เพื่อดับการเกิด
พระยาธรรมเอย.. เมื่อได้ฟังธรรมเช่นนี้แล้ว ก็จงภาวนาโดยการ สลายทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนี้เถิดลูก..
นึกขึ้นมาถึงกายนี้
กายนี้ ก่อเกิดมาจากผลของกรรมส่งผลมา.. ตั้งขึ้นอยู่
เมื่อกรรมนั้นหมดไป.. กายนี้ก็สลายลง
จิตนี้ ถูกความหลงครอบงำ
.. เลยมีความรัก ความโลภ และความโกรธ
.. ยึดในอัตตาของตัว ของตน
ถ้าเกิดว่าเรา ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจแห่งความหลง
การเวียนว่ายตายเกิด ความเป็นตัวเป็นตน ก็จะไม่มี
กายนี้ว่างเปล่า จิตนั้น ก็ว่างเว้นจากกิเลสตัณหา ทุกอย่างว่างเปล่า จิตของเรา.. ก็ลอยออกจากวัฏสงสารนี้ ขึ้นเข้าเฝ้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไปอยู่ในดินแดนแห่งธรรม ดินแดนแห่งความบริสุทธิ์.. ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง
เราก็รู้สึกถึงจิตที่บริสุทธิ์ และสะอาด
ปราศจาก กิเลสตัณหาต่างๆ
จิตของเรา ก็จะว่างโล่ง..
พระยาธรรมเอย เมื่อจิตนั้นว่างโล่งแล้ว เราก็จะน้อมถึงพลังความเย็น ดวงแก้วดวงธรรมที่สว่างไสว *****
องค์พระอรหันต์ที่ดับขันธ์ปรินิพพานไปอยู่ในที่ ๆ บริสุทธิ์นั้นแล้ว ก็จะปรากฏชัดเจนแก่เรา
องค์พระพุทธเจ้า ดวงจิตทั้งหลายที่มีพลังงานแห่งความบริสุทธิ์ ก็จะมีพลังที่ส่งคลื่นมาถึงจิตของลูก
ลูกก็น้อมพลังความบริสุทธิ์ตรงนั้นไป น้อมเข้าสู่จิตของลูก
สลายตัวตน สลายความรู้สึก
สลายกิเลสและตัณหา สลายกรรมวิบากที่ทำมาและจะทำไป
สลายทั้งความดีและความชั่ว
สลายผลของกรรมที่ส่งผลมา คือตัวคือตนของเรา ไม่สนใจผลที่มันจะก่อเกิดมาว่า ดีหรือไม่ดี
รู้เพียงอย่างเดียวว่า ฉันต้องอยู่เหนือความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ให้ได้ แต่เพียงเท่านี้ก็พอ
จิตของลูกนั้น เมื่อทะลุแจ่มแจ้งถึงธรรมคำสอนนี้แล้ว ย่อมเบาสบาย มีความสุข ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงพิจารณาธรรมนี้ ให้กระจ่างแจ้ง ตามความรู้ ความคิด ความสามารถที่ลูกจะทำได้
และฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนแจ่มแจ้งอย่างอย่างแท้จริง ถอดถอนเชื้อแห่งความหลง
นำพาจิตของลูกออกจากบ้านหลังใหญ่ที่คุมขังลูกเอาไว้นับแสนชาติ นับล้านชาติ
ที่ตกเป็นทาสของความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ที่อยู่ใต้อำนาจของการเกิด และตาย ในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เถิด
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีอะไรเป็นของเราหรอกลูก เราเพียงแค่หลงไปเท่านั้น จงนำพาจิตน้อยของลูก ออกจากที่นั่นเถิด
สาธุเจ้าข้า ฯ ถ้าเกิดว่าเราฟังธรรมนี้บ่อย ๆ แล้วก็สามารถสลัดกิเลสตัณหาออกจากเราได้
เราสามารถน้อมรับพลังจากดินแดนที่มีพลังที่ดีบริสุทธิ์ จากพระนิพพานได้บ่อยๆ ก็จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะหลุดออกจากที่นี่ไปได้หรือเปล่าเจ้าค่ะ
แน่นอนซิลูก ถ้าเรานั้นสามารถที่จะทำบ่อยๆ จนจิตของเราเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง เราย่อมไม่ยอมตกเป็นทาสของมันอีก
เมื่อเราไม่ยอมตกเป็นทาสของมันอีก ความหลงใดเล่าจะครอบงำเราได้
สาธุเจ้าค่ะ เมื่อนั้นเราก็พ้นจากวัฏสงสาร หนูฟังดูแล้ว เหมือนพระพุทธองค์และดวงจิตทุกดวงที่หลุดไปจากโลกแห่งวัฏสงสารนั้นแล้ว
รู้สึกว่าจะมีความสุขเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้าฯ
หนูจะตั้งใจเผยแผ่ธรรมและแสดงธรรมต่างๆ ของ พระพุทธองค์ให้กับทุกคน ที่มีความปรารถนาหลุดพ้น ได้เข้าใจ เพื่อทุกคนจะได้ไปอยู่ในที่นั่น
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังเจ้าข้าฯ
ลูกได้รับถึงความรู้สึกที่นั่นอย่างชัดเจน มันเป็นความรู้สึกที่สุขอย่างละเอียด ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ว่ามันสุขเช่นไร ละเอียดเช่นไร
นอกจากคนที่ต้องไปถึงในสภาวธรรมนั้น ด้วยตัวของเขาเอง ลูกนั้นเข้าใจถึงแล้วเจ้าค่ะ จะทำให้คนอื่นเข้าใจเช่นเดียวกันกับลูก
ขอความสุข ความสำเร็จ จงสำเร็จกับลูกทั้งหลายด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ สาธุ