อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า
บัดนี้เราถูก"เวทนา" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"สัญญา" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"สังขาร" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"วิญญาณ" กินอยู่
แม้ใน"อดีตกาล" เราก็ถูก"วิญญาณ" กินแล้ว
เหมือนกับที่ถูก"วิญญาณปัจจุบัน" กินอยู่ ในบัดนี้.
ก็เรานี้แล พึงชื่นชม"วิญญาณอนาคต" แม้ใน"อนาคตกาล" เราก็พึงถูก"วิญญาณ" กินอยู่
เหมือนกับที่ถูก"วิญญาณปัจจุบัน" กินอยู่ ในบัดนี้.
เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
ย่อมไม่มีความอาลัยใน"วิญญาณ" แม้ที่เป็น"อดีต"
ย่อมไม่ชื่นชม"วิญญาณอนาคต"
ย่อมปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ "วิญญาณปัจจุบัน".
[๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ ว่า บัดนี้เราถูก"รูป" กินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูก"รูป" กินแล้ว
เหมือนกับที่ถูก "รูป"ปัจจุบันกินอยู่ ในบัดนี้ ก็เรานี้แล พึงชื่นชม "รูป"อนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูก"รูป" กิน
เหมือนกับที่ถูก "รูป"ปัจจุบันกินอยู่ ในบัดนี้.
เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
ย่อมไม่มีความอาลัยใน"รูปอดีต" ย่อมไม่ชื่นชม"รูปอนาคต"
ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ"รูปในปัจจุบัน".
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า "วิญญาณ" เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า "วิญญาณ" รู้แจ้งอะไร ? รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง
รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า "สังขาร" เพราะปรุงแต่ง"สังขตธรรม" จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่ง"สังขตธรรม"อะไร ? ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "รูป" โดยความเป็นรูป
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "เวทนา" โดยความเป็นเวทนา
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ
"สัญญา" โดยความเป็นสัญญา
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "สังขาร" โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "วิญญาณ" โดยความเป็นวิญญาณ.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "สัญญา" เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า "สัญญา" จำได้หมายรู้อะไร ? จำได้หมายรู้ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "เวทนา"
เพราะเสวย จึงเรียกว่า "เวทนา"
เสวยอะไร ? เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "รูป"
เพราะสลายไป จึงเรียกว่า "รูป"
สลายไป เพราะอะไร ?
สลายไป เพราะหนาวบ้าง
เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง
เพราะกระหายบ้าง เพราะสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน บ้าง.
..ย่อมตามระลึกถึง"วิญญาณ" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"วิญญาณ" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"สังขาร" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"สังขาร" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"สัญญา" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"สัญญา" อย่างนี้.
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? คือ..
..ย่อมตามระลึกถึง"รูป" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"รูป" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"เวทนา" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"เวทนา" อย่างนี้.
[๑๕๘] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เมื่อตามระลึก ย่อมตามระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ย่อมตามระลึก ถึงอุปาทานขันธ์ ๕ หรือกองใดกองหนึ่ง.
ว่าด้วยสิ่งที่ถูก"ขันธ์ ๕" เคี้ยวกิน
“เอ๊ะ ! เป็นอะไรไป ?” หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น
หลวงปู่บุดดาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า ท่านรู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง รู้สึกว่าไม่มีตัวตน เห็นชัดทุกอย่างรอบตัวว่า เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา เห็นปรมัตถธรรม ทุกอย่างมันเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ถือเอาเป็นเจ้าของ พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
สัพพัญญพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ ไม่มีตัวมีตน ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในจิตของตนเอง ที่พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก มันติดในสมมุติบัญญัติกันต่างหากล่ะ
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ธรรม ที่เกื้อหนุน อริยมรรค ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้หลุดรอดได้ พ้นจากสมมุติบัญญัติหลวงปู่บุดดาบอกว่า “ท่านมีความรู้ความเข้าใจในธรรมทั้งหมดนี้ขึ้นมาเอง” ในขณะนั้น
หลวงปู่บุดดาได้อธิบายให้หลวงปู่สงฆ์ฟังต่ออย่างคล่องแคล่วว่า “อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกันได้ มันมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน เท่านั้นเอง มีเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่มีเจ้าของ ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ก็สมมุติบัญญัติขึ้นมา พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่พิจารณาดูได้ อ่านได้ เข้าใจได้ จนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังขาร รู้ความเป็นจริงของโลก ก็หมดกัน ไม่มีปัจจัยอะไรส่งให้สัตว์ต้องมาเกิดอีก”
หลวงปู่สงฆ์ฟังตามไม่ค่อยทัน เพราะต้องทำความเข้าใจตามไปด้วย และท่านก็ไม่เข้าใจว่าหลวงปู่บุดดาบรรลุธรรมอะไร ? เพราะเป็นโลกุตตรธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากใจของหลวงปู่บุดดาในขณะนั้น หลวงปู่สงฆ์ก็ได้แต่เก็บเอาไปคิดพิจารณาตามเท่านั้น
หลังจากนั้น ๓ วัน หลวงปู่สงฆ์ได้มาบอกหลวงปู่บุดดาว่า “ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์เน้อ ! “
หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า “โอ้ย ! มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ”
หลวงปู่สงฆ์บอกความรู้สึกของท่านกับหลวงปู่บุดดาในขณะนั้นว่า “เอ๊ะ ! ทำไม ? ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ล่ะ ทำไม ? ไม่มีคนล่ะ !”
หลวงปู่บุดดาก็อุทานตอบไปว่า “โอ๊ย ! มันไม่มีมาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนามาแล้ว นรก...สัตว์สร้างเอาเอง สวรรค์...สัตว์ก็สร้างเอาเอง ถ้าไม่มีสัตว์สร้าง สวรรค์นรกจะเกิดได้อย่างไร”
หลวงปู่สงฆ์ท่านบอกว่า “ท่านไม่ถือรูปถือนาม ไม่ถือธาตุถือขันธ์อะไรแล้ว ถ้าหลงรูป หลงนามอยู่ มันก็หลงเกิด หลงตายอีกซิ”
หลวงปู่สงฆ์จึงบรรลุพระสัจธรรม ณ ถ้ำภูคา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในพรรษาที่ ๕ อายุ ๔๒ ปี ณ สถานที่แห่งเดียวกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร บรรลุพระสัจธรม ในพรรษาที่ ๔ อายุ ๓๒ ปี
*****
การพิจารณา "เงาของจิต" จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ "ปัญญา" จะต้องสอดแทรก"ตามให้ทัน"
เมื่อมันทัน ปรุงเรื่องอะไร มันก็จะรู้ว่า "จิตกำลังปรุงไปหลอกตัวเอง"
ไปสำคัญมั่นหมาย กับรูป กับเสียง กลิ่น รส อะไรก็ตาม
กำลังจะไปเชื่อม สร้างภาพนั้น ภาพนี้ ขึ้นมาหลอกเรา "มันก็รู้ มันดับทันที "
พอเรารู้ มันก็ดับทันที ๆ ไม่เกิดเป็นตัวเป็นตน เป็นรูปเป็นร่าง เป็นเรื่อง เป็นภาวะ
สุดท้ายเราก็จะเห็นโทษของจิต แต่เพียงฝ่ายเดียว ที่มาหลอกลวงตัวเอง
ไม่ได้เห็นโทษ ของรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไม่ไปตำหนิ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส อะไรทั้งหมด
แต่เห็นโทษของจิตที่มาหลอกลวงตัวเอง ที่มันปรุงความน่าดีใจ เสียใจ มันเกิดมาจากจิต
จิตเป็นตัวปรุง เป็นตัวปัญหา และเป็นตัวหลอกลวงที่สุด .. พิจารณาอย่างนี้
สุดท้ายมันก็ไม่มีความหมาย มันสำคัญที่ "ตัวหลอก" เท่านั้น ก็พิจารณา "ตัวหลอก" ให้ชัด
เสมือนว่า จิตตัวนี้ คือ "นักโทษ" ไปใหนก็ควบคุม ..
มีสติปัญญา ควบคุมให้ทัน แล้วมันจะดับไป ๆ เรื่อย ๆ
สูดท้ายมันจะหยั่งชัดว่า ตัวจิตนี้แหละเป็นตัวนักโทษ ไม่ใช่อื่น
รูป ไม่ได้ให้คุณให้โทษ เสียง กลิ่น รส อะไรทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งให้คุณให้โทษ
มีแต่จิตเท่านั้น ที่ปรุงแต่ง หลอกลวงตัวเอง เกิดอารมณ์ ความดีใจ เสียใจ ความสุข ความทุกข์ ขึ้นมา
ด้วยอำนาจความหลงในใจ นั่นเอง
อะไรจะปรุงก็ตาม จะปรุงเสือ ปรุงช้าง มันก็คือ "สังขาร" ออกไปหลอกตัวทั้งหมด
รู้ให้มันแคบเข้ามา สุดท้ายก็จับนักโทษได้ แต่ยังฆ่ามันไม่ได้ ต้องวินิจฉัย ใคร่ครวญ "มันจึงจะเป็นสติปัญญาอันสำคัญ"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หลวงปู่บุดดาได้เมตตาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านบรรลุธรรมว่า
“คืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งสนทนาธรรมกับ หลวงปู่สงฆ์ พรหมสโร สองต่อสองตามปกติ อย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ ท่านก็เงียบเสียงไปเฉยๆ และนั่งลืมตาค้างอยู่ หลวงปู่สงฆ์ก็แปลกใจที่ทำไม ? ท่านจึงเงียบไปเฉย ๆ เช่นนั้น ก็ถามหลวงปู่ว่า
☀️ สิ้นสังขารจึง "พบธรรม" ที่มั่นคง☀️ 🙏ค่ะ
ใช้ปัญญาของเจ้าตัวเข้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้งมงาย ไม่ได้สอนให้เชื่อใคร แม้หลวงตาพูดท่านก็อย่าเชื่อ ท่านปฏิบัติให้มันเป็นจริงซะก่อน แล้วท่านจะเชื่อเอง
แต่ไม่ใช่เชื่อเดี๋ยวนี้ฟังแล้วเชื่อเดี๋ยวนี้ แล้วก็ อ้าว! จบแล้วเชื่อแล้ว แล้วออกไปทิ้งเลย ไม่ปฏิบัติเลย.. ไม่ใช่! เพียรเข้า เข้าใจแล้ว ๆ แล้วก็หมั่นเซาะหมั่นสังเกตเข้า เออ...ว่ามันเป็นสังขาร หลงสังขารอีกแล้ว หลงสังขาร
พิจารณาเข้า เรายึดถืออะไร ก็มีแค่สองสังขาร "สังขารกาย" กับ "สังขารจิต"
สังขารกายก็พิจารณาเข้าว่ามันเที่ยงมั้ยล่ะ หรือมันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องเน่าเปื่อยผุพังสลายกลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
สังขารกายมันประกอบไปด้วยธาตุ ธาตุดินก็กินซากพืชซากสัตว์ทุกวัน ธาตุน้ำก็กินทุกวัน น้ำเลือดน้ำลายน้ำปัสสาวะ ธาตุลมก็หายใจเอาลมของธรรมชาติ ธาตุไฟก็เอาความร้อนธรรมชาติไป ไหนล่ะเป็นของเรา เป็นของธรรมชาติหมดเลย
ก็พิจารณามันเข้าไปอย่างเงี้ย ทั้งวันทั้งคืน ๆ ใจมันก็ยอมรับตามความเป็นจริงมันก็ปล่อยวาง บึ้ม! ลงไป ระเบิดโลกธาตุ ระเบิด"อวิชชา" ความโง่ออกมาจากข้างในเลย
ก็เหลือแต่จิตแล้ว ง่ายแล้วตอนเนี้ย ไม่มีกายแล้ว
พอพิจารณากายขาดแล้ว วางบึ้ม!ไปแล้ว เดินไปไหนไม่มีตัวเลยเหมือนคนหายตัวได้ แขนขาหัวหายไปหมดเลย ตัวหายหมด หัวหายหมดไม่มีตัว เดินไปไหนไม่มีตัวเลย เหมือนคนหายตัวได้
ต้องเอามือ คอยจับหัว จับแขน จับขาตลอดเวลาว่า เอ๊ะ! มันหายไปไหน แต่จับก็รู้สึกว่ามันมีตัว แต่พอไม่จับมันเหมือนหายไปทั้งตัวเลย ต้องคอยเอามือมาจับไว้ มันไม่ชินกับมันเป็นสัปดาห์เลย เป็นสัปดาห์เป็นอาทิตย์ ๆ เลย เพราะว่าไม่ชิน
มันเคยมีความรู้สึกว่ามีตัว แต่พอมีความรู้สึกไม่มีตัว มันว่างเวิ้งว้างไปยังไงบอกไม่ถูก ต้องเอามือคอยจับแขนจับหัวจับขาไว้ มันไม่มีตัวเลย แล้วก็มันก็ไม่มีน้ำหนักด้วย เหมือนกับว่ามนุษย์อวกาศที่ไปอยู่นอกอวกาศ แล้วก็ลอยไปลอยมา เราดูจากในหนังนะ เราก็ไม่เคยออกไปนอกอวกาศหรอก
ดูจากในหนังเห็นว่าพวกที่ออกไปนอกอวกาศ มันก็ไม่มีน้ำหนักมันลอยไปลอยมาอย่างเงี้ย เราก็เอามาเปรียบเทียบเอาว่า เออ..มันเหมือนมนุษย์ที่มันออกไปนอกอวกาศแล้วมันไม่มีน้ำหนัก มันไร้สภาพน้ำหนัก มันหมดแรงดึงดูดของโลกมันก็เลยลอยไปลอยมา
แต่พอไปชั่งกิโล อ้าว.. มันมีน้ำหนักเต็ม แต่พอออกจากกิโลทำไมน้ำหนักมันไม่มีหว่า เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ออกจากกิโลมาน้ำหนักไม่มี แต่พอไม่จับตัว ตัวไม่มี มันเลยกลายเป็นเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลาเนี่ยไม่ว่าจะเดินไปไหนไปทำงานไปอะไรเนี่ย ไม่มีตัวไม่มีน้ำหนักไม่มีหัวไม่มีแขนไม่มีขา ไม่มีตัวเลย น้ำหนักก็ไม่มี มันว่างเปล่าจริง ๆ มันว่างเปล่าจริง ๆ
อันนั้นคือมันว่างเปล่าจริง ๆ ไม่ใช่ไปมโนเอา สร้างเอา แต่มันระเบิดโลกธาตุไปหมดแล้ว ระเบิดความโง่ไปแล้ว กินข้าวอิ่มในเรื่องของความตายจนท้องแตกไปแล้ว มันระเบิดไปหมดแล้ว
มันสิ้นความยึดมั่นถือมั่น สิ้น "สักกายทิฏฐิ" ไปแล้ว สิ้นความหลงงมงายไปแล้ว สิ้น "สีลัพพตปรามาส"ไปแล้ว สิ้น "วิจิกิจฉา" สิ้นความลังเลสงสัยแล้ว มันลังเลสงสัยอะไร มันว่างไปหมดเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำหนักเลย ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มโนสร้างเอา นี่มันพิจารณาความตาย ตาย ๆๆ สังขารมัน ไม่เที่ยง ๆ
เพราะว่าเรายึดก็ยึดแค่สองอย่าง คือ สังขารกาย กับสังขารจิต ก็พิจารณากายซะก่อนให้มันเน่าเปื่อยผุพัง เน่าเปื่อยผุพัง เน่าเปื่อยผุพัง ๆ อืด ... เน่า ... สลาย เน่า...เผละ! ระเบิดออกไปเลย จนกระทั่งมันเน่า หมดสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในสักกายทิฏฐิ สิ้นสีลัพพตปรามาส คือ ความหลงงมงาย แล้วก็สิ้นวิจิกิจฉาไม่ลังเลสงสัยอีกแล้ว ไม่มีตัวไม่มีหัวเลย ไม่มีกายไม่มีใจ เหมือนกับไม่มีเลยตอนเนี้ย ว่างเปล่า เวลาเดินไปไหนมาไหน เดินไปทำงานเดินไปไหนมาไหน มันเหมือนกับว่ามันไม่เดินไปแล้วบนพื้นดินน่ะ มันเดินไปบนยอดหญ้า
รู้สึกว่าเมื่อมันขึ้นไปเดินบนยอดหญ้า หญ้าไม่ยับเลย แล้วก็เหมือนกับเวลามันเดินไป มันขึ้นไปบนยอดไม้ มันเหินขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วก็มันก็เหินจากยอดนี้ไปหลายกิโลมากเลย ไปยอดโน้น เหมือนนกบินได้ เฮ้ย! มันทำไมมันเป็นอย่างนี้หว่า
มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลย มันเหมือนเหินไป เหมือนไม่เดินไป แต่จริง ๆ มันก็เดินไป แต่มันรู้สึกมันเหินไปได้ มันลอยไปได้ แปลก ๆ
แต่บางท่านก็ลอยไปจริง ๆ นะ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เนี่ยลอยไปหัวไปกระแทกพื้น ปึ้ง! ตกใจลืมตาขึ้น หล่นตุ๊บมาเลย เฮ้ย! นี่มันลอยได้จริง ๆ นี่หว่าเนี่ย ท่านเลยแปลกใจว่า เฮ้ย! มันลอยไปได้จริง ๆ เหรอเนี่ย
เลยท่านก็เอาใหม่ ๆ ขึ้นไปแล้วก็มันลอยไป ไปหัวกระแทกพื้นแล้วเอาอะไรไปเหน็บที่ชายคาไว้ ไปเหน็บที่บนหลังคาไว้ แล้วก็ พอมันถึงพื้นแล้ว เฮ้ย! ไอ้ที่เหน็บไว้ที่บนหลังคามันยังอยู่นี่หว่า เอ๊ะ! มันลอยได้จริง ๆ เหรอเนี่ย
มันลอยได้จริง ๆ นะ แล้วก็มันว่างไปหมดเลย มันว่างเปล่าไปหมดเลย มันไม่มีน้ำหนัก มันเบามากเลย แต่ไม่ใช่ว่าไปลอยใน "ฌาน" นะ อันนี้คือมันระเบิดโลกธาตุไปหมดแล้ว สิ้น "สักกายทิฏฐิ" สิ้นตัวตนไปหมดแล้ว
ตอนนี้พอมันเหลือแต่ความว่าง ง่ายแล้วตอนนี้
เพราะอะไร? มันเห็นจิตเกิดดับ ตอนนี้จิตมันไม่มาเกิดดับในตัวแล้ว เพราะว่าอะไร? ก็เพราะมันไม่มีตัวแล้วไง
มันเห็นจิตเกิดดับในอากาศเลยตอนนี้ มันเห็นจิตเกิดดับ ๆ ๆ ในอากาศเหมือนแสงหิ่งห้อย เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่า มันเห็นจิตเกิดดับเกิดดับ
ไม่มีคนไปเห็นหรอก ไม่มีคนไปดู ไปรู้ไปเห็นมันหรอก แต่มันเห็นเองว่า จิตมัน เกิดเองดับเอง ๆ เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าเหมือนแสงหิ่งห้อย ไม่มีใครต้องไปคอยมองมันหรอก มันเห็นเอง มันรู้เองว่าจิตมัน เกิดเองดับเอง ๆ ๆ ๆ ไม่มีใครไปยึดถือมันเลย
โอ้ย.. จิตก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง ๆ แค่นั้นแหละ โลกธาตุมันระเบิดอีกครั้งหนึ่งเลยตอนนี้ สิ้นยึดถือจิตอีกหนหนึ่งโลกธาตุมันระเบิดไปหมดแล้วตอนเนี้ย ระเบิดไปหมดเลย อัศจรรย์อีกเยอะแยะมากมายเลยตอนนี้ "สิ้นยึดถือ" จิตนั่นแหละ
มันไม่ใช่มโนเอา มันเห็นจากใจ รู้จากใจของเจ้าของว่าทั้งกายและจิตไม่เหลืออะไรเลย พอสิ้นสังขารมาบังใจแค่นั้นแหละ เลยกลายเป็นใจที่ไม่สังขาร
นั่นแหละ คือ นิพพาน
เนี่ยทางเดิน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็มโนไปถึงตรงความว่างเลย โดยไม่ได้ปล่อยวางสังขาร มันจะเป็นไปได้ยังไง
สังขารมันบัง ขันธ์ห้าบังธรรมอยู่ "รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เขียนไว้ใน "ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ" รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม ขันธ์มันบังอยู่ ต้องทำลายขันธ์ซะให้หมดย่อยยับไปก่อน แล้ว "ธรรม" คือใจที่บริสุทธิ์ หรือจิตบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน มันก็จะปรากฏขึ้นมาเอง
ไม่ใช่ใช้เดินทางลัดเอา อยู่ ๆ ก็ว่าง อยู่ ๆ ก็ว่าง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ละขันธ์ ลาโลก...
ขึ้นชื่อว่า สังขารทั้งปวง
ย่อมไม่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ไปได้
มีเกิดขึ้น แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ทั้งสังขารอันเป็นทิพย์ และสังขารอันหยาบ
ที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อย่างมนุษย์เรานี้
แต่ทว่า สำหรับพระอริยเจ้าทั้งหลายแล้ว
การดับไปแห่งสังขาร คือ การปลดเปลื้อง
ซึ่งภาระหนัก
ภาระอันหนักที่เคยแบก ยึดเอาไว้มาแต่เดิม...ให้ขาดสิ้นลงไป
และจะไม่มีการกลับมาแบก รับเอาใหม่อีก...ตลอดอนันตกาล
จึงเป็นการลาโลก ยุติการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารลง...อย่างสิ้นเชิง
๑๕.๐๓/๑๕.๐๒.๒๕๖๑
สังขารในขันธ์ห้าเป็นเพียง “ทุกขสัจ”
ข้อวัตรปฏิบัติทั้งหมดเพื่อตัด “นันทิราคะ” คือความหลงเพลินใจไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ในความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ไม่หลงคิด หลงปรุงแต่ง หลงเพลินไปในอายตนะภายนอก
เมื่อไม่หลงคิด หลงปรุงแต่งไป หรือเรียกว่า “ไม่หลงส่งจิตออกนอก” ไปยินดียินร้ายเพลินใจติดไปกับอายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งที่มากระทบสัมผัสกาย หรือธรรมารมณ์ คือเวทนา สัญญา สังขาร เจตสิกที่ทำงานร่วมกับวิญญาณขันธ์ในขันธ์ที่ห้า มันก็จะไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้น
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน ...
.."รูป" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
เมื่อใด “ไม่หลงส่งจิตออกนอก” ไปยังอายตนะภายนอก ไม่เข้าไปยินดียินร้าย มันก็จะไม่เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ในขั้นที่ละเอียดเข้าไปแล้ว มันจะเหลือแต่ “ปรากฏการณ์” หรือ “กิริยาจิต” ของขันธ์ห้าล้วน ๆ ที่ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทานเข้ามาปน เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เป็น “ชีวิต” แท้ ๆ ที่ไม่มี “อวิชชา” คือความเป็นตัวเราที่หลงยึดมั่นถือมั่นเข้าไปปน
ดังนั้นจึงบอกว่า... ตรงนี้สำคัญมาก
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุข เล่า ?
สังขารธรรมดา ความคิด ความปรุงแต่ง ไม่มีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจะไม่เป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จะไม่เข้าสู่กระบวนการของการเกิดกิเลส ทุกข์ ภพ ชาติ เวียนว่ายอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่รู้จบสิ้น
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
สังขารธรรมดาของขันธ์ห้าเป็นเพียง “ทุกขสัจ” คือ เป็นความทุกข์เฉพาะมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็จบไปเพียงแค่ขณะจิต ๆ
แต่ไม่ได้เป็นความทุกข์ที่เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น ให้เกิดภพ ชาติ การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น
พอสิ้นอายุขัย สังขารธรรมดาก็จบสิ้นไปโดยบริบูรณ์เพราะสิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น วงจรปฏิจจสมุปบาทก็ขาดสะบั้นตั้งแต่ “สิ้นยึด” ไปแล้ว ตั้งแต่ธาตุขันธ์ยังไม่แตกดับ อวิชชา ตัณหา อุปาทานมันดับไปหมดสิ้นแล้ว
เหลือแต่สังขารแท้ ๆ ของขันธ์ห้า... ซึ่งไม่มี “ตัวเรา” เข้าไปยึดถือสังขาร ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา หรือเป็นของของเรา ไม่มีผู้หลงไปยึดถือสังขาร ก็จะไม่เป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
.."เวทนา" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
.."สัญญา" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
.."สังขาร" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
"วิญญาณ" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๑๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย "รูป" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น
อดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"รูปทั้งหมด" นั้น เธอทั้งหลาย
พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"เวทนา" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"เวทนาทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"สัญญา" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"สัญญาทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"สังขาร" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"สังขารทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"วิญญาณ" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"วิญญาณทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อ ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือมั่น ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมเข้าไว้ ย่อมทำให้มอด ไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น.
[๑๖๓] อริยสาวก ย่อมทำอะไรให้พินาศ ย่อมไม่ก่ออะไร ? ย่อมทำ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้พินาศ
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ".
ย่อมละทิ้งอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร ?
ย่อมละทิ้ง "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่ถือมั่น "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ".
ย่อมเรี่ยรายอะไร
ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ ?
ย่อมเรี่ยราย "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่รวบรวม "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ".
ย่อมทำอะไร ให้มอด
ย่อมไม่ก่ออะไร ให้ลุกโพลงขึ้น ?
ย่อมทำ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้มอด
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้ลุกโพลงขึ้น.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี"ญาณ" หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศ แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่ละ ย่อมไม่ถือมั่น แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
[๑๖๔] อริยสาวก ย่อมไม่ก่ออะไร ย่อมไม่ทำอะไรให้พินาศ
แต่ทำให้พินาศแล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้พินาศ
แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ละอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่ละ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่ถือมั่น "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยรายอะไร ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยราย "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่รวบรวม "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ทำอะไรให้มอด ย่อมไม่ก่ออะไรให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ทำ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ให้มอด
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาพร้อมด้วย อินทร์ พรหม และท้าวปชาบดี ย่อมนมัสการ ภิกษุผู้มีจิตพ้นแล้ว อย่างนี้แล แต่ที่ไกลทีเดียว ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็น บุรุษอาชาไนย
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็น อุดมบุรุษ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมต่อท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลาย มิได้รู้จัก โดยเฉพาะ และผู้ซึ่งได้อาศัย เพ่งท่านพินิจอยู่ ดังนี้.
ฉบับหลวง๑๗/๘๖/๑๕๘-๑๖๔.
สาธุธรรมครับ
สังขารมันเกิดขึ้นที่ไหน มันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นสังขาร
สังขารมันเกิดขึ้นที่จิตของเราเอง เป็นอาการของจิตพาให้เกิดขึ้นซึ่งสมมุติทั้งหลาย
สังขารนี้แลเป็นตัวการสมมุติบัญญัติสิ่งทั้งหลายในโลก
ความจริงของในโลกทั้งหลาย หรือธรรมธาตุทั้งหลาย เขามีเขาเป็นอยู่อย่างนั้น
แผ่นดิน ต้นไม้ ภูเขา ฟ้า แดด เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรเลย
ตลอดจนตัวตนมนุษย์ก็เป็นธาตุของโลก เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้เลย
เจ้าสังขารตัวการนี้เข้าไปปรุงแต่งว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้
จนหลงกันว่าเป็นจริง ถือเอาว่าเป็นเราเป็นของๆ เราเสียสิ้น
จนมีราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น ทำจิตตัวเดิมให้หลงไปตาม เกิด แก่ เจ็บ ตาย
เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเอนกภพเอนกชาติ เพราะเจ้าตัวสังขาร นั้นแลเป็นเหตุ
..
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นอิสระทั้งหมด.
ไม่อะไรยึดอะไรได้ไม่มีอะไรต้องปล่อยวางอะไร.
ไร้ชื่อที่แท้จริงไร้ตัวตนของตนเอง.ว่างและเป็นอิสระอยู่อนันตกาล.
เพราะทุกอนูของสรรพสิ่ง.ย่อมจะเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อกัน
ต่อใครต่ออะไร.
เพียงแต่ต่างทำตามหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น.. ทำเสร็จก็ทิ้งเลย..
ขันธ์๕แต่ละขันธ์ต่างก็เป็นอิสระไม่ได้ขึ้นต่อกัน.
เป็นเอกเทศ.เพียงแต่ทำงานสอดประสานต่อเนื่องกัน.ตามหลักอิทัปปัจจยตา.คือเมืีอสิ่งนี้มี.สิ่งนี้จึงมี.. เมื่อสิ่งนี้เกิด.สิ่งนี้จึงเกิด.. หลอกให้เรารู้สึกว่า.เป็นก้อนเดียวกัน
แม้แต่เซลล์ในร่างกายแต่ละเซลล์ต่างก็เป็นอิสระ.ทำหน้าที่ของตนเอง.เกิดดับโดยตัวเอง.ไม่มีใครมาสั่งการ.
จึงไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีการยึดมั่นถือมั่นต่ออะไรสิ่งใด.
ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเกิดอีก
เพียงแต่ทำตนเองให้หมดทุกข์ได้ในชาตินี้ก็พอแล้ว
ถ้าจะกล่าวโดยสรุป ..#การปฏิบัติธรรมคือการแยกจิตออกจากอารมณ์
วิธีการ คือ ..
#อย่าส่งจิตออกนอก
#อย่าตามเงาของจิต
#ระวังผัสสะกระทบปั๊บย้อนกลับมีสติรู้ทัน
#ความคิดมันก็จะหยุด จิตหยุดคิดคือหยุดปรุงแต่ง
#ระวังอย่าให้มันก่อรูปความคิด
ความคิดเป็นสังขาร (การปรุงแต่ง) ทั้งนั้นแหละ
สุขก็เป็นสังขาร ทุกข์ก็เป็นสังขาร .. สังขารใดๆ ก็ตาม มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์
กิจอื่นนอกจากความพ้นทุกข์ไม่มีอีกแล้ว ทำบ่อยๆ ทำให้มาก ทำได้แล้วจะมีกำลัง
..
พระอาจารย์มนตรี อาภสฺสโร ..
สวนพุทธธรรม ป่าละอู