🔸กายวิเวกก็ดี จิตตวิเวกก็ดี อุปธิวิเวกก็ดีก็รวมลงมาเป็นเอกวิเวกอันเดียวกัน จะบัญญัติหรือไม่ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนักเลย ที่บัญญัติไว้ก็เพราะเป็นแผนที่ แต่ตัวเนื้อที่จริงๆ แล้วหดตัวเข้ามาเอง หาเอกปัจจุบันวิเวกลงมารวมกันเอง ไม่ได้ต้อนมาฮือๆ ฮาๆ เหมือนโคและกระบือเลย ผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยด่วนโดยแท้จริงจึงจะพูดกันออก บอกกันถูก ปลุกกันได้ ให้กันเป็น มิฉะนั้นแล้วก็จะตรงกันข้ามไปละ
พระธรรมเป็นของลุ่มลึก แต่จะลึกสักเพียงใด ก็ลึกลงที่ใจ จะตื้นก็ตื้นขึ้นมาที่ใจ ไม่ใช่ลึกตื้นอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ ลม ไฟ น้ำภายนอก ผู้มีสติปัญญาอยู่กับใจย่อมขุดถึงใจถึงธรรม ไม่หนีจากธรรมจากใจ ไม่หนีจากใจจากกรรมไปได้ ถ้าหาก็หาอยู่ทั่วที่ธรรม ที่ธรรมที่ใจ ถ้าเห็น ก็เห็นอยู่ที่ใจที่ธรรม ที่ธรรมที่ใจ ทวนไปมาอยู่นี้....
หลวงปู่หล้า
ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ที่กระผมจำจากตำราและฟังครูสอนนั้น จะตรงเนื้อหาตามที่หลวงปู่เข้าใจหรือ
หลวงปู่อธิบายว่า
.
"ศีล" คือปรกติจิตที่อยู่ปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
"สมาธิ" ผลสืบเนื่องจากการรักษาศีล คือจิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลัง ที่จะส่งต่อไปอีกปัญญา
"ผู้รู้" คือจิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร
"วิมุติ" คือจิตที่เข้าถึงความว่างจากความว่าง คือ ละความสบายเหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย"
.
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงปู่ฝากไว้
จงทำ “ญาณให้เห็นจิต” เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกต "กิริยาจิต" ไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึง "เหตุปัจจัย" ของ "อารมณ์ความนึกคิด" ต่างๆได้แล้ว "จิต" ก็จะค่อยๆ "รู้เท่าทัน" การเกิดของ "อารมณ์ต่างๆ" อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆดับไปเรื่อยๆ จน "จิตว่างจาก อารมณ์" แล้ว "จิต" ก็จะเป็น "อิสระ" อยู่ต่างหากจาก "เวทนาของรูปกาย" ให้รักษาจิต อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วย "ปัญญาจักษุ"
คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อ "หยุดคิด" จึงรู้ แต่ต้อง "อาศัยคิด"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
ต้องหมั่นรู้สึกตัวให้บ่อย การรู้สึกตัวให้บ่อย คือการมาอยู่กับจิตผู้รู้ โดยการรู้ผ่านกายนั้นเอง การอยู่กับจิตผู้รู้บ่อยๆ ทําให้จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา หลุดออกจากความคิดปรุงแต่ง เห็น รูป นาม หรือ กาย ใจ ตามความจริง เราจะเห็นว่า กายไม่ใช่เรา เราจะเห็นว่า จิตไม่ใช่เรา
เราชินที่จะคิด มันเลยจากความรู้สึกตัวไป ถลําไปอยู่กับโหมดความคิดแล้ว จึงให้หมั่นแค่ รู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้นั้นเอง แค่รู้สึกตัว มันจะไม่ไปคิด นี้คือการเจริญสติแบบไม่ต้องนั่งสมาธิ
อีกแบบคือ การนั่งสมาธิเข้าฌานไปจนเข้าไปอยู่กับจิตผู้รู้ จะปล่อยออกจากขันธ์ ที่เขาบอกว่านั่งแล้วตัวเบาตัวหายไปนั้นหล่ะ จะปล่อยออกไปเรื่อยๆ จนเหลือแต่จิตผู้รู้ ที่ไม่มีความคิด
ทั้ง 2 แนวทางก็คือ การเจริญปัญญา กับ การเจริญสมาธิ นั้นเอง ขึ้นกับว่ามีจริตมาทางไหน แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าไปอยู่กับจิตผู้รู้ให้ได้ เพื่อจะไปเจริญวิปัสสนาหรือปัญญา
Trader Hunter พบธรรม
บทเรียนเรื่องการทำสมาธิเนี่ย ในทางศาสนาพุทธท่านถึงใช้คำว่า “จิตตสิกขา” ทำสมาธิจนกระทั่งเราเห็นจิตของเรา จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ยแหล่ะ พร้อมที่จะไปเดินวิปัสสนาต่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนไหนจะทำสมถะนะ ก็อย่าให้ขาดสติ หายใจไปเห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู หายใจไปจิตแอบไปคิด รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็มีจิตอีกคนนึงเป็นคนดู เฝ้ารู้ไปจนกระทั่งจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าเราทำสมถะเป็น เวลาบางช่วงบางครั้งบางคราวจิตก็เข้าพักสงบ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่นะ สงบ ไม่แส่ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สงบไม่คิดไม่นึกอะไร ใจว่างสบายสว่าง อันนี้ทำสมถะเต็มที่
ต่อไปก็หัด นั่งสมาธิไปแล้วเห็นจิตเคลื่อนไหวรู้ไปเรื่อยจนจิตตั้งขึ้นมา ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อย่างนี้ดี จะเอาไว้ต่อวิปัสสนา นี้พอเราหัดภาวนาไปนะ พุทโธๆ เราเห็นเลย พุทโธเป็นของถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้พุทโธ หายใจออกหายใจเข้านะ หายใจไป จนกระทั่งเห็นเลยร่างกายมันหายใจ จิตเป็นผู้รู้ว่าร่างกายหายใจ มีจิตที่เป็นผู้รู้ขึ้นมา จะเดินจงกลมยกเท้าย่างเท้าเห็นร่างกายมันเดินไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ต่อไปพอผู้รู้ผู้ดูมันหายแว้บไป คือมันขาดสติเมื่อไรมันหายเมื่อนั้น สติมันระลึกได้เองเพราะมันเคยรู้จักผู้รู้ผู้ดูเนืองๆ ฉะนั้นเราจะฝึกจนกระทั่งสามารถรู้สึกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันได้เนืองๆ เมื่อไรเป็นผู้หลงนะ ก็ขาดผู้รู้ เมื่อไรเป็นผู้รู้ก็ไม่เป็นผู้หลง บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็หลงเป็นผู้คิด บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็เป็นผู้เพ่ง
พอเรามาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเห็นตัวผู้รู้เค้าเกิดดับไปเรื่อยๆ เนี่ย เฝ้ารู้เฝ้าดูอย่างนี้เรื่อยๆ พอใจมันเป็นคนรู้คนดูขึ้นมาได้ มันจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นวัตถุ ร่างกายเป็นก้อนธาตุ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไป จะเห็นเวทมาทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ความไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ จนใจของเรามันตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ตั้งเอาไว้จนแข็งๆรู้ตัวตลอดเวลา อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องรู้บ้างเผลอบ้างนะ ถึงจะเห็นว่าตัวรู้เองก็เกิดๆดับๆ
หลวงพ่อปราโมทย์
< สภาพจิตที่เดินถูกทาง >
สภาพจิต หากฝึกฝนถูกต้อง ควรเกิดองค์ธรรม ตามกันมาเป็นลำดับนั่นคือ
▪"ปราโมทย์" ร่าเริง เบิกบานใจ อันนำไปสู่ ปิติ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้มใจ
▪"ปิติ" ที่เกิดอย่างสม่ำเสมอนี้เอง เป็นตัวนำไปสู่สมาธิ ปิตินั้นมีอำนาจอยู่ในตัวอย่างหนึ่ง คือทำให้เกิด
▪"ปัสสัทธิ" ความสงบระงับ
▪เมื่อมีความสงบระงับ ก็ย่อมเกิด "สุข" ไม่มีภาวะบีบคั้น จิตมีความสงบ
▪อันนำไปสู่ "สมาธิ" หรือความตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน
องค์ธรรมเหล่านี้เรียก ธรรมสมาธิ ๕ เป็นองค์ธรรมที่เกิดต่อเนื่อง ตามกันมาเป็นชุด คือ
ปราโมทย์ ->ปีติ ->ปัสสัทธิ ->สุข ->สมาธิ
เมื่อสมาธิเกิด จิตอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "กัมมนีย์" ก็พร้อมที่จะนำจิตที่มีพลัง นุ่มนวล ควรแก่งานนี้ ไปใช้พิจารณาธรรมต่อไป หรือแม้แต่ใช้เพื่อคิดค้นสิ่งใหม่ๆ
"...เบื้องต้นให้ได้สมถธรรมก่อน พยายามทำจิตใจของตนให้เป็นความสงบจากอารมณ์ที่ก่อกวน ซึ่งเนื่องมาจากกิเลสทั้งนั้น ให้สงบตัวเข้าไปด้วยบทคำบริกรรมภาวนา เป็นเครื่องระงับดับสิ่งวุ่นวายที่คิดปรุงอยู่เสมอจากกิเลสนั้น เมื่อคำบริกรรมของเราต่อเนื่องทำความคิดความปรุงในด้านธรรมะ คือคำบริกรรมแทนกิเลสที่มันเคยคิดเคยปรุงนั้นไม่ให้คิด ให้คิดแต่เรื่องคำบริกรรม เช่น ท่านผู้ใดมีความรักใคร่ หรือสนิทติดใจกับคำบริกรรมใด เช่น พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง ตลอดถึงอานาปานสติ
ในวงกรรมฐาน ๔๐ ห้อง เป็นกรรมฐานที่จะระงับดับจิตใจที่ฟุ้งซ่านให้เข้าสู่ความสงบได้ด้วยคำบริกรรมทั้งนั้น ให้เรานำมาบริกรรม จิตจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมนั้นตลอดเวลาที่เรานั่งภาวนาอย่าให้เผลอ จิตใจมีหน้าที่อันเดียว เวลาคิดทางโลกมันก็คิดทางโลก ทางธรรมเข้าแทรกไม่ได้ ทีนี้เวลาคิดทางธรรมบังคับจิตใจทางกิเลส ไม่ให้มันคิดในทางนั้น ให้คิดเฉพาะทางธรรม คือคำบริกรรมของเรา ให้แน่นหนามั่นคงอยู่กับใจ มีสติควบคุมอยู่เสมอ นี้คือทางก้าวเดินเพื่อตั้งหลักตั้งฐานแห่งจิตใจในเบื้องต้น ด้วยคำบริกรรมภาวนา ผลจะปรากฏเป็นที่พอใจในเบื้องต้น คือความสงบใจ
ใจนี้ปกติจะหาความสงบไม่ได้ ดีดดิ้นอยู่ด้วยความคิดความปรุง อันเป็นการผลักไสผลักดันของกิเลสออกทำงานเพื่อหารายได้ของมัน แต่สร้างกองทุกข์ให้เราอยู่ตลอดมา นี่คือเรื่องกิเลสทำงานบนหัวใจเรา ต่อจากนั้นเราก็ให้เอางานของธรรมะคือคำบริกรรมเข้าแทนที่ แล้วทำงานในด้านธรรมะ ปิดทางด้านความคิดที่กิเลสพาฉุดลากไป มีด้านธรรมะขึ้นทำหน้าที่แทน ทำหน้าที่แทนไปเรื่อยๆ ไม่ให้กิเลสมันมีโอกาสทำงานคิดปรุง เราจะปรากฏเป็นความสงบขึ้นมาภายในใจ นี้เป็นวิธีตั้งรากตั้งฐานแห่งความสงบในเบื้องต้น ให้พากันตั้งอย่างนี้
อย่าพากันทำสุ่มสี่สุ่มห้า นึกถึงภาวนาเมื่อไรก็มีสติแย็บหนึ่งๆ แล้วมานึกถึงคำบริกรรมคำใดก็เพียงคำสองคำหายไป นอกจากนั้นมีแต่กิเลสเอาความคิดความปรุงไปถลุงเสียทั้งวันทั้งคืน แล้วผลรายได้ก็คือความทุกข์ความเดือดร้อนภายในใจ หาหลักฐานมั่นคงภายในใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตนก็สำคัญว่าตนเป็นนักภาวนา แต่ความจริงนักภาวนามีเพียงอย่างมากห้าเปอร์เซ็นต์ ๙๕% เป็นเรื่องของกิเลสเอาไปถลุงเสียทั้งหมด มันก็ไม่คุ้มค่ากัน ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควรเพราะเหตุอย่างนี้เอง
ถ้าเราต้องการให้ได้ผลเป็นที่พอใจเป็นลำดับลำดา ให้พากันตั้งอกตั้งใจดำเนินทางด้านภาวนาดังที่กล่าวแล้วนี้ จิตใจจะสงบๆ ไปเรื่อย จากนั้นก็เป็นสมาธิขึ้นมา คำว่า “สมาธิ” คือความแน่นหนามั่นคงของใจ ไม่วอกแวกคลอนแคลน จิตใจอิ่มอารมณ์ คืออารมณ์ที่จิตใจหิวกระหายอยู่ตลอดเวลานั้นได้แก่ หิวอยากดู อยากรู้ อยากเห็น ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัสต่างๆ มีความหิวโหยอยากสัมผัสสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา นี่คือความหิวโหยของใจ ถ้าปล่อยให้คิดอย่างนี้จะหิวโหยตลอดไป และสร้างผลคือความทุกข์ร้อนมาสู่จิตใจของเรา ไม่มีเวลาสงบเย็นใจได้เลย นี่คือจิตหิวโหยอารมณ์
พอจิตมีความสงบเย็น และก้าวเข้าสู่สมาธิเป็นลำดับ จนกลายเป็นสมาธิที่แน่นหนามั่นคงเต็มที่แล้ว อารมณ์เหล่านี้ไม่เข้ามากวนใจ จิตไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องอารมณ์ทั้งหลายที่เคยหิวโหยมา อยู่ด้วยความสงบเย็นใจ เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ ประจำใจของผู้มีสมาธิ นั่งที่ไหนมีแต่ความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในใจ อารมณ์อื่นใดที่เคยรบกวนไม่เข้ามารบกวน จิตอยู่เย็นเป็นสุขในอิริยาบถทั้งสี่ คือยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยความมั่นคงของใจที่มีสมาธิ และอิ่มอารมณ์ตลอด..."
.........
“มหาสมัยในปัจจุบัน”
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]
ไม่ต้อง ดี ไม่ต้อง ไม่ดี !! อยู่ตรงกลางดีกว่า
เราอยู่ตรงกลาง จะเป็นอิสระจาก ๒ สิ่ง ๒ ฝ่าย มันจะเป็นอิสระจากทั้งดีและไม่ดี [ ธรรมคู่ หรือ ทวิภาวะ ]
ใน "ความเป็นหนึ่ง" [ ธรรมหนึ่ง ] มันไม่ใช่ "อุเบกขา" แต่มัน "เป็นกลางอัตโนมัติ" โดยที่เราไม่ต้องตั้ง
เพราะมันเห็นโทษ ของทั้ง ดี ..ไม่ดี
" ความอิสระ " เกิดอัตโนมัติ ไม่ใช่เราสร้างขึ้น
ความอิสระ จะเกิดขึ้น หลังจากที่เขาเข้าใจด้วยตัวเขาเอง
เพราะฉะนั้น อย่าหวังผลการปฏิบัติ
เพราะผลที่เราจะได้รับก็คือ มันไม่มีอะไรเลย !!
แต่ทำให้เราเบาขึ้น !!
..
พระอาจารย์ชานนท์ ชยนันโท
#ถ้ามันยังมีความรู้สึกพอใจไม่พอใจอยู่แสดงว่ามันยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ " !!!
#จุดมุ่งหมายจริงๆคือความพ้นทุกข์
#ทุกข์เกิดที่ใหนก็ให้ดูให้ดับที่นั่น
อย่างการดูลมหายใจ .. ลมหายใจไม่เคยด่าใคร ไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยเกลียดใคร
ไอ้ที่ โกรธใคร เกลียดใคร คือ #จิต
ถ้างั้น เราไปนั่งดูลมหายใจทำไม .. ทำไมไม่นั่ง "#ดูจิตเจ้าของ" หล่ะ
บางคนก็นั่งดูลมหายใจอยู่อย่างนั้น
#มันก็สงบอยู่แต่พอถอนมาก็ทุกข์เหมือนเดิมยังโกรธเกลียดเป็นเหมือนเดิม
อย่างเรื่องศีล : ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๐๐ กว่าข้อ
#ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
ถามว่า ศีล ตั้งแต่ ศีล ๕ - ๘ - ๑๐ - ๒๒๗ ถึงศีล ๓๐๐ ข้อ .. มีแล้ว มันยังโกรธ เกลียด เป็นไหม ?
ความโกรธ มันหยาบไหม ? มันหยาบ ..
#ดังนั้นมันแก้ทุกข์จริงๆไม่ได้กิเลสมันไม่กลัว .. !!!
ศีล ๕ มันก็ไม่กลัว , ศีล ๘ ศีล ๑๐ มันก็ไม่กลัว , ศีลตั้ง ๒๒๗ ข้อ มันก็ไม่กลัว
อันนี้ ถ้าเราดูจริง ๆ น่ะ .. #ถือศีลก็ยังโกรธเกลียดเป็น ก็ลองไปแหย่ดูสิ
นี่เป็น "#สมมุติบัญญัติให้เรารักษาไว้
แต่เมื่อถึงตอนนั้นมันจะเป็นเอง อัตโนมัติของมัน
จะเป็น #ปรกติศีลปรกติกายปรกติวาจาปกติใจอันนั้นคือศีลจริงๆคือปรกติแล้ว
แต่เราคิดว่า คือศีล ที่เป็นข้อ ๆ
ปรกติกาย ปรกติวาจา ปรกติใจ คือ ศีล #เป็นศีลชนิดที่กำจัดกิเลส ได้อย่างแน่นอน
เพราะว่า พอมัน #ไม่มีอะไรไปปรุงแต่ง ..
เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน แต่มันไม่เกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกิดเป็นอารมณ์ ไม่มีโลภ โกรธ หลง
ถึงจะมี ( อารมณ์ ) #มันก็แค่แสดงอาการ ..
ใหม่ ๆ น่ะ มันแค่แสดง "อาการของจิต " .. #จิตมันกระเพื่อมก็มีสติดับได้
แค่มี "#ความกระเพื่อมขึ้นในจิตเท่านั้นก็รู้เท่าทันมันก็สลายหายไป
เราจะเห็น " #พระโสดาบัน " ก็ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง .. " #มีกิเลสอยู่ครบแต่สามารถละได้ "
อะไรยังมีอยู่ ก็รู้ว่ามันยังมีอยู่ .. อะไรหมดไป ก็รู้ว่ามันหมดไป
ถ้าทั้งปี ไม่โกรธเลย ไม่มีอาการอย่างนั้นทั้งปี ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง แสดงในจิต
เราก็รู้ว่า ไม่มีจริง ๆ .. มันเป็นแบบนี้ !!
พระอาจารย์มงคล ปภาโส : วัดป่าศรีมงคลรัตนาราม ทุ่งสิม อุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษ
ธรรมะรับอรุณ
"ปาณาฯ"
สัตว์ผู้ข้องอยู่ในความดี ความสุข มันจึงหากิน
ดวงจิตของเรายังข้องอยู่ในบุญกุศล
มันทำยังไม่อิ่มไม่เต็มใจ
พอนึกถึงจะไปทำบุญก็เท่ากับ "กุศลจิต" เกิดขึ้นตัวหนึ่ง
มันเกิดข้องในจิตของเรา ถ้าเราเกิดกลับใจไม่ทำ
ก็เป็นการ "ฆ่าตัวเอง" เรียกว่า "ศีลธรรมขาด"
ฆ่าตัวเองได้ ทำไมจะฆ่าคนอื่นไม่ได้ ดวงใจฆ่าศีล
เช่น กลับใจไม่ฟังเทศน์
บุญที่ควรจะได้ก็ตายจากจิตที่ดีของเรา
นั่งสมาธิก็ไม่นั่งละ..มันเมื่อย
นี่เป็นการฆ่าความดีของตัวเอง
ศีลอย่างนี้ไม่สามารถถึง นิพฺพุตึ ยนฺติ ได้ในที่สุด
"อทินฺนาฯ"
เรื่องต่างๆของเขา แอบไปขโมยมาคิดมานึก
ก็เท่ากับเป็นตัวโจร เป็นขโมย ใจไม่บริสุทธิ์
ขโมยของดีเขาก็ค่อยยังชั่ว
ของไม่มีความจริงไปเที่ยวขโมยมามันยิ่งหนัก
คนบ้าก็ต้องไปขโมยของเลว คนดีก็ขโมยของดี
เมื่อใจมันเป็นขโมยได้ ปากมือก็ย่อมได้
และเมื่อศีลตัวนี้ขาด มันก็ล่วงกามได้
"กาเมฯ"
ล่วงในกามวัตถุ สิ่งชั่วไหลเข้ามาสู่จิต
กิเลสกามเกิด ราคะ โทสะ โมหะเกิด
มันก็ต้องเป็นบ้าเท่านั้น
"มุสาฯ"
การพูดปด อยู่บ้านก็มุสา อยู่วัดก็มุสา
ผู้ที่ไม่มีความสัตย์จริงนั่นแหละเป็นมุสา
นั่งฟังเทศน์ใจมันแล่นไปในบ้าน
หรือนั่งสมาธิแต่ใจไปอื่น
นี่แหละเป็นการปดหลอกตัวเองอย่างนี้
ศีลของเราก็ไม่บริสุทธิ์
และคำพูดโปรยประโยชน์ วาจา จิตก็เป็นมุสาวาท
ถ้าใครไม่รักษาศีลนี้ จิตจะถึงโลกุตตระไม่ได้เป็นอันขาด
"สุราฯ"
ดวงจิตไม่ได้กินเหล้าแต่มันเมา
เมาในชีวิต เมาในวัย เมาในความไม่มีโรค
เมาในความจน เมาจนจะไปวัดก็ไม่ได้ กลัวเสียนั่นเสียนี่
บางคนเมาในความมี เหมือนกินกัญชาอยู่
เราเพลินอยู่ในสังขาร เมาในสรีระร่างกาย
เด็กก็เมาในเรื่องเด็ก หนุ่มสาวก็เมาในเรื่องหนุ่มสาว
แก่ก็เมาในแก่ งกๆ งันๆ ตาหูมืดมัว
ถ้าเราไม่เมาในสิ่งเหล่านี้ ดวงจิตของเราก็เป็น
"อธิจตฺเต จ อาโยโคฯ"
ทำดวงจิตของเราให้พ้นจากอารมณ์ที่ชั่ว
เราก็ถึง "สจิตฺตปริโยทปนํฯ"
ถ้าใครหวังดีต่อตัวเอง ต่อพระศาสนา
ต้องตั้งใจปฏิบัติดังนี้
ต้องพากันชำระความชั่ว
จิตของเราจึงจะถึงมรรคผลนิพพาน
จึงจะเป็นไปตามโอวาทคำสอนของนักปราชญ์บัณฑิต
ฉะนั้นจงพากันอย่าประมาท
ถึงจะจำได้หรือไม่ได้ก็ดีก็อาจจะบรรลุความสุขใจ
มนุษย์ สวรรค์ และ นิพพานได้
#การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ
คือ จิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จะยืน เดิน
นั่ง นอน ก็มีความสุขไม่มีความทุกข์
จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ
การทำความเพียร...
เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้วจะไม่มีความหวั่นไหว
ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลก
ทั้งทางธรรม จากนั้นก็เป็น"ปัญญา"ที่จะมา
เป็นกำลัง
เมื่อ"ปัญญา"เกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็น
ประโยชน์ จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ
จะทำการธรรมก็สำเร็จ
พระพุทธเจ้าท่านจึง...
สั่งสอนอบรม ให้เกิด ให้มีขึ้นมา
เบื้องต้นตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ
สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา
ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติ
คือ ความหลุดพ้นด้วยกัน...
#หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
ต้นทางของการภาวนา
คือ
การเจริญสติสัมปชัญญะ จนเข้าไปในสายเลือด
ทำถูกต้อง
ทำต่อเนื่อง
ทำนานพอ
และทำต่อเนื่องนานพอ
ส่วนมากไม่ผ่าน...ตรงต่อเนื่องนี่หล่ะ
เข้าคอร์ส 3 วัน 7 วัน
พอกลับถึงบ้าน...ก็ไม่นำไปฝึกปฏิบัติต่อในชีวิตประจำวัน
เลยไม่ค่อยก้าวหน้า...
เริ่มใหม่...นับหนึ่งใหม่...กันเสมอๆ
และมีบางท่าน...
มักถามว่า"สมถภาวนา"
ต่างจาก"วิปัสสนาภาวนา"อย่างไร
จริงๆ...ปฏิบัติไปก็จะทราบอย่างลึกซึ้งได้ด้วยตนเอง
เพราะทั้ง"สมถภาวนา"และ"วิปัสสนาภาวนา"ต่างต้องอิงอาศัยกันไปมา
ขาดอย่างใด อย่างหนึ่งไม่ได้
"สมถภาวนา"
คือการเจริญสติ
หรือการเจริญสติสัมปชัญญะ
จนเข้าสู่ความสงบ ความปกติ
อยู่ในอารมณ์เดียว
หรืออิ่มอารมณ์
หรือว่างจากอารมณ์
หรือเป็นอุเบกขาเวทนา
หรือจิตว่าง(จากความคิดปรุงแต่ง)
หรือสงบระงับ(จากความคิดปรุงแต่ง)
จะใช้คำใดก็ได้ในภาษาเขียน
แต่โดยสภาวะ คือ สภาวะเดียวกัน
เพียรทำ"สมถภาวนา"...จนผ่านเข้าสู่ความสงบหลายๆครา
จิตจะ"เริ่ม"ตั้งมั่น และมีกำลัง
พร้อมที่จะเจริญเป็น"สัมมาสมาธิ"
ตรงนี้ควรเพียรมากๆจะเป็นฐานกำลังที่สำคัญในภาคปัญญาต่อไป
ส่วน "วิปัสสนาภาวนา"
คือ การภาวนา โดยนำกำลังของสัมมาสมาธิ มาพิจารณาหัวข้อธรรมต่างๆที่ถนัด เช่นพิจารณาขันธ์ 5 เป็นต้น
พิจารณาอย่างแยบคาย
พิจารณาอย่างซ้ำๆๆ
พิจารณาอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง
จน"เห็น"ความจริง...โดยลำดับ
และปัญญาที่เกิดขึ้น โดยลำดับนี้
เป็น #ปัญญาอันเกิดจากการภาวนา (ภาวนามยปัญญา)
อันสามารถเป็น "ปัญญาวุธ" ที่จะใช้ต่อกรกับ"ลูกสมุนของอวิชชา" และทำลายตัว "อวิชชา"เองได้...ในท้ายที่สุด
ควรทำ"สมถภาวนา"และ"วิปัสสนาภาวนา"สลับกัน สำหรับท่านที่พร้อม...คือกำลังพร้อม
ขึ้นกับกำลังของสัมมาสมาธิ ว่ามีกำลังเพียงพอต่อการพิจารณาภาคปัญญาหรือไม่.....
หากไม่เพียงพอการพิจารณานั้นจะไปต่อไม่ได้...มีความว้าวุ่น...เซื่องซึม...เป็นต้น มาตัดรอน
ควรย้อนกลับมาสะสมกำลังของสมาธิด้วยการทำ"สมถภาวนา"เสียก่อน...
เมื่อมีกำลังแล้วจึงกลับไปทำ"วิปัสสนาภาวนา"ต่อไป
และ"วิปัสสนาภาวนา"ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง โดยปราศจากกำลังหนุนจากสัมมาสมาธิ
การฟัง การท่องจำ การเรียนข้อธรรมก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญชนิดหนึ่ง
ทว่า...ควรทราบว่าปัญญาที่เกิดขึ้นจากการฟัง การเรียนนั้นเป็น #ปัญญาอันเกิดจากสัญญา (สัญญาขันธ์)
ไม่สามารถนำไปปราบ"อวิชชา"หรือทำให้"อวิชชา" ระคายเคืองได้...แต่อย่างใด
ผู้ที่ยังแยกไม่ออก....บอกไม่ถูก....
ควรทำ"สมถภาวนา"มากๆ
ให้เข้าสู่"ความสงบ"ก่อนจะปลอดภัย
ขอให้ทุกท่านเจริญในสัมมาปฏิบัตินะคะ
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน 🙏🏻ค่ะ
ความหมายของคำว่า “ปัญญา”
ในไตรสิกขา( ศีล สมาธิ ปัญญา )
.
“ อาตมาได้อธิบายลักษณะแห่งความสัมพันธ์ของ ปัญญา กับ สมาธิ พอเป็นที่เข้าใจแล้ว ต่อไปจะได้ระบุลักษณะของ “ปัญญา” โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าปัญญาแล้ว จะต้องหมายถึงการมีความเห็นแจ้ง ท่านทั้งหลายจะใช้คําว่าเข้าใจก็ได้ แต่ต้องให้มีความหมายเป็นความเห็นแจ้ง คือ เห็นด้วยปัญญาอย่างแจ่มแจ้ง; หรือใครจะใช้คําอื่น เช่นคําว่า รู้แจ้ง ก็ตามใจ แต่ต้องให้ได้ความหมายเต็มตามความหมายของพระพุทธเจ้า คือมีผลเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย สลดสังเวช ถอยหลังออกมาจากสิ่งทั้งปวงที่เคยหลงรักหลงยึดถือ ถ้ายังรี่เข้าไปหาสิ่งทั้งปวงด้วยความรัก ความยึดถือ ความหลงใหลแล้ว ไม่ชื่อว่าเป็นปัญญาของพระพุทธศาสนา. ถ้าเป็นปัญญาของพระพุทธศาสนา จะชะงักหรือถอยหลังจากการหลงยึดถือในสิ่งทั้งปวง.
ที่ว่าจะชะงักหรือถอยหลังนี้เป็นทางจิตใจ ไม่ใช่ในทางกิริยาอาการ เช่น จะต้องจับสิ่งนั้นขว้างทิ้งหรือทุบตีให้แตกหัก หรือว่าจะต้องวิ่งหนีเข้าป่าไป อย่างนี้ก็หามิได้ ; แต่หมายถึงชะงักถอยหลังทางจิตใจโดยเฉพาะ คือมีจิตใจถอยออกจากการที่เคยตกเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง มาเป็นจิตที่อิสระ,
ผลของความเบื่อหน่ายคลายกําหนัดจากสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นอย่างนี้ : ไม่ใช่ให้ไปฆ่าตัวตายหรือไม่ใช่ให้วิ่งหนีเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษี หรือว่าเอาไฟจุดเผาสิ่งต่างๆเสียให้หมด ก็ไม่ใช่.
ทางภายนอกจะเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามเรื่อง ยังคงเป็นไปตามเหตุผลตามความเหมาะสม ;
แต่ภายในจิตใจนั้นย่อมเป็นอิสระไม่เป็นทาสของสิ่งใดอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป. นี่แหละคืออานิสงส์ของปัญญา, แต่ท่านใช้เรียกด้วยคําบาลีว่า “วิมุตติ”,
ท่านจงจําความหมายของคําว่า วิมุตติ ให้ดี ๆ : มีคนชอบพูดถึงกันนัก และเอามาล้อเลียนกันอย่างที่ไม่เข้าใจความหมาย คําว่า “วิมุตติ” ต้องหมายความว่า หลุดจากการเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง โดยเฉพาะก็เป็นทาสของสิ่งที่เรารัก แต่แม้สิ่งที่เราไม่รักเราก็ตกเป็นทาสของมันเหมือนกัน ถ้ากล่าวตามโวหารธรรม : เป็นทาสตรงที่ต้องไปเกลียดมันนั่นเอง อยู่เฉยๆไม่ได้ ก็อุตส่าห์ไปเกลียดมัน ไปร้อนใจกับมัน ; มันบังคับเราได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับของที่เรารัก แต่อยู่ในลักษณะคนละอย่าง. ฉะนั้น คําว่าเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงนั้น ย่อมหมายถึงทั้งทางที่พอใจและไม่พอใจ.
…..ทั้งหมดนี้แสดงว่า เราหลุดออกจากการเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง มาเป็นอิสระอยู่ได้ ด้วยอํานาจของปัญญา พระพุทธเจ้าท่านจึงได้วางหลักไว้สั้นๆที่สุดว่า “ ปญฺญาย ปริสุชฌติ”, แปลว่า คนเราบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา, พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสว่าบริสุทธิ์ได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ แต่ตรัสว่า บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา เพราะมันทําให้หลุดออกมาจากสิ่งทั้งปวง. การไม่หลุดออกมาจากสิ่งทั้งปวง หรือการเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงนั้น ไม่บริสุทธิ์ คือ สกปรก มืดมัว เร่าร้อน, เมื่อหลุดออกมาจากอํานาจครอบงําของสิ่งทั้งปวงในโลกนี้หรือโลกไหนๆแล้ว ก็จะมีความบริสุทธิ์ สะอาด สว่างไสว แจ่มแจ้ง และสงบเย็น เป็นผลของปัญญาหรือเป็นลักษณะอาการที่แสดงว่าปัญญาได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ของมันถึงที่สุดแล้ว”
.
พุทธทาสภิกขุ
“อย่าไปยุ่งกับคนอื่น
อ่านจิตตนเองให้มาก
ยุ่งกับคนอื่นให้น้อยที่สุด
เขาจะชั่วเขาจะดีเรื่องของเขา
ไม่ต้องเอากิเลสคนอื่นมาเป็นภาระของเรา
คอยเฝ้ารู้จิตใจตัวเองไป
สิ่งที่ยังต้องเรียนต้องรู้ยังมีอีก ยังหยุดไม่ได้
ใส่ใจเรียนรู้จิตใจตนเองไป...
...รู้จิตคนอื่นไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์
รู้จิตตนเองอัศจรรย์ที่สุดเลย
มีความชั่วเท่าไหร่ก็รู้เท่าทันมันไป
คนภาวนาดีจะรู้ว่ากิเลสของเราเหลือเยอะ
คนภาวนาไม่ดีจะรู้สึกว่าเราน่ะดี”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ความหมาย และระดับของสมาธิ
“สมาธิ” แปลกันว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือ ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด คำจำกัดความของสมาธิที่พบเสมอ คือ “จิตตัสเสกัคคตา” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เอกัคคตา” ซึ่งแปลว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ การที่จิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป
สมาธิ นั้น แบ่งได้เป็น ๓ ระดับ คือ
๑. ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ (momentary concentration) ซึ่งคนสามัญทั่วไปสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ในการปฏิบัติหน้าที่กิจการงาน ในชีวิตประจำวัน ให้ได้ผลดี
๒. อุปจารสมาธิ สมาธิเฉียดๆ หรือจวนจะแน่วแน่ (neighborhood concentration)
๓. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท (attainment concentration) สมาธิในขั้นฌาน เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่ต้องการของการเจริญสมาธิ
“สัมมาสมาธิ” ตามคำจำกัดความในพระสูตรต่างๆ เจาะจงว่าได้แก่ ฌาน ๔
อย่างไรก็ดี คำจำกัดความนี้ ถือได้ว่าเป็นการให้ความหมายโดยยกหลักใหญ่เต็มรูปขึ้นมาตั้งเป็นแบบไว้ ให้รู้ว่าการปฏิบัติสมาธิที่ถูก จะต้องดำเนินไปในแนวนี้
ดังที่ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถเจริญวิปัสสนาได้โดยใช้สมาธิเพียงขั้นต้นๆ ที่เรียกว่า วิปัสสนาสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิในระดับเดียวกับขณิกสมาธิ และอุปจารสมาธิ (ท่านลำดับไว้ระหว่างขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิ)
ผลสำเร็จในระดับต่างๆ ของการเจริญสมาธิ
การเจริญสมาธินั้น จะประณีตขึ้นไปเป็นขั้นๆ โดยลำดับ ภาวะจิต ที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว เรียกว่า “ฌาน” (absorption) ฌานมีหลายขั้น ยิ่งเป็นขั้นสูงขึ้นไป องค์ธรรมต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่
ประกอบอยู่กับสมาธิ ก็ยิ่งลดน้อยลงไป
ฌาน โดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ ระดับใหญ่ๆ และแบ่งย่อยออกไปอีก ระดับละ ๔ รวมเป็น ๘ อย่าง เรียกว่าฌาน ๘ หรือ สมาบัติ ๘ คือ
๑.รูปฌาน ๔ ได้แก่
๑)ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) มีองค์ประกอบ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒)ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) มีองค์ประกอบ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
๓)ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) มีองค์ประกอบ ๒ คือ สุข เอกัคคตา
๔)จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) มีองค์ประกอบ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
๒.อรูปฌาน ๔ ได้แก่
๑)อากาสานัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดอากาศ-space อันอนันต์)
๒)วิญญาณัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดวิญญาณอันอนันต์)
๓)อากิญจัญญายตนะ (ฌานที่กำหนดภาวะที่ไม่มีสิ่งใดๆ)
๔)เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานที่เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)
การเพียรพยายามบำเพ็ญสมาธิ โดยใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สมถะ” มนุษย์ปุถุชนเพียรพยายามบำเพ็ญสมาธิเพียงใดก็ตาม ย่อมได้ผลสำเร็จอย่างสูงสุดเพียงเท่านี้ หมายความว่า สมถะล้วนๆ ย่อมนำไปสู่ภาวะจิตที่เป็นสมาธิได้สูงสุด ถึงฌาน เพียงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เท่านั้น
แต่ท่านผู้บรรลุผลสำเร็จควบทั้งฝ่ายสมถะ และวิปัสสนา เป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ สามารถเข้าถึงภาวะที่ประณีตสูงสุดอีกขั้นหนึ่ง นับเป็นขั้นที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือนิโรธสมาบัติ เป็นภาวะที่สัญญาและเวทนาดับ คือหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเป็นความสุขขั้นสูงสุด
อ้างอิง หนังสือพุทธธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)
สมาธิ กับ ปัญญา
เราต้องเข้าใจก่อนว่า
การเจริญภาวนา คือ
การพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญา
เราไม่ได้ต้องการฝึกจิตให้สงบ
เพื่อให้ได้ฌาน (สมาธิ) ในระดับต่างๆ
หรือให้มีฤทธิ์เดช มีอภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์
ในสมัยพุทธกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้
นักบวชในสมัยนั้นมีการฝึกสมถะ (ฝึกสมาธิ)
ด้วยวิธีต่างๆ นานแล้ว
อาจารย์ของพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีฌานในระดับสูง
แต่ก็สามารถข่มกิเลสไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนการเจริญวิปัสสนาภาวนา
หรือการเจริญสติ (สติปัฏฐาน ๔)
ซึ่งมีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น
สามารถจะยังผู้ปฏิบัติให้เป็นผู้มีปัญญา
รู้แจ้งในตนเอง ในสังขารทั้งหลายตามความเป็นจริง
ทำให้ละกิเลสได้ ดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้น ให้เข้าใจก่อนว่า
เราฝึกจิตเพื่อให้มีสติว่องไว
ให้มีปัญญาที่รู้เท่าทันต่อกิเลสต่างหาก
...พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี
มีสติรู้กายรู้ใจ เป็นทั้งทานและศีล.ทำให้กายใจเป็นปกติ.เมื่อรู้ตัวจึงเป็นวิชชา.หลงคืออวิชชา.ก็หายไป.ความทุกข์การปรุงแต่ง.จางหายไป
มโนธาตุ โพธิญาณ
"ศีล" คือ ปรกติจิต ที่อยู่ปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
"สมาธิ" ผลสืบเนื่อง จากการรักษาศีล คือจิตที่มีความมั่นคง มีความสงบ เป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
"ปัญญา" ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอด ตามความเป็นจริงอย่างไร
"วิมุตติ" คือ จิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือละความสบาย เหลือแต่ ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
เพราะเราปล่อยใจไหลไปให้ค่ายึดกับเรื่องภายนอกทุกข์จึงเกิด หากเราเอาใจไว้กับกายเช่นลมหายใจตนเองบ่อยๆ ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ลองดูสิ
ลองหายใจแรงๆเข้าออกดูแล้วลองคิดดูว่าคิดอะไรออกไหม เห็นไหมว่าแค่หายใจแรงๆ ใจเรามันมาจับกับลมหายใจ เราก็หมดความคิดไปชั่วขณะแล้วนะ แล้วเวลาที่ไม่คิดมันมีทุกข์ได้ไหม มันไม่มีใช่ไหม เพราะว่าใจเราจับอยู่กับลมหายใจเรานั้นเอง นี้หล่ะธรรม ธรรมแท้จริงแล้วคือหลักธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอาไว้ เพื่อมาบอกเราให้พ้นจากทุกข์
ที่นี้เราทําแค่นี้เราก็พ้นทุกข์ได้แค่ช่วงสั้นๆ ทํายังไงละจะให้พ้นทุกข์ได้ยาวๆ ก็ต้องทําให้มันติดจนเป็นนิสัยเหมือนกับเราคุ้นเคยทําอะไรบ่อยๆ แล้วพอต้องจะทํามันเป็นไปอัตโนมัติไง พอเราทําบ่อยๆจนเป็นอัตโนมัติ ใจเรามันจะมาเกาะกับลมหายใจอัตโนมัติเลยนะ โอกาสที่ใจเราจะไหลไปจับกับทุกข์มันก็จะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ
การจับลมหายใจ เป็นเพียงสมถะ เพราะเป็นการจับอยู่ที่รูป แต่เมื่อมีกําลังของสมถะเพียงพอแล้ว ไม่ควรจับลมหายใจต่อ แต่ให้เห็นว่าใครเป็นผู้รู้สึกถึงลมหายใจ นั้นคือจิตผู้รู้นั้นเอง ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ที่รู้สึกเพียงแผ่วเบากับลมหายใจ ไม่ใช่อยู่กับลมหายใจ ให้จิตผู้รู้เด่น เพื่อจะหลุดออกจากความคิด เข้าไปเจริญวิปัสสนาต่อไปครับ
< สายทางเดินของวิปัสสนา >
ในเมื่อจิตของเรามีความคิด คิดไปๆ เรารู้ไปๆ ในบางช่วงมันจะแยกเป็น ๓ มิติ
▪มิติหนึ่งคิดอยู่ไม่หยุด
▪มิติหนึ่งจ้องดูอยู่ ถ้ากายยังปรากฏอยู่
▪มิติหนึ่งเฉยอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
ตัวคิดไม่หยุด คือ จิตเหนือสำนึก
ตัวเฝ้าดู คือ สติผู้รู้
ตัวนิ่งเฉยอยู่ในท่ามกลางของร่างกายเป็นจิตใต้
สำนึกตัวคอยเก็บผลงาน
ในเมื่อมันละเอียดไปๆ จนกระทั่งกายหายไป จิตจะหยุด นิ่ง สว่างไสว รู้ ตื่น เบิกบาน สภาวะที่เป็นความคิดที่เราผ่านไปแล้วนี่ จะเป็นเสมือนหนึ่ง เมฆหมอกหรืออะไรไปวนอยู่รอบจิต แต่จิตไม่ได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้นๆ อันนี้แหละที่หลวงปู่มั่นท่านเรียกว่า " ฐีติภูตัง "
สายการเดินของวิปัสสนามันจะต้องไปอย่างนี้
ความจริงนี่ ถ้าหากว่าความคิดเกิดขึ้น เรายินดียินร้าย พอใจ ไม่พอใจ มันก็เป็นจิตฟุ้งซ่าน แต่ถ้ามันสักแต่ว่าคิด คิดแล้วทิ้งไปๆ มันไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน ถึงแม้ว่ามันจะฟุ้งซ่านก็ตาม ไม่ฟุ้งซ่านก็ตาม เราเอาสติกำหนดรู้ไปๆ เมื่อจิตของเรามีพลังเข้มแข็งทางสมาธิแล้ว แล้วสติปัญญามันรู้ทันกัน
ถ้าสิ่งใดมันเกิดความพอใจยินดีขึ้นมา มันก็จะรู้ตัวว่านี่คือ " กามตัณหา "
ถ้ามันยินร้าย นี่คือ " วิภวตัณหา "
ถ้ามันไปยึด นี่คือ " ภวตัณหา "
ทีนี้จิตมันจะปรุงแต่งไป สุขไป ทุกข์ไป สติก็ตามรู้ๆ เรื่อยไป ในเมื่อมันมีพลังทางสติปัญญาเข้มแข็งขึ้นมา พอมันหยุดกึ๊กลงไป นิ่งปั๊บนิดหน่อย พอไหวตัวพั้บ อ้อ! นี่คือทุกขอริยสัจที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้มา มันจะไปตามครรลองของมันอย่างนี้
ทีแรกเราตั้งใจคิดว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วนี่ มันวางอารมณ์ลง มีแต่ความคิดที่เกิดขึ้น-ดับไป เกิด ขึ้น-ดับไป อยู่แค่นั้น ความคิดที่เกิดขึ้น-ดับไปนี่เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ จิตใต้สำนึกมันจะปรุงขึ้นมา อย่างนี้ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน ถ้ามันฟุ้งเราก็ไม่กลัว ถ้ามันคิดไป คิดแล้วสักแต่ว่าคิด คิดแล้วทิ้งไป คิดแล้วทิ้งไป อันนี้มันไม่ฟุ้ง แต่ว่าคิดแล้วมันดีใจไป เสียใจไป ร้องไห้ไป หัวเราะไป ทุกข์ไป สุขไป อันนี้มันฟุ้ง แต่ไม่เป็นไร
ถ้ามีลักษณะที่ มันฟุ้งนี่แหละดีที่สุด สติของเราก็จ้องดูอยู่นั่นแหละ จิตคิดเราก็รู้ คิดแล้วดีใจเราก็รู้ เสียใจเราก็รู้ สุขเราก็รู้ ทุกข์เราก็รู้
ธรรมชาติของจิต เมื่อมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก หนักๆ เข้ามันเพิ่ม พลังงานมากขึ้น สมาธิมั่นคง สติเป็นมหาสติ ทีนี้เขาจะกำหนดหมาย อารมณ์สิ่งรู้ที่ปรากฏขึ้น พอไปถึงจุดหนึ่งมันจะหยุดนิ่งปั๊บ พอไหว ตัวปั๊บ ถ้ามันไปกำหนดหมายทุกข์ มันก็จะบอกว่า นี่คือทุกขอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่อมันเข้มแข็งขึ้น มันก็จะมองดูสุขทุกข์เกิดขึ้นสลับกันไป แล้วมันจะได้ความรู้ว่า...
" นอกจากทุกข์ไม่มีอะไร เกิด
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป "
มันก็จะเหลือแค่...
ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา
เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดคลองนา (วัดป่าชินรังสี) อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
FB : วิมุตติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
สมาธิ...มีดี มีเสื่อม
ที่ว่าดีเพราะช่วงเวลานั้น เค้าชำนาญ มีจิตมุ่งไปอารมณ์เดียวจนตั้งมั่นอยู่ในความสงบ
ที่ว่าเสื่อมเพราะช่วงนั้น เค้าถูกชะตากรรม ถูกโลกและอารมณ์ภายนอกกามคุณทั้งหลาย ความอึดอัด ความกังวล มาบั่นทอนกีดกั้นให้จิตสะท้านหวั่นไหว จนจิตใจไม่สงบ
จะดีหรือจะเสื่อม...ก็เป็นของชั่วคราว เอาแน่นอนไม่ได้
ต่อให้เชี่ยวชาญชำนาญมาได้ช่วงเวลาหนึ่ง...
ท้ายที่สุดถ้าจิตใจยังไม่มีปัญญาวิปัสสนาอุปถัมภ์ก่อเกิดพืชมรรคผลในดวงจิต..ปัญญาสมาธิก็ยังไม่ได้ไปถึงไหน.
ถึงคนที่ภาวนาทั้งหลาย...ท่านก็ทราบดีอยู่ว่า..กว่าจะได้สมาธิ จิตรวมตัวสงบนั้นยากแค่ไหน ในช่วงเวลานั้น กว่าจะจับอารมณ์ในที่ตั้งจนมั่นคง ยากสาหัสขนาดไหน กว่าจะเริ่มเชี่ยวชาญ ชำนาญได้ ต้องพยายามมากไม่รู้เท่าไหร่...
แต่พอชะตากรรม โลก อารมณ์เล่นทีเผลอกิเลสแทรกตัวเข้ามาให้...สมาธิที่เคยดีต่อมากลับฟุ้งซ่านเหลวไหลจนท้อแท้เลิกทำ
ก็ดังนั้นแล้ว...ครูอาจารย์ท่านจึงว่า....โอกาส
เมื่อโอกาสมาสนองให้จิตตั้งมั่น จนเชี่ยวชาญชำนาญดีแล้ว ก็อย่าให้เสียโอกาส ทำลายโอกาสในเวลาดังกล่าว
ควรเร่งรีบเจริญสติปัฎฐาน วิปัสสนาให้รู้แจ้งอารมณ์ภาวนา
เอาดีให้ได้คือ หว่านพืชมรรคผลในดวงจิตด้วยปัญญาวิปัสสนาเป็นธุระอันสำคัญของชีวิต
จงมีสติในอิริยาบทเพื่อเห็นทุกขัง
จงมีสติในรูปที่แปรเปลี่ยนในอนิจจัง
จงมีสติรู้เท่าทันจิต
จงมีสติตื่นรู้กลางๆใจในธรรมที่กระทบ
เพื่อทำลายวิปลาส...
สันตติการส่งต่อในอนิจจัง
ทุกขังในอิริยาบทที่ปกปิด
ฆนะกลุ่มก้อน ธาตุ๔ที่หลอกให้หลงเชื่อเป็นตัวตน.
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะคอยสำรวจว่า
ลมที่หายใจเข้าออกนี้มันเกิดผลแก่ร่างกายอย่างไร
ดวงจิตของเราได้รับผลอย่างไรบ้าง
ถ้าลมอ่อนก็ให้ถอนลมเสียใหม่ อย่าให้เผลอตัว
ปรับปรุงลมหายใจจนรู้สึกว่า
กายและจิตได้รับความสะดวกสบายอย่างนี้ จิตก็สงบ
เมื่อจิตสงบแล้วก็ย่อมเกิดผลได้หลายอย่าง
๑) ผลเกิดขึ้นในทางร่างกาย
๒) ผลที่เกิดขึ้นในทางใจ
ผลทางกาย คือ กายโปร่งเบา คล่องแคล่ว ไม่อึดอัด เดือดร้อน
นั่งอยู่ก็ไม่แน่น ไม่จุก ไม่เสียด ส่วนจิตก็ไม่มีความยุ่งยากอะไร
โล่ง โถง ว่างเปล่า ปราศจากสัญญาอารมณ์ภายนอก
ผลอันนี้แหล่ะ...รักษาไว้ให้ดี รักษาไว้ให้นาน
ส่วนผลอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก
กล่าวตามความรู้ก็คือ "วิชชา" ส่วนรูปได้แก่ "อุคคหนิมิต"
นี่เป็นผลเกิดในส่วนร่างกาย
นิมิตชนิดไหนก็ตามซึ่งปรากฏเป็นรูปในใจ ย่อมเป็นผลซึ่งเกิดซ้อนขึ้นมาอีก
ถ้าพื้นของร่างกายสบาย พื้นใจก็ย่อมสบาย
และผลก็จะเกิดขึ้นในทางจิตใจ เรียกว่า "วิชชา"
เป็นต้นว่า เราไม่เคยศึกษาเล่าเรียนอะไรเลยแต่มันผุดขึ้นมาได้
อีกอย่างหนึ่งเวลาที่จิตสงบดี ถ้าเราประสงค์จะทราบเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ขยับจิตเพียงนิดเดียวเราก็สามารถจะรู้เรื่องราวนั้นๆ ได้ทัีนที
เหมือนเข็มที่จ่อลงในแผ่นจานเสียง
พอจ่อลงไปเสียงก็จะปรากฏบอกเรื่องราวในจานนั้นๆ ให้รู้ได้โดยแจ่มชัด
ความรู้ตอนนี้แหล่ะจะเป็น "วิปัสสนาญาณ"
ถ้าเป็นความรู้เบื้องต่ำเกี่ยวแก่สัญญาอดีต อนาคต เราสาวไปยาวนักก็เป็น "โลกียวิชชา"
คือเล่นในส่วนกายมากไปก็ทำให้จิตต่ำ เพราะไม่แก่ในทาง "นาม"
ตัวอย่าง เช่น นิมิตเกิดขึ้นก็ไปติดอยู่ในนิมิต เช่น ปุพเพนิวาสญาณ
เห็นชาติภพที่ล่วงมาแล้วของตัวเองก็เกิดความดีอกดีใจว่า
เราไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่เคยมีเคยเป็นก็มามีขึ้นได้ อย่างนี้ก็มี
อันเป็นเหตุให้ดีใจเกินไปหรือเสียใจเกินไปก็ได้
ในระหว่างที่เรากำลังสาวไปในเรื่องนิมิต ทำไมจึงเกิดดีใจหรือเสียใจได้?
นั่นก็เพราะจิตเข้าไปยึดถือในเรื่องนั้นๆ เป็นจริงเป็นจัง
คือบางทีไปเห็นภาพของตัวเองในฝ่ายที่เจริญ เช่น เป็นเจ้าเป็นนาย
เป็นพระราชามหากษัตริย์อันอุดมไปด้วยสฤงคาร บริวารใหญ่โต
ก็เป็นเหตุให้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้นๆ
อย่างนี้ก็เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" พลาดไปจาก "มัชฌิมาปฏิปทา" ก็เป็นการผิด
บางทีเห็นตัวเองไปปรากฏในรูปภพที่ไม่พึงปรารถนา
เช่น เป็นหมู เป็นหมา เป็นนก เป็นหนู กระจอกงอกง่อย
ก็เกิดใจเหี่ยวแห้ง สลดหดหู่ นี่ก็เป็น "อัตกิลมถานุโยค" พลาดไปจากมรรคอีก
ไม่ตรงกับคำสอนของพระองค์
บางคนก็สำคัญผิด พอไปพบสิ่งที่ตัวไม่เคยได้รู้ได้เห็นเข้า
ก็นึกว่าตัวเป็น "ผู้วิเศษ" เกิดความเหลิงขึ้นในใจ
มี "อัสสมิมานะ" เกิดขึ้น
มรรคที่ถูกอันเป็น "สัมมามรรค" ก็หายไปโดยไม่รู้สึกตัว
นี่ "วิชชาโลกีย์" ย่อมเป็นอย่างนี้
ถ้าเรามีหลักวิจารณ์แล้ว เราก็จะเดินไปถูกต้องตามมรรคโดยไม่พลาด
คือความรู้ต่างๆ มันจะจริงในฝ่ายดีก็ตาม ในรูปนิมิตที่ปรากฏดีหรือไม่ดีก็ตาม
จริงก็ตาม ไม่จริงก็ตาม เราไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ
ทำจิตให้เป็นกลาง มัธยัสถ์ลงในธรรม เราก็จะเกิดปัญญา
ให้เห็นว่า นิมิตนั้นก็เป็นทุกขสัจจ์
ความเกิดก็เป็นชาติ ที่เสื่อมไปก็เป็นชรา ที่ดับไปก็เป็นมรณะ
คัดลอกจาก...
หนังสือแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน ๒
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
#ถามปัญหาเรื่องรักษาศีลข้อเดียว
ในระยะที่พักอยู่ที่นั้นปรากฏว่ามีคนมาถามปัญหากับท่านมาก มีปัญหาของบางรายที่แปลกกว่าปัญหาทั้งหลายจึงได้นำมาลง มีใจความว่า
“ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม?”
ท่านตอบว่า “ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว”
เขาถามว่า “ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร”
ท่านตอบว่า “คือใจ”
เขาถามว่า “ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ”
ท่านตอบว่า “อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อทรงบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท”
ถามว่า “การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ?”
ท่านตอบว่า “ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจ แม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตาย นักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่อแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตาย จะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว”
เขาถามว่า “ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกว่าศีล จึงเข้าใจว่า การรักษาศีลไม่จำต้องรักษาใจก็ได้ จึงได้เรียนถามอย่างนั้น”
ท่านตอบว่า “ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นศีลนั้นก็ถูก แต่ก่อนกายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้น ต้นเหตุเป็นมาจากอะไร ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็นไปในทางที่ถูก เมื่อเป็นมาจากใจ ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรมที่น่าอบอุ่นแก่ตนเอง และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้ ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำต้องอาศัยใจเป็นผู้คอยควบคุมรักษาเลย แม้กิจการอื่น ๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่โดยดี การงานนั้น ๆ จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาด และทรงคุณภาพโดยสมบูรณ์ตามชนิดของมัน
#การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย ศีลขาด ศีลทะลุ ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย ธรรมบอ ธรรมบ้า ธรรมแตก ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วยอย่างแยกไม่ออก ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างเลย
อาตมาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หินผาหน้าถ้ำ เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา เสียงสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ตามทัศนียภาพที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้แตกฉานทางศีลธรรม การตอบปัญหาจึงเป็นไปตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อน ๆ รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสม มาอธิบายให้ท่านผู้สนใจฟังอย่างภูมิใจได้”
เขาถามท่านว่า “คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นศีลอย่างแท้จริง?”
ท่านตอบว่า “ความคิดในแง่ต่าง ๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติ ไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่า อะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่าง ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้านเรือน และนั่นคือเจ้าของบ้าน
#ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบาก เฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้ แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกกันไม่ออก ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจกลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปนานแล้ว และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่น ๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน เพราะได้มาแล้วก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้นความไม่รู้ว่าอะไรเป็นศีลอย่างแท้จริง จึงเป็นอุบายวิธีหลีกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกอยู่สบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล แล้วกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีล เช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น”
#ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ
#โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว_ญาณสัมปันโน
#แห่งวัดป่าบ้านตาดจังหวัดอุดรธานี
***********************************
อีกไม่นานเราก็ต้องตายจากสังขารนี้ ก็จงระลึกถึงสังขาร ระลึกถึงความตายที่กำลังมา แม้ว่าสังขารก็ดี แม้ว่าตัวเราเองก็ดีก็ต้องตายแล้วไม่ว่าวันนี้พรุ่งนี้ ก็ขอเอาจิตในขณะนี้ให้จิตมันตั้งมั่น ให้เข้าถึงกุศลเข้าถึงทานให้เข้าถึงภาวนา จิต..เมื่อมีทาน ศีล ภาวนาระลึกได้อยู่ คือระลึกอยู่ก็ดี เมื่อดับจิตกายสังขารไป จิตนี้ก็จะพ้นจากอบายภูมิ หากจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นมนุษย์อีก ทาน ศีล ภาวนานี้ก็จะทำให้เรานั้นเป็นผู้ที่ไม่อับจน ไม่อับปัญญา เป็นผู้มีมิตรดี เจอแต่บัณฑิต เจอแต่ครูบาอาจารย์ดีอย่างนี้ ดังนั้นก็ขอให้โยมนั้นจงระลึกถึงบุญกุศล
ความตาย..อย่าได้ประมาท เมื่อมีโอกาสขอให้ได้เจริญทานทั้งหลาย แม้เรานั้นไม่มีทรัพย์ก็ดี การละอารมณ์แห่งความโกรธ แห่งโทสะ แห่งโมหะ แห่งความหลงความไม่รู้ แห่งตัณหาทั้งหลายที่เราไปยังยึดติดยังไปพอใจในอารมณ์เหล่าใด ขอให้เราละอารมณ์เหล่านั้น นั่นเรียกว่าเป็นมหาทานอย่างยิ่ง เพื่อมันจะทำให้จิตเราเข้าถึงความสงบ เข้าถึงศีล เข้าถึงตัวปัญญา นี่แลมันจะทำให้เรานั้นเข้าถึงการพ้นทุกข์ได้
ก็จิตที่เราไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่าใดก็ตามนั่นแล แสดงว่าเรากำลังก่อภพก่อชาติ ทำลายขันธ์ของเรานี้ เป็นผู้มัดตราสังข์ให้เรานั้นเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จงปลดพันธนาการทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วมีวิบากกรรมของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกเป็นหลาน ลูกผัวสามี สิ่งใดก็ตามที่เราผูกมัดไว้ สัตว์ทั้งหลายที่เราไปผูกอยู่ก็ดี ล้วนแต่มีวิบากกรรมของเขาทั้งนั้น เราควรทำหน้าที่ตามสถานะอันควรทำได้ ที่เหลือนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามสถานะของมันเอง
ควรกลับมาดูที่จิต ที่กาย ที่ใจของเรานั้น คือการเจริญเมตตาให้สรรพสัตว์ ดวงจิตวิญญาณสิ่งที่เรานั้นผูกพันธ์ ให้เขานั้นพ้นทุกข์พ้นภัย ก็เอาบุญกุศลที่เรามีนี้แผ่เมตตาให้เค้านั้น ให้เค้าได้อาศัยเป็นที่พึ่งเป็นสรณะต่อไป เค้าก็ต้องไปตามทางของเค้า เราก็ต้องเอาชะตาตัวเราให้ได้ คือรักษาจิตรักษาใจให้เป็นปรกตินั้นแล..เราถึงจะเอาตัวรอดได้
จงปล่อยวางอารมณ์ทั้งปวงที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่ อารมณ์เหล่านั้นแลเรียกว่าเชือก เรียกว่าภพ เรียกว่าชาติ เรียกว่าอุปาทาน เรียกว่าสังโยชน์ เมื่อเราตัดละอารมณ์ได้มากเท่าไหร่ สังโยชน์ก็ดี เชือกก็ดีมันก็สั้นลง ภพก็ดี ชาติก็ดีมันก็ย่นระยะทางลงมา เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็สามารถจะข้ามพ้นจากภัยในวัฏฏะได้ไม่ยาก
ยิ่งเราเพิ่มอารมณ์ก็เท่ากับว่าเพิ่มกรรมมากขึ้นเท่าไหร่ ภพชาติก็มีมากเท่านั้น นั้นการเจริญพระกรรมฐานก็คือการดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ นั่นแล คือทางแห่งมรรคไปสู่นิโรธคือการดับทุกข์ เมื่อดับภพได้..ภพไม่เกิด หมดจากความอยาก หมดจิตที่หมดอารมณ์จากความอยากทั้งหลายแล้ว นั่นแลคือจิตเข้าถึงภพพระนิพพานแล้ว คือจิตที่เป็นสุข..
จิตที่เป็นสุขแต่ไม่ยึดในสุข แต่อาศัยที่เป็นสุขนั้นแลเจริญความเพียร..แล้ววางสุขนั้น คือวางเฉยมีแต่ตัวรู้อย่างเดียวนั่นแล เป็นจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตเองก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นจิตก็เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปอยู่ทุกขณะจิต เช่นเดียวกับอารมณ์ กายก็เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป นั้นคือเรียกว่ากายก็มีวันเสื่อมอยู่ทุกเวลาทุกขณะจิตเช่นเดียวกัน คือมีความตายอยู่เบื้องหน้า ก็ขอให้โยมอยากรู้ความตาย อยากกำหนดความตายได้ ก็คือ..ให้กำหนดที่ลมหายใจนั้นแล เมื่อเรารู้อยู่บ่อยๆ เราจะรู้วันตายของเราได้
สมาธิถ้าต้องการและปรารถนา..อย่าได้คาดหวังว่าจักได้สมาธิ แต่จงตั้งความหวังว่าการฝึกฝนเจริญสมาธิ เพื่อการทำจิตนั้นให้เข้าถึงความสงบ ให้เข้าถึงตัวปัญญา ให้เข้าถึงทุกข์ ให้เข้าถึงการหลุดพ้นนั้นแล ความปรารถนาสมาธิมันจะเกิดขึ้นมาเอง อย่าได้ไปตั้งความหวัง อย่าได้ปรารถนาให้มันสงบ เพราะเมื่อจิตมันไม่สงบแล้ว เมื่อเราตั้งความหวัง..จิตนั้นก็จะเป็นทุกข์
ดังนั้นการที่เราไม่ตั้งความหวังนั้นแล แต่เรามีความตั้งใจจะทำอะไรนั้นแล..ก็เรียกว่าจิตที่ตั้งมั่นก็บังเกิด มันก็จะเป็นสมาธิของมันเองโดยธรรมชาติ ถ้าจิตที่มันไม่สงบ ก็เอาอารมณ์แห่งความไม่สงบนั้นแลมาเป็นอารมณ์แห่งกรรมฐาน ก็ดูความไม่สงบนั้น จนเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นที่ไม่สงบนั้นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
เมื่อเห็นอยู่บ่อยๆ จิตมันก็จะคลายความยึดมั่นของอารมณ์ของมันเอง ไม่นานความสงบมันก็บังเกิดขึ้น ดังนั้นไม่ว่าอารมณ์เหล่าใด ขอให้กำหนดรู้อารมณ์เหล่านั้น หมายถึงว่าจิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้ ขอให้รู้อยู่อย่างนี้ เมื่อรู้อยู่บ่อยๆ นี่คือตัวระลึกได้ นี่คือการฝึกสติ..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค จิตตั้งมั่นแล้วมาเจริญปัญญา
หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา
สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือ พูดภาษาไทยง่ายๆ นะ คือ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา
พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมนะ จะเห็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวเรา
สติระลึกรู้ลงในเวทนา จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่ตัวเรา
ในขณะที่ใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู
จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ เรียกว่ามีสมาธิล่ะ แล้วก็สติเกิดระลึกรู้ เห็นเวทนาทางใจ ก็จะเห็นว่าเวทนาทางใจไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เห็นกุศลเห็นอกุศล จะเห็นว่ากุศลและอกุศลไม่ใช่เรา
ทีนี้ตัวผู้รู้เนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนกับทรงอยู่ แต่ถ้าทำแค่ขณิกสมาธิเนี่ย ตัวผู้รู้จะไม่อยู่นาน ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้คิด ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเลย ไม่รู้คิดเรื่องอะไร ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง
ตัวผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตนี้เองเกิดดับ ไม่เที่ยงด้วย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เท่าๆกับขันธ์อื่นๆนั่นเอง เนี่ยการเดินปัญญาทำอย่างนี้นะ รู้ลงไปในกาย มีสติระลึกรู้กายที่กำลังปรากฏอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เนี่ยคือจิตที่มีสมาธิได้มาด้วยการทำฌาณก็ได้นะ ได้มาด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ แล้วรู้บ่อยๆ เนี่ย มันจะตั้งมั่นขึ้นเอง พวกเราใจไหลไปแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย ใจมันจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"การมองทุกสรรพสิ่งที่เกิดบนโลก"
หากมองด้วยอวิชชา คือความไม่รู้จริง จะเห็นว่าทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพวิชชา จะมีความสำคัญทั้งหมด น่าอยากได้ใคร่ดี น่าเอา น่าเป็นไปเสียทั้งหมด ทุกศาสตร์ ทุกสิ่ง ทุกอิทธิปาฏิหาริย์มีความน่าสนใจ น่าค้นคว้า น่าจะหาเอามาเพื่อประดับอัตตาทั้งสิ้น เท่าไรก็ไม่พอ
หากมองด้วยวิชชา ด้วยปัญญาไตร่ตรองตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว จึงจะมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง มันเป็นของมันอย่างนั้นเองมานานแล้ว มันมีทุกอย่างอยู่ในกลไกของธรรมชาติ
ฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์ มันมีมาเนิ่นนานควบคู่กับจักรวาลทั้งปวง มิใช่ของใหม่ใดๆ ผู้ที่มีความเข้าใจ ปฏิบัติถึงกลไกของธรรมชาติ ก็ย่อมเกิดฤทธิ์เดช เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นได้เสมอ ตั้งแต่ครั้งโบราณมาแล้ว ฤๅษี พราหมณ์ นักพรต เก่งกว่า ปาฏิหาริย์กว่า อิทธิฤทธิ์มากกว่าเราๆผู้มาทีหลังทั้งสิ้น
แต่พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นปาฎิหารย์ เหล่านั้นเป็นเรื่องไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เห็นเป็นโทษภัยของ"วัฎฎะ"เป็นสิ่งที่ควรละอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดอวิชชา ในอุปทานขันธ์5 ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
ทั้งปวง...ดังนั้นทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน เพียงแต่เราไปยึดใน"อุปทานขันธ์" หลงคิดว่าเป็นของจริงคือความแน่นอน ของทุกสรรพสิ่ง จึงต้องแบก"อุปทานขันธ์" อยู่ตลอดเวลา ทำให้วัฎฎะในตัวเราเวียนตาย เวียนเกิด อย่างไม่รู้จบสิ้น....
Pluto47…
"สมาธิ" คือความตั้งมั่นของจิต ได้แก่ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป ศาสนาพุทธเน้นในสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่ใช้ในทางแห่งการหลุดพ้น โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง ไม่ใช่การหวังผล สนองตัณหาความอยาก เช่น อวดฤทธิ์ อวดความสามารถ เป็นต้น
สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
1) ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่ง เป็นสมาธิขั้นต้นที่บุคคลทั่วไปใช้ในการปฎิบัติหน้าที่ในการงานประจำวัน
2) อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่ตั้งได้นานหน่อย ใกล้ที่จะได้ฌาน เกิดนิมิตต่างๆ เช่นเห็นแสงสว่างอยู่ระยะหนึ่ง
3) อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ถึงฌาน เป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด
พระพุทธเจ้าตรัสเฉพาะสมาธิในระดับนี้ซึ่งมี 9 ระดับ คือ มีรูปฌานทั้ง 4 และ อรูปสัญญาสมาบัติ อีก 4 รวม ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ รวมเป็น 9 ระดับ
สมาธิใช้สำหรับปราบกิเลสอย่างกลาง ที่จำเพาะเกิดขึ้นในใจคือนิวรณ์ 5 เมื่อกายวาจา สงบเรียบร้อยแล้ว แต่บางทีจิตยังไม่สงบ คือยังมีความกำหนัด ความโกรธ ดีใจ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัวรำคาญ หรือสงสัย ลังเลอยู่ อาจล่วงถึงกายวาจาได้ เช่น สีหน้าผิดปกติ เมื่อกระทบอารมณ์ รุ่นแรงเข้า ก็ถึงออกปาก ด่าว่าทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น
ศีลมีหน้าที่ตั้งจิต งดเว้นไม่ทำบาปด้วย กาย วาจา
สมาธิมีหน้าที่รักษาจิต ให้สงบจากนิวรณ์ทั้งห้า มิให้เศร้าหมอง เพราะความกำหนัด ขัดเคือง ใจหดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัว รำคาญ และสงสัย ลังเล ในอารมณ์ ต่างๆ เหล่านั้น
สมาธิช่วยให้ตัวรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย เวทนา จิต และ ธรรมารมณ์ ชัดเจนขึ้น เพราะโฟกัสไปที่จุดๆเดียว ไม่สะเปะสะปะ (เกิดกำลัง) การจะโฟกัสไปที่จุดๆเดียวได้ จำเป็นต้องมีสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ และต้องมี สติต่อเนื่องที่เป็นสัมมาสติ จึงจะเห็นการเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์
ธรรมะรับอรุณ"
" จิตนั้นเปรียบเสมือนลูก สติ เปรียบเสมือนพ่อ
และสัมปชัญญะเปรียบเสมือนแม่
ให้หมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ ด้วยการระลึกรู้บ่อยๆ
และรู้สึกตัวบ่อยๆ ในทุกอิริยาบถคือ ยืน เดิน นั่ง นอน
จิตคือลูก อันถูกพ่อแม่ คือสติ สัมปชัญญะ อบรมดีแล้ว ก็
จะไม่หนีเที่ยว ไปเป็นความคิด ปรุงแต่งต่างๆนานา
เมื่อจิตไม่ปรุงแต่งไปเป็น ความคิดต่างๆนานา จิตก็จะสงบ
เมื่อจิตสงบก็น้อมเอาอนิจจสัญญา ไปจนถึงอนัตตสัญญา
เข้ามาประหัตประหารกิเลส
เบื้องต้นเป็นจินตามยปัญญา จนเมื่อใด ใจผู้รู้เห็นแจ่มแจ้ง
ตามความเป็นจริงก็จะเกิด วิปัสสนาญาณ อันเป็น
ภาวนามยปัญญา ในที่สุด "
โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ในการพิจารณาธรรม จนเกิดวิมุตติหรือบรรลุธรรมนั้น
จะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือมีการพิจารณาใคร่ครวญ ให้เห็นถึงต้นเหตุ คือต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบครอบทุกแง่มุมและสืบไปให้ถึงต้นเหตุจริงๆ จนจิตบังเกิดความหลุดพ้น (วิมุตติ) ซึ่งเรียกว่าเป็น การเห็นสัจธรรม ซึ่งในขณะที่มีการเห็นสัจธรรม หรือเห็นความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นจะมีลำดับขั้นในการเห็นโดยละเอียด อยู่ถึง ๙ ขั้น อันได้แก่
๑. อนิจจตา เห็นความไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา เห็นความต้องทน
๓. อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน
๔. ธัมมัฏฐิตตา เห็นความที่มันตั้งอยู่ โดยความเป็นอย่างนั้น
๕. ธัมมนิยามตา เห็นความที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างนั้น
๖. อิทัปปัจจยตา เห็นความที่มันเป็นไปตามปัจจัย
๗. สุญญตา เห็นความว่างจากตัวตน
๘. ตถตา เห็นความที่มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
๙. อตัมมยตา เห็นสภาวะจิตที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้
เมื่อเรายกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เช่น รูปขันธ์) ขึ้นมาเพ่งพิจารณา
ให้เห็นความไม่เที่ยง (หรือการเกิด-ดับ) อย่างแรงกล้า (ด้วยสมาธิ) ก็จะมองเห็นความทุกข์และถ้าเพ่งมองทุกข์ต่อไปอย่างแรงกล้า ก็จะมองเห็นความไม่ใช่ตัวตน และถ้าเพ่งมองไปไม่หยุด ก็จะบังเกิดการเห็นต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจิตก็จะเกิดความเห็นแจ้ง ในความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตก็จะหลุดพ้น และมองเห็นสภาวะจิตที่หลุดพ้น ที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป
ซึ่งการเห็นทั้งหมดนี้ จะเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถแยกแยะ ออกมาให้ศึกษาได้ถึง ๙ ขั้น โดยในแต่ละขั้นนั้นจะเรียกว่าเป็น ญาณ ที่หมายถึง ความรู้ที่เกิดมาจากการปฏิบัติ แต่ญาณทั้ง ๙ ขั้นนี้เมื่อสรุปแล้วจะเหลือเพียง ๒ ญาณ อันได้แก่
๑. ธัมมฐิติญาณ ญาณที่เห็นความตั้งอยู่ของธรรมชาติ
๒. นิพพานญาณ ญาณที่เป็นส่วนของการดับทุกข์
ญาณทั้งหลายถ้ายังไม่ถึงกับดับทุกข์ได้ จะสรุปลงในธัมมฐิติญาณ คือยังเป็นเพียงการเห็นความตั้งอยู่ ของธรรมชาติเท่านั้น แต่ถ้านิพพานปรากฏแล้ว
ก็จะเกิดนิพพานญาณคือ จะเกิดความรู้ว่านิพพานปรากฏแล้ว
ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีอาการดังนี้ถือว่ามาถูกทาง
1. เบื่อหน่ายในกาย
2. เบื่อหน่ายในจิต
3. ยอมรับสัจจะ
4. เห็นว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยง
5. จิตใจวางเฉยกับทุกสภาวะที่รับรู้ "สักแต่ว่า"
6. ปฏิบัติแบบไม่อยากอะไร ทำโดยหน้าที่
7. เห็นตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์
8. แน่วแน่ใน อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นละกุญแจทั้งหมด
" สมาธิ โดยบริกรรมพุทโธ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี " เก็บไว้ศึกษากันดีดีครับ
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
พึงนั่งสมาธิดังนี้
พึงนั่งสมาธิดังนี้ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งตัวให้ตรงแล้วนึกเอาคำบริกรรมพุทโธๆ กำหนดไว้ที่ท่ามกลางหน้าอก คือ “ใจ” อย่าให้จิตส่งส่ายไปมาข้างหน้าข้างหลัง พึงตั้งสติสำรวมจิตให้อยู่คงที่เป็นเอกัคตาจิตแน่วแน่ จิตก็จะเข้าถึงสมาธิได้เลย
เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้ว บางทีก็ไม่รู้ตัวหายเงียบไปเลย ไม่รู้ว่าเรานั่งนานสักเท่าใด กว่าจะออกจากสมาธิก็เป็นเวลาตั้งหลายชั่วโมงก็มี เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิจึงไม่ต้องกำหนดเวลา ให้ปล่อยตามเรื่องของมันเอง
จิตที่เข้าถึงสมาธิแท้ คือ จิตที่เป็นเอกัคตาจิต ถ้าไม่เข้าถึงเอกัคคตาจิตได้ชื่อว่ายังไม่เป็นสมาธิ เพราะใจแท้มีอันเดียว ถ้ามีหลายอันอยู่ยังไม่เข้าถึงใจ เป็นแต่จิต
“จิต” กับ “ใจ”
ก่อนจะฝึกหัดสมาธิ พึงข้าใจถึง “จิต” กับ “ใจ” เสียก่อน ในที่นี้พึงเข้าใจกันเสียก่อนว่า “จิต” กับ “ใจ” มิใช่อันเดียวกัน
“จิต” เป็นผู้นึกคิดนึกปรุงแต่งสัญญาอารมณ์สรรพสิ่งทั้งปวง
“ใจ” เป็นผู้นิ่งอยู่เฉยๆ เพียงแต่รู้ว่านิ่งอยู่เฉยๆ ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งอะไรอีกเลย
เปรียบเหมือนแม่น้ำ กับคลื่นของแม่น้ำ เมื่อคลื่นสงบแล้ว จะยังเหลือแต่แม่น้ำอันใสแจ๋วอยู่อย่างเดียว
สรรพวิชาทั้งหลาย และกิเลสทั้งปวง จะเกิดมีขึ้นมาได้ ก็เพราะจิตคิดนึกปรุงแต่งแส่ส่ายหามา สิ่งทั้งปวงเหล่านั้น จะเห็นได้ชัดด้วยใจของตนเอง ก็ต่อเมื่อ จิตนิ่งแล้วเข้าถึงใจ
น้ำเป็นของใสสะอาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อมีผู้นำเอาสีต่างๆ มาประสมกับน้ำนั้น น้ำนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามสีนั้นๆ แต่เมื่อกลั่นกรองเอาน้ำออกมาจากสีนั้นๆ แล้ว น้ำก็จะใสสะอาดตามเดิม “จิต” กับ “ใจ” ก็อุปมาอุปมัยดังอธิบายมานี้
แท้จริงพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเทศนาไว้แล้วว่า จิตอันใด ใจก็อันนั้น ถ้าไม่มีใจ จิตก็ไม่มี จิตเป็นอาการ ใจไม่มีอาการ การฝึกหัดสมาธิภาวนา ไม่ว่าจะฝึกหัดโดยอาจารย์ใดและวิธีอะไรก็แล้วแต่เถิด ถ้าถูกทางแล้ว จะต้องเข้าถึงใจทั้งนั้น
เมื่อเข้าถึงใจ เห็นใจของตนแล้ว ก็จะเห็นสรรพกิเลสของตนทั้งหมด เพราะจิตมันสะสมกิเลสไว้ที่จิตนั้นทั้งหมด คราวนี้เราจะจัดการอย่างไรกับมันก็แล้วแต่เรา
หมอซึ่งจะรักษาโรคนั้นๆ ให้หายได้เด็ดขาด ก็ต้องค้นหาสมุฏฐานของโรคนั้นให้รู้จักเสียก่อน แล้วจึงจะวางยาให้ถูกกับโรคนั้นได้
เราบริกรรมพุทโธๆๆ ไปนานๆเข้า จิตก็จะค่อยคลายความฟุ้งซ่าน แล้วจะค่อยมารวมเข้ามาอยู่กับพุทโธ จิตจะตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันเดียวกับพุทโธ จนเห็นจิตที่ว่า พุทโธอันใดจิตก็อันนั้นอยู่ตลอดทุกเมื่อ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใดๆ ก็เห็นจิตใสแจ๋วอยู่กับพุทโธนั้น
"ประคองจิต ไม่รีบร้อน"
เมื่อได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ขอให้ประคองจิตนั้นไว้ในอารมณ์นั้น นานแสนนานเท่าที่จะนานได้ อย่าเพิ่งอยากเห็นนั่นเห็นนี่ หรืออยากเป็นนั้นเป็นนี้ก่อนเลย
เพราะความอยาก เป็นอุปสรรคแห่งจิตที่เป็นสมาธิอย่างร้ายแรง
เมื่อความอยากเกิดขึ้น สมาธิก็จะเสื่อมทันที สมาธิเสื่อมเพราะหลักสมาธิ คือ “พุทโธ” ไม่มั่นคง คราวนั้นแหละ คว้าหาหลักอะไรก็ไม่ได้ เกิดความเดือดร้อนใหญ่ คิดถึงแต่อารมณ์ที่เคยได้รับสมาธิความสงบสุขเมื่อก่อน จิตก็ยิ่งฟุ้งใหญ่ ฯลฯ
ฝึกหัดสมาธิให้เหมือนชาวนาทำนา เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถ คราด ปักดำ โดยลำดับไม่ข้ามขั้นตอน แล้วรอให้ต้นข้าวแก่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงเลย แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่า จะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ๆ เมื่อต้นข้าวแก่แล้วออกรวงมา จึงเชื่อแน่ว่าจะได้รับผลแน่นอน เขาไม่ไปดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามใจชอบ ผู้ไปกระทำเช่นนั้น ย่อมไร้ผลโดยแท้
การฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน จะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้ ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาให้แน่วแน่ ว่าอันนี้ล่ะ เป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิตของเราเป็นสมาธิได้แท้จริง แล้วอย่าไปลังเลสงสัยว่า คำบริกรรมนี้จะถูกกับจริตนิสสัยของเราหรือไม่หนอ คำบริกรรมอันนั้น คนนั้นทำมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่นอย่างนี้ใช้ไม่ได้
ถ้าจิตตั้งมั่นแน่วแน่ในคำบริกรรมที่ตนภาวนาอยู่นั้นแล้ว เป็นใช้ได้ทั้งนั้น เพราะภาวนาก็เพื่อต้องการทำจิตให้แน่วแน่เท่านั้น ส่วนนอกนั้นมันเป็นตามบุญวาสนาของแต่ละบุคคล
ครั้งพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งไปภาวนาอยู่ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง เห็นนกกระยางตัวหนึ่งโฉบปลากินเป็นอาหาร ท่านเลยถือเอาเป็นคำบริกรรมภาวนา จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นกกระยางกินปลาไม่เคยเห็นในกัมมัฏฐานบทใด แต่ท่านเอามาภาวนาจนสำเร็จ นี้เป็นตัวอย่าง
จิตตั้งมั่นในคำบริกรรม
จิตที่ตั้งใจอบรมให้อยู่ในขอบเขตของคำบริกรรมพุทโธๆๆ ซึ่งมีสติเป็นผู้ควบคุมแล้ว ย่อมจะละพยศตัวร้ายกาจของตัวเองได้ และเราก็ต้องฝึกฝนอบรม เพราะต้องการความสุขสงบของจิต ธรรมดาของจิตย่อมมีอารมณ์ส่งส่ายหาความฟุ้งซ่านเป็นวิสัยอยู่แล้ว ดังอธิบายมาแล้ว โดยมากมันจะส่งส่ายไปในอารมณ์เหล่านี้ คือ พอเริ่มบริกรรมพุทโธ เอาจิตไปตั้งไว้ในพุทโธๆ เท่านั้นแหละ มันจะไม่อยู่ในพุทโธๆ มันจะวิ่งไปหาการงานที่เราเริ่มจะทำหรือกำลังทำอยู่ ปรุงแต่งทำนั่นทำนี่วุ่นวายไปหมด กลัวการงานมันจะไม่ดีไม่งาม กลัวการงานนั้นมันจะไม่สำเร็จ การงานที่เรารับจากคนอื่น หรือรับเฉพาะส่วนตัวมันจะเสียผลประโยชน์หรือขายขี้หน้า เมื่อเรารับแล้วไม่ทำตาม ฯลฯ
นี่เป็นเรื่องรบกวนใจไม่ให้เป็นสมาธิของผู้อบรมใหม่อย่างหนึ่ง เราดึงเอาจิตมาไว้ที่พุทโธๆๆ นั้นอีก บอกว่านั่นมิใช่หนทางแห่งความสงบ ทางสงบแท้ต้องเอาจิตมาตั้งไว้ที่พุทโธแห่งเดียว แล้วบริกรรมพุทโธๆๆ เรื่อยไป ฯลฯ
ประเดี๋ยวส่งไปอีกแล้ว คราวนี้ไปถึงครอบครัวโน้น ส่งไปหาลูก ไปหาภรรยา ไปหาสามีโน้น เขาจะอยู่อย่างไร เขามีสุขภาพพลามัยดีหรือไม่หนอ ได้บริโภคอาหารดีมีรสหรือไม่หนอ ถ้าอยู่ห่างไกลกัน ก็คิดถึงที่อยู่ที่นอน จะอยู่จะกินอย่างไร ผู้จากไปก็คิดถึงผู้อยู่ทางบ้าน ผู้อยู่ทางบ้านก็คิดถึงผู้ไปไกล กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย กลัวคนอื่นจะมาข่มเหง ไม่มีผู้อยู่เป็นเพื่อน กลัวจะเหงาหงอย ฯลฯ คิดไปร้อยแปดพันเก้าสุดแท้แต่จิตจะปรุงจะแต่งไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันคิดไปเกินกว่าเหตุทั้งนั้น
หรือถ้ายังเป็นโสดยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ก็จะปรุงจะแต่งไปในทางสนุกสนานเพลิดเพลินกับหมู่กับเพื่อน ที่เคยเที่ยวสนุกเฮฮาไปในที่ต่างๆ บางคนถึงกับอุทานออกมาเป็นเสียง ดังหัวเราะก้ากก็มี กิเลสตัวนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าเพื่อน
เมื่อภาวนาพุทโธๆๆ กิเลสมันเห็นว่าไม่ได้การแล้วเขาจะหนีจากเราไปอีกแล้ว มันก็จะสรรหาสิ่งที่จะผูกมัดให้เราติดมั่นเข้าทุกที เราเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่เคยฝึกสมาธิภาวนาเลย มีแต่ปล่อยให้จิตไปตามอารมณ์ของกิเลส เพิ่งมาฝึกหัดเดี๋ยวนี้เอง เมื่อมาภาวนาพุทโธๆๆ เพื่อให้จิตมันมารวมอยู่ที่พุทโธ จิตมันจึงดิ้น เหมือนกับบุคคลโยนปลาขึ้นจากน้ำไปที่บนหาด ปลาย่อมดิ้นหาน้ำเป็นธรรมดา เราดึงเอา “จิต” ให้เข้ามาหา “พุทโธ” อีก
“พุทโธ” เป็นของเย็น
“พุทโธ” เป็นของเย็น เป็นทางให้เกิดสันติสุขมีทางเดียวเท่านี้ที่จะทำให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ได้
เราดึงเอาจิตเข้ามาอยู่ในพุทโธๆ อีก หากคราวนี้พอสงบลงไปได้บ้าง พอรู้สึกว่าจิตมันอยู่ พอเห็นลางๆ ว่าจิตมันอยู่ มีความสุขสบาย ต่างกับจิตใจที่ไม่สงบ มีความทุกข์เดือดร้อน ตั้งใจระวังเอาสติประคองอารมณ์นั้นไว้ เอ้า ไปอีกแล้ว โน่น คราวนี้ไปยึดเอาผลประโยชน์มาเป็นเครื่องอ้างว่า ถ้าสิ่งนั้นเราไม่ทำหรือเราไม่แสวงหาก็จะเสียโอกาสอันมีค่ามหาศาล แล้วก็เอาจิตไปจดจ่ออยู่เฉพาะสิ่งนั้นแทนคำบริกรรมพุทโธ ส่วนพุทโธมันเลยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ว่า “พุทโธ” มันหายเสียแล้ว ก็สายเสียแล้ว จึงว่าจิตนี้เป็นของดิ้นรนกระเสือกกระสน รักษาได้ยาก เหมือนกับลิงอยู่ไม่เป็นสุข ฯลฯ
บางที นั่งสมาธิภาวนานานๆเข้า กลัวโลหิตจะไม่เดินหรือเดินไม่สะดวก กลัวเส้นประสาทจะตาย เกิดเป็นเหน็บชา ในที่สุดเป็นอัมพาต ถ้าไปภาวนาไกลบ้านหน่อย หรือในป่าก็ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวเสือจะมากิน กลัวงูจะมากัด กลัวผีจะมาหลอกทำท่าทีต่างๆนานาใส่ ความกลัวตายยุบยิบไปหลายอย่างหลายประการ ล้วนแล้วแต่ตัวเองหลอกตัวเองทั้งนั้น ความจริงหาได้เป็นดั่งคิดนึกไม่ ตั้งแต่เราเกิดมาจนป่านนี้ ไม่เคยเห็นเสือกินคนเลยสักคนเดียว ผีก็ไม่เคยเห็นเลยสักที แม้แต่ตัวผีก็ไม่เคยเห็นสักเลยที ไม่ทราบว่าตัวมันเป็นอย่างไร แต่ก็ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง
อุปสรรคของการภาวนาที่ชักตัวอย่างมานี้ พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น ความจริงแล้วมันมีมากกว่านี้ตั้งหลายเท่า ผู้ภาวนาแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง
หากว่าเรายึดเอาพุทโธๆมาไว้ที่ใจแล้ว เอาสติควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธอันเดียว ภัยอันตรายทั้งปวงจะไม่มาแผ้วผาน
ขอให้เชื่อมั่นในพุทโธจริงๆเถิด รับรองว่าไม่มีอันตรายแน่นอน เว้นเสียแต่กรรมเก่าที่เขาเคยได้กระทำไว้ นั่นเป็นของสุดวิสัย แม้นพระพุทธเจ้าก็ป้องกันให้ไม่ได้
เชื่อมั่นในพุทโธ
ผู้ภาวนาทั้งหลายแรกๆ ศรัทธายังอ่อน ไม่ว่าจะบริกรรมอะไรก็แล้วแต่เถอะ จะต้องถูกกิเลสเหล่านี้รบกวนด้วยกันทั้งนั้น เพราะกิเลสเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานของโลกและพื้นฐานของจิต เมื่อเรามาภาวนาทำจิตให้เป็นอันเดียวเท่านั้นแหละ กิเลสเห็นว่าเราจะหนีจากมัน กิเลสเหล่านั้นมันจะมารุมล้อม ไม่ให้เราหนีจากโลกนี้ได้
ผู้มาเห็นโทษของมันว่าร้ายแรงอย่างนี้ แล้วทำใจให้กล้าหาญ ปลูกศรัทธาให้หนักแน่นมั่นคง คิดเสียว่าเราได้หลงเชื่อกิเลสมาหลายภพหลายชาติแล้ว คราวนี้เราจะยอมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาพุทโธเป็นที่พึ่งล่ะ
แล้วตั้งสติให้มั่นคงทำใจให้แน่วแน่ในพุทโธให้เต็มที่ ยอมสละชีวิตเพื่อบูชาพุทโธ ไม่ให้จิตหนีจากพุทโธ เมื่อเราตั้งปณิธานไว้อย่างนั้นแล้ว จิตก็ดิ่งลงสู่อารมณ์เข้าถึงสมาธิได้
ผู้เข้าถึงสมาธิทีแรก จะมีอาการอย่างนี้คือ เราจะไม่ทราบเลยว่า สมาธิหรือจิตเป็นเอกัคคตารมณ์เป็นอย่างไร เราเพียงแต่ตั้งสติให้แน่วแน่สู่อารมณ์อันเดียว ด้วยอำนาจจิตตั้งมั่นสู่อารมณ์อันเดียวนั้นแหละ เป็นเหตุนำจิตให้เข้าถึงสมาธิได้ แล้วก็ไม่ได้คิดนึกว่า อาการของสมาธิเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ ใครๆจะบังคับให้มันเป็นไม่ได้
ในขณะนั้น จะมีความรู้สึกว่าเราอยู่อีกโลกหนึ่งต่างหาก (โลกจิต) มีความสุขสบายวิเวกหาอะไรเปรียบมิได้ในโลกนี้
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้วจะรู้สึกเสียดายอารมณ์อันนั้น และจำอารมณ์อันนั้นได้แม่นยำ ที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่จิตถอนออกมาจากอารมณ์นั้นทั้งนั้น ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น ใครจะพูดจะทำอะไรไม่รับรู้ทั้งหมด
เราต้องฝึกจิตให้เข้าถึงสมาธิอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อให้ชำนิชำนาญ แต่อย่าไปจำเอาอารมณ์เก่า อย่าอยากให้เป็นอย่างเก่า มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ซ้ำจะยุ่งใหญ่ เป็นแต่เราค่อยภาวนาพุทโธๆ ให้จิตอยู่ในคำบริกรรมนั้นก็แล้วกัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
จิตเป็นสมาธิใหม่ๆ เมื่อมันเป็นอีกมันจะไม่เป็นอย่างเก่า แต่ก็ช่างมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขอให้มันเป็นสมาธิก็แล้วกัน มันเป็นหลายอย่าง จึงได้ความรู้กว้าง และมีอุบายมาก
ที่อธิบายมาโดยย่อนี้ พอเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ขอผู้ทำตามนี้ จงอย่าได้เอามาใส่ใจ มันจะเป็นสัญญา ภาวนาจะไม่เป็นไป เพียงแต่จำไว้ว่าเป็นเครื่องเทียบเคียง ในเมื่อเราภาวนาเป็นไปแล้ว
ฝึกจิต เห็นใจ
ผู้ภาวนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะภาวนาพุทโธหรือยุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอะระหัง อะไรก็แล้วแต่ เมื่อจิตจะรวมเป็นสมาธิแล้ว ไม่คิดว่าจิตเราจะรวม หรือกำลังรวมอยู่หรืออะไรทั้งหมด แต่มันรวมของมันเองโดยอัตโนมัติ แม้ที่สุดแต่คำบริกรรมอยู่นั้น ก็ไม่ทราบมันวางเมื่อไร มันจะมีแต่ความสงบสุขอยู่อันหนึ่งต่างหาก ซึ่งมิใช่โลกนี้ และโลกอื่น หรืออะไรทั้งหมด และไม่มีใครหรือสิ่งอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่สภาพของมันต่างหาก (ซึ่งเรียกว่า โลกของจิต)
ในที่นั้นจะไม่มีคำว่าโลกนี้ หรืออื่นใดทั้งสิ้น สมมติบัญญัติในโลกอันนี้จะไม่ปรากฎในที่นั้น เพราะฉะนั้น ในที่นั้นมันจะไม่เกิดปัญหาอะไรๆทั้งสิ้น เป็นแต่หัดจิตให้เป็นสมาธิไว้ แล้วเทียบเคียงกับจิตไม่เป็นสมาธิ ว่าผิดแปลกแตกต่างกันอย่างไร จิตเข้าถึงสมาธิแล้ว เมื่อถอนออกมาพิจารณาในทางโลกกับทางธรรม มันต่างกันอย่างไรกับจิตที่ไม่ได้เป็นสมาธิ
“จิต” กับ “ใจ” ในที่นี้ จะพูดถึงเรื่องจิตกับใจให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ไหนๆก็พูดถึงเรื่องฝึกหัดจิต (คือสมาธิ) ถ้าไม่เข้าใจถึงเรื่องจิตกับใจแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะฝึกหัดอบรมสมาธิได้ที่ไหนและอย่างไร
เกิดมาเป็นคนหรือสัตว์แล้ว ใครๆก็มีจิตใจด้วยกันทุกคน แต่จิตและใจนี้มันทำหน้าที่ต่างกัน
จิต มันคิดให้นึก ให้ส่งส่าย และปรุงแต่งไปต่างๆนานา สารพัดร้อยแปดพันเก้า แล้วแต่กิเลสมันจะพาไป
ส่วนใจ นั้นคือผู้รู้อยู่เฉยๆ ไม่นึกคิด ไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งหมด อยู่เป็นกลางๆในสิ่งทั้งปวง ตัวผู้รู้อยู่เป็นกลางๆ นั่นแหละคือใจ
ใจ ไม่มีตัวตนเป็นนามธรรม เป็นแต่ผู้รู้เฉยๆ เราจะเอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ ไม่ได้อยู่ในกายหรือนอกกาย ที่เรียกหทัยวัตถุว่าหัวใจนั้น ไม่ใช่ใจแท้ เป็นแต่เครื่องฉีดเลือดให้วิ่งไปทั่วร่างกาย แล้วยังชีวิตให้เป็นอยู่เท่านั้น ถ้าหัวใจไม่ฉีดเลือดให้เดินไปทั่วร่างกายแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดำรงอยู่ไม่ได้
ใจ ตามภาษาชาวบ้านที่พูดกันเป็นประจำ เช่น คำว่า ฉันเสียใจ ฉันดีใจ ฉันร้อนใจ ฉันเศร้าใจ ฉันตกใจ ฉันน้อยใจ อะไรต่อมิอะไรก็ใจทั้งนั้น ฯลฯ แต่นักอภิธรรมเรียกเป็นจิตทั้งนั้น เช่น จิตเป็นกุศล จิตเป็นอกุศล จิตเป็นอัพยากฤต จิตเป็นกามพจร จิตเป็นรูปาพจร จิตเป็นอรูปาพจร จิตเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
แต่ตัวจิต และตัวใจแท้เป็นอย่างไร หาได้รู้ไม่
จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ต้องใช้อายตนะทั้งหกเป็นเครื่องมือ พอตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ใจนึกคิดอารมณ์ต่างๆ ตามกิเลสของตนทั้งที่ดีและไม่ดี ดีก็ชอบใจ ไม่ดีก็ไม่ชอบใจ ล้วนแล้วแต่เป็น จิต คือตัวกิเลสทั้งนั้น นอกจากอาตยะหกนี้แล้ว จิตจะเอามาใช้ไม่ได้ ท่านแยกออกไปเป็น อินทรีย์หก ธาตุหก ผัสสะหก อะไรเยอะแยะ แต่ก็อยู่ในอาตนะหกนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นอาการลักษณะของจิตที่ผู้ไม่รู้จักนิ่งเฉย
ผู้หัดจิต คือ ผู้ทำสมาธิ จะต้องสำรวมจิต ที่มันดิ้นรนไปตามอาตนะทั้งหก ดังที่อธิบายมาแล้วนั้น ให้หยุดนิ่งอยู่ในคำบริกรรมพุทโธอย่างเดียว ไม่ให้ส่งส่ายไปมาหน้าหลัง หยุดนิ่งเฉยและรู้ตัวว่านิ่งเฉย นั่นแหละตัวใจ ใจแท้ไม่มีการใช้อายตนะใดๆทั้งหมด จึงเรียกว่าใจ
ดังชาวบ้านเขาพูดกันว่า ใจๆ คือของกลางในสิ่งทั้งปวง เช่น ใจมือ ก็หมายเอาตรงกลางมือ ใจเท้า ก็หมายเอาตรงกลางของพื้นเท้า สิ่งทั้งปวงหมด เมื่อพูดถึงใจแล้วจะต้องชี้เข้าหาที่ตรงกลางทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่ใจคนก็ต้องชี้เอาตรงท่ามกลางอก แท้จริงแล้วหาได้อยู่ที่นั้นที่นี้ไม่ดังอธิบายมาแล้ว แต่อยู่ตรงกลางสิ่งทั้งปวงหมด
เพื่อให้เข้าใจชัดเข้าอีก ทดลองดูก็ได้ พึงอัดลมหายใจเข้าไปสักพักหนึ่งดู…ในที่นั้นจะไม่มีอะไรเลย นอกจากผู้รู้เฉยอย่างเดียว นั่นแหละ “ใจ” คือ “ผู้รู้” แต่การจับ “ใจ” อย่างนี้ จะอยู่ไม่นาน อยู่ได้ชั่วขณะที่กลั้นลมหายใจเท่านั้น แต่ทดลองดูเพื่อให้รู้จักว่า “ใจ” แท้มีลักษณะอย่างไรเท่านั้น
การกลั้นลมหายใจนี้ ทำให้ทุกขเวทนาเบาบางลงบ้าง ผู้มีเวทนามากๆ จะต้องกลั้นลมหายใจด้วยตนเองเป็นประจำเป็นยาแก้ปวด หายปวดได้ขนานหนึ่ง ดีเหมือนกัน
เมื่อรู้ว่า จิต และ ใจ มีหน้าที่และลักษณะต่างกันอย่างนี้แล้ว ก็จะฝึกจิตได้ง่ายขึ้น แท้จริง จิต และ ใจ ก็อันเดียวกันนั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตอันใด ใจก็อันนั้น การฝึกหัดอบรมสมาธิเราฝึกหัดแต่เฉพาะจิตอย่างเดียวก็พอแล้ว เมื่อฝึกจิตได้แล้ว ก็จะเห็นใจขึ้นมาในที่นั้นเอง
ระวังเสื่อม
จิตนี้เมื่อเราฝึกหัดอบรมเต็มที่ ด้วยการเอาสติเข้าไปควบคุมให้อยู่ในพุทโธเป็นอันเดียวแล้ว จะไม่ส่งส่ายไปในที่ต่างๆ แล้วจะรวมเข้ามาเป็นหนึ่ง และคำบริกรรมนั้นก็จะหายไปโดยไม่รู้ตัว จะมีความสงบเยือกเย็นเป็นสุขหาอะไรเสมอเหมือนไม่ได้ ผู้ไม่เคยได้ประสบ เมื่อประสบเข้าแล้วจะบรรยายอย่างไรก็ไม่ถูก เพราะความสงบสุขชนิดนี้ ซึ่งไม่มีคนใดในโลกนี้ได้ประสบมาก่อน ถึงเคยได้ประสบมาแล้วก็มิใช่อย่างเดียวกัน ฉะนั้นจึงบรรยายไม่ถูก แต่อธิบายให้ตัวเองฟังได้ ถ้าจะอธิบายให้คนอื่นฟัง ก็จะต้องใช้อุปมาอุปมัยเปรียบเทียบจึงจะเข้าใจได้ ของพรรค์นี้มันเป็นปัจจัตตัง ความรู้เฉพาะตน
ยิ่งเข้าไปกว่านั้นอีก ถ้าผู้นั้นได้บำเพ็ญบารมีมาแต่ชาติก่อนมากแล้ว จะเกิดอัศจรรย์ต่างๆนานา เป็นต้นว่าเกิดความรู้ความเห็น เห็นเทวดา ภูตผี เปรต อสุรกาย และเห็นอดีต อนาคต ของตนและคนอื่น ในชาตินั้นๆ ได้เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว และจะเป็นอย่างนั้นต่อไปอีก โดยที่ตนไม่ตั้งใจจะให้เห็นอย่างนั้นเลย แต่เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันหากจะเห็นของมันเองอย่างน่าอัศจรรย์มาก
เรื่องพรรค์นี้ ผู้ปฏิบัติสมาธิทั้งหลายใฝ่ใจนักหนา เมื่อเห็นหรือรู้แล้ว ก็คุยโม้ให้คนอื่นฟัง เมื่อคนอื่นทำตามแต่ไม่เห็น หรือไม่เป็นอย่างนั้นก็ชักให้ท้อใจ หาว่าบุญของเราน้อย วาสนาของเราไม่มี ชักคลายศรัทธาในการปฏิบัติ
ส่วนผู้ที่เป็น และเห็นนั้นเห็นนี้ ดังที่ว่ามานั้น เมื่อเสื่อมจากนั้นแล้ว เพราะความที่เราไปหลงเพลินแต่ของภายนอกไม่ยึดเอาใจมาเป็นหลัก เลยคว้าอะไรก็ไม่ติด แล้วก็คิดถึงอารมณ์ของเก่าที่เราเคยได้เคยเห็นนั้น จิตก็ยิ่งฟุ้งใหญ่ ผู้ที่ชอบคุยก็เอาแต่ความเก่าที่ตนเคยได้รู้เคยได้เห็นนั้น มาคุยเฟื่องไปเลย นักฟังทั้งหลายชอบฟังนักแบบนี้ แต่นักปฏิบัติเบื่อ เพราะนักปฏิบัติชอบฟังแต่ของความเป็นจริงและปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้ว่า พระศาสนาของเราจะเสื่อมและเจริญ ก็เพราะผู้ปฏิบัตินี้ทั้งนั้น การเสื่อมเพราะผู้ปฏิบัติได้ความรู้อะไรนิดๆหน่อยๆ ก็จะเอาไปคุยให้คนอื่นฟัง ไม่แสดงถึงหลักของสมาธิภาวนา เอาแต่ของภายนอกมาพูด หาสาระอะไรไม่ได้ อย่างนี้ทำให้พระศาสนาเสื่อมโดยไม่รู้ตัว
ผู้ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญนั้น พูดแต่สิ่งที่เป็นจริงเป็นประโยชน์ และไม่พูดเล่น พูดมีเหตุมีผล ปฏิบัติภาวนาอย่างนี้ บริกรรมอย่างนี้ ทำจิตให้รวมได้ สงบระงับกิเลสความฟุ้งซ่านได้อย่างนี้
ต้องยึดคำบริกรรมพุทโธเป็นหลัก
ผู้บริกรรมภาวนาพุทโธๆๆ พึ่งทำใจเย็นๆ อย่าได้รีบร้อน ให้ทำความเชื่อมั่นในคำบริกรรมพุทโธ มีสติควบคุมจิตของตนให้อยู่ในพุทโธของตนก็แล้วกัน ความเชื่อมั่นเป็นเหตุให้ใจตั้งมั่นไม่คลอนแคลน ปล่อยวางความลังเลสงสัยอะไรทั้งหมด และจิตจะรวมเข้ามาอยู่ในคำบริกรรมพุทโธๆๆ มีสติควบคู่กับพุทโธเท่านั้น ตลอดเวลา จะยืน เดิน นั่ง นอน หรือประกอบกิจการงานอะไรทั้งหมด ก็จะมีสติรู้เท่าอยู่กับพุทโธอย่างเดียว ผู้ภาวนาสติยังอ่อนอุบายยังน้อย ต้องยึดคำบริกรรมพุทโธเป็นหลัก ถ้ามิฉะนั้นแล้วจะภาวนาไม่เป็น หรือเป็นไปแต่ยังจับหลักไม่ได้
ทำสมาธิให้แก่กล้าจิตเด็ด ถ้าแก่กล้าภาวนาจิตเด็ดว่าจะเอาอย่างนี้ละ ถ้าไม่ได้พุทโธ ไม่เห็นพุทโธขึ้นมาในใจ หรือจิตไม่หยุดนิ่งอยู่กับพุทโธอันเดียวแล้ว เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ แม้ชีวิตจะดับก็ช่างมัน อย่างนี้แล้วจิตก็จะรวมลงเป็นหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คำบริกรรมที่ว่าพุทโธ หรือสิ่งใดที่เราข้องใจหรือสงสัยอยู่นั้น ก็จะหายไปในพริบตาเดียว แม้ร่างกายอันนี้ซึ่งเรายึดถือมานานแสนนาน ก็จะไม่ปรากฏในที่นั้น จะยังเหลือแต่ใจ คือผู้รู้ผู้สงบเยือกเย็น เป็นสุขอยู่อย่างเดียว
ผู้ทำสมาธิได้อย่างนี้แล้วชอบใจนัก ทีหลังทำสมาธิก็อยากได้อย่างนั้นอีก มันเลยไม่เป็นอย่างนั้น นั่นแหละ ความอยากเป็นเหตุ มันจึงไม่เป็นอย่างนั้น
สมาธิเป็นของละเอียดอ่อนมาก เราจะบังคับให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ และไม่ให้เป็นสมาธิก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ถ้าเราทำใจร้อนยิ่งไปกันใหญ่ เราต้องทำใจเย็นๆ จะเป็นสมาธิหรือไม่ก็ตาม เราเคยทำภาวนาพุทโธๆ ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ทำเหมือนกับเราไม่เคยภาวนาพุทโธมาแต่ก่อน ทำใจให้เป็นกลางวางจิตให้เสมอ แล้วผ่อนลมหายใจให้เบาๆ เอาสติเข้าไปกำหนดจิต ให้อยู่กับพุทโธอย่างเดียว เวลามันจะเป็นมันหากเป็นของมันเอง เราจะมาแต่งให้มันเป็นไม่ได้ ถ้าเราแต่งเอาได้ คนในโลกนี้ก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว
รู้แล้วแต่ก็ทำไม่ถูก ทำถูกแล้วอยากเป็นอย่างนั้นอีก ก็เป็นไม่ได้ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปสรรคของการทำสมาธิทั้งนั้น
ผู้ภาวนาบริกรรมพุทโธ ต้องทำให้ชำนิชำนาญคล่องแคล่ว ในขณะที่อารมณ์ทั้งดีและชั่วมากระทบเข้า ต้องทำสมาธิให้ได้ทันที อย่าให้จิตหวั่นไหวไปตามอารมณ์ได้ นึกถึงคำบริกรรมพุทโธเมื่อไร จิตก็จะรวมได้ทันที อย่างนี้จิตจะมั่นคงเชื่อตนเองได้
เมื่อหัดให้ช่ำชองชำนิชำนาญอย่างนี้นานๆเข้า กิเลสความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง มันจะค่อยหายไปเอง ไม่ต้องไปชำระกิเลสตัวนั้นตัวนี้ว่า กิเลสตัวนั้นจะต้องชำระด้วยธรรมข้อนั้นๆ ด้วยวิธีอุบายอย่างนั้นๆ เราละกิเลสได้ด้วยอุบายอย่างไร ก็พึงยินดีเท่านั้น เอาเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว
กิเลสค่อยหายไปด้วยอุบายอย่างที่อธิบายแล้ว ดีกว่าเราจะไปละกิเลสด้วยการปรุงแต่ง เข้าฌานที่ ๑-๒-๓-๔ ด้วยการละ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข มีเอกัคคตาและอุเบกขาเป็นอารมณ์ หรือทำให้ได้ ปฐมมรรค ด้วยการละกิเลส สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ไปมองดูแต่กิเลสนั้นๆว่า กิเลสตัวนั้นๆ เราทำให้ได้จิตอย่างนั้น เราพ้นจากกิเลสตัวนั้นๆได้แล้ว กิเลสเรายังเหลืออยู่อีกเท่านั้น ทำจิตให้ได้อย่างนั้นกิเลสของเราจึงจะหมดสิ้นไป
แต่ไม่ได้มองดูจิต ผู้เกิดกิเลส ที่อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นว่า นั้นเป็นตัวกิเลสที่เกาะอยู่กับจิต พอเลิกการพิจารณานั้นแล้ว จิตก็จะอยู่อย่างเดิมไม่ได้อะไรเลย
นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว พอมีผู้มาแย้งความคิดความเห็น ซึ่งไม่ตรงต่อความเห็นของตนแล้ว จะต้องโต้แย้งอย่างรุนแรง เหมือนกับไฟลุกแล้วเอาน้ำมันมาราด ฉะนั้น
ขอให้ยึดคำบริกรรมพุทโธไว้ให้มั่นคงเถิด ถ้าไม่ได้อะไรก็ยังพอมีคำบริกรรมไว้เป็นหลัก อารมณ์นั้นๆ ก็จะเบาบางลงได้บ้าง หรืออาจระงับหายไปก็เป็นไปได้ ดีกว่าไม่มีหลักอะไรเป็นเครื่องยึด
แท้จริงผู้ภาวนาทั้งหลายต้องยึดเอาคำภาวนาของตนให้มั่นคง จึงจะได้ชื่อว่าภาวนามีหลัก เวลาภาวนาเสื่อมจะได้เอาเป็นหลัก
พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ว่า ผู้ทำความเพียรเพื่อละกิเลสทั้งหลาย จงทำตัวให้เหมือนกับนักรบโบราณ สมัยก่อนต้องทำกำแพงล้อมเมืองให้แน่นหนา มีค่ายคูประตูหอรบเสร็จ เพื่อป้องกันข้าศึกอันจะมาราวี นักรบที่ฉลาด เมื่อออกรบกับข้าศึก เห็นว่าจะสู้ข้าศึกไม้ได้แล้ว ก็ล่าทัพกลับสู่พระนคร แล้วรักษาพระนครเอาไว้ไม่ให้ข้าศึกเข้ามาทำลายได้ พร้อมกันนั้น ก็สะสมรี้พลอาวุธ และอาหารให้พร้อมเพรียง (คือ ทำสมาธิ ให้มั่นคงกล้าหาญ) แล้วจึงออกรบข้าศึกอีกต่อไป (คือ มวลกิเลสทั้งปวง)
สมาธิเป็นกำลังสำคัญมาก ถ้าไม่มีสมาธิแล้ววิปัสสนาจะเอากำลังมาจากไหน ปัญญาวิปัสสนามิใช่เป็นของจะพึงแต่งเอาได้เมื่อไร แต่เกิดจากสมาธิ ที่หัดได้ชำนิชำนาญมั่นคงดีแล้วต่างหาก
ถึงผู้ได้สุกขวิปัสสกก็เถิด ถ้าไม่มีสมถะแล้วจะเอาวิปัสสนามาจากไหน เป็นแต่สมถะของท่านไม่คล่องเท่านั้น อย่างนี้พอฟังได้
สมาธิมั่นคง พิจารณาเห็น
ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อได้ทำสมาธิให้มั่นคงแน่นหนาดีแล้ว จนกระทั่งจะเข้าจะออกก็ได้ จะอยู่ให้นานๆ และพิจารณากายอันนี้ให้เป็นอสุภะ หรือเป็นธาตุก็ได้ พิจารณาคนในโลกนี้ทั้งหมดให้เป็นโครงกระดูกทั้งหมดก็ได้ หรือพิจารณาให้เห็นในโลกนี้ทั้งหมดว่างเป็นอัชฌัตตากาศ ว่างเปล่าไปหมดก็ได้ ฯลฯ
จิตผู้มีสมาธิเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ย่อมเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มองเห็นกิเลสของตน ซึ่งเกิดจากจิตของตนได้ชัดเจนว่า กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดจากสิ่งนี้ๆ และมันตั้งอยู่ได้ด้วยอาการอย่างนี้ๆ แล้วก็หาอุบายละด้วยอย่างนี้ๆ
เหมือนกับน้ำในสระที่ขุ่นมาเป็นร้อยๆปี เพิ่งมาใสสะอาดมองเห็นสิ่งสารพัดที่มีอยู่ก้นสระว่า แต่ก่อนแต่ไรเราไม่นึกไม่คิดเลยว่า ในก้นสระนี้มันจะมีของเหล่านี้ นั้น เรียกว่า วิปัสสนา คือ ความรู้ความเห็นตามสภาพจริง มันเป็นจริงอย่างไร ก็เห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น ไม่วิปริตผิดแปลกจากความเป็นจริงของมัน
สมถะก็ละกิเลสได้เหมือนกัน แต่ละได้เหมือนคนถางหญ้า ตัดแต่ต้นให้ขาด ไม่ขุดเอารากออกให้หมด รากมันย่อมมีเวลางอกขึ้นมาอีกในเมื่อฝนตกลงมา คือเห็นโทษในอารมณ์ที่มันเกิดจากอายตนะนะหกเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นโทษก็รีบเข้าหาความสงบ โดยไม่พิจารณาอารมณ์นั้นๆให้ถี่ถ้วนอย่างสมาธิ สรุปความแล้วเรียกว่า ชอบเอาแต่ความสงบอย่างเดียว ไม่อยากพิจารณาให้เนิ่นช้า เหมือนกับตัวแย้อาศัยรูเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตราย เมื่อเห็นศัตรูมาก็วิ่งเข้ารูเสีย พ้นภัยอันตรายไประยะหนึ่งๆ ก็เท่านั้น
ผู้ต้องการขุดรากเหง้าของกิเลสในตัว เมื่อกิเลสมันเกิดจากอายตนะทั้งหกในตัวของตน เช่น ตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียงเป็นต้น เกิดผู้ผัสสะขึ้นให้ยินดีหรือยินร้าย ดีใจและเสียใจ เป็นต้น แล้วเข้าไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ของตน ขุ่นมัวอยู่ในใจ จนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อน ดิ้นรน กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนกระทั่งทำอัตตนิบาต ฆ่าคนตายก็มี เมื่อเห็นชัดอย่างนี้แล้ว พึงทำสมาธิ ให้มั่นคงเป็นหลักเสียก่อน แล้วจึงตั้งจิตพิจารณาเฉพาะในอารมณ์นั้นๆ แต่สิ่งเดียว เช่น
ตาเห็นรูปที่เป็น อิฏฐารมณ์ แล้วเกิดความยินดีพอใจขึ้น ก็ให้พิจารณาเฉพาะแต่ความยินดีพอใจนั้นว่า มันเกิดจากตา หรือเกิดจากรูปกันแน่
เมื่อพิจารณาถึงรูป ก็เห็นว่า รูปมันเป็นแต่รูปธรรมต่างหาก มันจะดีหรือเลว มันไม่ได้มาชักชวนให้เราไปยินดี หรือยินร้าย หรือให้เราไปหลงรักหรือชัง มันเป็นแต่รูปเฉยๆ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป มันดับไปตามสภาพของมันต่างหาก
เมื่อพิจารณาตามตาผู้ไปเห็นรูปเล่า ตาผู้ส่งส่ายไปเห็นรูป พอกระทบเท่านั้น แสงสะท้อนกลับเข้ามาหาจักษุประสาทเข้า ก็เป็นรูปต่างๆนานาเกิดขึ้น ตาก็ไม่ได้ชักชวนไปให้ยินดียินร้าย หรือให้รักให้ชังอะไร ตามีหน้าที่ให้เห็น เห็นรูปแล้วก็ดับไป
สิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ หรืออายตนะอื่นๆ ก็ให้พิจารณาอย่างเดียวกันนี้
เพราะอายตนะทั้งหกเป็นต้นเหตุ
เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นชัดว่า สิ่งทั้งปวงหมดในโลกนี้ มันจะเกิดกิเลสขึ้นก็เพราะอายตนะทั้งหกนี้เป็นต้นเหตุทั้งนั้น ถ้าเราพิจารณาและไม่หลงตามอายตนะทั้งหกนี้ กิเลสก็จะไม่เกิดขึ้นในตัวของเรา ตรงกันข้าม มันจะเกิดปัญญาก็เพราะมีอายตนะทั้งหกนี้
อายตนะทั้งหกนี้ เป็นสื่อกลางของความดีและความชั่ว จะไปสุคติและทุคติ ก็เพราะอายตนะทั้งหกเป็นต้นเหตุ
โลกนี้จะกว้างก็เพราะจิตไม่มีสมาธิ ปล่อยตามอารมณ์ของอายตนะทั้งนั้น โลกนี้จะแคบก็เพราะจิตนี้ได้ฝึกหัดสมาธิ ให้อยู่ในบังคับของตน พิจารณาอารมณ์ของอายตนะทั้งหกแต่ภายใน คือ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว อายตนะ เป็นต้นว่า ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ฯลฯ เหล่านี้จะไม่ปรากฏเลย จะปรากฏแต่รูปที่เป็นนามธรรม เสียงที่เป็นนามธรรมปรากฏเกิดขึ้นในสมาธินั้น โดยเฉพาะอายตนะภายนอกจะไม่รู้เลย
เมื่อทำสมาธิให้แน่วแน่นเต็มที่แล้ว พิจารณาเห็น โลกจิต นี้มันเป็นเหตุทำให้เกิดอายตนผัสสะ สัญญา และอารมณ์ และตลอดสรรพกิเลสทั้งปวงแล้ว จิตก็จะถอนจากสิ่งทั้งหมด จะยังเหลือแต่ “ใจ” คือ “ผู้รู้” อย่างเดียว
“จิต” กับ “ใจ” ย่อมมีลักษณะอาการต่างกัน
“จิต” ได้แก่ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง และสัญญา อารมณ์ต่างๆ ตลอดถึงไปยึดเอาสิ่งต่างๆ มาไว้ที่จิต จิตเมื่อเห็นโทษทุกข์ทั้งหลาย ที่ยึดเอากิเลสทั้งปวงมาไว้ที่จิตของตน แล้ว ยอมสละถอนจากอารมณ์และกิเลสทั้งปวงจากจิต จิตนั้นก็เป็นใจ จิตกับใจมีลักษณะอาการต่างกันอย่างนี้
“ใจ” คือ ผู้เป็นกลาง วางเฉย ไม่คิดนึกอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่รู้ตัวอยู่ว่าวางเฉย ใจเป็นธรรมชาติเป็นกลางแท้ กลางไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบุญหรือบาป ไม่ดีและไม่ชั่วนั้นเรียกว่า “ใจ” สิ่งทั้งปวงหมด ถ้าพูดถึงใจแล้ว จะต้องหมายเอาตรงใจกลางทั้งนั้น แม้แต่ใจของคนซึ่งเป็นนามธรรม ก็ต้องชี้เข้าไปที่ท่ามกลางอก แต่ใจแท้ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เราเอาความรู้สึกไปไว้ในกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ลองดูซิ จะรู้สึกขึ้นในที่นั้น หรือเอาความรู้สึกนั้นไปไว้ภายนอกกาย เป็นต้นว่าเอาไปไว้ที่เสาหรือที่ฝาผนังบ้าน ก็จะมีความรู้สึกอยู่ ณ ที่นั้น
เป็นอันสรุปได้ว่า ใจแท้ คือ ความรู้สึกเฉยอยู่เป็นกลางๆ เมื่อมีความรู้สึกกลางๆอยู่ ณ ที่ใด ใจก็อยู่ ณ ที่นั้น
ที่ชาวบ้านเขาพูดกันว่า หัวใจๆ นั้น มิใช่ใจแท้ เป็นแต่หทัยวัตถุ เครื่องสูบฉีดเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงสรีระร่างกาย เพื่อให้อยู่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายแล้วกายอันนี้ก็จะอยู่ไม่ได้ต้องตาย สมองก็เหมือนกัน จะคิดดีหรือไม่ดีก็เพราะสมองเป็นเครื่องใช้ของจิตใจ ระบบประสาทของสมองเป็นรูปธรรม เมื่อปัจจัยต่างๆ ของรูปธรรมขาดไป รูปธรรมย่อมอยู่ไม่ได้ต้องดับไป
แต่ “จิต” ซึ่งเป็นนามธรรมนั้น ในพุทธศาสนาท่านว่า ยังเหลืออยู่ เกิดได้อีก นามธรรมจะดับ ก็ต่อเมื่อ ปัญญาไปรู้เหตุรู้ผลของนามธรรมนั้นๆ แล้วถอนมูลเหตุของมันเสีย
ให้เหลืออยู่แต่ใจไม่ปรุงแต่ง
ศาสตร์ทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมดสอนกันไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเรียนยิ่งสอนก็ยิ่งกว้างขวางออกไปทุกที มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนให้ถึงที่สุดได้ พุทธศาสนาสอนเบื้องต้นให้รู้จักกาย อันนี้ว่า มีสิ่งต่างๆประกอบกันเข้า จึงเรียกว่าสรีระร่างกาย (คือ อาการสามสิบสอง) และมีหน้าที่อะไรบ้าง พร้อมกันนั้น ก็สอนให้เห็นเป็นของ “อสุภะ” เป็นของจริงไปในตัว สอนให้รู้จักโลกอันนี้ (คือ มนุษย์) ที่ประกอบไปด้วย “ทุกข์” ทั้งนั้น ผลที่สุดก็ต้องแตกดับไปตามธรรมดาของมัน
ฉะนั้น เมื่อเราเกิดขึ้นมาได้ก้อนนี้แล้ว ถึงจะเป็นของไม่งามเต็มไปด้วย “อสุภะ” และประกอบไปด้วย “ทุกข์” นานัปการก็ตาม แต่เราก็ได้มาพึ่งอาศัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พึงทำคุณงามความดีใช้หนี้โลกเสีย ก่อนจะตายไปจากโลกนี้
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า คน (คือ โลกอันนี้) แตกดับสลายไปเป็นธรรมดา แต่ “จิต” คือ เจ้าของของโลกนั้น เมื่อมีกิเลสอยู่จะต้องกลับมาเกิดอีก ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ฝึกหัดสมาธิ อันเป็นเรื่องของจิตโดยเฉพาะ เมื่อฝึกหัดทำสมาธิเข้าแล้ว หากมีอายตนผัสสะจะรู้สึกอยู่แต่ภายใน คือ “จิต” ผู้เดียว ผู้เห็นผู้ฟังจะไม่เกี่ยวด้วยตาและหู อายตนผัสสะ จะรู้ด้วย “จิต” อย่างเดียว (ได้ชื่อว่าทำโลกนี้ให้แคบเข้ามา)
อายตนะทั้งหลาย เป็นเครื่องวัดจิตของตนได้อย่างดีที่สุด เมื่ออายตนะผัสสะมากระทบจิตของเรา เราหวั่นไหวไหม เมื่อหวั่นไหวมาก ก็แสดงว่ามีสติน้อย มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ก็ยังน้อย เมื่อหวั่นไหวน้อยหรือไม่หวั่นไหวเสียเลย ก็แสดงว่าเรามีสติมาก มีธรรมเป็นเครื่องอยู่มาก และรักษาตัวได้เลย
เปรียบเหมือนกับพระเทวทัตและพระโพธิสัตว์ ย่อมก่อเวรก่อกรรมแก่กันมาโดยตลอด พระโพธิสัตว์ถ้าไม่มีพระเทวทัตก็จะไม่ได้สร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้วจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนจะตรัสรู้พระองค์ก็ได้ทรงผจญพญามารอันมีแสนยานุภาพมหึมา เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็มีลูกสาวพญามาราธิราชทั้งสามนางมาทดสอบอีกที เป็นอันว่าชาวโลกซ้องสาธุการว่า พระพุทธเจ้าทรงชนะกิเลสเด็ดขาดในโลกนี้โดยสิ้นเชิง
เมื่ออายตนะภายในยังมีอยู่ มโนผัสสะก็ยังเป็นอารมณ์อยู่ ฉะนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายมาเห็นโทษสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จึงยอมถอนออกจากสิ่งเหล่านั้นเสีย ยังคงเหลือแต่ “ใจ” ที่เป็นกลางๆๆ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แล้วโลกอันนี้มันจะมีมาแต่ที่ไหน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ถึงที่สุดของโลก ด้วยประการอย่างนี้
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี