ทำดี เพื่อละกิเลส
ทำดี เหนือ ดี
การละ เหนือละ
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 8 กรกฎาคม 2563
ตอนที่ 173 **พุทธโอวาทในการทำดี 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราชได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อม ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าถึงพระพุทธองค์โปรดทรงเป็นที่พึ่งให้กับลูกทั้งหลาย โปรดเมตตาแสดงธรรมให้ลูกได้ฟัง พิจารณา - ตามที่พระองค์เห็นสมควรว่า จะชี้ทางบอกทางแก่ลูกทั้งหลาย ด้วยเรื่องอะไร ด้วยธรรมข้อไหน ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ฟังแล้ว.. ก็น้อมไปปฏิบัติด้วยลูก จะได้ก่อให้เกิดผลอย่างแท้จริง หูฟัง ใจฟัง จิตฟัง.. น้อมมาประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยคำพูด การกระทำ และให้ก่อเกิดผล..
ก่อเกิดผลแล้ว.. ก็ให้อยู่เหนือผลที่ก่อเกิด ไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านั้นด้วย.. จึงจะใช้ได้ ++
พระยาธรรมเอ๋ย ลูกทั้งหลาย.. จงพิจารณาธรรมตามนี้เถอะลูก
การทำความดี.. ไม่ใช่เพียงแค่ทำดี ลูก
แต่เราจงทำดี - เพื่อละกิเลสตัณหาด้วย
บุคคลผู้ใดก็ตาม..ที่ทำความดีแล้ว แต่ไม่ได้ทำเพื่อการละกิเลส ละตัณหา
... ก็จะยังคงเป็นการทำความดี และก็จะก่อให้เกิดความละโมบโลภมาก ลุ่มหลงในความดี ในสิ่งที่ดีอยู่ -- ย่อมไม่พ้นทุกข์ ลูก ++
เพราะถ้าเกิดว่า เราทำทานไปก็ดี รักษาศีลก็ดี..
ทำอะไรก็ดีที่มันเป็นเรื่องดี ลูก
เราทำไป -- แต่เราไม่พิจารณาละกิเลสตัณหา
ความดีเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นว่า.. เราก็จะไปยึดดี ถือดี
จมอยู่กับสิ่งเรียกว่าดี คือ กรรมดีในวัฏสงสาร
-- เราก็จะยังคงติดอยู่ในวัฏสงสารนี้ หลุดพ้นไม่ได้ - ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่…
ฉะนั้น.. เมื่อลูกทำความดีแล้ว - ก็จงทำเพื่อละกิเลสด้วย ลูก จึงจะถูกต้องตามหลักธรรม แห่งพระพุทธศาสนา
-- จึงจะทำจุดมุ่งหมายอันสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดขึ้น คือ การฝึกฝนดับการเกิดของตน จนได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น การทำความดี ไม่ว่าลูกทั้งหลาย.. จะทำความดีในรูปแบบใดก็ตาม
... ให้ลูกเพียรพยายามทำเพื่อฝึกละ ฝึกวาง ฝึกขัดเกลา
กิเลส คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ตัณหา คือ ความอยาก และไม่อยากเหล่านั้น
-- พยายามทำ เพื่อละเชื้อเหล่านี้ ลูก..
ฝึกฝนตน ด้วยการทำความดี
และการทำความดี ก็ทำเพื่อละกิเลส ตัณหา ชำระกรรม
ค่อยๆฝึกเช่นนี้ ทำเช่นนี้.. ลูกเอ๋ย
สิ่งที่ลงทุนไปจึงไม่เสียเปล่า -- เพราะจะได้มาด้วยวิมุติหลุดพ้นอย่างแท้จริง
แต่ถ้าหากว่าลูกนั้นทำไป ลุ่มหลงไป ยึดดีถือดีไป - ลูกก็จะจมติดอยู่กับกรรมดี
เมื่อลูกติดกับกรรมดี กรรมดีส่งผลให้ลูกได้รับสิ่งดีๆ เกิดในที่ดี ที่ละเอียดประณีตต่างๆ..
ลูกก็จะไปติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเวียนว่ายตายเกิดอยู่ดี.. ลูกเอ๋ย
ลูกจะไม่หลุดจากโลกสมมุติ ลูกจะไม่ถึงวิมุติหลุดพ้น
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. การทำความดี จงทำไปเพื่อละกิเลสตัณหา ลูก.. จึงจะเกิดประโยชน์ *
ต่อจากนี้ไป การทำความดี .. ไม่ใช่แค่ทำความดี - แต่ต้องทำด้วยละกิเลสด้วย
ทำด้วย ละตัณหาด้วย
ฝึกฝนเพื่อขัดเกลาเจียระไนจิตของตน เช่นนี้ เป็นขั้นที่ 1
ส่วนต่อไป ในขั้นที่ 2 - ก็คือ
เมื่อทำดีเพื่อละกิเลสแล้ว.. ลูกก็ควรที่จะดูกิเลสไปเรื่อยๆ
ละได้มาก ละได้น้อย
ชำระล้างไปเรื่อยๆ.. เป็นขั้นๆ เป็นชั้นๆ ลำดับๆไป
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เมื่อทำดีเพื่อละกิเลสแล้ว ก็ต้องละให้หมดด้วยลูก +
ไม่ใช่ละเพียงแค่ส่วนหนึ่ง - เอาไว้ส่วนหนึ่ง
ละเรื่องหนึ่ง - เอาไว้เรื่องหนึ่ง
... อย่างนี้ก็ไม่จบไม่หมด ลูก !
เมื่อเราได้ทำดีเพื่อละกิเลส -
-- เราได้ละกิเลสแล้ว เราก็ต้องละให้หมดด้วย
ชำระล้างไปๆ..
- ให้ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
- ให้ความอยาก และความไม่อยากนั้นหมดไป หายไปจากจิตของเรา จึงจะใช้ได้ ลูก
ทำเพื่อละกิเลส และก็ต้องละกิเลสให้หมดไป ให้จบไป เป็นขั้นๆตอนๆไป
จนกว่า.. กิเลสตัณหาในใจของตนจะหมดไป อย่างแท้จริง ถาวรมั่นคง ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. การทำความดี ก็จะยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ
ทำมากแล้ว.. ก็ต้องทำมากอีก
ทำจนกว่ากิเลสของเราจะหมด ลูก
เพราะการทำความดี ไม่ใช่แค่ทำความดี -- แต่ทำเพื่อละกิเลสด้วย
การละกิเลสตัณหา.. ไม่ใช่แค่ทำให้ละกิเลสตัณหาเฉยๆ
แต่ต้องทำให้ละกิเลส ละตัณหาให้หมดด้วย ++
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. กิเลสตัณหาหมดแล้ว.. ก็ต้องหมดอย่างถาวรจริงๆด้วย ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. การทำความดี.. จึงต้องทำอีกมาก ทำไปเรื่อยๆ
ทำเพื่อละกิเลส และทำจนกว่ากิเลสจะหมด
จนกว่ากิเลสนั้น จะหมดอย่างถาวร ลูก - จึงใช้ได้
ฉะนั้น.. ให้ลูกทั้งหลาย.. ทำเพื่อละกิเลส และทำไปจนกว่าจะหมดกิเลสอย่างถาวร.. จึงใช้ได้ จิตก็จะเลื่อนเข้าสู่สภาวธรรมของ การรู้ตื่น
เมื่อจิตเลื่อนเข้าสู่ระดับที่ 3 - คือ ความรู้ตื่นนั้น - จิตถึงซึ่งความเป็นพุทธะ
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว.. ก็ยังไม่ใช่แค่ถึงซึ่งความเป็นพุทธะ
แต่เมื่อถึงความเป็นพุทธะแล้ว.. ก็จะยังคงต้องทำให้ถึงซึ่งการเป็นพุทธะอย่างแท้จริง อีกลูก
การที่เราละกิเลสได้ทั้งหมด จิตเราเข้าถึงความรู้ตื่น -- เราก็จะยังคงฝึกจิตของเรา
ให้รู้ตื่น อย่างเข้มแข็ง
รู้ตื่นอย่างถาวร นิรันดร เป็นของแท้
ต้องฝึกจิต ให้จิตของเรานั้น - อยู่เหนือความพ้นทุกข์อีก
เมื่อจิตของเรารู้ตื่นแล้ว - ให้อยู่เหนือความรู้ตื่นอีก
เมื่อจิตของเรานั้นบรรลุแล้ว ให้อยู่เหนือความบรรลุไปอีก
ก็คือ เมื่อรู้และเข้าใจทุกสรรพสิ่ง ตามเหตุของสิ่งเหล่านั้น
เราก็ต้องฝึกละ ฝึกวางตัวรู้ ตัวเข้าใจ ตัวเห็นแจ้งเหล่านั้นด้วย ลูก
เมื่อเรานี้ บรรลุธรรมถึงขั้นสูงสุด *เราก็ต้องวางการบรรลุธรรมถึงขั้นสูงสุดนั้นด้วยลูก.. จึงจะใช้ได้
เมื่อจิตของเราบรรลุ รู้แจ้งโลก.. เราต้องอยู่เหนือการบรรลุ รู้แจ้งโลกอีก ให้กลับคืนสู่สภาวะของการ..
มี - ก็เหมือนไม่มี
ไม่มี - ก็เหมือนมี
บรรลุ หรือว่าไม่บรรลุ - ก็มีสภาวะไม่แตกต่างอะไร !
ทุกอย่างเป็นเพียง สักแต่ว่า..ในจิตของเรา
ความแตกต่าง - ให้มันเป็นการแตกต่าง ในสิ่งที่มันเป็นสภาวะของความเป็นไปของมัน
แต่อย่าให้มันแตกต่างที่ความรู้สึกในจิตของเรา
ให้จิตของเรานั้นรู้ตื่น - อยู่เหนือสภาวะแม้การบรรลุ.. จึงจะใช้ได้ ลูก
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย..
ในการทำความดี ซ่อนด้วยการละกิเลส
การทำความดี บวกด้วยการละกิเลสตัณหา
และในการละกิเลสตัณหา ก็ซ่อนด้วยการละให้หมดให้จบ อย่างแท้จริงถาวร
ในการละกิเลสตัณหาได้แล้ว.. ก็ยังซ่อนด้วยการ อยู่เหนือการละได้แล้ว อีกด้วย
พระยาธรรมเอย ลูกทั้งหลาย.. จงตั้งใจพิจารณาตามธรรมนี้เถิดลูก
แล้วลูกจะรู้ ลูกจะเข้าใจตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง - ที่มันนั้นเป็นอยู่ ดำเนินอยู่ เป็นขั้นๆไป ตั้งแต่เริ่มทำความดี - ตั้งแต่เริ่มละกิเลส- ตั้งแต่ละกิเลสได้
และลูกก็ฝึกเช่นนี้อย่างนี้ไป
จนทำดี - อยู่เหนือดี.. เพราะไม่ยึด ไม่หลง ไม่มีกิเลส
จนละกิเลส - อยู่เหนือการละกิเลส.. เพราะละหมดอย่างแท้จริง
จนบรรลุ - อยู่เหนือการบรรลุ.. เพราะว่าบรรลุอย่างแท้จริง ลูก
ลูกจงพิจารณา พัฒนาจิตของตนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับๆไป...
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า พระยาธรรมเอ๋ย.. ในธรรมที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางบอกทางลูกอยู่นั้น ก็คือ
ให้เราพยายามระลึกรู้ว่า.. การทำความดีของเราทุกสิ่งทุกอย่าง เราทำดี เพื่อละกิเลสเท่านั้น !
การทำดี.. แล้วยังหลงยึดในการทำดีอยู่.. จะทำให้เรายังอาศัยความยึดนั้นมาเกิดอยู่
การทำดีอย่างพุทธะ จึงเป็นการทำไปเพื่อการละกิเลสตัณหาเท่านั้น **
การที่เราทำดีเพื่อละกิเลสตัณหานั้น.. ก็ทำไปเพื่อให้ละกิเลสตัณหาให้หมด
ไม่ใช่แค่ละเฉยๆ - ละแล้วต้องละให้หมดด้วย ละให้ถาวรด้วย --
การที่เราละกิเลสหมด จนจิตรู้ตื่น..
ก็ไม่ใช่แค่ละกิเลส แล้วจิตรู้ตื่น แต่จิตต้องอยู่เหนือการรู้ตื่นอีกด้วย - จึงจะใช้ได้
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
แม้จะเป็นธรรมที่ละเอียด สูงลึกเข้าไปเรื่อยๆอีก
... แต่ลูกก็พอจะเข้าใจสภาวะที่พระองค์ทรงกล่าวมา พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่ลูกก็ยังพอฟังเข้าใจ
ฟังถึงธรรมที่ละเอียดมากเพียงใด.. ลูกก็ยังเข้าถึงได้
ก็จงถ่ายทอดธรรมนี้ ไปตามความรู้ความเข้าใจ ที่ลูกได้เข้าใจ
... เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจ ได้รู้เช่นเดียวกัน
จะได้น้อมไปประพฤติปฏิบัติกันให้ถูก
จะได้สร้างและทำความดี ได้ถูกต้อง
และดำเนินสู่เป้าหมายอันสูงสุด - เหนือสูงสุดได้ลูก
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงพากันตั้งใจปฏิบัติตามนี้ ก็แล้วกัน
นี่คือโอวาทธรรมในวันนี้ละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
ฆ่าเชื้อ ความทุกข์
ตอนที่ 138 พิษร้ายทำลายความดี *****สิ่งเลวร้ายในวัฏะสงสาร *****