คำสอนจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า
< อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา >
"สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอจงละมันเสีย "
》รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์๕)
▪เป็นสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง-เปลี่ยนแปลงได้ เสื่อมได้)
▪สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (ทุกขัง-ดับได้ แตกสลายได้)
▪สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตน บุคคลเราเขา บังคับบัญชาไม่ได้ มีแต่สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยกัน)
" คือขันธ์ ๕ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ (เสื่อม) ดับไป "
》สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอจงละมันเสีย
" เพราะเรามายึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา จึงควรละขันธ์ ๕ ด้วยปัญญานี้ "
พุทธองค์ทรงเปรียบเหมือนเวลาเราเห็นคนกวาดกิ่งไม้ใบไม้ แล้วถูกลากเอาไปเผา เราไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกลากถูกเผาเหมือนกิ่งไม้ใบไม้นั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรา กิ่งไม้ใบไม้ถูกเผาไปแล้ว แต่เราที่เป็นคนสังเกตุเหตุการณ์นั้นยังดำรงอยู่
ก็เช่นเดียวกับที่เวลาเราทำสมาธิ เราจะสังเกตุเห็นการเคลื่อนของจิตที่ไปยึดกับลมหายใจบ้าง ความคิดบ้าง ความรู้สึกบ้าง อารมณ์ต่างๆ บ้าง จิต(วิญญาณขันธ์)นั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามสิ่งที่ยึด(รูป เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) แต่เรา(สัตตา)ผู้ยึดลมหายใจบ้าง ความคิดบ้าง ความรู้สึกบ้าง อารมณ์ต่างๆ บ้าง ก็เปลี่ยนที่ยึดเกาะไปเรื่อย ไม่เคยปล่อยวางขันธ์ทั้ง ๕ เกิดดับไปกับขันธ์ ๕ เวียนว่ายในสังสารวัฏไม่รู้จบ เพราะไม่รู้อริยสัจ ๔ ความจริงของธรรมชาติและหนทางหลุดพ้นนี้
พระไตรปิฎก (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๔๕-๔๖
[๙๓] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เวทนาไม่เที่ยง ...
สัญญาไม่เที่ยง ...
สังขารไม่เที่ยง ...
วิญญาณไม่เที่ยง...
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้
ทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องต้น (อดีต) ย่อมไม่มี
เมื่อทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องต้นไม่มี
ทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องปลาย (อนาคต) ย่อมไม่มี
เมื่อทิฏฐิเป็นไปตามส่วนเบื้องปลายไม่มี
ความยึดมั่นอย่างแรงกล้า ย่อมไม่มี
เมื่อความยึดมั่นอย่างแรงกล้าไม่มี
จิตย่อมคลายกำหนัดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เพราะหลุดพ้น จิตจึงดำรงอยู่
เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
พระไตรปิฎก (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๒ หน้า ๑๙๔
[๒๘๗] เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ว่า ชนเหล่าอื่นพึงด่า พึงบริภาษ พึงโกรธ พึงเบียดเบียน พึงกระทบกระเทียบท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่พึงกระทำความอาฆาต ไม่พึงกระทำความโทมนัส ไม่พึงกระทำความไม่ชอบใจ ในชนเหล่าอื่นนั้น
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าว่า ชนเหล่าอื่นพึงสักการะ พึงเคารพ พึงนับถือ พึงบูชาท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย ไม่พึงกระทำความยินดี ความโสมนัส ไม่พึงกระทำความเย่อหยิ่งแห่งใจในปัจจัยทั้งหลายมีสักการะเป็นต้นนั้น
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าว่า ชนเหล่าอื่นพึงสักการะ พึงเคารพ พึงนับถือ พึงบูชาท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย พึงดำริอย่างนี้ ในปัจจัยทั้งหลายมีสักการะเป็นต้นนั้นว่า สักการะเห็นปานนี้ บุคคลกระทำแก่เราทั้งหลาย ในขันธปัญจกที่เราทั้งหลายกำหนดรู้แล้วในกาลก่อนๆ
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเล่า ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละเวทนานั้นเสีย เวทนานั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสัญญานั้นเสีย สัญญานั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสังขารเหล่านั้นเสีย สังขารเหล่านั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ชนพึงนำไป พึงเผาหรือ พึงกระทำหญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ ในพระวิหารเชตวันนี้ ตามความปรารถนา ท่านทั้งหลายพึงดำริอย่างนี้ บ้างหรือหนอว่า ชนย่อมนำไป ย่อมเผา หรือย่อมกระทำเราทั้งหลาย ตามความปรารถนา?
ไม่เป็นได้เลย พระเจ้าข้า
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่านั้นไม่ใช่อัตตา หรือบริขารที่เนื่องด้วยอัตตาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... สังขารทั้งหลาย ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน
.
" จิต มโน วิญญาณ ไม่ใช่เรา "
พระไตรปิฎก (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๙๓
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตน หาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
วิญญานคือ "ตัวรู้"....
เมื่อเราไปรู้ในส่วนต่างๆ ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัวนี้เราเรียกว่าวิญญาณ แต่พอมาเป็น"ตัวรู้" สักแต่ว่าตัวรู้ จากส่วนไหนของร่างกายก็ตาม อายตนะของตัวรู้ ตัวเดียว ตัวรู้ตัวนี้มันพัฒนาให้เป็น ภูมิธรรมต่างๆได้ เช่นขณะนี้เรานั่ง เรารู้สึกตัวว่าเรา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง อบอ้าว ตรึงเคร่ง และก็เคลื่อนไหวในส่วนไหน รวมทั้งหมดเป็นตัวรู้ล้วนๆ การที่เรา รับรู้โดยไม่แยกแยะ. ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี้ ตัวรู้จึงเป็นตัวรู้ล้วนๆ มันเป็นตัวรู้ที่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สบายบ้าง ไม่สบายบ้าง เราเห็นมันเฉยๆ เห็นอาการรู้เฉยๆ ไม่ได้ไม่แยกแยะไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี้ ตัวรู้ซึ่งเป็นตัวรู้ล้วนๆ ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าอาการรู้นี้เป็นเรา คือเป็นเราร้อน เป็นเราชอบ เป็นเราไม่ชอบ เป็นเราสุข เป็นเราทุกข์ เป็นเราสบาย เป็นเราไม่สบาย มันยังไม่เป็นตัวนั้น แต่มันเป็น"ตัวรู้เฉยๆ" ตรงนี้เองเป็นที่เราสนใจจะศึกษา เราจะจำกัดขอบเขตของ"การรู้"ให้อยู่แค่"สักแต่ว่า"ได้อย่างไร
ดังนั้น เราจะต้องฝึกฝน ถ้าเราไม่มีการฝึกฝน ไม่มีการพัฒนาตัวรู้นี้มันก็จะไม่เติบโต มันยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว มันยังกระจัดกระจายไปสู่อายตนะต่างๆ มันจะไม่มีพลัง เราเรียกว่าวิญญาณและตัวรู้นี้จะไปที่อายตนะต่างๆ ถ้าเราจะพัฒนาให้เป็นปรมัตถ์ มันจะเหลือตัวญาณหรือตัวรู้ หรือจิต เจตสิกเท่านั้น คือเราจะทำอย่างไรให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวเห็นที่ถูกต้อง จึงจะเป็นตัวพุทธะได้ ทุกคนมีตัวรู้หรือตัวพุทธะอยู่แล้ว แต่อยากจะถามว่ารู้ถูกหรือรู้ผิด ส่วนนี้คือสิ่งที่เราต้องฝึกเพื่อที่จะแยกให้เห็นว่าเรารู้ถูกเป็นอย่างไร รู้ผิดเป็นอย่างไร แล้วรู้ถูก มีผลเป็นอย่างไร รู้ผิดมีผลเป็นอย่างไร ที่เรามาให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวเห็นที่ถูกต้อง จึงจะเป็นตัวพุทธะได้ ทุกคนมีตัวรู้หรือตัวพุทธะอยู่แล้ว แต่อยากจะถามว่ารู้ถูกหรือรู้ผิด ส่วนนี้คือสิ่งที่เราต้องฝึกเพื่อที่จะแยกให้เห็นว่าเรารู้ถูกเป็นอย่างไร รู้ผิดเป็นอย่างไร แล้วรู้ถูกมีผลเป็นอย่างไร รู้ผิดมีผลเป็นอย่างไร ที่เรามาฝึกเจริญสตินั้น เราต้องพยายามทำความเพียรเพื่อรวมตัวรู้ส่งไปสู่อายตนะต่างๆๆให้เป็นตัวรู้เพียงหนึ่งเดียว.
หลวงพ่อพระมหาดิเรก. พุทธยานันโท
" เรื่องทุกข์
เรื่องไม่สบายใจนี่
มัน ก็ไม่แน่หรอกนะ มัน เป็นของไม่เที่ยง
เรา จับจุดนี้ไว้
เมื่อ อาการเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมา
เรา รู้มันเดี๋ยวนี้
เรา...วาง
กำลังอันนี้จะค่อย ๆ เห็นทีละน้อย ๆ
เมื่อมันกล้าขึ้น มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด
ต่อไป...
มัน เกิดตรงนี้
มัน ดับตรงนี้
เหมือนกับน้ำทะเล ที่กระทบฝั่ง
เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง มัน ก็สลายเท่านั้น
คลื่น...ใหม่มาอีก
มัน ก็สลายอีก
มัน จะเลยฝั่งไป ไม่ได้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ฝั่ง"ทะเลอารมณ์"ทั้งหลาย
ที่ผ่านเข้ามา...
มัน ก็เท่านั้นแหละ
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
การเจริญปัญญา
เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง
ก็ต้องอาศัยการระลึก
ให้จรดสภาวะรูปนามที่ปรากฏ
แต่ว่าในการปฏิบัติจริง
ผู้ปฏิบัติใหม่
ยังไม่สามามารถจะระลึกรู้
สภาวะรูปนามได้
ก็จำเป็นต้องอาศัยรู้กรอบนอกไปก่อน
ถ้าจะอุปมาก็เหมือน
สภาวะรูปนามเป็นแกนใน
อันเป็นเป้าหมายในการเจริญสติ
ที่จะต้องเข้าไประลึกรู้
แต่ว่าผู้ปฏิบัติก็อาศัยกรอบนอกไปก่อน
ถ้ากำหนดรู้กรอบนอก
แล้วค่อยเชื่อมโยง
เข้าไปรู้ถึงแกนใน คือสภาวะรูปนาม
ในส่วนของกรอบนอก
ก็มีหลายๆ อย่าง
ที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้
ได้แก่
๑ ลมหายใจเข้าออก
๒ อิริยาบถย่อย การคู้ การเหยียด
การก้ม การเงย การแล การเหลียวฯลฯ
๓ การพิจารณาอาการ ๓๒
พิจารณาเห็นเป็นของปฏิกูล
๔ พิจารณาธาตุ ร่างกายประกอบด้วย
ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
๕ พิจารณาการเป็นซากศพ
เพื่อให้เห็นเป็นของไม่งาม เป็นต้น
เมื่อจิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ตัดความคิด ความฟุ้งซ่าน
เรื่องราวภายนอกอะไรต่างๆ ออกไป
จิตใจตั้งมั่นดี
ก็น้อมระลึกเข้าไปสู่แกนใน คือ รูปนาม
รูปที่กาย ก็มีความเย็น ความร้อน
ความอ่อน ความแข็ง
ความหย่อน ความตึง เป็นรูปธรรมต่างๆ
นาม ก็เป็นความรู้สึก
รู้สึกตึง รู้สึกหย่อน รู้สึกไหว
รู้สึกแข็ง อ่อน เย็น ร้อน
รู้สึกสบาย ไม่สบาย เป็นนามธรรม
จิตที่มีสติเข้าไปทำหน้าที่กำหนดรู้
เข้าไปรู้ เข้าไปพิจารณา
พิจารณาเป็นนามธรรม
เช่น เวลาที่ความไหว กำลังปรากฏ
มีการระลึกรู้
ก็จะเท่ากับว่ามีความไหว อย่างหนึ่ง
มีจิตที่เข้าไปรู้ความไหว อย่างหนึ่ง
ความไหวๆ นี้เป็นรูปธรรม
จิตที่เข้าไปรู้ความไหว ก็เป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้นเบื้องแรกอาศัยกรอบนอก
คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก
แล้วก็เชื่อมโยงเข้ามารู้แกนใน
คือ รูปธรรม นามธรรม ที่กำลังปรากฏ
จนกระทั่งเห็นความเปลี่ยนแปลง
เกิดดับของรูปนาม
เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จะเกิดวิปัสสนา เป็นปัญญา
รู้ตามความเป็นจริงขึ้นมา
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
“สัมผัสทั้ง ๖ ไม่ใช่ของเรา”
...พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา คำว่าขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังนั้น ก็หมายความว่ามันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนาคือความสุข ทุกข์ เฉย ๆ มีสัญญาคือความจำ มีสังขารคือความคิด มีวิญญาณคือความรู้ วิญญาณเกิดขึ้นเนื่องจากรูปกระทบตาก็เกิดวิญญาณทางตา เรียกจักษุวิญญาณ เสียงกระทบหูก็รู้ทางหู เรียกว่าโสตวิญญาณ กลิ่นกระทบจมูกก็รู้ทางจมูก ก็เรียกว่าฆานวิญญาณ รสกระทบลิ้นก็รู้ทางลิ้นเรียกว่าชิวหาวิญญาณ กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เรียกว่ากายวิญญาณ ธรรมารมณ์กระทบใจ มโน ก็เรียกว่ามโนวิญญาณ
อันนี้ท่านบัญญัติออกมา วิญญาณ ๖ คือวิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็คือความรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั่นเอง มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย
เมื่อรูปกระทบตามันก็รู้ทางตา เมื่อมันผ่านไป ความรู้ทางตาก็ดับไปนั่นเอง เสียงกระทบหูมันก็รู้ทางหู เมื่อเสียงนั้นดับไป ความรู้ทางหูก็ดับไป กลิ่นกระทบทางจมูก เมื่อกลิ่นมันกระทบมา โชยมา ก็รู้ทางจมูก เมื่อมันดับไป ความรู้ทางจมูกก็ดับไป
แม้แต่ความคิดนึกปรุงแต่ง ความจำ เมื่อรู้ทางใจมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ความรู้ก็ดับไปตามกันไปทุกขณะทุกขั้นทุกตอน รูป ตา ความรู้ทางตา ท่านเรียกว่าผัสสะคือสัมผัส เสียง หู ความรู้ทางหู ๓ ส่วนนี้ท่านเรียกว่าผัสสะ กลิ่น จมูก ความรู้ทางจมูก ๓ ส่วนนี้เกิดขึ้น ท่านก็เรียกว่าผัสสะ จนไปถึงความรู้ทางใจ
เมื่อธรรมารมณ์กับใจ ก็รู้ทางใจขึ้น ท่านก็เรียกว่าผัสสะเกิด ผัสสะนั้นก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป ดับไปทุกขณะ ทุกสัมผัสนั่นเอง
เมื่อมันดับไปแล้ว มันคงอยู่ไม่ได้ มันจะเป็นของเรา เป็นตัวเราได้อย่างไร พินิจพิจารณาสังเกตมันให้บ่อย ๆ รูปก็ไม่ใช่ของเรา เสียงก็ไม่ใช่ของเรา กลิ่นก็ไม่ใช่ของเรา รสก็ไม่ใช่ของเรา เย็นร้อนอ่อนแข็งสัมผัสก็ไม่ใช่ของเรา แม้แต่กายที่ตั้งอยู่นี้ก็ไม่ใช่ของเรา มันเป็นธาตุทั้ง ๔ หมด ความจำ ธรรมารมณ์ ความคิดก็ไม่ใช่ของเรา ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสก็ไม่ใช่ของเรา ความสัมผัสก็ไม่ใช่ของเรา มันเกิดขึ้นแล้วดับไปหมด
เหตุนั้นถ้าเราใช้สติ ฝึกสติให้มาก มีสติต่อเนื่องทันปัจจุบัน ศึกษามันอยู่เรื่อย ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เราจะเห็นสิ่งที่มาสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดขึ้นแล้วดับไป ความสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เกิดขึ้นแล้วดับไปตามกันหมด แล้วมันจะเป็นของเราได้อย่างไร มันจะเป็นตัวเราได้อย่างไร
ทีนี้ความหลงน่ะสิ ความคุ้นเคย ความเคยชิน เคยสำคัญหมายว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นตัวเรา มันเป็นของเรา รูปก็เป็นของเรา เสียงก็เป็นของเรา เป็นของเขา เป็นตัวเขา กลิ่น รส สัมผัส แม้แต่ความคิดความจำมันก็เหมือนกัน มันเคยสำคัญผิดว่าเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา หรือเป็นเขาอยู่ในนั้น มันเลยวุ่นวายไปตามสมมติตรงนั้น ไม่เห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วมันดับไปหมด เกิดแล้วดับหมด
ถ้าเรามีสติตั้งมั่นอยู่ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ หรือตั้งมั่นในรูปในนามตรงนี้ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของรูปของนามอยู่ทุกขณะ เกิดขึ้นแล้วดับไปหมด แล้วมันจะเป็นของเราได้อย่างไร เป็นตัวเราได้อย่างไร...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “สัมผัสทั้ง ๖ ไม่ใช่ของเรา”
เทศน์ที่ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เช้า
รับฟังฉบับเต็ม
ผู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาชัด
กับผู้เปิดประตูพระนิพพานก็มีความหมายอันเดียวกัน
ผู้เห็นพร้อมกับลมเข้าลมออกก็ยิ่งดี พร้อมกับอิริยาบทที่เคลื่อนไหวไปมา
พร้อมทั้งขณะจิตที่นึกคิดอีกด้วย เดี๋ยวก็นึกอันนั้น เดี๋ยวก็นึกอันนี้
ก็คืออนิจจังอันละเอียดนั่นเอง ไม่ใช่อันอื่นเลย พูดแต่ละคำ แต่ละคำ เดี๋ยวนี้
ก็คืออนิจจังในส่วนละเอียดนั่นเอง ผู้เทศน์ก็เอาอนิจจังเทศน์ ผู้ฟังก็เอาอนิจจังฟัง
เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว ก็เลยกลายเป็นศีล สมาธิ ปัญญา กลายเป็นธรรมะไป
ผู้เทศน์ก็เอาใจเทศน์ เอาอนิจจังอันละเอียดเทศน์
ผู้ฟังก็เอาอนิจจังอันละเอียดฟังเพราะคำพูดคำเทศน์แต่ละบท
แต่ละบาทก็ดับไปเป็นตอนๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตอนๆ
ติดต่อกันถี่ยิบ จะเทศน์ตลอดรุ่งก็มีแต่อนิจจังเท่านั้น ทุกขัง อนัตตาเท่านั้น
เพราะเกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนดับไปในคำพูดแต่ละคำ แต่ละคำ
และฟังแต่ละบทแต่ละบาทก็เหมือนกัน เหมือนพยับแดด มันจะแดดวันยังค่ำ พยับแดดก็ ผับๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้น จะเกิดดับแปรปรวนอยู่อย่างนั้น
สัญญาความจำของพวกเรายิ่งดับเร็วกว่าพยับแดดอีกด้วย
___________________________
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต