“เหตุบังเอิญไม่มีในโลก
ทุกอย่างถูกจัดสรรตาม
เหตุและผล สามารถจะ
เปลี่ยนแปลงไปในทาง
ที่ดีได้ ด้วยการทำความ
ดีในปัจจุบัน”
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ทำอย่างไร? จึงจะอยู่..เหนือทุกข์ เหนือโลก
.
“เราจะอยู่เหนือความทุกข์ โผล่ขึ้นมาจากความทุกข์ ให้จิตใจอยู่เหนือความทุกข์ได้อย่างไร? ที่เรียกว่า อยู่เหนือทุกข์เหนือโลก หรือเป็น “โลกุตตรธรรม” มันจะต้องทำลาย “ตัวกู” นี้ให้หมดไป อย่าให้ตัวกูหรือ “ของกู” นี้ครอบงำ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
.
แล้วจะทำอย่างไรกัน? เรื่องมันก็ต้องอยู่ตรงที่ว่า จะต้องมีสติ สัมปชัญญะ ระมัดระวัง ในเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นต้น อย่าให้มันปรุงเป็น “เวทนา” ขึ้นมา ให้มันเป็นเพียง “ผัสสะ” คือการกระทบ ที่ตา ที่หู พอรู้ว่าเป็นรูป เป็นเสียง แล้วก็ดับไป อย่าให้กลายเป็นเวทนา มีรส มีชาติ อย่างนั้น อย่างนี้ ขึ้นมา
.
สติที่บริบูรณ์ที่สุดนั้น มันมีอยู่อย่างนี้ คือ คอยคุม ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย เป็นต้น เมื่ออารมณ์มากระทบที่นั่นแล้ว ให้รู้ทันท่วงทีว่า นั่นสักว่ารูป นั่นสักว่าเสียง นั่นสักว่ากลิ่น นั่นสักว่ารส มีลักษณะอาการเป็นเช่นนั้นๆ อย่าเพ่อให้เป็นเวทนา เอร็ดอร่อย หรือไม่อร่อยขึ้นมา หรือว่า ถ้าจะต้องจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร ก็ให้จัดการไปด้วยสติ สัมปชัญญะ ในลักษณะที่เป็นเพียงผัสสะ ก็ได้ เช่นว่า กินอาหารเข้าไปในปาก ก็รู้แต่เพียงว่า มันเป็นสิ่งที่กินได้ แล้วก็กินเข้าไป อย่าไปสนใจในข้อที่ว่า มันอร่อย หรือไม่อร่อย ก็แล้วกัน นี่เรียกว่ารู้สึกเพียงผัสสะ แล้วก็กินอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ไม่มีปัญหาว่า อร่อยหรือไม่อร่อย มันก็ปลอดภัยอย่างยิ่ง
.
ที่นี้ สมมุติว่าพ่ายแพ้แก่มันในชั้นนี้ ควบคุมให้เป็นเพียงผัสสะไม่ได้ เป็นเวทนาขึ้นมาเสียแล้ว คือ อร่อยหรือไม่อร่อยเสียแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่จะต้องต่อสู้กับมันอีกยกหนึ่ง คือว่าควบคุมเวทนานั้นไว้ อย่าให้ปรุงเป็น “ตัณหา” ขึ้นมาได้ ให้เวทนาสักว่าเวทนา แล้วก็ดับไป คือ เวทนาที่เป็นความอร่อย ก็ให้พอรู้สึกว่าอร่อย แล้วก็ให้ดับไป อย่าให้ปรุงเป็นความอยากคือ “ตัณหา” ขึ้นมา หรือว่าเวทนาที่เป็นความไม่อร่อย ก็ให้รู้สึกว่าไม่อร่อย แล้วก็ให้ดับไป อย่าให้เป็นความอยาก อย่างโน้น อย่างนี้ ในทำนองที่ตรงกันข้ามขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่า เวทนานั้นไม่ปรุงให้เป็นตัณหา
.
เวทนาที่อร่อยก็ไม่ปรุงเป็น กามตัณหา หรือ ภวตัณหา เวทนาที่ไม่อร่อยก็ไม่ปรุงเป็นวิภวตัณหา แปลว่า ตัณหาทั้ง ๓ ไม่ถูกปรุงขึ้นมา ด้วยอำนาจของเวทนาใดๆหมด มันก็หยุดกันเพียงเท่านั้น คือมันไม่มีตัณหาเกิดขึ้น ความทุกข์ก็ไม่มี
.
แต่ถ้าเวทนาปรุงเป็นตัณหาเสียแล้ว มันช่วยไม่ได้ เพราะว่าหลังจากตัณหาแล้ว “ตัวกู” ก็โผล่หัวออกมาทันที เป็นเจ้าของตัณหา เป็นตัวกูที่จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ยึดถืออย่างนั้น ยึดถืออย่างนี้ เป็นตัวกูที่เกิดออกมาเป็นชาติ เป็นภพ เป็นชาติแล้วมันก็ต้องทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะว่า ถ้าเป็นตัณหาเสียแล้วมันก็ต้องทุกข์โดยแน่นอน.”
.
พุทธทาสภิกขุ
“ถอนไส้ตะเกียง ออก” แสงสว่างก็ดับหมด ถ้าถอน ตัวเรา ออกจาก สมมติ อันนั้นเสียแล้ว มันก็เหมือน ถอนไส้ตะเกียงออก แสงสว่างก็ดับหมด
“เราถอน” “ตัว” ออกมา สำคัญว่า “เป็นตัวเป็นตน” “เป็นเรา” “เป็นเขา” “กูดี” “กูชั่ว” “กูโง่” “กูฉลาด” ถอนมันทิ้งเสีย อย่าให้มีในที่นั้น
อาการต่างๆ ก็ ดับไป เหมือนกันกับ ไส้ตะเกียง
ถอนออกดู ความสว่างก็หายหมดข้างนอก มันอาศัย ไส้ตะเกียง กับ ไฟ เป็นอยู่ มันอาศัย ตัวเรา ว่า ตัวกู ของกู นี้แหละ ตัวเขา ตัวเรานี้แหละ เข้าไปหมายไว้
ถ้าสุขก็ว่าเราสุข ถ้าทุกข์ก็ว่าเราทุกข์ เป็นอะไร ก็ว่า เราเป็นอันนั้นแหละ เอา "เรา" ไปใส่ไว้ที่นั้นนี้แหละมันจึงเป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ไปรอบด้าน
เพราะ ธรรม นั้นเป็น "อนัตตา"
ไม่ใช่เรา เราเอา "เรา" เข้าไปใส่ ขืนดื้อเข้าไปใส่นี้เรียกว่า "ประมาท" จะไปถอนที่ไหนล่ะ? ถอนไม่ได้เพราะไปหมายมั่นเข้าไป
ให้รู้ตามเป็นจริง ก็ถอน ความเห็น" นั้นออกมาเสีย ถอนความเห็นผิดออกซะ เอาความเห็นถูกเข้าไปใส่ไว้
"สงบ" ท่านหมายถึง "ว่าง" "ว่าง" จึงว่า ความสงบ สงบจาก สุข หรือ ทุกข์ อันนั้น ที่นั้น ว่าง จาก สุข ทุกข์ ที่สงบหมด
เรื่องแก้ไขไม่มีที่แก้ไขมันอีก ถึงความสงบแล้ว
หมดสังขารที่จะเข้า ปรุง เข้า แต่งมัน จะปรุงแต่งได้เพราะมีตัวมีตนมีเรา มีเขา มีสุข มีทุกข์ เท่านั้น
ถ้าถึงที่นั้นแล้ว ไม่มีที่แก้ไขแล้ว หมดที่แก้ไข ดังนั้น ธรรมนั้น จึงเป็นธรรมที่เป็น "ปัจจัตตัง เวทิตัพ โพ วิญญูหิ วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน"
เหมือนกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เข้าไปเห็นแล้วเป็นของรู้เฉพาะตนเอง
ธรรมนั้นประกาศไม่ได้
ธรรมนั้นแสดงไม่ได้ เอาให้ไม่ได้ ธรรมนั้นเป็นปัจจัตัง ใครเข้าถึงก็เห็นเองรู้เอง
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
พวกเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอัน
ชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
รูป..อย่างใดอย่างหนึ่ง...
เวทนา..อย่างใดอย่างหนึ่ง...
สัญญา..อย่างใดอย่างหนึ่ง...
สังขาร..เหล่าใดเหล่าหนึ่ง...
วิญญาณ..อย่างใดอย่างหนึ่ง...
ทั้งที่..เป็นอดีต ทั้งที่..เป็นอนาคต ทั้งที่..เป็นปัจจุบัน
เป็น ไป..ในภายใน หรือ มี...ในภายนอก ก็ตาม
หยาบ หรือ ละเอียด..ก็ตาม เลว หรือ ประณีต..ก็ตาม
อยู่ในที่ไกล หรือ ในที่ใกล้ ก็ตาม ทั้งหมดนั่น
ไม่ใช่"ของเรา" ไม่ใช่"เรา" ไม่ใช่"อัตตา"ของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อม"เบื่อหน่าย" แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา
แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อม"คลายกำหนัด" เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น
เมื่อ"จิตหลุดพ้นแล้ว" ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ
มหาปุณณมสูตร
วิถีจิตที่จะดำเนินไปสู่ความหลุดพ้น
ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ไม่ไหล ไม่ดึง ไม่ผลัก
มีแค่ รู้ รู้กาย รู้ใจ รู้สิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าตามที่มันเป็น
ให้ฝึกบ่อยๆ จำไว้นะ มันไม่มีอะไรแน่
มีเจริญ แล้วก็เสื่อมเป็นธรรมดา เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวไม่เห็น
เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวไม่รู้ ไม่ต้องไปรักษา รู้เท่าที่รู้ในปัจจุบัน
เมื่อใดที่จิตสลัด สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย เพราะเห็นแล้ว
ถึง"ความไม่ควรเข้าไปยึด" จิต"รู้"อยู่"ที่จิต"เอง
โดยไม่ต้องประคองรักษา เมื่อนั้นประตูแห่งอมตะ
ย่อมอยู่ในที่ใกล้นั่นเอง
.............................................
ความหลุดพ้น หมายถึงว่า
หลุดออกมาจาก สังสารวัฏ
หลุดออกมาจาก ความยึดถือ เป็นตัวตน
หลุดออกมาจาก ความวนเวียนไม่จบสิ้น
สังสารวัฏนี้ หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
คนเกิดมา มีความสุขก็อยากเกิดอีก
คิดว่า เราจะมีความสุขอีก
คนเกิดมาทุกข์ ก็อยากเกิดอีก
เพราะคิดว่า เราจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่
มีแต่ความเป็นเราทั้งนั้น...สนองความเป็นเรา
ผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนจะเห็นว่า
มีเราทุกคราว เป็นทุกข์ทุกครั้ง
ความหลุดพ้นคือไม่มีใคร
ไปเป็นเรา...เขา เพื่อวนเวียนอีก
และไม่มีความเป็นเรา...เขา ที่หลุดพ้นด้วย
ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น
.
“การศึกษาหลักพระพุทธศาสนา ต้องเป็นไปเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอ ถ้าเรื่องนี้สอนไปในทางยึดมั่นถือมั่นละก็ เป็นอันว่า...ปัดทิ้งได้เลย หลักเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ จะเป็นหลักที่เด็ดขาดตายตัว”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม ๑” ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ ระบบบ้าๆบอๆของเรา จะใช้ได้หรือ? ”
----------------------------------------------------
คำว่า “ทุกข์..เพราะยึดมั่น” เข้าใจง่ายกว่า
“ การพูดว่า...ทุกข์เพราะยึดมั่น นั้นถูกกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า กว่าที่จะพูดว่า “ทุกข์เพราะตัณหา” เพราะยึดมั่นสิ่งใดก็หนักอกหนักใจเพราะสิ่งนั้น และ ตามกฏ "ปฏิจจสมุปบาท" ก็กล่าวว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ-ชาติ-ทุกข์ นั่นคือ ตัณหาต้องปรุงเป็นอุปาทานเสียก่อน คือยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเกิดความหนัก และเป็นทุกข์ได้ ในบทว่า "ภารา หะเว ปัญจักขันธา ภาราทานัง ทุกขังโลเก" ดังนี้."
พุทธทาสภิกขุ
-------------------------
พุทธวจนะ
“ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของมิคารมาตา ณ บุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ..ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า...
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้วด้วยธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"จอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม เธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด พิจารณาเห็นความดับ และพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งในเวทนาทั้งหลายนั้นอยู่ เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด พิจารณาเห็นความดับ และพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งในเวทนาทั้งหลายนั้นอยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสได้เฉพาะตนและรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป"
.
จอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้วด้วยธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
จูฬตัณหาสังขยสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย(มจร.)
ม. มู. ๑๒/๓๙๐/๔๒๐-๔๒๒
พวกเราอะไร ๆ ก็ดี สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
พวกศรัทธาทั้งหลายก็นับว่าเป็นผู้สูง เป็นผู้สูงอยู่แล้ว
ศรัทธาก็มีอยู่แล้ว ให้สดับรับฟังแล้วก็มีแต่จะทำเอา
เท่านั้นแหละ ให้พากันทำเอามันจะไหน ธรรมทั้งหลาย
มันก็อยู่นี่แหละ แก่นมันแท้คือสติ ให้ทำเอา ทำให้มีกำลัง
ครั้นสติดีแล้ว มันรักษาจิตของมันไม่ให้ส่ายออกไปตามอารมณ์
สติ...ขนาบเข้ามา ๆ สติแก่กล้ามันเป็นอย่างนั้นแหละ
ครั้นสงบลงแล้ว เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา
มันก็ส่ายไป พอมันไปหลาย ๆ ครั้ง มันเป็นอาการของมัน
มันไปตามแง่ของมันคือ เวทนามันเป็นเพียงแสงของจิต
สัญญามันก็เป็นแสงของจิต สังขารความปรุงมันก็เป็นแสงของจิต วิญญาณที่รู้ทวารทั้ง ๖ ก็เป็นแสงของจิตออกไปทั้งนั้น
ผู้รู้แท้ ๆ ถ้าจะสมมติว่าตนก็แม่นจิต เจ้าสตินั่นแหละ
สมมติว่าตน นอกจากนั้นเป็นอาการทั้งนั้น
รูป...อันนี้ก็เป็นแต่เพียงธาตุประชุมกัน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกันเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อจิตสงบลงไป เวทนาก็ดับแล้ว
พอมันสงบลงไปคนไม่มี อะไรล่ะมันจะมาเจ็บ มาทุกข์
อะไรล่ะมันจะมาจำ คนไม่มี มันสว่าง ๆ ขึ้น
เมื่อจิตสงบลง ละมันสว่างโร่ขึ้น ว่าง ๆ ความจำหมายก็ไม่มี ความปรุงก็ไม่มี
วิญญาณที่รู้ไปทางทวารทั้ง ๖ มันก็ไม่มี มันดับเอง
เพราะว่า ของ"ไม่มี" หมดแล้ว
หลวงปู่ขาว อยาลโย
ถาม: อยากให้ท่านอาจารย์อธิบาย
"สีลัพพตปรามาส" ในแง่ปฏิบัติ
ท่านอาจารย์:
#ก็เพราะเป็นผู้บ่รู้จริง ความเป็นจริงนั่นแหละให้เป็นไป เป็นผู้ลูบคลำ
#ผู้สงสัย #โย้หน้าโย้หลัง #บ่ตัดสินใจลงได้
กัมมวัฎฎะ กิเลสวัฎฎะ มันเกิดขึ้นจากไหน
เกิดขึ้นจากกรรม กรรมกิเลสตัวนี้ ตัวนี้เป็นตัววัฏฎะ
อันนี้มามันก็วนอย่างโน้น อันนี้มาก็เป็นอย่างหนึ่ง
ถ้าบ่มีมัน ก็ถึงหมดแล้ว จะสงสัยอะไรมหา
สีลัพพตปรามาส
ถาม: สงสัยที่ว่า ลูบคลำสีลัพพต
ที่ว่าเราแปลตามศัพท์ ศีล
เอาละ สีลัพพต ข้อวัตรปฎิบัติต่างๆ
ศีลที่เรารักษาก็ตามที่ว่า สีลัพพต
แปลว่าการลูบคลำศีลพรต
ในทางปฎิบัติอยากจะทราบว่า ถ้าอธิบายตามแบบก็คือว่า รักษาศีล หรือ ปฎิบัติอย่างนี้เพื่อหวังอยากเป็นเทพเจ้า เป็นเทพองค์นี้ อยากได้เป็นโน่นเป็นนี่ แนวในทางปฎิบัติมันเป็นอย่างไร ที่มันจะเป็นสีลัพพตปรามาส หรือว่าไปยีดศีล ไปยึดวัฎฎะ
ไอ้นี่ดี ไอ้นี่ไม่ดี
ท่านอาจารย์: สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสนี่ คนไม่ได้ยึด มีแต่คนละออก พูดง่ายๆ #ละสังโยชน์
แต่เรามาพิจารณาตอนนี้ว่า
พระโสดาบันละสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส
ไม่ต้องพูดเป็นปัญหาเลย
ละสักกายทิฎฐิเท่านั้นก็พอแล้ว
ในนั้นมันรวมหมดแล้ว
คือหมายความว่าละสักกายทิฎฐิเหล่านั้น
มันก็หมดไปแล้ว ไม่มีปัญหาเลย เราไม่มีตนเลย
พระโสดาบันท่าน
ไม่เห็นกายโดยเป็นตน ไม่เห็นตนโดยเป็นกาย
ไม่เห็นกายมีในตน ไม่เห็นตนมีในกาย
ไม่เห็นเวทนาโดยเป็นตน ไม่เห็นตนโดยเป็นเวทนา
ไม่เห็นเวทนามีในตน ไม่เห็นตนมีในเวทนา
ไม่เห็นสัญญาโดยเป็นตน ไม่เห็นตนโดยเป็นสัญญา
ไม่เห็นสัญญามีในตน ไม่เห็นตนมีในสัญญา
ไม่เห็นสังขารโดยเป็นตน ไม่เห็นตนโดยเป็นสังขาร
ไม่เห็นสังขารมีในตน ไม่เห็นตนมีในสังขาร
ไม่เห็นวิญญาณโดยเป็นตน ไม่เห็นตนโดยเป็นวิญญาณ
ไม่เห็นวิญญาณมีในตน ไม่เห็นตนมีในวิญญาณ
#พระโสดาบันนี่ท่านไม่ได้ถือขันธ์ว่าเป็นตน
#เมื่อเป็นเช่นนี้พระโสดาบันท่านเห็นอะไรเป็นตน
เห็นตนเป็นอะไร เห็นอะไรมีในตน เห็นตนมีในอะไร มันยุ่งกันอยู่นี่ละ
ท่านเจ้าคุณ: ให้ฟังกันให้ดีนะ
ท่านอาจารย์จวน:
#เห็นกรรมเป็นตน #เห็นตนเป็นกรรม
#เห็นกรรมมีในตน #เห็นตนมีในกรรม
มันยังแก้ไม่ตกนี่นะ กรรมกิเลส กัมมวัฏฏะ มันเป็นวิบากอยู่นี่ ราคะ โมหะ โลภ โกรธ หลง ตัณหาล้วนแต่เป็นกรรมหมด เป็นเหตุเป็นปัจจัย อวิชชา ตัณหา สังขาร มันเป็นกรรมหมดแหละ
ท่านเจ้าคุณ: เอาละเมื่อเห็นอย่างนี้ เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เป็นตน มันเป็นอนัตตา เพราะขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ผู้เห็นนี่เป็นปัญญา หรือเป็นอะไร
ท่านอาจารย์จวน: เป็น "ปัญญา" ครับผม
ท่านเจ้าคุณ: ปัญญาเป็นผู้เห็น นี่ปัญญาที่เห็นนี่ ไอ้ตัวที่เห็นนี่ทางฝ่ายปฏิบัติท่านเรียกว่าอะไร
ครับ
ท่านอาจารย์จวน: ปัญญาท่านเห็น "ตัวเหตุ" ให้เป็นวัฏฏะ ให้เกิดทุกข์ เห็นกิเลส เห็นตัณหา ตัวสมุทัย
#แต่ว่าพระโสดาบันนี่วิปัสสนาญาณไม่แก่กล้า
#แต่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในตนเกี่ยวพันอยู่กับตน
#มีกรรมกิเลส กรรมกิเลสเป็นตัววัฏฏะให้หมุนอยู่
#เพราะฉะนั้นท่านจึงพยายามละตัวนี้ #ทำลายตัวนี้ไม่ให้มีกำลัง มีแต่ให้อ่อนลงไปให้หมดไป
#เพราะฉะนั้นพระโสดาบันที่ท่านอายุ ๗ ขวบ
#ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าสำเร็จโสดาท่านได้ศึกษามาจากไหน ?
พระพุทธเจ้าท่านว่ากรรมมันเป็นบาป กรรมตัวนี้มันเป็นบาป อย่าไปทำ
#ท่านก็เชื่อต่อกรรม #เชื่อต่อผลของกรรม เชื่อต่อวิบากของกรรม เชื่อต่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
#ท่านจึงเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น
+++++
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
เซน กับ “ความว่าง”
โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท
.
“ ได้อ่านหนังสือของเซนที่พวกเซนเขาแต่ง พวกเซนเป็นพวกมุ่งปฏิบัติ เขาไม่ใคร่สอนกันเป็นคำพูดนัก เป็นต้นว่า พระเซนรูปหนึ่งนั่งหาวนอนขณะภาวนา อาจารย์ก็ถือไม้มาฟาดเข้าที่กลางหลัง ลูกศิษย์ที่ถูกตีก็พูดว่า “ขอบคุณครับ” เซนเขาสอนกันอย่างนั้นสอนให้เรียนรู้ด้วยการกระทำ
.
วันหนึ่ง พระเซนนั่งประชุมกัน ธงที่ปักอยู่ข้างนอกก็โบกปลิวอยู่ไปมา พระเซนสององค์ก็เกิดปัญหาขึ้นมา ทำไมธงจึงโบกปลิวไปมา องค์หนึ่งว่าเพราะมีลม อีกองค์ก็ว่าเพราะมีธงต่างหาก ต่างก็โต้เถียงโดยยึดความคิดเห็นของตน อาจารย์ก็เลยตัดสินว่า มีความเห็นผิดด้วยกันทั้งคู่ เพราะความจริงแล้ว ธงก็ไม่มี ลมก็ไม่มี
.
นี่ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ อย่าให้มีลม อย่าให้มีธง ถ้ามีธงก็ต้องมีลม ถ้ามีลมก็ต้องมีธง มันก็เลยจบกันไม่ได้สักที น่าเอาเรื่องนี้มาพิจารณา วางให้มัน“ว่าง”จากลม “ว่าง”จากธง ความเกิดไม่มี ความแก่ไม่มี ความเจ็บตายไม่มี มันว่าง ที่เราเข้าใจว่าธงเข้าใจว่าลมนั้น มันเป็นแต่“ความรู้สึก”ที่สมมุติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงมันไม่มี น่าจะเอาไปฝึกใจของเรา
.
ใน “ความว่าง” นั้น มัจจุราชตามไม่ทัน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตามไม่ทัน มันหมดเรื่อง
.
ถ้าไปเห็นว่า มีธงอยู่ ก็ต้องมีลมมาพัด ถ้ามีลมอยู่ ก็ต้องไปพัดธง มันไม่จบสักที เพราะความเห็นผิด แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบแล้ว ลมก็ไม่มี ธงก็ไม่มี ก็เลยหมด หมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอย่าง
.
ถ้าเป็นโลกียวิสัย ก็สอนกันไม่จบไม่แล้วสักที เราฟังก็ว่ามันยาก เพราะมันเป็นปัญญาโลกีย์ หากเราพิจารณาได้เราก็มีปัญญามาก พระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน เมื่อตอนที่ท่านครองโลกอยู่ ท่านก็มีปัญญาโลกีย์ ต่อเมื่อท่านมีปัญญามากเข้า ท่านจึงดับโลกีย์ได้ เป็นโลกุตตระ เป็นผู้เลิศในโลก ไม่มีใครเหมือนท่าน
.
ถ้าเราทำความคิดไว้ในใจให้ได้ดังนี้ เห็นรูป ก็ว่ารูปไม่มี ได้ยินเสียง ก็ว่าเสียงไม่มี ได้กลิ่น ก็ว่ากลิ่นไม่มี ลิ้มรส ก็ว่ารสไม่มี มันก็หมด ที่เป็นรูปนั้นก็เพียงความรู้สึก ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าความรู้สึก ที่มีกลิ่นก็สักแต่ว่ามีกลิ่น เป็นเพียงความรู้สึก รสก็เป็นแต่เพียงความรู้สึก แล้วก็หายไป ตามความเป็นจริงก็ไม่มี
.
รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ นี้เป็นโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตตระแล้ว รูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร เมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี เมื่อตัวเราไม่มี ของเราก็ไม่มี ของเขาก็ไม่มี ความดับทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้ คือ ไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข นี่..พอทุกข์เข้าก็เรียกว่าเราทุกข์ เพราะเราไปเป็นเจ้าของ มันก็ทุกข์ สุขเกิดขึ้นมา เราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข ก็เลยยึดมั่นถือมั่น อันนั้นแหละ เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก ไม่จบ”
.
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ที่มา : ธรรมเทศนา หัวข้อเรื่อง “สองหน้าของสัจจะ” เทศนาแก่ที่ประชุมสงฆ์ วัดหนองป่าพง ในระหว่างพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๑๙
--------------------------------------
“ความว่าง” จากตัวตน...พุทธทาสภิกขุ
.
“….สิ่งที่สามาถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ ปรมัตถธรรม โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ “สัมมาทิฏฐิ” ชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ“สุญญตา”(ความว่าง)ได้อย่างชัดแจ้ง การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็น “ความไม่มีตัวตน” ที่ถาวร มีแต่ “นามธรรม”(จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ “รูปธรรม”(ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
.
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ“ว่างจากตัวตน”โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความไม่มีการเกิดของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร
.
เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ “สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป” จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป ฉะนั้น “ความตายจึงไม่มี” สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย”
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
เลวกว่าเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา
ก็จะทนงตน ฮึกเหิมลำพอง
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเสมอเขา
ก็จะหาทางแข่งขัน อยากดีเด่น ดังกว่าเขา
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเลวกว่าเขา
ก็จะรู้สึกน้อยใจ หรือดูถูกตนเอง
》วางใจให้เป็นกลาง
ทำอัตตาอัสมิมานะให้ดับไปให้ได้ อาสวะทุกตัวย่อมสิ้นเอง สังโยชน์ถ้าเห็นถูกละรอล่วงหน้าได้เลยนะ แต่ยังไม่สมุจเฉทปหาน
...สัมมาทิฏฐิ.คือความเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลาย
เหล่านี้มันเป็นของไม่แน่นอน.
พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าท่านจึงไม่ได้ยึด
มั่น..ท่านยึดไม่ให้มั่น..ไม่ใช่ท่านยึดมั่น.
ยึดไม่ให้มั่น คือยึดไม่ให้มันเป็นภพ..ตัวยึดที่
ไม่ได้เป็นภพคือไม่มีตัณหาเข้าไปปะปน.
มันไม่ต้องเป็นนั่นไม่ต้องเป็นนี่..มันหมดมัน
สิ้นในการกระทำอย่างนั้น.
เมื่อมันยึดมาแล้ว..มันยินดีไหม..มันยินร้าย
ไหม..เมื่อมันยินดีแล้วมันยึดในความยินดี
นั้นไหม..มันยึดในความร้ายนั้นไหม.
ทิฏฐิ..คือความเห็น หลักที่จะเป็นที่วัดให้เรา
รอบรู้พอสมควร..เพื่อเราจะเรียนรู้..เพื่อเรา
จะพิจารณาก็มีอยู่เหมือนกัน.
เช่น.ความเห็นที่ว่าเราดีกว่าเขา..เห็นว่าเรา
เสมอเขา..เห็นว่าเราโง่กว่าเขา..นี่เป็นความ
เห็นอันผิดทั้งนั้น..แต่ท่านก็เห็น.
ท่านเห็นแล้วท่านก็รู้ด้วยปัญญา.เกิดขึ้นแล้ว
มันก็ดับของมันไป.
เห็นว่าตัวเราดีกว่าเขานี่ก็ไม่ใช่.
เห็นว่าเราเสมอกับเขานี่ก็ไม่ใช่.
เห็นว่าตัวนี้มันโง่กว่าเขาก็ไม่ใช่.
ความเห็นซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐินี่มันตัดต้นตัด
ปลายไปหมดล่ะ..มันจะไปตรงไหนล่ะ
เห็นว่าเราดีกว่าเพื่อน..เราก็ทะนงตัว มันก็
มีอยู่ในนั้นแหละ แต่มันยังไม่รู้จัก..เห็นว่า
เราดีเสมอกับเพื่อน มันก็ตีเสมอกันเท่านั้น
เห็นว่าเราเลวกว่าเขานั้น เราก็ตกใจ..คิด
อาภัพอับจน..มันก็อุปาทานขันธ์ห้า มันเป็น
ภพชาติทั้งนั้นแหละ..นี่เป็นเครื่องตัดสิน.
อีกอย่างหนึ่งเช่นว่า..เราได้อารมณ์ที่ดี
เราถึงดีใจ..อารมณ์ที่ไม่ดี เราก็เสียใจ
เราวัดดูไหมว่า..อารมณ์ที่เราไม่ชอบกับ
อารมณ์ที่เราชอบนั้น มันมีราคาเท่ากันไหม
นี่..ให้เอาไปวัดดูซี่.
ที่เราอยู่ทุกวันนี้ อารมณ์ที่เราอาศัยอยู่นี้นะ
เราได้อารมณ์ที่ชอบใจแล้วใจเราเปลี่ยนไหม
เมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจแล้วมันเปลี่ยน
ไหม หรือมันคงที่.
ดูตรงนี้ก็ได้เป็นพยานอันหนึ่งนะ..แต่ว่าให้รู้
ตัวของตัวนะ อันนี้เป็นพยานของเรา..อย่า
เพิ่งให้มันไปตัดสินด้วยความอยาก บางที
มันก็เสริมขึ้นไปให้เราเป็นอย่างนั้นก็ได้.
ต้องระวัง.
มันมีหลายแง่หลายมุมเหลือเกินที่เราจะ
ต้องพิจารณา..แต่ว่าในทางที่ถูกต้องมันก็
เรียกว่าไม่ใช่ตามตัณหา ไม่ใช่ตามความ
อยาก..มันเป็นความจริง.
ท่านให้รู้ทั้งดีทั้งชั่ว..เมื่อรู้แล้วท่านก็ให้ละ
ทั้งดีทั้งชั่ว..ถ้าไม่ละมันก็ยังอยู่..เป็นอยู่.
มีอยู่..ถ้ามีอยู่มันก็เหลืออยู่..มันมีภพอยู่
มันมีชาติอยู่อย่างนี้.
ฉะนั้น.พระพุทธองค์ท่านจึงให้ตัดสินเอา
เฉพาะตัวเอง..อย่าพึงไปตัดสินให้คนอื่น
เลย..จะดีจะร้ายประการใด ท่านก็พูดให้
ฟังเท่านั้นแหละ..นี่เรื่องความจริงมันเป็น
อยู่อย่างนี้..จิตใจเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
- ในขั้นแรกนี้ ต้องมีความพยายามมากหน่อย เพราะเป็นความพยายามที่สวนทางกับความคิดความเคยชินเก่าๆ ที่ชอบใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ ท่านจึงแนะนำให้เราหัดตั้งสติกันก่อน
เมื่อได้สติก็ให้ทำความรู้ตัวที่กาย ที่อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่างๆของเรา ให้มีหลักมีแนวอยู่อย่างนี้ ไม่ปล่อยตนเองไปตามความคิดตามอารมณ์ที่แทรกซ้อนขึ้นมา
จะเบื่อหน่ายลังเล คิดไปคิดมาอย่างไร
ก็ให้รู้จักวางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลักคือ การเป็นผู้อยู่ด้วยสติรู้ตัว
หัดเป็นผู้รู้จักวางความคิด วางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลัก คือ การ"เป็น"..."อยู่" ด้วย"สติ"...รู้ตัว
- ขณะที่เรารู้จักปลุกสติสัมปชัญญะตื่นตัวตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว เราจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคนครุกกรุ่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่ง อ่อนไหวเกินไปแข็งกร้าวเกินไป อะไรต่างๆเราจะเริ่มสุขุมขึ้น
จิตเราจะเริ่มละเอียดอ่อน เห็นภาวะ เห็นความเป็นจริงต่างๆตามที่เป็นอยู่ เห็นกาย เห็นจิต เห็นอารมณ์ความคิดของตนเอง อย่างรู้เท่าทันจริงๆ
- การเห็นภาวะอาการต่างๆในจิต เห็นจิตในจิต เห็นกระแสความคิด ความเชื่อความทะยานอยากตามความเคยชินของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
จะทำให้เราเกิดปัญญาญาณ รู้จักตนเอง รู้จักปลด รู้จักวางทิฏฐิมานะ ที่เราคิด ติด ยึด ต่างๆนานา อย่างที่เราไม่เคยนึก ไม่เคยเห็นมันมาก่อน วางไปละไป อาศัยปัญญาญาณจากการเห็นภาวะเห็นจิตในจิตของตนเอง
จะทำให้เรารู้จักปลดเปลื้องตนเองจากอารมณ์จากนิสัยเดิมๆมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอิสระ ตื่นตัวขึ้น เป็นชีวิตประจำวันที่มีความรู้สึกตัวพร้อมโต้ตอบ อยู่กับงานกับการต่างๆมากขึ้นเป็นลำดับ
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
หนังสือ ตถตา หน้า ๑๗๙
#นิพพาน คือไม่เกิด!!
สิ่งที่เกิด คือกองทุกข์ ทั้งหมด!!
ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นมา จะละเอียดก็ตาม หยาบก็ตาม มีวิญญานครองก็ตาม
ไม่มีวิญญานครองก็ตาม นั่นคือทุกข์ทั้งหมด
ทุกข์คือสภาพทนได้ยาก เมื่อเกิดขึ้นมาต้องแตกสลายในที่สุด.....เมื่อไม่หมดกิเลส..ก็ต้องวนเวียนในวงจรวัฏสงสาร คือกลับมาเกิดอีก
เกิดอีกก็ตายอีก...ตายแล้วก็เกิดอีก..ไม่สื้นสุด!!
ส่วนนิพพาน ตัดวงโคจร..การเกิดทั้งหมด
ตัวผู้ได้นิพพาน..คือพระอรหันต์..พระอรหันต์เป็นอัตตา(มีตัวตน คือธาตุสี่ขันห้าปกติ)
...เมื่อดับขันธ์...เข้านิพพาน นิพพาน
ก็ว่างเปล่า ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา
ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
อนัตตา อธิบายในกฏไตรลักษณ์
แสดงในอนัตลักขณสูตร เช่น รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา
ฯลฯ
(ไม่มีพระสูตรไหนพูด นิพพานเป็นอนัตตา)
มีแต่ทรงชี้ขันธ์5 เป็นอนัตตา ส่วนที่ว่า สัพเพ ธรรมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน
จึงเข้าใจว่า นิพพานก็คือธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นอนัตตา (อนัตตา ตรงนี้พุทธองค์ทรงพุทธาธิบาย คือความไม่มีแก่นสารสาระในขันธ์ห้า อายตนะหก เป็นการอธิบายฝ่ายสังขตธรรม สังขารที่ปรุงแต่งเกิด-ดับ อยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ แต่นิพพานเป็น อสังขตธรรม อยู่เหนือกฏไตรลักษณ์ จึงไม่เป็นอนัตตาอย่างที่เข้าใจกัน ฯลฯ
อนัตตา คือหาแก่นสารสาระอะไรไม่ได้ มีรูป รักรูป หลงรูป สุดท้ายรูปก็แตกสลาย ไม่มีตัวตนของเรา..ฯลฯ
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นที่ดับ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ...
ศาสนาพุทธ..สอนให้ดับทุกข์...เข้าสู่นิพพาน
ก็คือไม่เกิดขึ้นมาอีก...ดังนั้นจึงไม่มีอายตนะ
ใดๆ อยู่ในนิพพาน(เมื่อดับขันธ์) ธาตุสี่
ขันธ์ห้า ไม่มีในนิพพาน ไม่มีอะไรสักอย่างแม้กระทั่งดวงจิตก็ตาม ฯลฯ ท่านเรียกว่า
"เอกันตบรมสุข" คือสุขฝ่ายเดียว. อ้าวไม่มีใจแล้วเอาอะไรมารู้ว่าสุข พุทธเจ้าก็ถือใจตอนไม่ดับขันธ์นี้แหละ บอก #เพราะรู้ว่าไม่มีการเกิดจึงไม่มีความทุกข์ตามมา (สิ่งใดเกิดต้องทุกข์)
#การไม่เกิดจึงเป็นสุขแบบนี้ #ไม่ใช่ว่านิพพาน #เป็นตัวเป็นตนขึ้นเสียเอง คำว่า
"นิพพานัง ปรมัง สุขัง" ก็หมายเอาไม่กลับมาเกิดในภพภูมิใดๆอีกแล้วนั่นเอง
นิพพานัง ปรมัง สุญญัง
นิพพานว่างอย่างยิ่ง
1.ว่างจากกิเลส (ตอนเป็นอรหันต์)
2.ว่างจากทุกสรรพสิ่ง(เมื่อดับขันธ์ไปแล้ว)
นิพพานนั้นมีอยู่จริง ไม่ได้หมายความว่า นิพพานมีตัวมีตน(อัตตา) เป็นบ้าน เป็นเมือง
เป็นเมืองเเก้วใส. ไม่ใช่แบบนั้น
แต่มีความหมายว่า.
#เมื่อผู้ใดก็ตามหมดกิเลสนิพพานก็จะปรากฏแก่ผู้นั้น
เพราะนิพพาน เป็น อกาลิโก ไม่จำกัดกาล
ไม่มีวันหมดอายุ.
นิพพานพรหม นิพพานโลกีย์ ถือใจอาลัยสุข
ครั้นจะปล่อยวาง ก็กลัวว่าจะไม่มีอะไรให้รับรู้สุข
ยึดเอาใจไว้ จึงต้องหลงไปเกิดอยู่พรหมโลกยาวนาน ยิ่งนักหนา อดีตมีฤๅษีชีไพร นอกพุทธศาสนา ไปอุบัติเยอะ เมื่อเสื่อมอำนาจฌาน ก็ลงมาเกิดอีก
#พุทธเจ้าตรัสรู้ได้สำเร็จ #ก็คือทรงค้นพบวิธีเอาชนะการเกิดนั้นเอง!! ท่านจะให้นิพพานเป็นตัวเป็นตน เป็นบ้านเป็นเมือง มีอายตนะ อะไรขึ้นมาอีกเล่า!!
มีคำตรัสไว้ที่ถือเป็นหลักได้ว่า
ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำว่า
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
ผู้นั้นชื่อว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมด ในพุทธศาสนา
ผู้ใดได้ปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ผู้นั้นชื่อว่า ได้ปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนา
ผู้ใดได้รับผลของการปฏิบัติ ในความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว
ผู้นั้น ชื่อว่า ได้รับผลทั้งหมดที่พึงได้รับจากพุทธศาสนา
ดังนั้น ธรรมะข้อนี้ จึงเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
ทั้งในแง่ของปริยัติ ทั้งในแง่ของปฏิบัติ และทั้งในแง่ของปฏิเวธ.
พุทธทาสภิกขุ
ความเพลิดเพลินยินดีในความสุขเอง
ก็เป็นตัวดึงจิตเราไว้
ให้เกาะเกี่ยวกับโลกมากขึ้น
การมีความคิดเห็นมากเกินควร
ว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
ก็ยิ่งปิดกั้นการรู้เห็นธรรม
การที่คอยเทียบเขาเทียบเรา
เห็นเราดีกว่า เสมอกัน หรือด้อยกว่า
ก็ยิ่งทำให้สำคัญในตัวตนมากขึ้น
ให้พิจาราณาใจให้ดีสิ่งเหล่านี้แหล่ะ
เป็นเครื่องถ่วงให้เนิ่นช้าในการปฏิบัติ....
< มานะ 9 >
มานะ คือ ความเย่อหยิ่ง ถือตัว ด้วยเรื่อง ชาติ สกุล โคตร รูปร่าง ทรัพย์ ฐานะ อาชีพ การศึกษา ปัญญา และเรื่องอื่น , มานะเป็นความรู้สึกสำคัญตัวคือปรุงตัวตนเองขึ้นมาว่าดีกว่าเขา เสมอเขา หรือเลวกว่าเขา เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง จำแนกเป็น 9 จำพวก ดังนี้
เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา
เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
เสมอเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา
เสมอเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
เลวกว่าเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
เลวกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา