เมล็ดพืชได้น้ำ ได้ดินที่มีปุ๋ย ทำให้เกิดงอกออกเป็นต้นกิ่งใบ
เกิดดอกออกผล จนมีเมล็ดกลับมาใหม่ ให้เกิดสืบต่อกันไป
จิตของคนเรา ต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่จบสิ้น
ตราบใด ที่มีกิเลส มีตัณหา เป็นปัจจัยให้ยังต้องเกิดอยู่
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ 2561
ณ. พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบเข้านอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา วันนี้ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมถึงเรื่องของสติประฐาน 4 ในหมวดของการพิจารณาจิต หน่ะเจ้าข้า
การพิจารณาจิตนั้น เราจะมีวิธี แบบไหน ยังไงในการพิจารณา หนะเจ้าค่ะ
เราจะได้พิจารณาถูกต้อง จะได้ระลึกนึกถึงสิ่งที่เป็นจิตนั้น ได้อย่างถูกต้องหนะเจ้าข้า
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
อย่ามุ่งหมายความสุขอะไร มากไปกว่า
"ความปกติของจิต"
ที่ไม่ยินดี ยินร้าย ไม่ขึ้น ไม่ลงไปตามอารมณ์ที่กระทบ
เพราะไม่มีสุขอะไร ประเสริฐยิ่งไปกว่า
ความปกติของจิตนั้น
พุทธทาสภิกขุ
#ความสงบไปติดไม่ได้ !!
จะว่า .. ความสงบเป็นเรา จะว่า .. เราเป็นความสงบ .. ไม่ได้
ถ้าเข้าใจว่า ความสงบเป็นเรา เข้าใจว่า เราเป็นความสงบ
ก็เป็น "ก้อนอัตตา" อยู่นั่นเอง ก้อนอัตตาก็เป็น "ตัวสมมุติ" อยู่
จะนึกว่าเราสงบ เราฟุ้งซ่าน เราดี เราชั่ว เราสุข เราทุกข์
อันนี้ก็เป็นภพ เป็นชาติอยู่อีก เป็นทุกข์อีก
ถ้าสุขหายไป .. ก็กลายเป็นทุกข์ , ถ้าความทุกข์หายไป ..ก็เป็นสุข
ก็ต้องเวียน ไปนรก ไปสวรรค์ อยู่ไม่หยุดยั้ง
พระศาสดาเห็น "อาการจิต" ของท่านเป็นอย่างนี้
นี่แหละท่านว่าภพยังอยู่ ชาติยังอยู่พรหมจรรย์ยังไม่จบ
ท่านจึงยก "สังขาร" ขึ้นพิจารณาตามธรรมชาติ
เพราะมี "ปัจจัย" อยู่นี่ จึงเกิดอยู่นี่ ตายอยู่นี่
มี "อาการที่เคลื่อนไหวไปมา" อยู่นี่
ท่านจึงยกสิ่งนี้พิจารณาไป ให้รู้เท่าตามความเป็นจริงของ "ขันธ์ห้า"
"ทั้งรูปทั้งนาม" .. "สิ่งทั้งหลายที่จิตไปคิด"
ทุกสิ่งทุกอย่าง ,, เหล่านี้ล้วนเป็น "สังขาร" ทั้งหมด
เมื่อรู้แล้ว ..ท่านให้วาง เมื่อรู้แล้ว ..ท่านให้ละ
...
หลวงปู่ชา สุภัทโท
หลวงตา : ผู้ใดรู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า “ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ” สิ่งหนึ่ง สิ่งใด (สังขาร) เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา”
ก็จะเรียกว่ามี “ดวงตาเห็นธรรม” คือ พระโสดาบัน
*****แต่เพราะยังหลงยึดถือว่า เราเป็นผู้รู้ ผู้เห็น หรือ ผู้รู้ ผู้เห็นเป็นตัวเรา จึงมีตัวเราหลงยึดถือ “ผู้รู้” ว่าเป็นนิพพาน
เมื่อมีสติ ปัญญา รู้เท่าทันความหลงยึดถือ โดยรู้เห็นจากใจว่าความหลงยึดถือว่า เราเป็น.. หรือ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา นั้น เป็นเพียงสังขาร หรือ ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสิ้นหลงยึดถือเอาสังขารที่คิดปรุงแต่งนั้น มาเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราจริง ๆ จัง ๆ
คงมีแต่เพียง “รู้” สักแต่ว่า “รู้” ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ เป็นธรรมธาตุ เป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์........
เพราะไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้ ผู้เห็น
จึงไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
“นิพพาน” ไม่ใช่สภาวะใด ที่มีตัวเราไปถึง ไปได้ ไปเป็น
แต่เป็นเพราะไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และ ผู้รู้
จึงไม่มีกิเลส ตัณหา และ ผู้ทุกข์
เรียกว่า “นิพพาน”
แต่ถ้ามีความเห็นผิด ว่า “นิพพาน” เป็นสภาวะใด ๆ เช่น เป็นความว่าง ความสว่าง ความสุข ความสงบ เงียบ สงัดเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ก็จะมีตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา อยากเอา อยากได้ อยากเป็น อยากถึง อยากบรรลุนิพพาน คือ ถึงสภาวะที่คาดหมายไว้นั้น
เมื่อมีเรา หรือ ตัวเราหลงยึดถือ จึงเป็นอวิชชา ตัณหา
อุปาทาน ..... และความทุกข์ทั้งมวล
*****ดังนั้น นิพพาน คือ ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือทั้งสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับ และ วิสังขาร (ธรรมชาติไม่เกิดดับ) ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือแม้ธรรม และ นิพพาน
ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือความไม่ยึดถือ
เมื่อไม่มีผู้ยึดถือ จึงไม่มีผู้ทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
12 มกราคม 2563
ได้จิตผู้รู้แล้ว มาเดินปัญญา
ถ้าได้ตัวรู้แล้วถัดจากนั้นมาเดินปัญญา บางคนมีวาสนาเก่า เคยเจริญปัญญามาแต่ชาติก่อนๆแล้ว ทันทีที่ตัวรู้เกิดขึ้นนะ ขันธ์ก็แยกเลย เห็นเลยร่างกายกับจิตคนละอันกัน ความสุขความทุกข์กับจิตนี้คนละอันกัน ความปรุงแต่งที่เป็นกุศล-อกุศลนี้เป็นคนละอันกัน เห็นอย่างนี้เลย คนซึ่งมีบารมีเก่าในทางเดินปัญญามาก่อน
แต่ถ้ามันไม่มี ทำอย่างไร ก็ต้องช่วยมันอีก วิธีช่วยมันนะก็คือ หัดแยกธาตุแยกขันธ์ แยกไป ร่างกายส่วนร่างกาย จิตส่วนจิต ต้องหัดแยก นั่งอยู่หรือเดินอยู่ ก็คอยรู้สึกไป เห็นร่างกายมันนั่ง เห็นร่างกายมันเดิน เห็นร่างกายมันยืน อิริยาบถนอนนั้นเว้นไว้ก่อนนะ ไม่ชำนาญแล้วไปนอนดู แป๊บเดียว จิตก็วิเวก จิตรวม รวมเข้ากับโมหะ หลงไปเลย หลับ
เพราะฉะนั้นยืนอยู่ก็รู้สึก เห็นร่างกายมันยืน จิตเป็นคนดู นั่งอยู่ก็รู้สึก เห็นร่างกายมันนั่ง จิตเป็นคนดู เดินอยู่ก็รู้สึก เห็นร่างกายมันเดิน จิตเป็นคนดู ให้มีจิตเป็นคนดูเรื่อยๆ หรือมีความสุขเกิดขึ้น มีความสุขเกิดขึ้นก็เห็นอีก ความสุขเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู มีความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้อีก ความทุกข์เป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
🔆"ธรรมชาติไม่เคยมีตัวเรา"🔆
ไม่มีใครสามารถดับ “สังขาร” ของขันธ์ห้าได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ต้อง “เข้าใจถึงใจ” ว่า...
“สังขารและวิสังขารมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น เพราะไม่เคยมีตัวเรามาตั้งแต่แรก”
การพยายามหาวิธีแก้ไขอาการที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ เพราะหลงมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเรา โดยแอบมีความปรารถนาไว้ในใจว่า...
เมื่อไปดับกริยาอาการทางจิตที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ ได้แล้วนั้น
จะมี “ตัวเรา” โล่ง โปร่ง เบา สบาย
เราจะได้ว่างเปล่า หรือ ใจของเราจะว่าง
เราจะพ้นทุกข์... นิพพาน
จริง ๆ แล้วอาการทางใจที่เกิดขึ้นนั้นเป็น... “ปฏิกิริยาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของขันธ์ห้า ที่ตอบสนองกับการรับรู้ของอายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ”
อาการเหล่านี้ไม่สามารถดับสนิท หรือดับขาดไปได้ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ !!!
ดังนั้นการพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อไปดับ ปรับปรุง แก้ไข ก็คือ... การที่เรากระโดดติดขบวนรถไฟ เข้าไปเป็น “สังขาร” นั่นเอง
ที่ถูกต้องนั้นให้เข้าใจว่า... อาการที่รับรู้ได้ ทั้งทางกาย ทางจิต ล้วนเป็นแค่... “ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ” เท่านั้น เหมือนฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของมันเอง
อาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เป็นอาการของขันธ์ห้าตามปกติธรรมชาติ ซึ่งเป็นนิสัยหรืออนุสัยที่ถูกสะสมมา
การหาวิธีแก้ไข ดัดแปลง ปรุงแต่งอาการที่ไม่ชอบ จนอาการทั้งหมดที่เรียกว่า “สังขาร” หมดไป แล้วพบกับสภาวะที่ดี ที่ถูกใจตามต้องการ เช่น โล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่างเปล่าก็ตาม ก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้
เพราะการกระทำเช่นนั้น ยิ่งทำให้ความ “อยากได้” “อยากเอา” “อยากเป็น” เพิ่มขึ้น หรือไปยึดความโล่ง โปร่ง เบา สบาย ความว่างแทน ก็ยังไม่พ้น “หลงยึดถือสังขาร” ให้เป็นทุกข์อยู่ดี
รวมถึงความเข้าใจผิดที่ว่า... ถ้าสามารถดับ “สังขาร” ได้หมดจะกลายเป็น “วิสังขาร”แล้วจะพ้นทุกข์ ทำให้หลายคนมีความดิ้นรน พยายามดับสังขารให้หมด
ที่จริงแล้ว... สังขารกับวิสังขารมันก็อยู่ร่วมกัน ที่เดียวกัน เพียงแต่ทำงานเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีใครสามารถดับ “สังขาร” ของขันธ์ห้าได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ต้อง “เข้าใจถึงใจ” ว่า...
“สังขารและวิสังขารมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น เพราะไม่เคยมีตัวเรามาตั้งแต่แรก”
จึงไม่มีใครต้องไปจัดการอะไรกับสังขาร หรือ วิสังขาร !!!
แค่"รู้ เห็น เข้าใจ"การทำงานของสังขารกับวิสังขาร โดยไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ เท่านั้นก็เพียงพอที่จะพ้นทุกข์แล้ว...
แค่นี้เอง แค่นี้เอง จริง ๆ ๆ ๆ … นะ
~~~~~~~~~~~~~~~
เพียงแค่ดับความดิ้นรนทะยานอยากเสียในใจของท่านเสียเท่านั้น ดับความกระวนกระวายใจ ที่เหลือมันก็เป็น “ความสงบ” เอง
มันช่างเงียบ มันช่างสงบ มันช่างสงัดยิ่งนัก มันว่างเปล่าจากสัตว์ จากบุคคล จากตัวตน จากเรา จากเขา มันไม่มีความดิ้นรนกระวนกระวายใจใด ๆ ไม่มีความปรุงแต่งที่จะเอา หรือไม่เอาอะไร
ความปรุงแต่ง ภาระใด ๆ ทั้งมวล มันหมดสิ้นไป มันถูก “ปล่อยวาง” เหมือนการเดินทางมายาวนาน มันหยุดลง การแบกภาระทั้งหลายในใจ ในกาย ที่แบกภาระมาหนักอึ้งไว้ในใจ มันเหมือนกับ “ถูกปล่อยวาง” ลง และมันก็เงียบ สงบ สงัด ไปทั้งโลกธาตุ ถึงใจ ถึงก้นบึ้งหัวใจ หรือ
“ใจ” นั้นแหละ กลายเป็นความเงียบ สงบ สงัด เป็นหนึ่งเดียวกับโลกธาตุ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากวีดีโอ “ธรรมชาติไม่เคยมีตัวเรา”
" จงกำหนดเข้าไป
พิจารณา เข้าไป
จิต...ถ้าพูดตามหลักการพิจารณาแล้ว
จิต...ก็เป็นตัวอนิจจัง เป็นตัวทุกขัง เป็นตัวอนัตตา
เพราะ...มีสมมุติแทรกอยู่ จึงต้องเป็นลักษณะสาม คือ ไตรลักษณ์ ได้
จงฟาดฟันหั่นแหลกลงไป ที่ตรงนั้น
โดยไม่ต้องยึดมั่น ถือมั่นว่า...
จิตนี้ เป็นเรา จิตนี้ เป็นของเรา
ไม่เพียงแต่ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ใน"รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"ว่า"เป็นเรา"..เป็นของเรา เท่านั้น
ยังกำหนด ให้เห็นชัดเจนในตัวจิต
อีกว่า ควรจะถือเป็นเรา เป็นของเรา หรือไม่? เพราะเหตุไร ?
เอ้า ! กำหนดลงไป พิจารณาลงไป
แยกเเยะ ให้เห็นชัดตามความเป็นจริง
สิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในจิตนี้
จะกระจายออกหมด ไม่มี อะไรเหลือเลย
เมื่อ...ธรรมชาตินี้ ได้กระจายหายไป ไม่มีอะไรเหลือ
แล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในจิตก็หาย ไปพร้อมกัน
เป็นจิต...ที่สิ้นสมมุติ โดยประการทั้งปวงแล้ว
คำว่า...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่มีในจิตอีกต่อไป
ตลอดอนันตกาล."
______________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิด ของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์
.
แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ [จิตเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย ไม่ได้หมายถึงการแยกกาย ออกจากจิตโดยการกระทำหรือการปฏิบัติใดๆ โดยตรง แต่หมายความว่ากระทำหรือปฏิบัติจน จิตเป็นอิสระว่างจากอารมณ์ คือว่างจากสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยว จึงย่อมยังผลให้ไม่เกิดการผัสสะต่างๆ เวทนาอันต้องอาศัยการผัสสะต่างๆย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ]
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
ย่อมเป็นภาวนาอยู่ในตัว ทวนกระแส
เป็น"จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
เพราะจะได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้
มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก
หรือไม่ล่ะ ถ้ามีหรือไม่มีจะได้รู้
เมื่อรู้ว่ามี จะละด้วยวิธีใดก็จะได้รู้ด้วย
วิธีนั้น บรรเทาหรือไม่ก็จะรู้ได้
ขาดไปแล้วไม่กำเริบด้วยวิธีใด
ก็จะได้รู้ด้วยวิธีนั้น กำเริบขึ้นด้วยวิธีใด
ก็จะได้รู้ด้วยวิธีนั้น
การพิจารณาจิตในจิตนี้ จะปฏิเสธไม่ได้
ถ้าปฏิเสธแล้ว การพิจารณาจิตก็ไม่บริบูรณ์
จะเป็นจิตบริสุทธิ์ไปได้ยาก
เพราะขาด"จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
ย่อมไม่สมบูรณ์...
#หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
" มีอยู่อย่างหนึ่ง
ที่ผู้ปฏิบัติธรรมชอบพูดถึง คือ...ชอบโจษขานกัน
ว่า...นั่งภาวนาแล้ว เห็นอะไรบ้าง ปรากฏอะไรมาบ้าง หรือไม่ก็ว่า...
ตนนั่งภาวนามานานแล้ว ไม่เคยเห็นปรากฏอะไร
ออกมาบ้างเลย
หรือไม่บางคนก็ว่า...
ตนได้เห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่เสมอ ทำให้บางคนเข้าใจ
ผิดคิดว่า ภาวนาแล้วตนจะได้สิ่งที่ต้องการ เป็นต้น
หลวงปู่ดูลย์เคยเตือนว่า...
" การปรารถนาเช่นนั้นผิด ทั้งหมด
เพราะ...
การภาวนานั้น เพื่อ...ให้เข้าถึงหลักธรรม ที่แท้จริง
หลักธรรม
ที่แท้จริงนั้น คือ...จิต
ให้กำหนดดู...จิต ให้เข้าใจ...จิต ตัวเอง
ให้ลึกซึ้ง
เมื่อเข้าใจจิต
ตัวเอง ได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละ...
ได้แล้วซึ่ง...หลักธรรม."
____________________________________________
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม)
... กงจักร อันใหญ่หลวง
คือ .. ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
มัน กำลังบดเราอยู่
มัน เป็นของจริง
เราจะมัวไปหอบเอาอันโน้นอันนี้มา
มันก็เป็นธรรมเมาเท่านั้นแหละ
“อารมณ์” ก็สัญญานี่แหละ
สัญญาไปจำมันมา ใจเรารับมันมา
คิดไป คิดมา มันก็เดือดร้อนอีก
เวลานี้ เรามาทำความพออะไร ๆ ก็ให้มันพอ
... หลง ก็พอแล้ว
... โลภ ก็พอแล้ว
... โกรธ ก็พอแล้ว
อันนี้เป็นรากเป็นเง่าของกิเลสตัณหาทั้งหลาย
ความพอใจ ก็เพราะ ตัณหา
ความไม่พอใจ ก็เพราะ ตัณหา นี่แหละ
โอวาทธรรม : หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
.
มาคลี่คลาย "ดูจิต" อันเป็นที่รวมของกิเลสส่วนละเอียด ว่า "แย๊ปออกไปหาเรื่องอะไรบ้าง" และ "แย๊ปออกไปจากที่ไหน??"
มีอะไรเป็นเครื่องผักดันให้จิตคิดปรุงเรื่องต่างๆ ขึ้นมา ??
พอ "สติปัญญา" ทัน "ความคิดปรุง" ที่ "แย๊ปออกมาในขณะนั้น มันก็ดับในขณะนั้น" ไม่ถึงกับเป็นเรื่องเป็นราวอะไรขึ้นมา ให้ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อน
เพราะสติทัน ปัญญาทัน คอยตีต้อน
..
เรื่องมันก็มีแต่ "ยิบแย๊ปๆๆ" อยู่เฉพาะภายในจิต ยิ่งเห็นได้ชัด กำหนดเข้าไป พิจารณาเข้าไป
คุ้ยเขี่ย ขุดค้น ด้วยสติปัญญา เข้าไปจนรอบตัวทุกขณะ ที่ "อาการของจิต" เคลื่อนไหว
ไม่มีพลั้งเผลอ ดังสติปัญญาขั้นเริ่มแรก ที่ล้มลุกคลุกคลาน
"ความเพียร" ขั้นนี้ ไม่ว่าทุกอริยาบทเสียแล้ว แต่กลายเป็น "ทุกขณะจิตที่กระเพื่อมตัวออกมา"
สติปัญญา ต้อง "รู้" ทั้งขณะที่กระเพื่อมออก "รู้" ทั้งขณะที่ดับไป
เรื่องราวที่จะเกิดขึ้น ขณะที่จิตปรุงแต่ง และ สำคัญมั่นหมาย จึงไม่มี .. เพราะสติปัญญาตามกันทัน
"พอกระเพื่อมก็รู้ รู้แล้วก็ดับ เรื่องราวไม่เกิด ไม่ต่อ " .. เกิดมาขณะใด ก็ดับไปพร้อมขณะนั้น ไม่แตกกิ่งก้านออกไปไหนได้
เพราะถูกตัด "สะพาน" ออกแล้ว จากเรื่องภายนอก ด้วยปัญญา
∆∆
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
อย่างนี้แหละลูกไม่ได้ยากอะไรเลย ลองนำไปฝึกฝนทบทวนนะลูก เพื่อลูกนั้นจะได้เข้าใจ เข้าใจแล้ว ก็จะได้นำไปเผยแผ่ ให้บุคคลผู้อื่นเขานั้นได้เข้าใจด้วยลูก
สาธุเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ลูกจะน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ และเผยแผ่พระพุทธเจ้าข้า
วันนี้ลูกคงต้องขอลาก่อนนะเจ้าค่ะ แล้วลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าข้า สาธ....
อย่างนี้หละพระยาธรรม จิตของเราก็จะสามารถเข้าสู่เส้นทางของผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน
จิตของเราก็จะสามารถฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นองค์พระอรหันต์ ผู้อยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือโลก อยู่เหนือการเวียนว่าย ตาย เกิด
อย่างนี้แหละลูก การพิจารณาดูจิตนั้น เราสามารถพิจารณาและถอดถอนหลักๆ ได้เช่นนี้
แล้วเราก็ยังสามารถ ที่จะพิจารณาเป็นแบบอื่นเช่น เป็นปลีกย่อยออกมา
ดังการพิจารณาดูจิตเราอยู่บ่อยๆ จับเอาไว้อย่าวิ่งตาม คลื่นที่มันผ่านภายนอกต่างๆ จับเอาไว้ ให้จิตของเราสงบนิ่งวางเฉย
แล้วก็ค่อยๆผ่อน ความวางเฉยอย่าให้ตรึงเครียดให้จิตเบาๆสบายๆ เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา
ฝึกอย่างงี้ก็ได้ คือ
ฝึกพิจารณา ฝึกมีสติรู้ ตามดูจิต อยู่อย่างนั้น
อย่าปล่อยให้จิต "ถูกกิเลสครอบงำ"..
อย่าปล่อยให้จิต"มีอัตตา มีตัวตน"..
ให้จิตนั้น"ว่างๆ" อยู่เสมอ
มันไม่มีอะไรยากหรอกลูก หากเราทำความเข้าใจอย่างนี้แล้ว เข้าใจตามความเป็นจริง
กายคือผลของกรรม กรรมคือผลของกิเลส กิเลสสั่งเราได้เพราะกรรมเป็นทาสของมัน
ฉะนั้น เราเลิกยึดถือในกาย เพราะมันเป็นผลของกิเลสผลของกรรม
เราเลิกยึดถือในกรรมทั้งหลาย คือการกระทำทั้งดีไม่ดี ไม่ต้องไปยึดมา เอามา เป็นตัว เป็นเรา ของเรา สลายมันไป
เลิกยึดถือในความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ เลิกไปดิ้นรนตามสิ่งเหล่านั้น
แล้วก็มาดูที่ตัวของเรา ยังมีตัวมีตนอยู่หรือเปล่า
แล้วก็สลายที่จิต ให้มันอยู่เหนือความมีและไม่มีทั้งหลาย
ทุกวัน ๆ ให้มีสติระลึกรู้เช่นนี้ มีสติระลึกรู้ว่ากายก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา กรรมก็ไม่ใช่ของเรา กิเลสตัณหาก็ไม่ใช่ของเรา
เราคือดวงจิต แต่ถ้ายังยึดว่ามีตัวจิตนี้อยู่ ย่อมต้องเป็นเหตุให้กิเลสตัณหาและกรรมวิบากต่างๆ ส่งผลมาให้เราต้องเป็นไปแน่นอน
ฉะนั้น เราควรที่จะสลายความมีตัวมีตนในจิตนั้นด้วย เหมือนเราคบเพื่อนไม่ดี พบเพื่อนกิเลส คบเพื่อนกรรม เพื่อนคือผลของกรรมคือกาย
ถ้าเราไปคบเพื่อนเหล่านี้ เขาจะนำพาให้เราไปเดือดร้อนอยู่ร่ำไป
ฉะนั้นเราเลิกคบเขา เมื่อเลิกคบเขาแล้ว ก็ต้องหาที่หลบไม่ให้เขาเห็นตัว เห็นตนของเรา
เขาจะได้ไม่มาเกาะเรา ไม่มาเรียกเราให้ไปเป็นพวกของเขา จะได้ไม่ต้องไปคบกับเขาอีก
เราต้องหลบ หลบความมีตัวตน ล่องหน ไม่มีดวงจิตนั้น ให้สิ่งใดมาเกาะอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กับเขา เจอกับเขา เขาก็ไม่เจอเรา ไม่อยู่กับเราเพราะเขาหาเราไม่เจอ ไม่มีที่ที่จะให้สิ่งใดเกาะอยู่ ดึงมาเป็นพวกอีกต่อไป
อย่างนี้หละพระยาธรรม ให้พิจารณาง่ายๆ แค่นี้ ไม่ได้ยากอะไรหรอกลูก ขอเพียงแค่ให้เราคอยฝึกฝนสติปัญญา
ทำคุณงามความดี ฝึกตนเองให้รู้แจ้ง รู้ตื่นในเรื่องของจิตอย่างนี้
พระยาธรรมเอย ฉะนั้นการที่ดวงจิตทั้งหลาย ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้แหละ
ถ้าบุคคลผู้ใดที่รู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้และสามารถที่จะถอดถอนจิตของตน ค่อยๆ ถอดถอนออกจากกาย จากกิเลส ตัณหา จากกรรมต่างๆ
จนจิตของตนนั้นว่างและวาง มองเห็นทุกอย่างว่าไม่ใช่ตัวใช่ตน ของตน มองเห็นทุกสิ่งเป็นปกติธรรมดา อย่างนั้นอยู่แล้ว
และจิตนั้นก็ค่อยๆ ถอย ถอยมาสู่การสลายตัวตนคือการยึดมั่นถือมั่นในกายในจิตนั้นด้วย เมื่อทำเช่นนี้จิตนั้นย่อมอยู่เหนือความมี ความไม่มี
จิตนั้นย่อมอยู่เหนือกรรม เหนือกิเลสตัณหา เหนือการเกิดทั้งปวง อย่างงี้หละพระยาธรรม
ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย ถ้าอย่างนั้น ก็จงพิจารณาธรรมตามนี้เถิดนะ
พระยาธรรมเอย การเกิดของดวงจิตทั้งหลาย ในวัฏสงสารนี้ เหตุที่เกิดได้ ก็เพราะว่ามีดวงจิตก่อน
พอมีดวงจิตเกิดขึ้นมาแล้ว จิตดวงนั้นไม่มีภูมิคลุ้มกัน ต้านทานต่อกิเลสตัณหา ไม่รู้จักว่ากิเลสตัณหานั้นคืออะไร
จิตดวงนั้นจึงเข้าไปคลุกเคล้าอยู่กับกิเลส ตัณหา จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กิเลสตัณหาจึงพาให้สร้างกรรม ทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วก็เลยถูกครอบงำให้ลุ่มหลงจมอยู่ใน ทั้งกรรมดี และไม่ดีเหล่านั้น ยึดเอา ถือเอาเป็นตน เป็นของตน
เมื่อเกิดการยึดเอาถือเอาจึงต้องก่อกรรมนั้น ไปเกิดในที่ต่างๆ ตามกรรมแห่งตนที่ยึด ที่ทำมา เลยมีการเกิด การเวียนว่าย ตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
กายของเรานี้ก็ดี กรรมของเรานี้ก็ดี กิเลสตัณหาที่คลุมเราอยู่นี้ก็ดี แท้ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เรานั้นคือดวงจิต และเป็นจิตที่ไม่มีภูมิคลุ้มกัน เราก็เลยต้องถูกอำนาจแห่งกิเลสตัณหา ครอบงำ ให้เกิด ให้ตาย ให้เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไม่รู้จบ
อย่างนั้นหละพระยาธรรมเอย เมื่อทำความเข้าใจเช่นนี้แล้ว ลูกทั้งหลายก็จะเริ่มมองตัวของจิตได้อย่างชัดเจน
จิตของเราเปรียบเหมือนคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งกิเลสตัณหา กรรมวิบาก และกาย นั้น ก็เปรียบเสมือนสิ่งอื่นที่มาครอบงำคนๆ นั้น
มาเป็นเจ้านาย สั่งให้คอยทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ แล้วก็ให้เป็นไปตามใจของเขา
หรือว่าจิตของเราจะเปรียบเสมือน เมล็ดพืชสักเม็ดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเม็ดข้าว หรือว่าจะเป็นเม็ดแห่งแตงโม เมล็ดแตงโม หรือว่าจะเป็นเมล็ดของมะละกอ
จิตของเราเปรียบเสมือนเมล็ดพืช เมล็ดหนึ่ง เมื่อร่วงลงสู่พื้นดินคือกิเลสและตัณหา
เมื่อร่วงสู่กิเลสตัณหาแล้ว ธรรมชาติของจิตที่คลุกกับกิเลสตัณหา จึงพาให้งอกเงยขึ้นมา งอกงามขึ้นมา ให้เป็นต้น ออกดอกออกผล
แล้วก็ถ่ายทอดเมล็ดเหล่านั้น สู่พื้นดินต่อไปเรื่อยๆ เป็นอยู่อย่างนั้น เวียนว่ายตายเกิด เช่นนั้นหละลูก จึงไม่มีวันจบ
อย่างนี้หละพระยาธรรม ดวงจิตของเราทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนี้ เราจึงพิจารณาให้ตรงกับความเป็นจริงว่า
จิตของเราทั้งหลายนั้นไม่มีความแตกต่าง ไปจากเมล็ดพืชที่ตกลงสู่พื้นดิน ไม่มีภูมิคลุ้มกันอะไร ที่จะช่วยให้จิตของเราทั้งหลายไม่ตก อยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา
ไม่ต้องเวียนว่ายตายหรือเกิดรับผลกรรมทั้งดีและไม่ดี ที่ตนได้ก่อได้ทำ เพื่อหลอกล่อว่า นั่นคือตัว คือตนของตน
แล้วก็พากันจม พากันยึดเอา ถือเอา เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบ อย่างนี้ เมื่อเราทำความเข้าใจเช่นนี้อย่างชัดเจนแล้ว ก็จะทำให้เรารู้จักตัวที่เป็นจริง
เมื่อเรารู้จักตัวที่เป็นจริงแล้ว เรารู้แล้วว่าแท้ที่จริงดวงจิตของเราเหมือนเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง ที่เป็นเหตุของการเกิดหากยังมีอยู่
หากยังไม่มีภูมิคลุ้มกัน ที่จะต้านทานต่อกิเลสตัณหา เราก็จะยังคงทุกข์อยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้อยู่ร่ำไป
ทีนี้ จึงค่อยมาพิจารณาดูที่จิตดูอีกทีว่า จิตเอ๋ย ถ้ายังมีตัวมีตนของจิตอยู่ ย่อมต้องมีสิ่งที่แอบหลงยึดในตัวในตนของจิตนั้น มีที่ตั้งแห่งการยึดมั่นถือมั่นในดวงจิตนั้นอยู่
ฉะนั้น เราจะพิจารณาถอดถอนความมีของจิต ไม่ให้จิตนั้นมี เมื่อจิตนั้นไม่สามารถแตกดับสลายไปได้
ฉะนั้น ค่อยพิจารณาให้จิตนั้นวางความยึดถือในความมี ให้อยู่เหนือความมี ให้ไม่ยึดทั้งความมีและไม่มี นั้น
ให้จิตว่างเว้นจากการมีตัวตน จิตเมื่อว่างเว้นจากการมีตัวตนแล้ว ย่อมไม่มีกิเลสตัณหา คือความยึดถือในตัวในตน ยึดมั่น ถือมั่นในตนนั้น ย่อมไม่มี
เมื่อความ ยึดมั่น ถือมั่นในตัว ในตน ไม่มี การเกิด การตาย กรรมดี กรรมชั่วต่างๆ ที่จะนำพา ให้เราต้องไปเวียนว่ายตายเกิดนั้น ก็ย่อมไม่มี
พิจารณาเห็นความเป็นจริง รู้ว่ากิเลสตัณหา กรรม และกายไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ของตนแล้ว
ก็ให้รู้พิจารณาจิตดูอีกทีว่า จิตที่ยังยึดถือว่ามีตัวมีตนอยู่ จิตนั้นก็ยังปนเปื้อนด้วยความหลงอยู่ เพราะว่ายังหลงว่านี่คือตน คือจิตของตน
ฉะนั้นจึงควรที่จะถอดถอน ความหลงนี้ทิ้งไปเสียด้วย เพื่อที่จะทำให้เมล็ดพืชนี้ ไม่สามารถที่จะเกิดได้อีก
ถึงแม้ว่าเมล็ดพืชนี้จะตกลงสู่พื้นดินคือกิเลสตัณหามันก็ไม่เกิดอีก เพราะมันมีภูมิคลุ้มกันของมัน มันมีสิ่งที่ช่วยตัวของมันไม่ให้เกิดอีก
ต่อให้มีก็เหมือนไม่มี ต่อให้ไม่มีก็ไม่ได้เป็นอะไร มีกับไม่มีมันก็เฉย ๆ ว่างเปล่า อยู่อย่างนั้น
จะว่ามีก็มีอยู่นั่นหละ จะว่าไม่มีก็ไม่มีนั่นหละ เพราะไม่มีผลอะไรกับสิ่งที่มีหรือไม่มี ไม่ไปติดในทางที่มี ไม่ไปติดในทางที่ไม่มี
อยู่เฉย ๆ ว่างๆ ไม่สนใจสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดทำให้ต้องเป็นอะไร อีกต่อไป
อย่างนี้หละพระยาธรรม คือความจริงของจิตทั้งหลาย จิตที่ก่อเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่เคยฝึกฝนอบรมตน ให้ตนนั้นรู้เท่ารู้ทันเหตุ ย่อมถูกกิเลสนั้นครอบงำนำพาให้เกิด
จิตที่สามารถฝึกฝนตน จนมีภูมิคลุ้มกันแล้ว คลุ้มกันแล้ว ย่อมที่จะอยู่เหนือกิเลสตัณหาได้
(พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
ร่างกายเป็นตู้พระไตรปิฏก
ที่จิตเราจะต้องศึกษาหาความจริงให้พบ
จงอย่าลืมว่าเราคือจิต หรือจิตคือเรา
จิตเป็นอมตะไม่เคยตาย ผู้ตายคือร่างกาย(ขันธ์ ๕)
ที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราว ดังนั้นขันธโลก
หรือร่างกายจึงเป็นมหาสมุทรแห่งธรรม
เป็นจุดศูนย์กลางแห่งไตรลักษณ์
หรือเป็นตู้พระไตรปิฎก ที่จิตเรา
จะต้องศึกษาหาความจริงให้พบ
พบแล้วก็ต้องทำใจให้ยอมรับนับถือด้วย
เนื่องจากจิตหลงยึดว่าร่างกายนี้
เป็นเรา-เป็นของเรามานานแสนนาน
เป็นอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน
เมื่อจิตมาพบความจริงจากพระธรรม
คำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้ว
จะให้ทำใจไม่ให้เผลอยึด-เกาะ-ติดร่างกายได้
ก็ต้องใช้กำลังใจ และเวลาสักระยะหนึ่ง
จึงจะทำได้ พระองค์ตรัสว่าบุคคลที่มี
กำลังใจเต็ม (อุคติตัญญู)
ในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว มีแต่ในสมัยที่ตถาคต
ยังทรงมีชีวิตร่างกายอยู่เท่านั้น
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น)
" การปฏิบัติต่อจิตใจ
คือ...การสอดรู้อาการของจิต ที่ส่งออกไป
สู่...อารมณ์ต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา
เป็นสิ่งสำคัญมาก
สำหรับผู้ปฏิบัติ นี่คือ...การเรียนเพื่อรู้...ตัวเอง
โดยเฉพาะ
การเรียนเรื่องของจิต
ต้องทราบทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับจิต และสิ่ง
ที่เข้ามาสัมผัสจิต
ไม่ว่า จิตจะส่งกระแสความรู้ไปในทางใด หรือกับ
อารมณ์ใด
สติปัญญา
ต้องตามรู้ ตามรักษา และตามแก้ไขอยู่...เสมอ
ไม่ปล่อย ให้จิตคิดปรุงไปตามลำพัง
ถ้าได้ฝึกอบรมสติปัญญา
จนมีกำลังแล้ว เพียง...จิตกระเพื่อม เท่านั้น
ก็เป็นการปลุกสติปัญญา ในขณะนั้นพร้อม ๆ กัน
ปัญญา ก็ตามพิจารณากันทันที
ไม่อืดอาด เนือยนาย
เมื่อ...
เข้าใจแล้วก็...ปล่อยวาง."
____________________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ลองทำดูคราวนี้มันจะถูกไหม ให้พิจารณาอานาปานสติกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ดูที่ลม หายใจ เข้า ออก อยู่อย่างนั้นแหละ จนมันนิ่งแน่วเป็นอารมณ์อันเดียว แล้วพึงกำหนดเอาแต่ผู้รู้ แต่ผู้เดียว ลมพึงวางเสีย ไม่พึงกำหนดเอา ก็จะเห็นจิตของตนชัดขึ้นมาว่า อ๋อ จิตมันอย่างนี้หนอ
สิ่งที่พิจารณานั้นอย่างหนึ่ง ผู้ไปพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง
ให้หาตัวผู้ไปพิจารณาลมหายใจ
อุปมาเหมือนอย่าง เรามองดูพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ เราไม่ได้มองดูผู้ดู ซึ่งเป็นตัวผู้รู้ แต่เราไปมองดูพระอาทิตย์ พระจันทร์ จึงไม่เห็นตัวผู้รู้ ถ้าเราวางเสียพระอาทิตย์พระจันทร์ แล้วหันเข้ามามองผู้รู้แต่อย่างเดียว ก็จะเห็นตัวผู้รู้ทันที
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ปรมัตถธรรม – สิ่งที่เป็นสาระที่แท้จริง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
1.จิต คือ ธรรมชาติ รู้อารมณ์ อุปมาเหมือนน้ำใส
2.เจตสิก เป็นธรรมชาติ อาศัยจิตเกิด อุปมา สีต่างๆ
เมื่อเราเอาสีเขียว เหลือง ดำ ฟ้า ใส่ในแก้วน้ำใส จึงมองเห็นเป็น น้ำสีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีดำ ทั้งที่น้ำใส กับ น้ำสีต่างๆ มันคนละอย่างกัน
....ทั้ง จิตกับเจตสิก เป็นนามธรรม เกิดร่วมกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน มีที่อาศัยอย่างเดียวกัน
... เจตสิก จะปรุงจิต ให้มีสภาพตามเจตสิก อุปมาปรุงน้ำใส เป็นน้ำสีต่างๆ จิตเกิด1ครั้ง จะมีเจตสิกหลาย ๆ ชนิด เหมือนน้ำใส ใส่น้ำสี หลายสีพร้อมกัน...
3.รูป คือ ธรรมชาติ ไม่รับรู้อารมณ์ แตกดับ คนหนึ่ง จะ มี 28 รูปด้วยกัน จะต่างกัน 1 รูป ระหว่างหญิง-ชาย ( ภาวรูป)
4.นิพพาน คือ ธรรมชาติที่ สงบจากรูป นาม ขันธ์ 5 พ้นจากกิเลส พ้นจากการปรุงแต่ง ไม่มีความเกิดดับ เป็นอสังขตธรรม ส่วน จิต เจตสิก รูป ยังถูกปรุงแต่ง เกิด ดับ เป็นสังตธรรม
**..ดังนั้น นิพพาน ไม่ใช่รูป ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก แต่ว่านิพพานก็มีอยู่ โดยความเป็นธรรมารมณ์ (ปรากฏทางใจ) ส่วน จิต เจตสิก รูป ย่อลง เป็น “รูปและนาม” หรือขยายเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ( ขันธ์ 5) ..
** เมื่อเราเดิน สมถวิปัสสนา จนรู้แจ้ง “รูปและนาม” ละวางความยึดมั่น ในรูปนาม ในกายใจ..นิพพานก็ปรากฏให้สัมผัสรับรู้ได้ เป็นปัจจัตตัง..เพราะ นิพพาน เหนือ ทั้งรูปและนาม เหนือทั้ง อัตตา และ อนัตตา
“กิริยาจิต” ที่แฝงอยู่ตาม “อายตนะ” หรือ “ทวารทั้ง ๕” มีดังนี้
“ตา” ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือ การเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
“หู” ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
“จมูก” ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
“ลิ้น” ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือ การได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
“กาย” ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือ กายสัมผัสจะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
“วิญญาณทั้ง ๕” อย่างนี้ เป็น “กิริยาแฝงอยู่” ในกาย ตามทวาร ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งต่างๆ” ที่มากระทบ เป็น”สภาวะแห่งธรรมชาติ” ของมัน “เป็นอยู่เช่นนั้น”
ก็ “สักแต่ว่า” เมื่อ “จิต” “อาศัยทวารทั้ง ๕” เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยัง “สำนักงานจิตกลาง” เพื่อรับรู้ เราจะ “ห้ามมิให้เกิด” “มีเป็น” เช่นนั้น “ย่อมกระทำไม่ได้”
“การป้องกัน” “ทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น” เราจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕” ไม่เพลิดเพลินใน “อายตนะ” เหล่านั้น
หาก”จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น” ประกอบการงานทางกายก็ควรจะ “กำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต” เช่น “เมื่อเห็น” ก็ “สักแต่ว่าเห็น” “ไม่คิดปรุง” “ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “ไม่คิดปรุง” ดังนี้เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้"จิตเอนเอียง" ไปในความเห็น ทั้งดี ทั้งชั่ว)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
จิต ที่มันมีสภาพ เกิดขึ้น ของมันเอง และ ดับไป ของมัน
เอง อยู่แบบนั้น
จะไปหลง บังคับ จิต ไม่ให้เกิด บังคับจิตไม่ให้ดับ ก็ไม่ได้
เลยก็เพราะว่า จิต มันไม่ใช่"จิตของเรา"นั้นเอง
มันจึงไม่สามารถ จะบังคับ จิตนี้ ได้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งใดๆที่มัน เกิดๆดับๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่อย่างนั้น จะไป
หลง เข้าใจผิดคิดว่า
จิต "ผู้รู้" นี้ มีตัวมีตน หรือไปหลง สำคัญแบบ ผิดๆ ว่าจิตนี้ เป็นตัว เป็นตน ของตนนั้นไม่ได้เลย
สิ่งใดๆ ที่มันเกิด ของมันเอง และสลายไปของมันเอง อยู่แบบนั้น จะไปหลงว่ามันเป็นของจริง ก็ไม่ได้เลย จึงสรุป ให้เลยว่า จิตนี้"เป็นของปลอมๆ" ที่เอาใว้ใช้ ในการสะท้อนมิติ "สมมุติบัญญัติ" ไปเฉยๆในแต่ละขณะ เท่านั้นเอง
ถ้าหากว่า ลงใจให้ จิตผู้รู้ อันเป็นเครื่อง
มือ ในการแปลง มิติค่า มายาแห่งโลก ผัสสะใน อายตนะ ทั้งหลาย เหล่านั้นอยู่แบบนั้น
เมื่อจิตไม่ใช่ของจริงเสียแล้ว แล้วสิ่งที่ถูกรู้ อันเป็นรูปต่างๆ นามต่างๆ ในมหาโลกธาตุ เหล่านั้น มันจะเป็นของจริง ได้อยู่หรือ ขอท่านผู้รู้ ทั้งหลาย จงหมั่นทบทวน ดูเองเถิด
*อุดร ฐานิโย ภิกขุ*
การดูจิต
มี #๓ขั้นตอน - #๓ระดับ
---------------------------------------
มี ๓ ขั้นตอน
🔵 (๑). ก่อนดู #อย่าเจตนาดู
"ความรู้สึก"เกิด...แล้ว ค่อย"รู้".
🔵 (๒). ระหว่างดู #อย่าถลำลงไป"จ้อง"
ดูเหมือนคนวงนอก.
🔵 (๓). ดูแล้ว #อย่าแทรกแซง
มัน"สุข" หรือ มัน"ทุกข์".....มัน"ดี" หรือ มัน"ชั่ว"
อย่าไป "หลง" ยินดี ยินร้าย...ถ้ายินดี ยินร้าย ให้"รู้ทัน"
แต่มันมี ๓ ระดับ
-------------------------------
🔴 (๑). #ถ้าเราดูจิตยังไม่ชำนาญ
ดู"ความรู้สึก"ที่เกิดขึ้นกับจิต...เราจะเห็นว่า
จิตสุข...ก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์...ก็ไม่เที่ยง
จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง...ก็ไม่เที่ยง
จิตที่เป็นกุศล...ก็ไม่เที่ยง
อย่างนี้ "ดูความรู้สึก"ที่เกิดกับจิต
.
🔴 (๒). #ถ้าสติเราเร็วขึ้น
#ดูไปที่เวทนาที่เกิดที่จิต
มีความสุข...เกิดที่จิต รู้ทัน
ทุกข์...เกิดที่จิต รู้ทัน
อุเบกขา...เกิดที่จิต รู้ทัน
.
🔴 (๓). #ถ้าเราดูได้เร็วกว่านั้น
จิตเราวิ่งไปดูรูป เรารู้ทัน
จิตวิ่งไปฟังเสียง เรารู้ทัน
ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
จิตวิ่งไปคิด...รู้ทันตั้งแต่ผัสสะ
ไม่ต้องมาดูที่เวทนา
.
#ถ้าดู"ผัสสะ"ไม่ทัน .. มาดูที่"เวทนา"
#ถ้าดู"เวทนา"ไม่ทัน .. ไปดูที่"สังขาร"
.."สังขาร" ก็คือความปรุงดี ปรุงชั่ว นี่การ"ดูจิต"
..........................
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
วัดสวนสันติธรรม
๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒
หลวงพ่อชา สุภ้ทโท
จิตที่มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาหาร
เป็นจิตที่กําหนดรู้ เมื่อรู้ว่าอันนั้นเป็นอนิจจัง
มันก็ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์
อนัตตาก็ไม่ใช่เราแล้ว ดูมันให้ชัด มันไม่เที่ยง
มันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นแก่นสาร จะเอามันไป
ทําไม มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา
จะไปเอาอะไรกับมัน มันก็หมดตรงนี้
การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งละเอียด
ผู้มีกิริยานุ่มนวล สํารวม ปฏิบัติไม่เปลี่ยนแปลง
สมําเสมออยู่เรื่อยนั่นแหละ จึงจะรู้จัก มันจะ
เกิดอะไรก็ช่างมันเกิด ขอแต่ให้มั่นคงแน่วแน่
เอาไว้ อย่าซวนเซหวั่นไหว.
เราจะค่อยๆเข้าใจธรรมที่ละเรื่องๆได้เอง จากสภาวะที่เราเป็นลําดับที่เราอยู่ เรารู้ได้จากจิตตนโดยไม่ต้องมีการรับรู้จากภายนอก แต่เป็นการรู้จากภายในตนเอง....จิตนี้เมื่อเราปฏิบัติถึงจุดแห่งผล อานิสงส์จะหาประมาณมิได้ การปฏิบัติทางจิต จึงจำเป็นแก่ผู้มีปัญญา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด ธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ลึกลับที่สุด เป็นที่พึ่งถาวรแก่เราได้ ก็คือ ธรรมที่รู้ได้ด้วยจิตตน ไม่ใช่จากสมองแต่จากใจ...ความเป็นพุทธะ อยู่ตรงนี้เอง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...Trader Hunter พบธรรม
ตา"เห็น"รูปถ้าจิตไม่คิดก่อนก็ไม่รู้ว่ารูปอะไร หูได้ยินเสียง.ฯใจ"รู้"อารมณ์..ถ้าไม่คิดก่อน.รู้ก็เหมือนไม่รู้
ในโลกนี้ ถ้าเราไม่คิดอะไรสิ่งใด..มีก็เหมือนไม่มี.. แต่พอเราคิดถึงสิ่งใดสิ่งนั้นจึงมีขึ้นมาทันที
พระพุทธเจ้าจึงเรียกสิ่งที่เกิดจากความคิดว่าเป็นสังขารเกิดจากสังขารขันธ์/สมมุติของจิต/การปรุงเเต่งของจิตผู้คิด
เพราะเกิดจากสังขารขันธ์คือเกิดจากความคิดนั่นเอง
จิตตไพศาล จิตตไพศาโล
"เห็น" ที่ไม่มีการพิจารณาโดยให้แยบคายแล้ว
เห็นแล้วมันยึด เห็นแล้วมันติด เห็นแล้วมันหลง เห็นแล้วมันรัก เห็นแล้วมันชัง
เห็นแล้วพิจารณาให้ชัดตามความเป็นจริง ไม่มี "สมมุติ" ใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง ในขณะเห็นนั้น เป็นสัจธรรมล้วนๆ
เห็นอย่างนี้ไม่ติดไม่ยึด ไม่รักไม่ชัง
ถึงจะยึดจะติด ความยึดติดนั้นสลายตัวทันทีเพราะเราเห็นของจริง ที่เห็นแล้วยึดติดเพราะเห็นอย่างสมมุติบัญญัติ เขาสมมุติกัน
เห็นขณะที่ไม่มีสมมุติบัญญัติเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะรู้ขณะเห็นนั้น ใจของเราก็เป็นของจริง
ธรรมที่เข้าไปรู้ก็เป็นของจริง สิ่งทีรู้สิ่งที่เห็นก็เป็นของจริง ของจริงของจริงมาเจอกัน เรียกว่ารู้จริงเห็นจริงขึ้นมา
เพราะเห็นของจริงโดยธรรมชาติไม่มีการปรุงการแต่ง ไม่มีการไปสมมุติบัติใดๆ จึงว่ารู้จริงเห็นจริง รู้จริง ก็เพราะว่าเห็นจริง
...
หลวงปู่แบน ธนากโร
"จิตดวงในนี้...อยู่ภายในนี้แล้ว
ไม่ต้องไปหาที่อื่น
จงรู้เฉพาะหน้า เฉพาะใจ อยู่เสมอๆ
ให้รู้ได้ทุกอิริยาบถ ทั้งนั่ง ทั้งนอน
ตั้งมั่นอยู่ในจิตดวงที่"รู้"อยู่นี้
นอกจากจิตที่รู้อยู่นี้...ทั้งหมดเป็นสิ่ง
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
นอกจากจิตที่รู้อยู่นี้...เป็นทุกข์
นอกจากจิตที่รู้อยู่นี้...ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ไม่ควรลุ่มหลงไปกับเรื่องใดๆ ทั้งหมด
ควรรู้อยู่...เห็นอยู่...ในเวลาปัจจุบันอย่างเดียว"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร