#ความพอใจและไม่พอใจ*เป็นอาหารชั้นยอด*ของ*กิเลส*
...
คุณแม่จันดี โลหิตดี
ผู้ถาม:
ขอทราบเรียนถามเรื่อง "ผู้รู้"
ท่านอาจารย์เคยแนะนำให้จับ ผู้รู้
เมื่อผมพิจารณาอะไรคือ ผู้รู้
ผมบอกว่า...ผมเป็น ผู้รู้
ถ้าหากว่าผมเป็นผู้รู้..มันก็ตรงกันข้ามกับ "อนัตตา"ไป
::หลวงปู่เทสก์::
ตอนนี้มันเป็นอัตตาเสียก่อน อย่าเพิ่งเป็นอนัตตาก่อนเลย ให้เห็นอัตตาชัดแน่เสียก่อน
เราปฏิบัติอัตตา ไปหาอนัตตา
อย่างตัวเรานี้ เราถือว่าเรา
เมื่อพิจารณากันจริงจังแล้วมันไม่มีสาระอะไรเลย แล้วปล่อยมันเสีย ถึงแม้ผู้รู้นั้น ก็หาสาระอะไรไม่ได้
รู้สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ แล้วก็เที่ยวไปรู้นั่นรู้นี่
หาสาระไม่ได้
.................
:ผู้ถาม:
เวลากำหนดหรือพิจารณา เช่น กำหนดกระดูก บางทีความรู้สึกนั้นหายไปตอนนั้นมีนิมิตปรากฏขึ้น จึงสนใจในนิมิตนั้นแล้วก็ยึด
จนเบื่อไม่อยากจะเห็นนิมิติต่อไป
ไม่ทราบว่าจะทำให้ใจกลับมาที่เดิมอย่างไร
จะจับจุดเดิมได้อย่างไร
::หลวงปู่เทสก์::
เคยอธิบายอยู่เสมอว่า มันจะติดอยู่อย่างไรก็ตาม
ติดอยู่ในความสุข ติดอยู่ในความเบื่อหน่าย
หรือ ความไม่พอใจก็ตาม ให้รู้จักใจผู้ที่ไปติด
ผู้ที่ไปเพ่ง ผู้ที่ไปเห็น ผู้ที่ไปรู้..ที่ใจ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราทิ้ง "อารมณ์"ของใจ
แล้วมากำหนดลงที่ "ตัวใจ" ก็รู้ว่าจิตมันวางนิมิต
นิมิตมันติดตรงนั้นแหละ
พูดอีกนัยหนึ่ง "ใจ"ไม่มีอารมณ์ เป็นกลาง ๆ
จิตต่างหาแส่หาอารมณ์ แล้วก็ติดอารมณ์
เป็นอาการของจิต
เมื่อจะย้อนกลับมาหาจุดเดิม จงจับจุดตรงใจให้ได้
..........................
:ผู้ถาม:
ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายเรื่อง "ใจ" และเรื่อง"จิต"
::หลวงปู่เทสก์::
ลองกลั้นลมไว้สักพักหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกอันหนึ่ง
ไม่มีอะไรส่งส่ายใช่ไหม มีความรู้สึกเฉย ๆ
เราก็จับได้แล้วว่านั้นคือ "ใจ"
อันที่มันคิดถึงนั้นมันเป็นอาการของใจที่เรียกว่า "จิต"
แต่นี้เราเห็นแต่ "จิต" เราไม่เห็นใจ
เรารู้แต่เรื่องจิต แล้วเราก็ใช้จิต
"ใจ"เราไม่ได้ใช้ คือ สำหรับเก็บไว้พักใจ เป็นที่พัก หมายความว่าตัวเดิมจะได้รับความสุขสงบ
ก็โดยการเข้าถึงใจ
ที่เรามายุ่งหรือเดือดร้อนวุ่นวายกระสับกระส่ายเป็นทุกข์เพราะ" จิต" เหตุนั้นจิตที่เราใช้จึงเป็นทุกข์
เมื่อเราเห็นจิตอย่างเดียวไม่เห็นใจ
จึงเข้าไม่ถึงความสุขสงบคือ "ใจ"
......................
:ผู้ถาม:
"สติ" คือ อะไร ผู้รู้ ผู้คิด คืออะไร
ทำอย่างไรจึงจะสามารถมองเห็น และจะรู้ได้อย่างไรว่าความเห็นของเราจะถูกหรือผิด
สติอันนั้น คือ "ตัวรู้" ใช่หรือไม่
::หลวงปู่เทสก์::
"สติ" คือผู้ระวัง "ผู้รู้" คือ ปัญญา "ผู้คิด" คือ "จิต"
เราต้องฝึกที่จิตให้เกิดปัญญา จึงสามารถมองเห็น
และจะรู้ว่า..ความเห็นของตนถูกหรือผิดได้
"สติ"มิใช่ "ตัวรู้"..." ปัญญา" ต่างหากคือ "ตัวรู้"
.....................
:ผู้ถาม:
เคยฝึกอบรมภาวนากับพระพม่ามาก่อน ท่านให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เวลาเกิดเวทนาขึ้นมาก็ไปกำหนดเอาเวทนา เมื่อหัดทำกำหนดลมหายใจ
เกิดเวทนาขึ้นมา ก็พยายามหายใจถี่เข้า
จนเวทนาหายไป เวลาเกิดภาวนาขึ้นมาอีก
ก็กำหนดอย่างนั้นอีก จนเวทนาหายไป
แต่ในครั้งสุดท้ายเวทนาเกิดแรงมาก
จนไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ เลยหยุดทำต่อไป
ขอกราบเรียนถามว่า
ถ้าหากหัดภาวนาอีก เวลาเกิดเวทนาขึ้นมา
ควรพิจารณาเวทนา กับ จิตผู้ไปรู้หรือไม่
::หลวงปู่เทสก์::
แยก "จิต" กับ "ผู้รู้" ออกจากกัน เวทนามันก็หายไปเท่านั้นเอง
เพราะจิตผู้ไปคิดไปยึดถือเวทนา มาเป็นตัวตน
ออกจากผู้รู้ได้แล้วก็หมดเรื่อง
.....................
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ที่มาจากปุจฉาวิสัชนาต่างประเทศ
โดยพระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
(เทสก์ เทสรังสี)
ผู้ที่หลงเพลินเล่นอยู่ กับความพอใจและไม่พอใจ
จึงได้หนังสือเดินทางแห่งการท่องเที่ยวของภพชาติติดตัวไปตลอด
#แต่ทั้งสุขและทุกข์ก็ยังเป็น*เงื่อนของสมมุติ*
#ไม่มีใครที่คิดจะอยู่*ตรงกลางระหว่างสุขและทุกข์*
#เพราะตรงนั้น*ไม่มี*ทั้งความพอใจและไม่พอใจ
#แต่เป็น...ความพอ*พอดี*
เอาความพอใจและไม่พอใจ*เป็นเครื่องอยู่*
เมื่อพอใจได้สมใจก็*เป็นสุข* เมื่อไม่พอใจก็*เกิดทุกข์*
นักปฏิบัติ ..*หลงติดอยู่* ที่
*ความพอใจและไม่พอใจ*เป็นเครื่องอยู่
เวลาทำสมาธิ ..ให้ระลึกลมหายใจเข้า-ออก
ให้รู้ลมหายใจเข้า-ออก
ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก
#สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้
#สงบก็ไม่ยินดี...ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย
#ไม่เอา..ทั้งสงบและไม่สงบ
#เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น
...
คุณแม่จันดี โลหิตดี
ดูมันเฉย ๆ เกิดดับ ๆ นี่ ไม่มีเรื่องอะไร
..
ตกลงว่ามันต้อง " รู้ "
เกิด - ดับทางผัสสะ ที่เป็นภายนอก แล้วก็รู้
เกิด - ดับผัสสะที่เป็นภายใน ที่เป็นความจำความคิดอะไรขึ้นมา นี่เป็นสองลักษณะ
แล้วก็ รวมลงว่าเป็นลักษณะอย่างเดียวกัน
คือว่า ความรู้สึกภายในมันเกิดขึ้น แล้วความรู้สึกนั้นดับไป
หรือว่าเสียงที่สัมผัส ที่เป็นภายนอกมันก็เกิด - ดับไปตามเรื่องของภายนอก
แต่เราก็กำหนดรู้จิต , เพราะว่า มันต้องรวมรู้อยู่ที่จิตดีกว่า
ถ้าว่าไปเอาเรื่องภายนอกแล้ว จิตนี่จะฟุ้งซ่านไป
ถ้าว่าเรื่องเฉพาะกิจ , กำหนดรู้จิต ... พิจารณาจิตอยู่เป็นประจำทำให้มากแล้ว
อย่างนี้มันทำให้เกิด "สติปัญญา" ขึ้นมาให้รู้เห็นความจริงได้ง่าย
แล้วสังเกตได้ ในขณะที่จะเผลอเพลินไปกับอะไร
แล้วขณะที่มีสติติดต่ออยู่
รู้จิตในจิต พิจารณาจิตเกิด - ดับ
เกิด - ดับ ดูมันเฉยๆ , เกิด - ดับ , เกิด - ดับนี่ ไม่มีเรื่องอะไร
แล้วจิตนี่ก็ไม่ไปไหน ไม่แส่ส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน
การ "รู้จิตในจิตให้ติดต่อเป็นตัวประธาน"นี่ จะอ่านออกไปในตัวเอง
จะอ่านกายก็ได้ เวทนาก็ได้ สัญญา สังขาร
"อะไรก็รวมอยู่ที่จิตนี่"
ถ้ารู้จิตให้ติดต่อแล้ว ก็ยืนหลักอย่างนี้ให้ติดต่อให้ได้ทุกอิริยาบถ
มันจะดับทุกข์โทษ ดับกิเลส ตัณหา อุปาทาน พร้อมอยู่ในนี้เสร็จ
ข้อสำคัญว่าต้องพยายามให้มาก
เพราะว่าจิตนี่มันมีการไหวรับอารมณ์ง่ายในขณะผัสสะกระทบ
แล้วเราจะควบคุมอย่างไรดี ก็ต้อง "รักษาอินทรียสังวร"
คือว่า สำรวมตา สำรวมหู สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมใจ
ที่สำรวมๆ นี่ มันก็มารวมสำรวมอยู่ที่จิตนั่นเอง
แล้วสังเกตได้ว่า "จิตที่มีสติอยู่แล้วทวารทั้งห้านี่มันก็สงบได้"
มองเห็นรูปเฉยๆ ได้ ,หูฟังเสียงเฉยๆ ได้
จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายได้รับสัมผัสผิวกาย มันก็วางเฉยได้
เพราะว่า "สังวรนี่มันเป็นเครื่องกั้น" แล้วก็ "พิจารณา" ประกอบด้วย
มันก็เป็นเครื่องตัดรอนไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่น
ปล่อยวาง ปล่อยวาง ..
...
ท่านอุบาสิกา ก. เขาสวนหลวง
ในทางปฎิบัติที่ว่า "ปฎิบัติจิตปฎิบัติใจ"
โดยให้ใจอยู่กับใจนี้
คือให้มีสติกำกับใจให้เป็นสติถาวร
ไม่ใช่เป็นสติคล้ายหลอดไฟที่จวนจะขาด
เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง
แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา
เมื่อสติมันติดต่อกัน เป็นสัมมาสมาธิ
คือประกอบด้วยความตั้งมั่นอย่างนี้แล้ว
ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา
เรียกอีกอย่างว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"
ตัวรู้ก็คือ "สติ" นั่นเอง
หรือจะเรียกว่า"พุทโธ" ก็ได้
พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสตินั้นแหละ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
การปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่นอกเหนือจากในชีวิตประจำวัน
.
“ นักวิทยาศาสตร์จากอังกฤษคนหนึ่งเคยบอกว่า
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ...การค้นพบข้อมูลใหม่ๆ
แต่เกิดขึ้นจาก...การมองข้อมูลเก่า...ด้วยสายตาใหม่
.
ก็คล้ายๆ กับความก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติ
การประพฤติปฏิบัติไม่ได้อยู่นอกเหนือจากชีวิตประจำวันของเรา
คนเราต้องพยายามมี*ธรรมะ*อยู่ในใจตลอดเวลา
เพราะ*ธรรมะเป็นเครื่องแก้กิเลส* และกิเลสเกิดได้ทุกเวลานาที
.
ตามหลักปริยัติ เราถือว่าธรรมะประกอบด้วย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
มีให้เลือกเยอะ แต่เราต้องรู้จักเลือกธรรมะที่เหมาะกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
บางครั้งเราจำเป็นต้องใช้ธรรมะลึกซึ้ง บางครั้งเราก็ต้องใช้ธรรมะพื้นๆ สำคัญแต่ว่า...ได้ผลไหม?
โดยปกติในชีวิตประจำวัน *เมื่อเกิดอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ*
เราชอบระบายความรู้สึกออกไป โดยการดุหรือพูดอะไรให้คนอื่นเจ็บใจ
แต่*เรารู้สึกตัวแล้ว*ไม่พูดอย่างนั้น เราก็จะได้ธรรมะหลายข้อ
- *ความรู้สึกตัว*ว่ากำลังหงุดหงิด คือ ตัวสติ
- และ *การที่ไม่ทำตามความรู้สึก*นั้น คือ ความอดทน
- เมื่อความเศร้าหมองในใจเราหาย เกิดสำนึกใน*ความไม่เที่ยงของอารมณ์
ความไม่เป็นตัวเป็นตนของอารมณ์* นั่นคือ “ตัวปัญญา”
.
การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างนี้ ”
.
ชยสาโรภิกขุ
.............................
ธรรมะบทนี้ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร
แต่ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า...มีสิทธิ์บรรลุธรรมเอาง่าย ๆ นะครับ