บุญตาที่ได้เห็น
ฉัตรทองคำ ๕ ชั้น ทองคำ ๑๖ กิโลกรัม
บัวตูมประดับเพชร๒๐๐เม็ด
ยอดสุดองค์พระธาตุพนมบรมเจดีย์
ขอความเป็นมงคลนี้จงบังเกิดแก่ ข้าพเจ้าและครอบครับและมอบให้แด่กัลยณมิตรทุกๆท่าน
พระธาตุพนม ทุกหย่อมหญ้า โดยทั่วกันเทอญฯ
หลวงปู่มั่นเล่าถึงเรื่องการบูรณะพระธาตุพนม
..ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขาท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง
ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ,ท่านพระครูทา โชติปาโล และท่านพระอาจารย์มั่น เป็นผู้ติดตามได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดสระพัง (ตะพัง) ซึ่งเป็นสระโบราณขนาดใหญ่อยู่นอกกำแพงวัด เมื่อท่านได้มานมัสการพระบรมธาตุ (พระธาตุพนม) และพิจารณาดูแล้วมีความเลื่อมใส เห็นว่าพระธาตุพนมเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุที่แท้จริง แต่เป็นที่สลดใจเมื่อเห็นพระธาตุพนมเศร้าหมองรกร้าง ครูบาอาจารย์ทั้งสามท่านจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินการบูรณะองค์พระธาตุพนม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ท่านพระอาจารย์วิริยังค สิรินธโร ฟังว่า...
"ครั้นแล้วท่านอาจารย์เสาร์ก็พาข้ามแม่น้ำโขงกลับประเทศไทย ที่ท่าข้ามตรงกับพระธาตุพนมพอดี
ขณะนั้นพระธาตุพนมไม่มีใครเหลียวแลดอก มีแต่เถาวัลย์นานาชนิดปกคลุมจนมิดเหลือแต่ยอด ต้นไม้รกรุงรังไปหมด ทั้ง ๓ ศิษย์อาจารย์ก็พากันพักอยู่ที่นั้น เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ขณะที่ท่านอยู่กันนั้น พอตกเวลากลางคืนประมาณ ๔-๕ ทุ่ม จะปรากฏมีแสงสีเขียววงกลมเท่ากับลูกมะพร้าว และมีรัศมีสว่างเป็นทาง ผุดออกจากยอดพระเจดีย์ แล้วก็ลอยห่างออกไปจนสุดสายตา และเมื่อถึงเวลาก่อนจะแจ้ง ตี ๓-๔ แสงนั้นก็จะลอยกลับเข้ามาจนถึงองค์พระเจดีย์แล้วก็หายวับเข้าองค์พระเจดีย์ไป
ทั้ง ๓ องค์ศิษย์อาจารย์ได้เห็นเป็นประจักษ์เช่นนั้นทุกๆ วัน ท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ จึงพูดว่า
“ที่พระเจดีย์นี้ต้องมีพระบรมสาริกธาตุอย่างแน่นอน”
ดังนั้น ท่านจึงได้ชักชวนญาติโยมทั้งหลายในละแวกนั้น ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน และส่วนมากก็เป็นชาวนา ได้มาช่วยกันถากถางทำความสะอาดรอบบริเวณองค์พระเจดีย ์นั้น ได้พาญาติโยมทำอยู่เช่นนี้ถึง ๓ เดือนเศษๆ จึงค่อยสะอาด เป็นที่เจริญหูเจริญตามาตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อญาติโยมทำความสะอาดเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ก็พาญาติโยมในละแวกนั้นทำมาฆบูชา ซึ่งขณะนั้น ผู้คนแถวนั้นยังไม่รู้ถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างจริงจัง จนได้ชักชวนกันมารักษาอุโบสถศีล ฝึกหัดกัมมัฏฐานทำสมาธิกับท่านอาจารย์ จนได้ประสบผลตามสมควร การพักอยู่ในบริเวณของพระธาตุพนมทำให้จิตใจเบิกบานมาก และทำให้เกิดอนุสรณ์รำลึกถึงพระพุทธเจ้าได้อย่างดียิ่ง"
“เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๓ หลังจากที่ชาวเมืองนครพนมจมอยู่ในความมืดบอดเป็นเวลานาน ปล่อยให้พระธาตุเป็นป่ารกทึบ และแล้วท่านพระอาจารย์ทา โชติปาโล ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้นำเอาแสงสว่างดวงประทีปธรรมของพระพุทธองค์ สองทางให้ได้เห็นหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องดำเนินต่อไป”
หลวงปู่ใหญ่เสาร์ ได้เล่าให้ หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส ศิษย์อุปัฏฐากฟังว่า ทีแรก ชาวเมืองได้ขอให้หลวงปู่ใหญ่เป็นผู้บูรณะ แต่ท่านบอกว่า “เราไม่ใช่เจ้าของ เดี๋ยวเจ้าของผู้ซ่อมแซมจะมาทำเอง”
และเจ้าของ ที่หลวงปู่ใหญ่พูดไว้ก็คือ พระครูวิโรจน์รัตโนบล หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านพระครูดีโลด นั่นเอง
บันทึกการบูรณะพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๔๔๔ (การบูรณะครั้งที่ ๕) ตามหนังสืออุรังคนิทาน ตำนานพระธาตุพนมที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร (แก้ว กนฺโตภาโส) ได้กล่าวไว้ ดังนี้
“ครั้นถึง พ ศ. ๒๔๔๔ มีพระเถระนักปฏิบัติชาวเมืองอุบลฯ ๓ รูป เดินธุดงค์มาจำพรรษาอยู่วัดสระพัง (ตะพัง) ซึ่งเป็นสระโบราณใหญ่อยู่บริเวณนอกกำแพงวัดทางด้านหรดีองค์ธาตุพนม คือ พระอุปัชฌาย์ทา ๑ พระอาจารย์เสาร์ ๑ พระอาจารย์มั่น ๑
ท่านและคณะได้มานมัสการพระบรมธาตุ และพิจารณาดูแล้วมีความเลื่อมใส เห็นว่าพระธาตุพนมเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุอันแท้จริง แต่เป็นที่น่าสลดใจ เมื่อเห็นองค์พระธาตุเศร้าหมอง รกร้างตามบริเวณทั่วไป
ทั้งพระวิหารหลวง ซึ่งพระเจ้าโพธิศาล (พ ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๓) แห่งนครหลวงพระบางได้สร้างไว้ (ตามประวัติพระธาตุพนมบูรณะครั้งที่๒) ก็พังทลายกลายเป็นกองอิฐปูนอยู่ภายในกำแพงพระธาตุ ถ้าได้ผู้สามารถเป็นหัวหน้าบูรณะจะเป็นมากุศลสาธารณะแก่พระพุทธศาสนาและบ้านเมืองมิใช่น้อย
จึงแต่งตั้งให้ตัวหน้าเฒ่าแก่ชาวบ้านธาตุพนม เดินทางลงไปเมืองอุบล ให้อาราธนาเอาท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) วัดทุ่งศรีเมือง จ อุบลฯ แต่เมื่อท่านดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูอุดรพิทักษ์คณาเดช ขอให้ท่านขึ้นมาเป็นหัวหน้าซ่อมแซมพระบรมธาตุ ท่านก็ยินดีรับขึ้นมาตามความประสงค์ (ท่านมีคุณสมบัติพิเศษ โอบอ้อมอารี จนได้นิมิตนามว่า “พระครูดีโลด” คืออะไรก็ดีหมด)
ท่านเป็นพระเถระผู้เชี่ยวชาญทางการฝีมือ ศิลปกรรม การก่อสร้าง แกะสลักทั้งไม้ อิฐ ปูน เป็นนักปกครองชั้นดี ทั้งเป็นนักปฏิบัติมีจิตตานุภาพและจิตวิทยาสูง เป็นที่นิยมของประชาชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต มีศิษย์มากอยู่ ผู้ใดได้พบปะสนทนาด้วยแล้ว ต่างมีความเคารพรัก
เมื่อท่านพระครูฯ รับนิมนต์ เดินทางมาถึงแล้วได้ประชุมหารือทั้งชาววัดและชาวบ้าน
ชั้นแรกชาวบ้านจะยอมให้ทำแต่เพียงทาปูนลานพระธาตุ ให้มีที่กราบไหว้เท่านั้น มิยอมให้ซ่อมองค์พระธาตุเพราะเกรงกลัวเภทภัยทั้งหลายซึ่งเคยเป็นมาแล้วแต่หนหลัง
ท่านพระครูฯ ไม่ยอม บอกว่าถ้ามิได้บูรณะพระธาตุแต่ยอดถึงดิน แต่ดินถึงยอดแล้วจะมิทำ
ชาวบ้านไม่ตกลง เลิกประชุมกัน
ครั้นต่อมาในวันนั้น มีอารักษ์เข้าสิงคน ขู่เข็ญผู้ขัดขวาง จะทำให้ถึงวิบัติ ชาวบ้านเกิดความกลัวจึงกลับมาวิงวอนให้ท่านพระครูฯ ทำตามใจชอบ
ท่านพระครูวิโรจน์ฯ ได้เริ่มบูรณะแต่เดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ค่ำ จนถึงเดือน ๓ เพ็ญ ได้ฉลอง มีประชาชนหลั่งไหลมาจากจตุรทิศ ช่วยเหลือจนมืดฟ้ามัวดินเป็นประวัติการณ์นับแต่หลังจากบ้านเมืองเป็นจลาจลมา (เกิดศึกสงครามระหว่างไทยกับญวน ทำให้ผู้คนแตกตื่นอพยพหนีหายไปจำนวนมาก และช่วงนั้นเกิดกรณีกบฏผีบุญ ขึ้นที่มณฑลอุบล เมื่อสมัย ร.ศ. ๑๑๗ ตรงกับ พ ศ ๒๔๔๓ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ด้วย)
มีผู้ศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์เพื่อบูรณะพระธาตุเป็นจำนวนมาก
การบูรณะ ได้ชำระต้นโพธิ์เล็กที่เกาะจับอยู่ออก ขูดไคลน้ำและกะเทาะสะทายที่ชำรุดออก โบกปูน ทาสีใหม่ ประดับกระจกสีในที่บางแห่ง และลงรักปิดทองยอดตามที่อันควร สิ้นทองเปลว ๓ แสนแผ่น หมดเงินหนัก ๓๐๐ บาท ทองคำ ๕๐ บาทเศษ แก้วเม็ด ๒๐๐ แก้วประดับ ๑๒ หีบ หล่อระฆังโบราณด้วยทองแดง ๑ ลูก หนัก ๒ แสน (๒๔๐ กก.) ไว้ตีเป็นพุทธบูชา”
ต่อมาภายหลัง วัดพระธาตุพนมจึงมีงานนมัสการพระธาตุพนมประจำทุกปี โดยจะตรงกับช่วงวันมาฆบูชา ซึ่งนับเนื่องจากครูบาอาจารย์ทั้ง ๓ หลวงปู่ทา โชติปาโล หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้นำพาปฏิบัติบูชาคุณพระรัตนตรัยไว้เป็นปฐมฤกษ์นั่นเอง
ในปีนี้มีงานบุญประจำปีนมัสการพระธาตุพนม ตั้งแต่วันที่ ๗ ถึง ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ มีพิธีร่วมขบวนแห่อันเชิญพระอุปคุตจากริมฝั่งแม่น้ำโขง มาประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนม พิธีถวายข้าวพืชภาค สรงน้ำพระอุปคุตเพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีห่มผ้าพระธาตุและเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแสดงว่า
การให้ข้าวและน้ำ ชื่อว่า ให้กำลัง
การให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ
การให้ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสะดวก
การให้แสงสว่าง ชื่อว่า ให้ดวงตา (การมองเห็น)
การให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ความสบาย
การให้ธรรมะ ชื่อว่า ให้สิ่งที่เป็นอมตะ
เพราะบุคคลจะพ้นจากความตายได้
ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป
ก็เพราะอาศัยการได้สดับตรับฟังพระธรรม
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง
•กินททสูตร•