พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 9 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 336 **การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ 3**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมถึงเรื่องของการพิจารณา ตรวจจิตของตน ฝึกจิตของตนให้เป็นองค์พระอรหันต์แนวทางที่ 3 หรือแบบที่ 3* น่ะเจ้าค่ะ เราจะสามารถพิจารณาแบบไหนได้บ้างล่ะเจ้าคะ ในแบบที่ 3 นี้
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟัง ทำตามที่ลูกนั้นได้ยิน แล้วพิจารณาตามนะลูก
ในแบบที่ 3* ที่เราจะสามารถพิจารณาตามแนวทางนี้ เพื่อฝึกฝนให้ตัวของเราเข้าไปสู่การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. เราจะต้อง
- ฝึกตัด ฝึกละ
- ฝึกให้เห็นความเป็นจริง ความไม่เที่ยงของความมีเรา ความไม่มีเรา
.. เราต้องฝึกให้เห็นความมีและความไม่มีในเราลูก โดยพิจารณาถอดถอนความเป็นเรา ให้มันเห็นอย่างชัดเจนว่า..
/ ความจริงแล้ว เราที่มีอยู่ มันอยู่ที่ไหน
/ ให้เห็นตัวเรา เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในเราอย่างชัดเจน
- แล้วก็จะทำให้ลูกนั้น.. สามารถรู้ตามความเป็นจริง รู้ว่าเราไม่มี ตัวเราของเราไม่มีเลย..
ลูกก็จะสามารถถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งต่างๆทั้งหลาย
-- จนกลายเป็นองค์พระอรหันต์ได้เช่นเดียวกัน ++
พระยาธรรมเอย.. องค์พระอรหันต์บางองค์ ท่านก็ใช้หนทางนี้ โดยการประพฤติปฏิบัติตาม
พระยาธรรมเอย.. หนทางนี้นั้น ต้องมีสมาธิ ต้องมีสติเสียก่อน ต้องรวมกำลังแห่งสมาธิ
แล้วใช้สติระลึกตาม ให้ตัวปัญญานั้นมันแตกฉาน
... ลองทำตามดูนะลูก
ลูกนั้นจงตั้งใจ น้อมพลังเข้ามาสู่ศูนย์กลางกายแห่งตน
ให้พลังเย็น..ลงมากระทบที่ฝ่ามือขวา กระทบที่ฝ่ามือซ้าย
น้อมเข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย จนเกิดฌานสมาธิขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วก็เอาความสงบ เอาสมาธิเล็กน้อยนั้น – เข้ามาพิจารณาถอดถอนความเป็นเรา ++
รูป - ไม่เที่ยง*
คือรูปร่างหน้าตา ร่างกาย ตัวเราไงล่ะลูก
รูปของเรานั้นมันไม่เที่ยง..
แต่ก่อนเป็นรูปเด็กเล็กๆ
แล้วก็เป็นรูปของเด็กโตขึ้น
แล้วก็เป็นรูปของผู้ใหญ่
แล้วก็เป็นรูปของคนแก่
-- แล้วรูปของคนแก่นั้น ก็จะป่วย จะเจ็บตายไป --
รูปไม่เที่ยงหนอ รูปนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หาเอาอะไรจริงจังในรูปนี้ไม่ได้ ภาวนาไป
รูปไม่เที่ยง ได้แก่ รูปร่างของเรา ไงล่ะ มันไม่เที่ยง
รูปไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เรา
เขานั้นประกอบขึ้นมา จากสิ่งต่างๆทั้งหลาย ทั้งกรรม ทั้งกิเลส ผลของกรรม ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ.. เลยประกอบกันขึ้นมา เป็นรูปขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว รูปไม่เที่ยง
ทีนี้ เราก็ไปพิจารณาอีกว่า ความเจ็บปวด ความรับรู้ สุข ทุกข์ มันก็ไม่เที่ยง
เวทนา - ไม่เที่ยง*
เขาคือความเจ็บปวดที่มีที่ซ่อนอยู่ในรูป
เมื่อรูปไม่มี - เวทนาก็ไม่มี
คนที่เขาตายแล้ว ความเจ็บปวดของเขาอยู่ที่ตรงไหน ?
ต่อให้ใครจะเอามีดไปสับร่างกายนั้นให้เป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวด ความรับรู้สุข ทุกข์ในร่างกาย มันมีตรงไหน – มันไม่มี !
เวทนาก็ไม่เที่ยง - มันเป็นของรูป เป็นของร่างกาย
- ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา -
เวทนาไม่เที่ยง มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ประกอบเข้าไว้อยู่ในร่างกายนี้..
- ทำให้รับรู้ สุข ทุกข์ รับรู้ความเจ็บปวดหรือสบาย ที่มันเกิดขึ้นในร่างกายนี้ เท่านั้น +
สัญญา - ก็ไม่เที่ยง *
ความจำมั่นหมายว่า.. สิ่งนั้นคือสิ่งนี้ สิ่งนี้คือสิ่งโน้น
ความจำเหล่านี้ มันก็ไม่เที่ยง
มันก็แค่จำไว้ บันทึกเอาไว้ - เพื่อให้เราดำรงชีวิตไป ตามเหตุตามปัจจัย
มันคือสิ่งหนึ่งที่ทำงานอยู่ในร่างกายนี้ เพื่อ..
- ให้เราประกอบการดำรงชีวิต ให้สมบูรณ์
- ให้จำได้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนี้คืออะไร
- ให้มีสติระลึกรู้ และจะได้ดำรงชีวิตไปอย่างถูกต้องตามขันธ์ 5 ตามร่างกาย ตามการมีชีวิตอยู่นั้น เท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไรของเราเลย
มันเป็นเพียงแต่ สิ่งที่ตั้งเอาไว้อยู่ในกาย เพื่อที่จะจับสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าไว้เท่านั้น
คนที่ร่างกายดับไป ต่อให้เรานั้น จะถามอะไรกับเขา เขาก็คงไม่รู้เรื่องความจำเหล่านี้
สัญญาเหล่านี้ ก็จะหายไป ดับไป ตามร่างกายนี้
- เขาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา - สัญญาก็ไม่เที่ยง
- ไม่มีในเรา เราไม่มีในเขา
ต่อไป สังขาร - ก็ไม่เที่ยง *
เพราะสังขารนั้น คือความคิดปรุงแต่ง ที่เรานั้นมีขึ้นมา เพื่อจะได้คิดว่า จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือสิ่งไหน
คิดปรุงแต่งไป ตามขันธ์ 5 ตามเหตุของการดำรงชีวิต
เมื่อกายนี้ดับไปตายไป ความคิดปรุงแต่ง มันอยู่ที่ไหน มันไม่มี
มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของของเรา
มันเป็นของร่างกาย เป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่มันถูกสร้างขึ้นมา -เพื่อที่จะให้คิดได้ คิดออกปรุงแต่งไปตามเหตุ ตามเรื่องตามราว – เพื่อที่จะได้ทำไปตามสิ่งเหล่านั้น / เป็นไปตามสิ่งเหล่านั้น / นึกคิดไปตามเรื่องราวของการปรุงแต่งนั้นเท่านั้นเอง
เมื่อกายดับ – การปรุงแต่งมันอยู่ที่ไหน !
วิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน
วิญญาณ – ก็ไม่เที่ยง เช่นเดียวกัน
มันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ร่างกายนี้ ระลึกรู้ รู้ในสิ่งที่กระทบเข้ามา ผ่านหูผ่านตา ผ่านสัมผัสต่างๆ แล้วก็ส่งเข้าไปที่การปรุงแต่ง คือสังขาร
มันก็ส่งข้อมูลต่างๆเข้าไป สู่กายให้
/ มีความจำอย่างนั้นอย่างนี้
/ มีการปรุงแต่งอย่างนั้นอย่างนี้
/ มีความรู้สึกทุกข์ รู้สึกเจ็บ ไม่เจ็บอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ในรูปเท่านั้นเอง
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ มันเรียกว่า ขันธ์ 5
เรียกว่าร่างกาย เรียกว่าเรา
สมมุติว่าชื่อว่า นาย ก. สมมุติว่าชื่อว่า นาย ข. - ชื่อไปอย่างนั้น ตามสมมุติ
นี่หรือคือชีวิต มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ปล่อยการยึดติดนี้ทิ้งไปเสียเถิด..
องค์พระอรหันต์ท่านหมั่นพิจารณาเช่นนี้อยู่เป็นประจำๆ
ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ ท่านก็จะพิจารณา..
ถึงรูป ว่ามันไม่เที่ยง
ถึงสังขาร ว่ามันไม่เที่ยง
ถึงสัญญา ว่ามันไม่เที่ยง
ถึงเวทนา ว่ามันไม่เที่ยง
ถึงวิญญาณ ว่ามันไม่เที่ยง
ก็คือ จะจับทั้ง 5 อย่างนี้ มาพิจารณาไปมา สลับกันไปมา
แม้อาจจะไม่ได้เรียบเรียงกันให้ตรงเป๊ะ แต่ก็รู้ว่า ส่วนประกอบทั้ง 5 ส่วนนี้ มันรวมกันมา ประกอบกันเข้า
- แล้วก็ทำงานอยู่ในร่างกายเรา / แล้วก็สมมุติว่าเป็นเรา -
ส่วนจิตนั้น ก็มายึดเอาถือเอา ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรา เป็นของเรา..
/ มาหลงยึดรูปว่าเป็นเรา
/ หลงยึดความเจ็บปวดต่างๆ ความทุกข์ต่างๆ เวทนา ว่าเป็น เรา เป็นของเรา
/ หลงยึดสัญญาว่าเป็นเราเป็นของเรา
/ หลงยึดสังขารว่าเป็นเราเป็นของเรา
/ หลงยึดวิญญาณว่าเป็นเราเป็นของเรา
ที่แท้แล้วไม่ใช่เลย ไม่มีเราในเขา ไม่มีเขาอยู่ในเรา รูปก็ไม่ใช่ของเรา ความเจ็บ ความปวด ความระลึกรู้ สุขทุกข์เวทนาต่างๆนั้นก็ไม่ใช่ของเรา สัญญาก็ไม่ใช่ของเรา ความจำเหล่านั้นไม่ใช่เรา
สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือว่าวิญญาณ
.. สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้ว ไม่ใช่เรา..
มันคือเรื่องของขันธ์ 5 เป็นเรื่องของร่างกาย เป็นกองทุกข์ 5 กองมารวมกัน ประกอบขึ้นสมบูรณ์แล้ว แล้วเราก็ยึดเอาถือเอา ว่าเป็นเราเป็นตัวเป็นตนของเราเท่านั้น..
พิจารณาอยู่อย่างนี้ไปมา พิจารณาอยู่อย่างนี้อย่างบ่อยๆ ก็จะสามารถถอดถอนความเป็นเราเป็นของเรา เข้าใจในเรื่องของร่างกาย สามารถถอดถอนความลุ่มหลง ความยึดติดในร่างกายนี้ จนมองเห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายนี้ อย่างแจ่มแจ้ง
จิตของเราก็จะรู้ตื่น ตื่นว่านี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็จะสามารถถอดถอนจิตออกจากกิเลสตัณหาได้ โดยระลึกรู้ว่า.. นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา
-- เมื่อจิตรู้ตื่นแล้ว ก็จะเข้าใจไปในเชิงลึกเองว่า.. กายนี้เกิดขึ้นมาจากผลของกรรม
.. ทำกรรมใด -ก็จะได้เกิดมาตามกรรมนั้น..
กายนี้เกิดขึ้นเพราะทำกรรม เมื่อเรารู้แล้วว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา - เราก็จะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในกาย จนต้องไปก่อกรรมชั่ว
เรารู้ว่าการทำความดีจะพาให้จิตของเรา สูงขึ้นเรื่อยๆ และสามารถโยกจิตออกจากความมี มีกายนี้ เราจะสามารถดับความยึดมั่นถือมั่นนั้นได้
เราผู้ซึ่งเป็นดวงจิต - ก็จะถอยห่างออกจากผลของกรรม คือ กายนี้
และเราก็จะรู้ว่า กิเลส คือสิ่งที่สร้างให้เกิดกรรม
แต่เมื่อเราสามารถพิจารณาอยู่บ่อยๆ จนเราถอดถอนความยึดมั่นในตัวตน รู้แจ้งตามความเป็นจริง – กิเลสก็จะไม่มีอำนาจต่อจิตอีก จะสั่งให้จิตทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป..
จนเรานั้นก็มาระลึกรู้อีกว่า เมื่อเรายังถือตัวจิตอยู่ ยึดตัวจิตอยู่ - จิตนั้นก็จะเป็นที่ตั้งแห่งตัวตนอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้น.. เราก็ควรที่จะสลายตัวของจิตนั้นทิ้งไปด้วย ไม่ควรยึดติดสิ่งใด
ปล่อยให้มันคลาย คลายจากความยึดว่ามี
ปล่อยให้มันว่างไป
ปล่อยให้มันหมดจากความมีไป
.. จนเรานั้นจะเข้าสู่สภาวะของความไม่มี เมื่อเข้าสู่สภาวะของความไม่มีแล้ว สัมผัสถึงความละเอียดสุดของความไม่มีนั้นแล้ว.. ก็จะเข้าสู่การ มีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน ++
จิตนั้นก็จะ มี ไม่มี เป็นแค่สิ่งที่มันละเอียดอ่อนที่สุด
อยู่ในสถานที่ ที่ว่างเปล่า มีก็ได้ ไม่มีก็ได้
มีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน
กลายเป็นแค่เพียงกายแก้วใส.. และสลายจากกายแก้วใสนั้น เป็นอากาศธาตุ ว่างเปล่าไปหมด
สุข-ทุกข์ ไม่มี
การยึดในตัวจิต ก็ไม่มี
ยึดในตัวบุคคล ก็ไม่มี
กิเลสตัณหา หมดสิ้นไป
กรรมวิบาก ไม่สร้างเพิ่มขึ้น
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. เป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ หรือแนวทางที่สามารถยึดไว้เป็นหลักของการพิจารณา เพื่อประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์ได้อีกแบบหนึ่ง
พระอรหันต์บางรูปบางองค์ ก็จะฝึกโดยการใช้วิธีนี้
ฝึกดับที่ตัวเรา
ฝึกแยกขันธ์5 ให้ออกจากกัน
ฝึกรู้ว่ามันไม่ใช่เรา แล้วก็
ฝึกดับกิเลสที่มันละเอียดลึกอยู่ในใจ ดับให้ถึงการมีจิตที่ตั้งมั่น แล้วก็ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงความมีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน
.. กลายเป็นแก้วเป็นอากาศธาตุไปเลย...
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ความสุขความทุกข์จึงไม่มีในองค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์จึงสำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ได้ เมื่อเข้าไปเรื่อยๆ
จนถึงการสลาย ไม่ยึด ไม่มี
--ไม่มีความถือว่ามี หรือไม่มีอยู่ในตน เป็นสภาวธรรมที่สูงเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย..
จงประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้
หากลูกทั้งหลายนั้น มีความตั้งมั่นที่จะเข้าถึง องค์พระอรหันต์.. ลูกก็สามารถยึดเอาแนวทางนี้ในการปฏิบัติ หากมัน
- ตรงกับสิ่งที่ลูกนั้นเป็นอยู่ มีอยู่
- ตรงกับความรู้สึก ตรงกับสิ่งที่ลูกน้อมไปแล้ว
-- สามารถปฏิบัติตามได้ ตามจริตของตัวลูกนั้น --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ