< สุญญตา - สิ่งทั้งหลายไม่ได้มีอยู่จริง >
เรียงเรียงโดย เตชปัญโญ ภิกขุ
ตอนที่ ๑:
< คำนำ>
คำสอนเรื่องสุญญตา (ความว่าง) นี้เป็นคำสอนสูงสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำสอนให้เกิดปัญญาสูงสุดสำหรับนำมาปฏิบัติคู่กับสมาธิ เพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ถ้าขาดความรู้เรื่องสุญญตา ก็จะทำให้ไม่มีปัญญาและทำให้อริยสัจ ๔ ขาดหัวใจ จนทำให้นำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าการศึกษาเรื่องสุญญตานี้ จัดเป็นการศึกษาหัวใจของพุทธศาสนา ถ้าเราเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่องสุญญตาแล้ว เราก็จะเข้าใจและเห็นแจ้งคำสอนอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้
ที่สำคัญเรื่องสุญญตานี้พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า แม้ผู้ครองเรือน (ผู้ที่ไม่ได้บวช) ก็ควรรู้ เพราะความรู้เรื่องสุญญตานี้เป็นความรู้ในเรื่องความจริงสูงสุดของชีวิต ที่จะทำให้ผู้ที่รู้นั้นเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเอง เมื่อมีความเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตแล้ว ก็จะรู้จักการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิตได้
จึงขอฝากให้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้ช่วยกันศึกษาเรื่องสุญญตาของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง และนำมาทดลองปฏิบัติให้เกิดความเห็นแจ้ง รวมทั้งช่วยกันเผยแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อช่วยให้เขาได้หลุดพ้นจากความทุกข์ และช่วยให้โลกมีสันติภาพ ตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้ากันต่อไป
เตชปัญโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
< ความจริงของชีวิต>
ความจริง คือ สิ่งที่มีอยู่ (พวกวัตถุ) หรือเป็นอยู่ (พวกนามธรรม เช่น จิต, และสภาวะต่างๆ) ตามธรรมชาติอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยความจริงนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนอยากรู้ แต่ความจริงนั้นมีมากมายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่มีประโยชน์ (ประโยชน์ คือการไม่มีความทุกข์) และไม่มีประโยชน์ (ไม่มีประโยชน์ก็คือไม่ได้ช่วยให้ไม่มีความทุกข์เลย มีแต่จะทำให้เกิดความทุกข์) แก่ชีวิตของเรา
ซึ่งความจริงที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของเรานั้นก็ได้แก่ ความจริงเรื่องของชีวิตของเรานี่เอง อันได้แก่ความจริงที่ว่า
▪ชีวิตคืออะไร?
▪ชีวิตเกิดขึ้นมาจากไหนและได้อย่างไร?
▪ตายแล้วเป็นอย่างไร?
▪รวมทั้งความจริงที่ว่า สิ่งสูงสุด (สิ่งที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ที่สุด) ของชีวิตคืออะไร? และเราจะได้มาโดยวิธีใด?
การที่เราได้รู้ถึงความจริงของชีวิตนี้อย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เรามองเห็น (คือเข้าใจและเห็นแจ้ง) ชีวิตอย่างถูกต้องตามที่มันเป็นอยู่จริง แล้วก็จะทำให้เรารู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง (คำว่า “ถูกต้อง” ก็คือไม่ทำผิดหรือไม่ทำเกิดโทษหรือความทุกข์ขึ้นมา) โดยมีผลสูงสุดคือทำให้ชีวิตได้รับสิ่งสูงสุดที่ชีวิตควรได้รับในการเกิดมานี้ (ผลสูงสุดก็คือ การไม่มีความทุกข์เลยตลอดชีวิต)
< จริงแท้ – จริงสมมติ>
ความจริงของโลกนั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คือ
๑. ความจริงสมมติ คือ ความจริงตามที่ชาวโลกสมมติกันขึ้นมา เช่น คน, สัตว์, ภูเขา, ต้นไม้, รถยนต์, บ้าน, คอมพิวเตอร์, มือถือ, เงิน (ทรัพย์), ตัวเรา, ตัวเขา, พ่อ, แม่, ลูก, สามี, ภรรยา, พี่, น้อง, ชาย, หญิง, เด็ก, ผู้ใหญ่, สวย, หล่อ, ไม่สวย, ไม่หล่อ, ดี, ชั่ว, โง่, ฉลาด, รวย, จน, เจ้านาย, ลูกจ้าง เป็นต้น
๒. ความจริงแท้ คือ ความจริงสูงสุดของธรรมชาติ ที่เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุดของธรรมชาติ อันได้แก่ความจริงเรื่องที่ว่า สิ่งทั้งหลายที่ชาวโลกสมมติกันขึ้นมานั้นมันเป็นสุญญตา คือมันว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนที่แท้จริง (อัตตา) ของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
การมอง (สัมผัส) โลกนั้นถ้าเรามองอย่างผิวเผิน (คือไม่พิจารณาให้ละเอียดรอบครอบ) เราก็จะพบเฉพาะความจริงสมมติเท่านั้น คือพบว่ามันมีสิ่งต่างๆตามที่ชาวโลกสมมติกันขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ทำให้เราเกิดความยึดถือ (อาการของความยึดถือก็คืออาการที่จิตไปแบกไปหามเอาไว้ด้วยความรักหรือความพอใจ) ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันเป็นตัวตนของมันเองจริงๆ (ที่เรียกว่าอัตตา) แต่เมื่อสิ่งที่ยึดถือเอาไว้นั้นมันเปลี่ยนแปลงไป เช่น ร่างกายแก่ หรือเจ็บ หรือกำลังจะตาย หรือบุคคลหรือสิ่งที่เรารักได้จากเราไป เป็นต้น จิตใจของเราก็จะเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศกหรือเสียใจ) ขึ้นมาทันที
แต่ถ้าเรามองโลกอย่างชาญฉลาด (คือมีการพิจารณาอย่างละเอียดรอบครอบ) เราก็จะพบกับความจริงแท้ คือพบว่า
“สิ่งทั้งหลายของธรรมชาตินั้นมันไม่ได้มีตัวตนจริงๆเป็นของมันเองเลย (เห็นสุญญตา) สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานี้ มันเป็นเพียงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ได้นำเอาสิ่งพื้นฐาน ๔ อย่าง (คือ ของแข็ง(ธาตุดิน), ของเหลว(ธาตุน้ำ), ความร้อน(ธาตุไฟ), ก๊าซ(ธาตุลม)) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาปรุงแต่ง (การปรุงแต่งหมายถึงการกระทำโดยธรรมชาติ) ให้เกิดเป็นสิ่งต่างๆขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
ซึ่งเมื่อเรามองเห็นความจริงแท้เช่นนี้อยู่ด้วยความตั้งใจ (สมาธิ) ก็จะทำให้ความยึดถือว่าสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นตัวตนจริงๆจางคลายลง เมื่อความยึดถือจางคลายลง แม้ร่างกายจะแก่ หรือเจ็บ หรือกำลังจะตาย หรือบุคคลหรือสิ่งที่เรารักได้จากไป เป็นต้น จิตใจของเราก็จะเกิดความทุกข์ลดน้อยลง หรือไม่มีเลยได้ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร ถ้ามีการปฏิบัติเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ
< สุญญตา - สิ่งทั้งหลายไม่ได้มีอยู่จริง >
เรียงเรียงโดย เตชปัญโญ ภิกขุ
ตอนที่ ๒:
< สุญญตา >
สุญญตา แปลว่า ความว่าง ซึ่งคำว่าสุญญตานี้มี ๓ ความหมาย คือ
๑. ว่างไม่มีอะไรเลย คือหมายถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยแม้อากาศ (ที่เรียกว่าสุญญากาศ)
๒. ว่างจากอัตตา คือหมายถึง สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานี้มันไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตนของมันเอง (อัตตา)
๓. จิตว่าง คือหมายถึง จิตที่ว่างจากกิเลส (พอใจ-ไม่พอใจ-ลังเลใจ) หรือว่างจากความยึดถือ (อุปาทาน) ว่า “จิตใจและร่างกายของเรานี้เป็น ตัวเรา และยึดถือว่าสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเราว่าเป็น ของเรา”
สุญญตาความหมายที่ ๑ นั้น หมายถึง ความว่างทางวัตถุ ที่เรียกว่าสุญญากาศ คือไม่มีแม้อากาศ ส่วนความหมายที่ ๒ นั้นหมายถึง มันว่างจากสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริง (ที่เรียกว่าอัตตา) คือตามธรรมชาตินั้นแต่เดิมมันมีเพียงธาตุ (สิ่งที่มีอยู่จริง ที่เป็นพื้นฐานมาปรุงแต่งหรือทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นมาในโลก) เท่านั้น
》แต่ธาตุนี่เองที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งต่างๆทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตขึ้นมามากมายในโลก ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี้ไม่ได้มีตัวตนเป็นของมันเองจริงๆเลย
ซึ่งสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นของตนเองนี้เอง ที่มันไม่เที่ยง (คือมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับอยู่ตลอดเวลา) และมีภาวะที่ต้องทนอยู่ตลอดเวลา
ส่วนความมายที่ ๓ จะหมายถึง สิ่งที่มีชีวิตชั้นสูงคือมนุษย์หรือคนเรานี้ จะมีสมองที่คิดนึกได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่เพราะจิตของคนเรานี้มีสัญชาติญาณแห่งความมีตัวตนอยู่ในจิตใต้สำนึก
》จึงทำให้จิตของคนเรานี้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเองขึ้นมา แล้วก็เกิดความยึดถือจิตใจและร่างกายของตัวเองว่าเป็น “ตัวตน” หรือ “ตัวเอง” ด้วยความรักหรือพอใจ เมื่อมีความยึดถือว่ามีตัวตนแล้ว ก็มีความยึดถือสิ่งต่างๆที่เกี่ยวของกับตัวตนว่าเป็น “ของตน”
และเมื่อสิ่งที่ยึดถือเอาไว้นั้นมันเปลี่ยนแปลงไปเป็นภาวะที่ไม่น่าพอใจ เช่นร่างกายแก่ เจ็บ หรือใกล้จะตาย หรือคนที่รักได้จากไป จิตที่ยึดถือนี้ก็จะเกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจอย่างรุนแรง ที่เรียกว่าความทุกข์ขึ้นมาทันที
》แต่ถ้าจิตนี้มีปัญญาที่เป็นความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า สิ่งที่ยึดถือเอาไว้ทั้งหลายนี้มัน “ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง” บวกกับจิตนี้ก็มีสมาธิอยู่ด้วย จิตนี้ก็จะไม่เกิดความรักหรือพอใจ (ที่เป็นกิเลส) และความยึดถือขึ้นมา (ที่เรียกว่าจิตว่าง) เมื่อไม่มีความยึดถือ จิตนี้ก็จะไม่มีความทุกข์
ตอนที่ ๓:
< ความทุกข์คือภัยอันใหญ่หลวงของมนุษย์>
เมื่อเรามาพิจารณาถึงชีวิตของเราแล้วเราก็จะพบว่า แต่เดิมนั้นมันไม่ได้มีเรามาก่อน แต่พ่อแม่ทำให้เกิดขึ้นมา โดยอาศัยอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์ ที่เป็นธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งหรือทำให้เกิดขึ้นมา และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มายึดถือร่างกายและจิตใจของเราเอง รวมทั้งสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจ (เช่น พ่อ แม่พี่ น้อง สามีหรือภรรยา คนรัก เพื่อน ญาติ รวมทั้งทรัพย์สมบัติต่างๆ และชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้น) ว่าเป็น “ตัวเรา-ของเรา” ด้วยความรักหรือความพอใจ (คือสิ่งต่างๆเหล่านี้มันทำให้เรามีความสุข ดังนั้นเราจึงได้เกิดความรักหรือความพอใจกับมัน ซึ่งความรักหรือความพอใจนี้เองที่เรียกว่า กิเลส ที่หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตสกปรก)
แต่สิ่งที่ได้ยึดถือเอาไว้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ มันมีความไม่เที่ยง และมีสภาวะที่ต้องทน อยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วเมื่อสิ่งที่เราได้ยึดถือเอาไว้นี้มันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน
》คือร่างกายแก่ เจ็บ ป่วย เสื่อมสภาพ หรือกำลังจะตาย หรือคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารักได้จากเราไป จึงทำให้เราเกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจขึ้นมา รวมทั้งเมื่อเมื่อเราต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งที่น่าเกลียดหรือน่ากลัว หรือเมื่อเราอยากจะได้สิ่งใดแล้วเกิดความผิดหวัง คือไม่ได้สิ่งนั้นตามที่เราอยากจะได้
ก็จะทำให้เราเกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจขึ้นมา ซึ่งความเศร้าโศกหรือความเสียใจนี้เองที่เรียกว่า “ความทุกข์” แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ยึดถือในสิ่งทั้งหลายนั้นว่าเป็นตัวเรา-ของเรา แม้สิ่งทั้งหลายนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม หรือจะพลัดพรากจากเราไปก็ตาม ก็จะไม่ทำให้เราเกิดความเศร้าโศกหรือความเสียใจ หรือความทุกข์ ขึ้นมาได้
สรุปได้ว่า ชีวิตของเรานี้ มันก็มีความรักหรือความพอใจหรือความอยากจะได้ “ความสุข” แต่เกลียดหรือกลัวหรือไม่อยากจะได้ “ความทุกข์”
》ดังนั้นความทุกข์จึงจัดเป็นปัญหาเร่งงด่วนที่สุด ที่เราต้องรีบแก้ไขและป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นกับเรา หรือเรียกได้ว่าความทุกข์นี้เป็นภัยอันใหญ่หลวงของชีวิต
ถ้าเราจะสามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์เลยได้ ก็เท่ากับว่าเราเป็นคนที่โชคดีที่สุด หรือได้รับสิ่งสูงสุด (คือมีประโยชน์ที่สุด) สำหรับชีวิตแล้ว
》ซึ่งการที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาในโลก ก็เพื่อมาสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ที่เป็นภัยอันใหญ่หลวงนี้
โดยคำสอนที่จะทำให้เกิดความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น ก็มีหัวใจอยู่ที่การมีความเข้าใจและเห็นแจ้งในความเป็น “สุญญตา” ของสิ่งที่เราได้ยึดถือเอาไว้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี่เอง
》คือเมื่อเรามีความเข้าใจและเห็นแจ้งถึงความเป็นสุญญตา ในสิ่งทั้งหลายแล้ว ก็จะทำให้จิตของเราไม่มีความรักหรือความพอใจในสิ่งทั้งหลาย แล้วก็ทำให้ความยึดถือสิ่งในทั้งหลายจางคลายลง เมื่อไม่มีความยึดถือ ก็จะทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและความยึดถือ ซึ่งจิตที่หลุดพ้นนี้ก็จะไม่มีความทุกข์ใดๆ
ซึ่งจิตที่ไม่มีความทุกข์นี้ ก็จะมีความสงบเย็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้นต่อไปนี้เราจะมาศึกษาเรื่องความเป็นสุญญตาของร่างกายและจิตใจของเรา รวมทั้งของสิ่งทั้งหลายของโลกอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและความยึดถือ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากันต่อไป
ทำไมต้องพูดย้ำ ทำไมต้องสอน เรื่อง "สุญญตา" ???
.
"สุญญตา" เป็นเรื่องลึก ยากแก่การที่จะเข้าใจได้ทันที และคนทั้งหลายเขาก็มีความรู้สึกอย่างนั้นกันอยู่
.
เราเองก็ยากที่จะทำให้เกิดความสนใจหรือเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น ฉะนั้น จึงคิดเผื่อไว้ว่า พูดไปทั้งที่ไม่มีใครจะรับฟัง หรือจะสนใจ หรือเข้าใจได้
.
แต่ก็หวังว่า ในโอกาสข้างหน้า 5 ปี, 10 ปี, 20 ปีนี้ คงจะเข้าใจกันได้...
.
....การพูดเรื่อง "สุญญตา" นี้ ก็เพื่อจะย่นหรือประหยัดเวลาของการศึกษาและการปฏิบัติด้วย ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะย่นได้ หรือประหยัดได้
.
ถ้าเราไปพูดเรื่องอื่น ก็จะต้องพูดกันมากอย่างที่เรียกว่า "มากมาย หรือ มหาศาล" หรือว่า 84,000 ธรรมขันธ์ อะไรทำนองนั้น
.
แต่ถ้าเราจะประหยัดเวลา หรือว่าย่นทั้ง 84,000 นั้น ให้เหลือเพียง 1 แล้ว ต้องพูดเรื่อง "สุญญตา"
.
ฉะนั้น ถ้าเราพูดเรื่องนี้ ก็เป็นการพูดเพื่อย่นเวลา ประหยัดเวลาที่สุด..."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือธรรมโฆษณ์เล่ม "สุญญตาปริทรรศน์"
------------------------------------
.
“โลกุตตระ” กับ “สุญญตา”
.
“โลกุตฺตรา”เป็นเรื่องเหนือโลก คือ เป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์อยู่เหนือการครอบงำย่ำยีของโลก ถ้าถูกโลกครอบงำย่ำยี ก็หมายความว่า มีความทุกข์ ฉะนั้น เราจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก
.
เมื่อใดอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก เมื่อนั้น เรียกว่าอยู่เหนือโลก หรือ “โลกุตตระ”แล้วเรื่องนี้ต้องเป็น “สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา” คือ เนื่องเฉพาะด้วยเรื่อง “สุญญตา” ต้องเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สุญญตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย “สุญญตาหัวใจของพุทธศาสนา” เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๐๙
--------------------------
.
อธิบาย ความหมายของคำว่า "สุญญตา" "โลกว่าง" "จิตว่าง"
.
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ"ของเรา"...
.
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตนนี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
.
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
.
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน "โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต =
ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
.
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า
"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน"
ได้ใจความถัดมาว่า
"จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ
โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่า
โลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน
นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
"อนัตตา" หรือ "สุญญตา" มีสอนแต่ในพระพุทธศาสนา
.
"คำสอนที่พระพุทธโคตมะ(สิทธัตถะ) ได้สอนด้วยพระองค์เองไม่ซ้ำใคร นั่นคือเรื่อง "อนัตตา" หรือ "สุญญตา"...
.
เราอาจจะอวดอ้างได้ว่า ในประวัติศาสตร์ของโลกเท่าที่ปรากฏชัดอยู่ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีใครสอนเรื่อง "อนัตตา" หรือเรื่อง "สุญญตา"...
.
นี่หมายความว่า เราพูดกันอย่างสิทธิอันชอบธรรมที่จะกล่าวอ้างว่า นี่เป็นของพุทธศาสนาแท้ ไม่มีในศาสนาอื่นหรือของคนอื่น เมื่อยกเอา Authority คือสิทธิของความเป็นเจ้าของในหลักวิชาขึ้นมากล่าวกันแล้ว ก็มีแต่เรื่อง"อนัตตา" หรือเรื่อง "สุญญตา" เท่านั้นที่เราจะกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นของพุทธโดยแท้ คนอื่นจะมาแย่งสิทธิอันนี้ไม่มีทางที่จะทำได้ เพราะเขาไม่ได้สอนอย่างนี้
.
จะเห็นได้ว่าแคบถึงที่สุดแล้วระบุชัดลงมาถึงที่สุดแล้ว มีสอนเพียงประโยคเดียวว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ว่างจากตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" นี่คือพุทธศาสนาทั้งหมด."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายอบรมผู้พิพากษา ปี ๒๕๐๑ หัวข้อเรื่อง"ความหมายของพุทธะ"
จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า "ตุลาการิกธรรม ๒"